Book of Common Prayer
พระยาห์เวห์รีบมาช่วยข้าพเจ้าด้วย
(สดด. 40:13-17)
ถึงหัวหน้านักร้อง เพลงของดาวิด เพื่อเรียกความสนใจจากพระเจ้า
70 ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยกู้ข้าพเจ้าด้วยเถิด
ข้าแต่พระยาห์เวห์ รีบมาช่วยข้าพเจ้าด้วยเถิด
2 ขอให้คนเหล่านั้นที่มุ่งเอาชีวิตของข้าพเจ้าได้รับความอับอาย และพบกับความพ่ายแพ้
ขอให้คนเหล่านั้นที่อยากจะทำร้ายข้าพเจ้าพากันล่าถอยกลับไปและได้รับความอัปยศอดสู
3 ขอให้คนพวกนั้นที่พูดเยาะเย้ยว่า “เสร็จแน่ เสร็จแน่”
ได้รับความอับอายมากซะจนพูดไม่ออก
4 ขอให้คนเหล่านั้นที่เสาะแสวงหาพระองค์ มีความชื่นชมยินดี และมีความสุข
ขอให้คนเหล่านั้นที่รักความรอดที่มาจากพระองค์ ได้พูดแล้วพูดอีกว่า “พระเจ้านั้นยิ่งใหญ่”
5 ข้าพเจ้านั้นยากจนและไม่มีใครช่วยเหลือ
ข้าแต่พระเจ้า รีบมาหาข้าพเจ้าด้วย
พระองค์ เป็นผู้ที่ช่วยเหลือข้าพเจ้าและผู้ช่วยกู้ข้าพเจ้า
ข้าแต่พระยาห์เวห์ อย่าได้ชักช้าอยู่เลย
คนแก่อธิษฐานขอความช่วยเหลือ
71 ข้าแต่พระยาห์เวห์
ข้าพเจ้าลี้ภัยในพระองค์ อย่าให้ข้าพเจ้าต้องเสียหน้าเลย
2 ขอช่วยข้าพเจ้าและกู้ข้าพเจ้าด้วยเถิด เพราะพระองค์ทำในสิ่งที่ถูกต้อง
โปรดเอียงหูฟังคำร้องขอให้ช่วยของข้าพเจ้า และช่วยข้าพเจ้าให้รอดด้วยเถิด
3 ขอให้พระองค์เป็นหินกำบัง และที่ลี้ภัยของข้าพเจ้า
เป็นป้อมปราการที่ช่วยข้าพเจ้าให้รอด[a]
เพราะพระองค์คือหินผาและป้อมปราการของข้าพเจ้า
4 พระเจ้าของข้าพเจ้า ช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้นจากมือคนชั่ว
และพ้นจากเงื้อมมือของคนเลวและคนโหดเหี้ยม
5 ข้าแต่องค์เจ้าชีวิต พระองค์เป็นความหวังของข้าพเจ้า
ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพเจ้าไว้วางใจในพระองค์ตั้งแต่ข้าพเจ้าเป็นเด็ก
6 ข้าพเจ้าพึ่งพาพระองค์ตั้งแต่อยู่ในท้องแล้ว
พระองค์ช่วยดึงข้าพเจ้าออกมาจากท้องแม่
ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระองค์อยู่เสมอ
7 มีหลายคนเอาข้าพเจ้าเป็นแบบอย่าง
เพราะพระองค์เป็นที่ลี้ภัยอันมั่นคงของข้าพเจ้า
8 ปากของข้าพเจ้าเต็มไปด้วยคำสรรเสริญต่อพระองค์
ปากข้าพเจ้าพูดถึงความสง่างามยิ่งใหญ่ของพระองค์ตลอดทั้งวัน
9 ตอนนี้ที่ข้าพเจ้าแก่แล้ว ขออย่าได้โยนข้าพเจ้าทิ้งไป
ขออย่าได้ทอดทิ้งข้าพเจ้าเมื่อข้าพเจ้าหมดเรี่ยวแรง
10 พวกศัตรูของข้าพเจ้า
จ้องเอาชีวิตข้าพเจ้า ต่างปรึกษาวางแผนกันทำร้ายข้าพเจ้า
11 พวกเขาพากันพูดว่า “พระเจ้าทอดทิ้งมันแล้ว
ดังนั้นให้พวกเราไล่ล่าและตะครุบมันไว้เพราะไม่มีใครช่วยมันหรอก”
12 ข้าแต่พระเจ้า อย่าได้อยู่ห่างไกลจากข้าพเจ้า
พระเจ้าของข้าพเจ้า รีบมาช่วยข้าพเจ้าด้วยเถิด
13 ขอให้คนเหล่านั้นที่กล่าวหาข้าพเจ้าได้รับความอับอายขายหน้าและพบกับจุดจบ
ขอให้ผู้ที่จ้องจะทำร้ายข้าพเจ้าต้องทนทุกข์กับความอับอายและเสื่อมเกียรติ
14 แต่ข้าพเจ้ายังจะหวังในพระองค์ต่อไป
และจะสรรเสริญพระองค์มากยิ่งขึ้น
15 ปากของข้าพเจ้าจะเล่าถึงความยุติธรรมอันถูกต้องของพระองค์
ข้าพเจ้าจะเล่าทั้งวันถึงกิจกรรมการช่วยกู้ของพระองค์
ถึงแม้ว่ามันจะมีมากกว่าที่ข้าพเจ้ารู้ก็ตาม
16 พระยาห์เวห์เจ้าข้า ข้าพเจ้าจะมาพูดถึงเรื่องการกระทำอันทรงฤทธิ์ของพระองค์
ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระองค์สำหรับความยุติธรรมอันถูกต้องของพระองค์
จะสรรเสริญแต่พระองค์เพียงผู้เดียว
17 ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ได้ฝึกสอนข้าพเจ้าตั้งแต่ข้าพเจ้าเป็นเด็ก
แล้วจนถึงวันนี้ข้าพเจ้ายังคงบอกคนอื่นเกี่ยวกับการกระทำที่น่าทึ่งของพระองค์
18 ข้าแต่พระเจ้า โปรดอย่าทอดทิ้งคนแก่คนนี้ที่ผมหงอกแล้ว
โปรดให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสประกาศเรื่องพลังอำนาจของพระองค์กับคนรุ่นต่อไปด้วยเถิด
และได้เล่าถึงฤทธิ์เดชของพระองค์กับทุกคนที่มาภายหลัง
19 ข้าแต่พระเจ้า ความยุติธรรมอันถูกต้องของพระองค์ขึ้นไปถึงฟ้าสวรรค์เบื้องบน
ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ มีใครเล่าเป็นเหมือนพระองค์
20 พระองค์ทำให้ข้าพเจ้าเจอกับความทุกข์ยากและความเดือดร้อนหลายครั้ง
โปรดให้ชีวิตใหม่กับข้าพเจ้าอีกที โปรดดึงข้าพเจ้าขึ้นมาจากที่เหวลึกของโลกอีกครั้ง
21 โปรดให้ข้าพเจ้ามีเกียรติมากกว่าเดิม
โปรดหันกลับมาช่วยปลอบโยนข้าพเจ้าอีกครั้ง
22 พระเจ้าของข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าจะเล่นพิณสิบสายและ สรรเสริญความซื่อสัตย์ของพระองค์ที่มีต่อเรา
ข้าแต่องค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์แห่งอิสราเอล ข้าพเจ้าจะร้องเพลงสรรเสริญพระองค์ด้วยพิณสี่สาย
23 ริมฝีปากของข้าพเจ้าจะชื่นชมยินดีและร้องเพลงสรรเสริญพระองค์
เพราะพระองค์ได้ช่วยกู้ข้าพเจ้า
24 ลิ้นของข้าพเจ้าจะเล่าทั้งวันถึงความยุติธรรมอันถูกต้องของพระองค์
เพราะคนที่จ้องจะทำร้ายข้าพเจ้านั้นต่างได้รับความอับอายและเสื่อมเสียเกียรติ
อธิษฐานให้พระเจ้ากู้ชาติ
เพลงมัสคิลของอาสาฟ
74 ข้าแต่พระเจ้า ทำไมพระองค์ถึงได้ทอดทิ้งพวกเรานานนัก
ทำไมถึงปล่อยให้ความโกรธของพระองค์เผาผลาญต่อฝูงแกะของพระองค์
2 โปรดระลึกถึงคนที่พระองค์ได้ซื้อมาตั้งนานมาแล้ว
โปรดระลึกถึงเผ่าที่พระองค์ไถ่มาและครอบครองไว้
โปรดระลึกถึงภูเขาศิโยนที่พระองค์สถิตอยู่
3 โปรดเดินเข้ามาดูซากปรักหักพังเก่าแก่เหล่านี้
โปรดกลับมายังวิหารที่พวกศัตรูทำลายจนย่อยยับ
4 พวกศัตรูได้โห่ร้องเฉลิมฉลองชัยชนะของพวกเขาในสถานที่ชุมนุมของพระองค์
พวกเขาชูธงแห่งชัยชนะทั้งหลายกัน
5 พวกเขาบุกโจมตี
ราวกับคนตัดไม้ใช้ขวานโค่นป่า
6 แล้วตอนนี้ พวกเขากำลังใช้ชะแลง
และขวานรื้อทำลายไม้แกะสลักในวิหารลง
7 พวกเขาเผาสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์วอดวายลงกับดิน
และทำให้เต็นท์ที่คนสรรเสริญชื่อของพระองค์เสื่อมความศักดิ์สิทธิ์ไป
8 พวกเขาคิดในใจว่า “พวกเราจะบดขยี้พวกมันให้แหลกละเอียด”
พวกเขาเผาสถานที่ชุมนุมของพระเจ้าทั่วแผ่นดิน
9 พวกเราไม่เห็นการอัศจรรย์ใดๆ[a] อีกแล้ว
ไม่มีพวกผู้พูดแทนพระเจ้าหลงเหลืออีก
และไม่มีใครรู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน
10 ข้าแต่พระเจ้า พระองค์จะปล่อยให้พวกศัตรูหมิ่นประมาทพระองค์ไปอีกนานแค่ไหน
พระองค์จะปล่อยให้พวกเขาดูหมิ่นชื่อของพระองค์ตลอดไปหรือ
11 ทำไมพระองค์ถึงยืนกอดอกอยู่เฉยๆ
ยื่นมือขวาของพระองค์ออกไปทำลายพวกเขาให้สิ้นซากไปเลย
12 พระเจ้าคือกษัตริย์ของข้าพเจ้ามาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว
พระองค์ช่วยให้พวกเราชนะหลายต่อหลายครั้งแล้วในแผ่นดินนี้
13 ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระองค์ พระองค์ได้แยกทะเลแดงออก
พระองค์ฟาดหัวทั้งหลายของสัตว์ประหลาดในท้องทะเล
14 พระองค์ทุบหัวทั้งหลายของเลวีอาธาน[b]
แล้วเอาเนื้อของพวกมันมาเป็นอาหารเลี้ยงสัตว์ต่างๆในทะเลทราย
15 พระองค์ทำให้ตาน้ำและลำธารผุดขึ้นมาและไหลไป
แล้วพระองค์ก็ทำให้แม่น้ำที่ไหลอยู่เสมอเหือดแห้งไป
16 วันและคืนเป็นของพระองค์
พระองค์คือผู้สร้างดวงจันทร์และดวงอาทิตย์
17 พระองค์กำหนดเขตแดนทั้งหมดบนแผ่นดินโลก
พระองค์สร้างฤดูร้อนและฤดูหนาว
18 ข้าแต่พระยาห์เวห์ อย่าลืมว่า พวกศัตรูเย้ยหยันพระองค์
ชนชาติที่โง่เขลานั้นดูหมิ่นชื่อของพระองค์
19 อย่าปล่อยให้สัตว์ป่าพวกนี้เข่นฆ่านกเขาของพระองค์
โปรดอย่าลืมชีวิตของคนที่ถูกกดขี่ของพระองค์ตลอดไป
20 โปรดระลึกถึงคำมั่นสัญญาของพระองค์และปกป้องพวกเราไว้
เพราะความทารุณโหดร้ายมีอยู่ทั่วทุกมุมมืดบนแผ่นดินของพวกเรา
21 อย่าปล่อยให้คนทุกข์ยากต้องอับอายขายหน้า
ขอให้คนยากจนและผู้ขัดสน สรรเสริญชื่อของพระองค์
22 ข้าแต่พระเจ้า ลุกขึ้นเถิด มาแก้หน้าของพระองค์
พระองค์อย่าลืมว่าไอ้คนโง่พวกนั้นหมิ่นประมาทพระองค์ทุกวี่วัน
23 พระองค์ ขออย่าได้ลืมเสียงโห่ร้องของศัตรูเหล่านั้นของพระองค์
และเสียงโกลาหลวุ่นวายที่มีอยู่ตลอดเวลาจากคนเหล่านั้นที่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับพระองค์
เอสรามาเมืองเยรูซาเล็ม
7 หลังจากเหตุการณ์เหล่านี้ผ่านไป[a] ในช่วงรัชกาลของกษัตริย์อารทาเซอร์ซีส[b] แห่งเปอร์เซีย เอสราได้ขึ้นมาจากบาบิโลนมาที่เมืองเยรูซาเล็ม เอสราเป็นลูกของเสไรอาห์ ที่เป็นลูกของอาซาริยาห์ ที่เป็นลูกของฮิลคียาห์ 2 ที่เป็นลูกของชัลลูม ที่เป็นลูกของศาโดก ที่เป็นลูกของอาหิทูบ 3 ที่เป็นลูกของอามาริยาห์ ที่เป็นลูกของอาซาริยาห์ ที่เป็นลูกของเมราโยท 4 ที่เป็นลูกของเศราหิยาห์ ที่เป็นลูกของอุสซี ที่เป็นลูกของบุคคี 5 ที่เป็นลูกของอาบีชูวา ที่เป็นลูกของฟีเนหัส ที่เป็นลูกของเอเลอาซาร์ ที่เป็นลูกของอาโรน ที่เป็นหัวหน้านักบวช
6 เอสราคนนี้ขึ้นมาจากบาบิโลนมาที่เมืองเยรูซาเล็ม เขาเป็นครู[c] เป็นผู้เชี่ยวชาญกฎของโมเสสเป็นอย่างดี ซึ่งพระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอลได้มอบกฎนี้ให้กับอิสราเอล กษัตริย์ได้ให้เอสราทุกสิ่งทุกอย่างตามที่เขาขอ เพราะมือของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเขาคอยช่วยเหลือเขา 7 มีประชาชนอิสราเอลบางคน รวมทั้งนักบวชบางคน พวกชาวเลวี พวกนักร้อง บรรดาคนเฝ้าประตู และพวกผู้รับใช้ในวิหาร ได้ขึ้นมาที่เมืองเยรูซาเล็มในปีที่เจ็ดในรัชกาลของกษัตริย์อารทาเซอร์ซีส 8 เอสรามาถึงเมืองเยรูซาเล็มในเดือนที่ห้า[d] ของปีที่เจ็ด ในรัชกาลของกษัตริย์นี้ 9 เขาได้เตรียมตัวที่จะออกเดินทางจากบาบิโลน ในวันที่หนึ่งของเดือนแรก และได้มาถึงเมืองเยรูซาเล็มในวันที่หนึ่งของเดือนห้า เพราะมือของพระเจ้าคอยช่วยเหลือเขา 10 เพราะเอสราได้อุทิศตัวในการศึกษากฎคำสอนของพระยาห์เวห์ ในการทำตัวตามกฎนั้น และในการสั่งสอนกฎระเบียบและกฎหมายของพระองค์ในอิสราเอล
จดหมายอารทาเซอร์ซีสถึงเอสรา
11 นี่คือสำเนาจดหมาย ที่กษัตริย์อารทาเซอร์ซีส[e] มอบให้กับเอสรา ผู้เป็นนักบวชและครูผู้รอบรู้คำสอนของบัญญัติของพระยาห์เวห์ และกฎระเบียบต่างๆของพระองค์ที่มีไว้สำหรับคนอิสราเอล
12 [f] จาก อารทาเซอร์ซีส ผู้เป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งปวง
ถึง เอสรา ผู้เป็นนักบวช ครูผู้รอบรู้กฎของพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์
ขอให้อยู่เย็นเป็นสุขในทุกเรื่อง
13 เราขอสั่งว่า ใครก็ตามในอาณาจักรของเรา ไม่ว่าจะเป็นประชาชนของอิสราเอล หรือนักบวชของพวกเขา หรือชาวเลวี ที่สมัครใจจะไปยังเมืองเยรูซาเล็มกับเจ้า ก็ไปได้
14 เนื่องจากตัวเราและที่ปรึกษาทั้งเจ็ดของเราได้ส่งเจ้าไป เพื่อไปดูว่าประชาชนของยูดาห์และเยรูซาเล็ม เชื่อฟังกฎแห่งพระเจ้าที่อยู่ในมือของเจ้าหรือไม่
15 เราและพวกที่ปรึกษาของเรา ก็ยังส่งเจ้าไป เพื่อขนเอาเงินและทองคำที่พวกเราสมัครใจมอบให้กับพระเจ้าแห่งอิสราเอล ที่มีวิหารอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม 16 ให้เจ้ารวบรวมเงินและทองคำทั้งหมด ที่เจ้าหามาได้จากมณฑลบาบิโลน พร้อมกับพวกของถวาย ที่ประชาชนและพวกนักบวชเอามาให้ด้วยความสมัครใจ สำหรับถวายให้กับวิหารของพระเจ้าในเมืองเยรูซาเล็ม
17 และด้วยเงินนี้แหละ เจ้าต้องเอาไปซื้อพวกวัวตัวผู้ แกะตัวผู้ และลูกแกะ รวมทั้งเครื่องบูชาจากเมล็ดพืชและเครื่องดื่มบูชา และเจ้าจะต้องถวายสิ่งต่างๆเหล่านี้บนแท่นบูชาในวิหารของพระเจ้าของเจ้าในเมืองเยรูซาเล็ม 18 ส่วนเงินและทองคำที่เหลือนั้น เจ้าและพี่น้องชาวยิวของเจ้า เห็นดีเห็นชอบที่จะทำยังไงก็ให้ทำไป ให้สอดคล้องกับความต้องการของพระเจ้าของพวกเจ้า 19 เครื่องใช้ต่างๆที่ได้มอบให้กับเจ้า สำหรับการบูชาในวิหารของพระเจ้าของเจ้านั้น ก็ให้เจ้าเอาไปวางไว้ต่อหน้าพระเจ้าแห่งเยรูซาเล็ม 20 ส่วนสิ่งอื่นๆที่เหลือ ที่จำเป็นสำหรับวิหารของพระเจ้าของเจ้านั้น ก็ตกเป็นหน้าที่ของเจ้าแล้วที่จะจัดหามา ก็ให้เจ้าเบิกจากเงินหลวงได้
21 นอกจากนั้นแล้ว เรา กษัตริย์อารทาเซอร์ซีส ได้ออกคำสั่งนี้ให้กับผู้ดูแลเงินกองคลังทุกคนที่อยู่ในมณฑลฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติสว่าอย่างนี้ คือไม่ว่าเอสราผู้เป็นนักบวช และครูผู้รอบรู้กฎบัญญัติของพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ จะขออะไรจากเจ้า ก็ให้ทำตามนั้นอย่างรวดเร็วและอย่างเต็มที่ 22 ให้ช่วยได้มากถึงจำนวนเงินสามตันครึ่ง ข้าวสาลี เหล้าองุ่นและน้ำมันมะกอก อย่างละสองหมื่นสองพันลิตร ส่วนเกลือให้ได้ไม่อั้น 23 ไม่ว่าพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์จะสั่งให้ทำอะไร ก็ให้เป็นไปตามนั้นอย่างรวดเร็วและอย่างเต็มที่ สำหรับวิหารของพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ เพื่อว่าความโกรธของพระเจ้าจะได้ไม่ตกลงมาบนอาณาจักรของเราผู้เป็นกษัตริย์ และบนพวกลูกชายของเรา
24 เราขอแจ้งให้พวกเจ้าทั้งหลายรู้ว่า พวกคนเหล่านี้ทั้งหมดคือ พวกนักบวช พวกชาวเลวี พวกนักร้อง พวกคนเฝ้าประตู พวกผู้รับใช้ในวิหาร และคนรับใช้อื่นๆในวิหารของพระเจ้า จะไม่ต้องเสียเครื่องบรรณาการ ภาษี และส่วยใดๆทั้งสิ้น 25 ส่วนตัวเจ้า เอสรา ตามสติปัญญาของพระเจ้าของเจ้า ที่เจ้ามีนั้น ก็ให้เจ้าแต่งตั้งผู้พิพากษา และผู้ปกครอง ให้มาตัดสินคนทั้งหมดที่อยู่ในมณฑลฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส ซึ่งหมายถึงทุกคนที่รู้จักพวกกฎของพระเจ้าของเจ้า และเจ้าก็ควรที่จะสอนคนเหล่านั้นที่ไม่รู้จักกฎพวกนั้นด้วย 26 ใครก็ตามที่ไม่เชื่อฟังกฎของพระเจ้าของเจ้า และกฏหมายของกษัตริย์ ก็ให้เขาได้รับโทษอย่างรวดเร็วอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นโทษตาย หรือเนรเทศไปอยู่เมืองอื่น หรือยึดทรัพย์ หรือจำคุก ก็ตาม
ลูกแกะและคนหนึ่งแสนสี่หมื่นสี่พันคนของพระองค์
14 หลังจากนั้นผมมองไปข้างหน้า เห็นลูกแกะยืนอยู่ที่ภูเขาศิโยน[a] พร้อมกับคนจำนวนหนึ่งแสนสี่หมื่นสี่พันคน ที่มีชื่อของพระองค์และชื่อของพระบิดาของพระองค์เขียนอยู่บนหน้าผาก 2 และผมได้ยินเสียงจากสวรรค์ เหมือนเสียงน้ำตก หรือเหมือนเสียงฟ้าร้อง เสียงที่ผมได้ยินนั้นเหมือนเสียงของพวกนักดนตรีกำลังดีดพิณอยู่ 3 พวกเขากำลังร้องเพลงบทใหม่ต่อหน้าบัลลังก์ ต่อหน้าสิ่งมีชีวิตทั้งสี่และพวกผู้อาวุโส ไม่มีใครสามารถร้องเพลงบทใหม่นี้ได้ นอกจากคนหนึ่งแสนสี่หมื่นสี่พันคนจากแผ่นดินโลกที่พระองค์ได้ซื้อให้เป็นอิสระนั้น 4 คนพวกนี้ไม่เคยแปดเปื้อนจากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิง เพราะคนพวกนี้เป็นพวกพรหมจรรย์ พวกเขาติดตามลูกแกะไปทุกหนทุกแห่ง พระองค์ได้ซื้อพวกเขาจากคนทั้งหลายบนโลก และพวกเขาเป็นของพระเจ้าและของลูกแกะ เหมือนกับพืชผลที่ได้รับการเก็บเกี่ยวครั้งแรกที่เอามาบูชาพระเจ้า 5 พวกเขาไม่พูดโกหก และไม่มีที่ติเลย
ทูตสวรรค์สามองค์
6 แล้วผมเห็นทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งเหาะเหินเดินอากาศอยู่ ทูตสวรรค์องค์นั้นมีข่าวดีที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงที่จะประกาศให้กับคนในโลก ทุกชนชาติ ทุกเผ่าพันธุ์ ทุกภาษา และทุกเชื้อชาติ 7 ทูตสวรรค์นั้นพูดด้วยเสียงอันดังว่า “ให้เกรงกลัวพระเจ้า และสรรเสริญพระองค์ เพราะเวลาของพระองค์ที่จะตัดสินคนทั้งหลายมาถึงแล้ว ดังนั้นให้กราบไหว้พระองค์ผู้สร้างฟ้าสวรรค์ แผ่นดินโลก ทะเล และแหล่งน้ำทั้งหลาย”
8 จากนั้นทูตสวรรค์องค์ที่สองได้ตามทูตสวรรค์องค์แรกไป และประกาศว่า “บาบิโลน[b] เมืองอันยิ่งใหญ่ได้ถูกทำลายจนล่มจมแล้ว เมืองที่ทำให้ทุกๆชนชาติดื่มเหล้าองุ่นที่ทำให้เกิดความใคร่ไปทำบาปทางเพศกับเธอ”
9 แล้วทูตสวรรค์องค์ที่สามก็ตามทูตสวรรค์สององค์แรกมา และประกาศด้วยเสียงอันดังว่า “ถ้าคนไหนบูชาสัตว์ร้ายและรูปปั้นของมัน และมีเครื่องหมายของมันอยู่บนหน้าผากหรือบนมือ 10 คนนั้นจะต้องดื่มเหล้าองุ่นแห่งความโกรธของพระเจ้า ที่ได้เทไว้เต็มถ้วยแห่งความโกรธของพระองค์ และเขาจะถูกทรมานด้วยไฟกำมะถัน ต่อหน้าพวกทูตสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์และต่อหน้าลูกแกะ 11 ควันแห่งการทรมานคนพวกนั้นก็จะลอยขึ้นตลอดเวลาและตลอดไป คนที่กราบไหว้สัตว์ร้ายและรูปปั้นของมัน และคนที่ได้รับเครื่องหมายแทนชื่อมัน จะไม่มีวันได้หยุดพักจากการทรมานเลยทั้งกลางวันกลางคืน 12 ถ้าอย่างนั้นคนของพระเจ้าคือคนพวกนั้นที่รักษากฎปฏิบัติของพระเจ้าและไว้วางใจในพระเยซู จะต้องมีความทรหดอดทน”
13 หลังจากนั้นผมก็ได้ยินเสียงจากสวรรค์พูดว่า “ให้เขียนว่า คนที่ตายในองค์เจ้าชีวิตหลังจากนี้ไป จะมีเกียรติ”
พระวิญญาณพูดว่า “ใช่แล้ว เป็นความจริง พวกเขาจะได้หยุดพักจากงานหนักของเขา พระองค์จะไม่ลืมงานต่างๆที่เขาได้ทำนั้น”
เฮโรดได้ยินเรื่องของพระเยซู
(มก. 6:14-29; ลก. 9:7-9)
14 เมื่อกษัตริย์เฮโรด[a] ผู้ปกครองแคว้นกาลิลีได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับพระเยซู 2 ก็พูดกับที่ปรึกษาของเขาว่า “ต้องเป็นยอห์นคนที่ทำพิธีจุ่มน้ำ ฟื้นขึ้นจากความตายแน่ๆ เขาถึงทำการอัศจรรย์พวกนี้ได้”
ยอห์นคนทำพิธีจุ่มน้ำตายอย่างไร
3 ก่อนหน้านี้ เฮโรดได้จับยอห์นล่ามโซ่และขังคุกไว้ เพราะเห็นแก่นางเฮโรเดียสภรรยาของฟีลิปน้องชายของเฮโรดเอง 4 เพราะยอห์นบอกเขาเสมอว่า “มันผิดที่ท่านเอาเฮโรเดียสมาเป็นภรรยา” 5 เฮโรดจึงอยากจะฆ่ายอห์น แต่เขาก็กลัวประชาชน เพราะประชาชนถือว่ายอห์นเป็นผู้พูดแทนพระเจ้า
6 ในงานวันเกิดของเฮโรด ลูกสาวของเฮโรเดียสได้ออกมาเต้นรำให้เฮโรดและแขกของเขาดู เธอทำให้เฮโรดถูกอกถูกใจมาก 7 เฮโรดสาบานที่จะให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอขอ 8 เธอขอเฮโรดตามที่แม่ของเธอบอกให้ขอ คือ “ดิฉันขอหัวของยอห์นคนทำพิธีจุ่มน้ำใส่ถาดมาให้ที่นี่ค่ะ” 9 กษัตริย์เฮโรดเสียใจมาก แต่เพราะเขาได้สาบานไว้แล้วต่อหน้าแขกของเขา เฮโรดจึงสั่งให้ทำตามที่เธอต้องการ 10 เฮโรดใช้ให้คนไปตัดหัวยอห์นในคุก 11 แล้วเอาใส่ถาดมาให้เธอ แล้วเธอก็เอาไปให้แม่ของเธอ 12 พวกศิษย์ของยอห์นมาเอาร่างของยอห์นไปฝัง และไปเล่าเรื่องนี้ให้พระเยซูฟัง
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International