Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Book of Common Prayer

Daily Old and New Testament readings based on the Book of Common Prayer.
Duration: 861 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
สดุดี 75-76

สรรเสริญพระเจ้าผู้พิพากษา

ถึงหัวหน้านักร้อง ให้ร้องเพลงนี้ตามทำนอง “อย่าทำลาย” เพลงสดุดีของอาสาฟ

75 ข้าแต่พระเจ้า พวกเราสรรเสริญพระองค์ พวกเราสรรเสริญพระองค์ พระองค์นั้นอยู่ใกล้
    ผู้คนต่างพูดถึงสิ่งน่าทึ่งต่างๆที่พระองค์ทำ

พระเจ้าพูดว่า “เมื่อเวลาที่เรากำหนดไว้นั้นมาถึง
    เราจะพิพากษาอย่างยุติธรรม
เมื่อแผ่นดินโลกและคนที่อาศัยอยู่ในมันสั่นไหว
    เรานี่แหละเป็นผู้ที่ทำให้ฐานรากนั้นมั่นคง เซลาห์

เราบอกพวกที่เย่อหยิ่งจองหอง ‘เลิกโอ้อวดได้แล้ว’
    เราบอกคนชั่วช้า ‘เลิกวางกล้ามใหญ่โตได้แล้ว
เลิกวางท่าราวกับว่ามีอำนาจสูงสุดเสียเหลือเกิน[a]
    ไม่ต้องเชิดหน้าพูดจาโอ้อวดหรอก’”

เพราะการยกย่องไม่ได้มาจากทางทิศตะวันออกหรือทิศตะวันตก
    หรือมาจากที่เปล่าเปลี่ยว
แต่พระเจ้าเป็นผู้ตัดสิน
    ทำให้คนหนึ่งตกต่ำ แล้วทำให้อีกคนหนึ่งได้รับการยกย่อง
เพราะพระยาห์เวห์ถือจอกแห่งการพิพากษาอยู่ในมือ จอกนั้นเต็มไปด้วยเหล้าองุ่นฤทธิ์แรงที่ผสมเครื่องเทศ
    เมื่อพระองค์เทเหล้าองุ่นแห่งความโกรธ-เกรี้ยวจากจอกนั้น คนชั่วทุกคนในโลกนี้จะต้องดื่มมันจนเกลี้ยง ไม่เหลือแม้แต่ตะกอนก้นถ้วย
ส่วนข้าพเจ้านั้นจะเล่าเรื่องราวของพระองค์อยู่เสมอ
    ข้าพเจ้าจะร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าแห่งยาโคบ

10 พระเจ้าพูดว่า “เราจะตัดกำลังของพวกคนชั่ว
    และเพิ่มกำลังให้กับคนดี”[b]

พระเจ้าผู้น่าเกรงขาม

ถึงหัวหน้านักร้อง ให้ใช้เครื่องดนตรีประกอบ เพลงสดุดีของอาสาฟ

76 ในยูดาห์ พระเจ้าเป็นที่รู้จักกันทั่ว
    ในอิสราเอล ชื่อของพระองค์นั้นยิ่งใหญ่
ที่พัก[c] ของพระองค์อยู่ในเมืองซาเล็ม[d]
    ส่วนที่ประทับของพระองค์อยู่บนภูเขาศิโยน
ที่นั่น พระองค์ได้หักลูกธนูไฟ
    โล่กำบังและดาบของศัตรูที่ใช้รบจนหมดสิ้น เซลาห์

พระองค์ส่องรัศมีเจิดจ้า
    และมีบารมีสูงส่งยิ่งกว่าภูเขาที่พระองค์ได้ฆ่าเหยื่อของพระองค์[e]
ทหารที่มีใจกล้าหาญเหล่านั้นถูกยึดของไปในขณะที่นอนตายอยู่
    นักรบพวกนั้นไม่สามารถยกมือขึ้นมาปกป้องตัวเองได้อีกแล้ว
ข้าแต่พระเจ้าแห่งยาโคบเมื่อพระองค์ออกคำสั่งให้บุก
    ทั้งม้าและคนขี่รถรบของศัตรูก็ล้มตายเหมือนกับหลับไป

ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ช่างน่าเกรงขาม
    ไม่มีใครสามารถยืนหยัดอยู่ต่อหน้าพระองค์ได้ตอนที่พระองค์โกรธเกรี้ยว
8-9 พระองค์ประกาศคำพิพากษาของพระองค์จากฟ้าสวรรค์ตอนที่พระเจ้ายืนขึ้นมาพิพากษา
    เพื่อช่วยเหลือคนยากจนทุกคนในแผ่นดินโลกให้รอด
    แผ่นดินโลกก็เงียบกริบด้วยความกลัว เซลาห์

10 แน่นอน ความเกรี้ยวโกรธของพระองค์ต่อมนุษย์ทำให้มนุษย์สรรเสริญพระองค์
    คนเหล่านั้นที่รอดพ้นจากความเกรี้ยวโกรธของพระองค์ถูกยับยั้งไว้จากความชั่ว
11 ให้บนบานและแก้บนทั้งหลายนั้นที่ได้ทำไว้กับพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า
    ขอให้ผู้รับใช้ของพระองค์ทุกคนนำของขวัญมาให้พระองค์ผู้น่าเกรงขาม
12 พระเจ้าเป็นผู้ที่ทำให้จิตใจของพวกผู้นำถ่อมลง
    กษัตริย์ทั้งหลายบนแผ่นดินโลกยำเกรงพระองค์

สดุดี 23

พระยาห์เวห์เป็นผู้เลี้ยงแกะ

เพลงสดุดีของดาวิด

23 พระยาห์เวห์เลี้ยงดูข้าพเจ้าเหมือนเลี้ยงแกะ
    ดังนั้น ข้าพเจ้าไม่ขาดอะไรเลย
พระองค์นำข้าพเจ้าไปนอนลงที่ทุ่งหญ้าเขียวขจี
    พระองค์นำข้าพเจ้าไปยังลำธารที่สงบเงียบ
พระองค์ทำให้ข้าพเจ้ากลับมีเรี่ยวแรงเหมือนเดิม
    พระองค์นำข้าพเจ้าเดินไปบนหนทางที่ถูกต้องทั้งหลายเพื่อรักษาชื่อเสียงที่ดีของพระองค์

แม้ในยามที่ข้าพเจ้าเดินไปตามหุบเขาที่มืดมิดอย่างความตาย[a]
    ข้าพเจ้าก็ไม่เกรงกลัวอันตรายใดๆทั้งนั้น
เพราะพระองค์อยู่กับข้าพเจ้า
    ไม้กระบองและไม้เท้าเลี้ยงแกะของพระองค์ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกปลอดภัย

พระองค์จัดโต๊ะสำหรับข้าพเจ้าต่อหน้าพวกศัตรูของข้าพเจ้า
    พระองค์ต้อนรับข้าพเจ้าอย่างแขกผู้มีเกียรติ[b] ถ้วยของข้าพเจ้าเต็มจนเอ่อล้น
ความดีและความรักมั่นคงของพระองค์ จะติดตามข้าพเจ้าไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอน
    และข้าพเจ้าจะอาศัยอยู่ในบ้านของพระยาห์เวห์ไปนานแสนนาน

สดุดี 27

เพลงแห่งความมั่นใจในพระยาห์เวห์

เพลงสดุดีของดาวิด

27 พระยาห์เวห์คือแสงสว่างและผู้ช่วยให้รอดของข้าพเจ้า
    ข้าพเจ้าจะต้องไปหวาดกลัวใครอีก
พระยาห์เวห์คือที่ลี้ภัยของข้าพเจ้า
    ข้าพเจ้าจะต้องไปหวั่นเกรงใครอีก

ถ้าคนชั่วโจมตีข้าพเจ้าและพยายามที่จะกินเลือดกินเนื้อข้าพเจ้า
    พวกปรปักษ์และศัตรูเหล่านั้นก็จะสะดุดล้มลง
แม้ว่าจะมีกองทัพตั้งค่ายล้อมข้าพเจ้าไว้ ข้าพเจ้าจะไม่กลัว
    ถึงแม้พวกเขามาบุกข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ยังคงไว้วางใจพระยาห์เวห์อยู่ดี

ข้าพเจ้าขอเพียงสิ่งหนึ่งจากพระยาห์เวห์ เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าอยากได้มากที่สุด คือ
    ขอให้ได้อาศัยอยู่ในวิหารของพระองค์ทุกวันตลอดชีวิต
    เพื่อข้าพเจ้าจะได้สัมผัสถึงความปรานีของพระยาห์เวห์
    และแสวงหาการทรงนำของพระองค์ในวิหารของพระองค์

เพราะพระองค์จะได้ปกป้องข้าพเจ้าไว้ในที่กำบังของพระองค์ในวันที่มีภัยอันตราย
    พระองค์จะซ่อนข้าพเจ้าไว้ในเต็นท์ของพระองค์
    พระองค์จะยกข้าพเจ้าไว้ในที่ปลอดภัยบนผาสูง

และตอนนี้ พระยาห์เวห์จะยกหัวของข้าพเจ้าขึ้นเหนือพวกศัตรูที่ล้อมรอบข้าพเจ้าอยู่
    ข้าพเจ้าจะถวายเครื่องบูชาพร้อมเสียงโห่ร้องยินดีในวิหารของพระองค์
    และข้าพเจ้าจะร้องเพลงและเล่นดนตรีเพื่อถวายเกียรติให้กับพระยาห์เวห์

ข้าแต่พระยาห์เวห์ โปรดฟังเสียงของข้าพเจ้าเมื่อข้าพเจ้าร้องเรียกพระองค์
    โปรดเมตตา และตอบข้าพเจ้าด้วยเถิด
จิตใจของข้าพเจ้าบอกข้าพเจ้าว่า “แสวงหาหน้าของพระยาห์เวห์สิ”
    ดังนั้น พระยาห์เวห์ ข้าพเจ้าจึงแสวงหาหน้าของพระองค์อยู่

ดังนั้น ขออย่าซ่อนหน้าไปจากข้าพเจ้า
    โปรดอย่าผลักไสข้าพเจ้าผู้รับใช้ของพระองค์ไปด้วยความโกรธ
พระองค์ผู้ที่ช่วยข้าพเจ้าเสมอ โปรดอย่าทอดทิ้งข้าพเจ้าไป
    พระเจ้าผู้ช่วยให้รอดของข้าพเจ้า โปรดอย่าละทิ้งข้าพเจ้าไป
10 ถึงแม้พ่อแม่จะทิ้งข้าพเจ้าไป
    แต่พระยาห์เวห์ก็จะรับเลี้ยงข้าพเจ้า

11 ข้าแต่พระยาห์เวห์ โปรดสอนทางของพระองค์ให้กับข้าพเจ้า
    โปรดนำข้าพเจ้าไปตามทางที่ราบรื่น เพราะข้าพเจ้ามีศัตรูมากมาย
12 อย่ามอบข้าพเจ้าไปให้ศัตรูทำตามใจชอบ
    พยานเท็จยืนขึ้นใส่ร้ายข้าพเจ้า และพวกเขาพยายามทำลายข้าพเจ้า

13 แต่ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่า ข้าพเจ้าจะได้เห็นพระพรทั้งหลาย
    ที่พระยาห์เวห์จะให้กับข้าพเจ้าในแผ่นดินของคนเป็นนี้
14 ให้ฝากความหวังไว้กับพระยาห์เวห์
    ให้เข้มแข็งและกล้าหาญไว้
    ให้ฝากความหวังไว้กับพระยาห์เวห์

เอสรา 9

การแต่งงานกับคนที่ไม่ใช่ชาวยิว

หลังจากเหตุการณ์เหล่านั้นเสร็จสิ้นลงแล้ว พวกหัวหน้าก็มาพบข้าพเจ้าและพูดว่า “ประชาชนชาวอิสราเอล พวกนักบวช รวมทั้งชาวเลวีทั้งหลาย ไม่ได้แยกตัวเองออกจากชนชาติอื่นๆในดินแดนที่อยู่รอบๆเขา ชาวอิสราเอลได้ทำในสิ่งที่น่ารังเกียจเหมือนกับคนเหล่านั้น คือชาวคานาอัน ชาวฮิตไทต์ ชาวเปริสซี ชาวเยบุส ชาวอัมโมน ชาวโมอับ ชาวอียิปต์ และชาวอาโมไรต์ เพราะคนอิสราเอล ได้รับเอาลูกสาวของชนชาติรอบข้างเหล่านั้น มาเป็นเมียของพวกเขาและของพวกลูกชายของพวกเขาด้วย และพวกเขาได้ทำให้เชื้อสายที่อุทิศไว้สำหรับพระเจ้า ไปผสมปนเปกับชนชาติอื่นที่อยู่ในดินแดนแถบนั้น พวกเจ้าหน้าที่และพวกหัวหน้าเป็นผู้เริ่มลงมือทำก่อน ซึ่งเป็นการไม่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า” เมื่อข้าพเจ้าได้ยินเรื่องนี้ ข้าพเจ้าได้ฉีกทั้งเสื้อและเสื้อคลุมของข้าพเจ้า และดึงผมและเคราของตัวเอง แล้วนั่งตกตะลึงอย่างมาก ทุกคนที่สั่นเทิ้มเมื่อได้ยินถ้อยคำของพระเจ้าแห่งอิสราเอล ก็มาหาข้าพเจ้า เพราะประชาชนที่ได้กลับจากการเป็นเชลยนั้นไม่สัตย์ซื่อต่อพระเจ้า ข้าพเจ้านั่งตกตะลึงอยู่ จนถึงเวลาถวายเครื่องบูชาตอนเย็น

เมื่อได้เวลาถวายเครื่องบูชาตอนเย็น ข้าพเจ้าลุกขึ้นจากตรงที่ข้าพเจ้านั่งด้วยความอับอาย พร้อมกับเสื้อและเสื้อคลุมที่ฉีกขาด ข้าพเจ้าคุกเข่าลงกราบ และยื่นมือทั้งสองขึ้นต่อพระยาห์เวห์ พระเจ้าของข้าพเจ้า และพูดว่า

“ข้าแต่พระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ารู้สึกอับอายและละอายใจเกินกว่าจะสู้หน้าพระองค์ได้ ข้าแต่พระเจ้า บาปของพวกเราได้เพิ่มมากขึ้นจนสูงท่วมหัวของพวกเราแล้ว และความผิดของเรา ก็พอกพูนมากจนถึงสวรรค์แล้ว ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษของพวกเรามาจนถึงทุกวันนี้ เรามีความผิดที่ร้ายแรงมาก และเพราะบาปของเรา พวกเรา รวมทั้งพวกกษัตริย์ของเรา และพวกนักบวชของเราต้องตกไปอยู่ในกำมือของพวกกษัตริย์ต่างชาติทั้งหลาย ถูกดาบฆ่าฟัน ถูกจับไปเป็นเชลย ถูกปล้น และได้รับความอับอายขายหน้าจนถึงทุกวันนี้

แต่แล้วในช่วงระยะเวลาอันสั้น พระยาห์เวห์ พระเจ้าของเราก็ได้แสดงความเมตตาต่อเรา โดยยอมให้พวกเราบางคนหลุดพ้นจากการเป็นเชลย และมอบสถานที่ที่ปลอดภัยให้กับเรา ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ดังนั้นพระเจ้าของเราจึงให้ความหวังใหม่กับเรา และได้ช่วยกู้พวกเราบางคนให้พ้นจากการเป็นเชลยและให้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ใช่แล้ว เราเป็นทาสกัน แต่พระเจ้าของพวกเราก็ไม่ได้ทอดทิ้งเรา ในขณะที่เราตกเป็นทาสนั้น พระองค์ได้แสดงความรักต่อเรา ต่อหน้าพวกกษัตริย์แห่งเปอร์เซีย ด้วยการมอบชีวิตใหม่ให้กับพวกเรา โดยให้สร้างวิหารของพระเจ้าของเราขึ้นมาใหม่ และให้ซ่อมแซมส่วนที่ปรักหักพัง รวมทั้งให้เราได้รับความคุ้มครอง[a] ในยูดาห์และในเยรูซาเล็ม

10 แต่บัดนี้ พระเจ้าของเรา พวกเราจะพูดอะไรได้อีกหลังจากเกิดเรื่องนี้ขึ้นแล้ว เนื่องจากเราได้ทอดทิ้งกฎบัญญัติของพระองค์ 11 ที่พระองค์ได้ให้ผ่านมาทางมือของพวกผู้รับใช้ของพระองค์ คือพวกผู้พูดแทนพระองค์ เมื่อพระองค์พูดว่า ‘แผ่นดินที่พวกเจ้ากำลังเข้าไปเป็นเจ้าของ คือแผ่นดินที่เคยเสื่อมเสีย เนื่องจากการกระทำอันชั่วร้ายของประชาชนที่อาศัยอยู่ที่นั่น แผ่นดินจึงถูกทำลายไป เพราะการกระทำอันน่าขยะแขยงที่พวกเขาได้ทำ พวกเขาได้ทำให้แผ่นดินเต็มไปด้วยการกระทำอันสกปรกทั้งหลายของพวกเขาจากด้านนี้ไปสุดอีกด้านหนึ่ง 12 ดังนั้นอย่าได้ยกลูกสาวของเจ้าให้ไปเป็นเมียลูกชายพวกนั้น และอย่าได้รับลูกสาวของพวกนั้นมาเป็นเมียของลูกชายเจ้าด้วย และอย่าได้ส่งเสริมให้พวกนั้นอยู่ดีมีสุข หรือเจริญรุ่งเรือง เพื่อเจ้าทั้งหลายจะได้แข็งแรง และได้กินสิ่งดีๆจากแผ่นดิน และพวกเจ้าจะได้สืบทอดมรดกนี้ให้กับลูกหลานตลอดไป’

13 หลังจากเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นกับเรา เพราะการกระทำอันชั่วร้ายและความผิดอันใหญ่หลวงของเรา ถึงแม้ว่าพระองค์ พระเจ้าของเราได้ลงโทษเราน้อยกว่าที่เราสมควรจะได้รับสำหรับบาปของเรา แล้วในเมื่อพระองค์ได้ให้พวกเรามีกลุ่มที่เหลือรอดอย่างนี้ 14 เรายังจะกลับไปหักข้อบัญญัติของพระองค์อีกหรือ เรายังจะไปแต่งงานกับชนชาติต่างๆที่ทำสิ่งน่าขยะแขยงเหล่านี้อีกหรือ ถ้าทำอย่างนั้น พระองค์คงจะโกรธเรา และทำลายเราจนไม่มีใครเหลือรอดเลยสักคนใช่ไหมพระองค์

15 ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอล พระองค์ช่างดีนักที่ปล่อยให้เราเป็นกลุ่มที่เหลือรอดจนถึงวันนี้ เราอยู่ต่อหน้าพระองค์ด้วยความผิดของเรา ความผิดนี้ทำให้เราไม่สามารถยืนอยู่ต่อหน้าพระองค์ในฐานะผู้บริสุทธิ์ได้”

วิวรณ์ 17:1-14

ผู้หญิงที่อยู่บนหลังสัตว์ร้าย

17 ทูตสวรรค์องค์หนึ่งจากเจ็ดองค์ที่ถือขันเจ็ดใบนั้น เข้ามาพูดกับผมว่า “มานี่สิ มาดูการลงโทษที่กำลังจะเกิดขึ้นกับหญิงโสเภณีที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ผู้ที่นั่งอยู่บนแม่น้ำหลายสาย พวกกษัตริย์ทั่วแผ่นดินโลกได้ทำผิดบาปทางเพศกับเธอ และพวกคนชั่วที่อยู่บนโลกก็ได้ดื่มเหล้าองุ่นของเธอจนเมามาย และทำผิดบาปทางเพศกับเธอ”

จากนั้นพระวิญญาณก็ครอบงำผมไว้ ทูตสวรรค์องค์นั้นนำผมไปที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง ที่นั่นผมเห็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่บนสัตว์ร้ายสีแดงตัวนั้น ทั้งตัวของสัตว์ร้ายเต็มไปด้วยชื่อที่ดูหมิ่นพระเจ้า มันมีเจ็ดหัวและสิบเขา ผู้หญิงคนนั้นแต่งตัวด้วยชุดสีม่วงและสีแดงเข้ม ตัวเธอประดับด้วยทองคำ เพชรนิลจินดา และไข่มุก ในมือของเธอมีถ้วยทองคำที่เต็มไปด้วยสิ่งน่าสะอิดสะเอียนและสิ่งสกปรก เพราะเธอทำผิดบาปทางเพศ บนหน้าผาก[a]ของเธอมีชื่อหนึ่งเขียนไว้ ซึ่งมีความหมายลึกลับว่า

“กรุงบาบิโลนที่ยิ่งใหญ่ แม่ของพวกหญิงโสเภณี
    และแม่ของการกระทำลามกอนาจารทั้งหมดบนโลก”

ผมเห็นผู้หญิงคนนั้นเมาเลือดของคนของพระเจ้า และเลือดของคนทั้งหลายที่ต้องตายเพราะได้เป็นพยานให้กับพระเยซู

ครั้งแรกที่เห็นผู้หญิงคนนั้น ผมรู้สึกประหลาดใจมาก ทูตสวรรค์องค์นั้นจึงถามผมว่า “จะแปลกใจไปทำไม เราจะอธิบายถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ของผู้หญิงคนนั้น และสัตว์ร้ายที่มีเจ็ดหัวสิบเขาที่เธอขี่อยู่ให้คุณฟัง ครั้งหนึ่งสัตว์ตัวนั้นเคยมีชีวิต แต่ตอนนี้มันไม่มีชีวิตแล้ว อีกไม่ช้ามันก็จะขึ้นมาจากนรกอเวจี และตัวมันต้องพบกับความย่อยยับของมัน ดังนั้นพวกคนชั่วที่อยู่บนโลกนี้ที่ไม่มีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิตตั้งแต่วันสร้างโลกก็จะประหลาดใจ เพราะพวกเขาจะเห็นสัตว์ร้ายตัวนี้ ที่ครั้งหนึ่งเคยมีชีวิตและตอนนี้ไม่มีชีวิตแล้ว แต่จะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง”

“เรื่องนี้ต้องใช้สมองคิดถึงจะเข้าใจ หัวของสัตว์ร้ายทั้งเจ็ดหมายถึงเนินเขาทั้งเจ็ด[b] ที่โสเภณีนั่งอยู่ 10 และยังหมายถึงกษัตริย์เจ็ดองค์ด้วย กษัตริย์ห้าองค์แรกตายไปแล้ว อีกองค์ยังคงปกครองอยู่เดี๋ยวนี้ ส่วนองค์สุดท้ายยังไม่มา และเมื่อกษัตริย์องค์นั้นมา ก็ถูกกำหนดให้มาอยู่แค่ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น 11 ส่วนเจ้าสัตว์ร้ายที่ครั้งหนึ่งเคยมีชีวิต แต่ตอนนี้ไม่มีชีวิตแล้วนั้น ก็คือกษัตริย์องค์หนึ่งในเจ็ดองค์นั้น ที่จะมาเป็นกษัตริย์องค์ที่แปด และกำลังจะไปสู่ความย่อยยับของมัน”

12 “ส่วนเขาสิบอันที่คุณเห็นนั้น หมายถึงกษัตริย์สิบองค์ ที่ยังไม่ได้ขึ้นครองแผ่นดินของตน แต่จะได้รับสิทธิอำนาจที่จะเป็นกษัตริย์ครอบครองร่วมกับสัตว์ร้ายตัวนั้น เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง 13 พวกกษัตริย์ทั้งสิบองค์นี้ ต่างตกลงพร้อมใจกันมอบฤทธิ์อำนาจ และสิทธิอำนาจให้กับสัตว์ร้ายตัวนั้น 14 พวกเขาจะทำสงครามกับลูกแกะ แต่ลูกแกะจะเอาชนะพวกเขาได้ เพราะลูกแกะคือองค์เจ้าชีวิตที่ยิ่งใหญ่สูงสุด และเป็นกษัตริย์ที่มีฤทธิ์อำนาจมากที่สุด คนที่อยู่กับพระองค์นั้น คือคนที่พระองค์เรียกและเลือก เพราะพวกเขานั้นซื่อสัตย์”

มัทธิว 14:22-36

พระเยซูเดินบนน้ำ

(มก. 6:45-52; ยน. 6:16-21)

22 ทันทีที่กินกันเสร็จแล้ว พระเยซูให้พวกศิษย์ลงเรือข้ามฟากไปก่อนล่วงหน้า ส่วนพระองค์รอส่งประชาชนอยู่ที่นั่น 23 เมื่อพระองค์ส่งประชาชนเสร็จแล้ว พระองค์ขึ้นไปบนภูเขาตามลำพังเพื่ออธิษฐาน เมื่อถึงตอนค่ำ พระองค์ก็ยังอยู่ที่นั่นคนเดียว 24 ส่วนเรือได้ออกไปไกลจากฝั่งมากแล้ว และถูกคลื่นซัดเพราะแล่นทวนลมอยู่

25 ช่วงตีสามถึงหกโมงเช้า พระเยซูเดินบนน้ำไปหาพวกเขา 26 เมื่อพวกศิษย์เห็นพระองค์เดินอยู่บนน้ำ ก็ตกใจกลัว ร้องกันเสียงหลงว่า “ผี”

27 พระองค์ก็รีบบอกกับพวกเขาว่า “อย่าตกใจ เราเอง ไม่ต้องกลัว”

28 เปโตรก็เลยพูดว่า “อาจารย์ ถ้าเป็นอาจารย์จริงๆเรียกให้ผมเดินบนน้ำไปหาหน่อยสิครับ”

29 พระเยซูจึงพูดว่า “มาสิ” เปโตรก็ออกมาจากเรือ เดินบนน้ำไปหาพระองค์ 30 แต่เมื่อเปโตรเห็นคลื่นลมพัดแรงก็กลัว และเริ่มจมลงไปในน้ำ เขาร้องตะโกนว่า “อาจารย์ ช่วยด้วย”

31 พระเยซูยื่นมือจับตัวเขาไว้ทันที แล้วพูดว่า “ความเชื่อน้อยจริงๆ จะไปสงสัยทำไม”

32 เมื่อเปโตรและพระเยซูขึ้นมาอยู่บนเรือแล้ว ลมก็สงบลง 33 พวกศิษย์ที่อยู่ในเรือต่างมากราบไหว้พระองค์ และพูดว่า “อาจารย์เป็นพระบุตรของพระเจ้าจริงๆ”

พระเยซูรักษาคนป่วยเป็นจำนวนมาก

(มก. 6:53-56)

34 เมื่อข้ามฟากมาถึงฝั่งเยนเนซาเรท 35 ประชาชนที่นั่นจำพระเยซูได้ ก็เลยส่งข่าวกันไปทั่วบริเวณที่อยู่ใกล้ๆนั้นว่าพระเยซูมา พวกเขาพาพวกคนป่วยทั้งหมดมาหาพระองค์ 36 พวกคนป่วยต่างอ้อนวอนขอแค่แตะพู่ที่ชายเสื้อคลุมของพระองค์ และทุกคนที่ได้แตะก็หายป่วยกันหมด

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International