Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Old/New Testament

Each day includes a passage from both the Old Testament and New Testament.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
1 ซามูเอล 13-14

ซาอูลทำผิดครั้งแรก

13 เมื่อซาอูลขึ้นเป็นกษัตริย์ เขามีอายุ … ปี[a] และเขาได้ปกครองอิสราเอลอยู่เป็นเวลา … สองปี[b] ซาอูลเลือกผู้ชายอิสราเอลมาสามพันคน ให้สองพันคนอยู่กับเขาที่มิคมาช และในเขตเทือกเขาของเบธเอล ส่วนอีกหนึ่งพันคนให้อยู่กับโยนาธานที่เมืองกิเบอาห์ในเขตแดนของเบนยามิน คนที่เหลือนอกจากนั้นเขาก็ปล่อยให้กลับบ้านตัวเอง

โยนาธานได้โจมตีกองหน้าของฟีลิสเตียที่เกบา และคนฟีลิสเตียก็ได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขาพูดว่า “คนอิสราเอลก่อการกบฏแล้ว”[c]

จากนั้นซาอูลได้เรียกให้เป่าแตรเขาสัตว์ไปทั่วแผ่นดิน และพูดว่า “ให้คนฮีบรูทั้งหลายได้ยินข่าวนี้” คนอิสราเอลทั้งหมดจึงได้ยินข่าวว่า “ซาอูลได้ตีกองหน้าของฟีลิสเตียที่เกบา คราวนี้แหละคนฟีลิสเตียจะเหม็นขี้หน้าคนอิสราเอลแน่”

และประชาชนก็ถูกเรียกให้ออกมาสมทบกับซาอูลที่กิลกาล คนฟีลิสเตียได้รวมพลกันเพื่อสู้รบกับอิสราเอล พวกเขามีรถรบสามพัน[d] คัน และทหารม้าหกพันคน และมีทหารมากมายเหมือนกับทรายที่ชายฝั่งทะเล พวกเขาขึ้นไปตั้งค่ายอยู่ที่มิคมาช ทางทิศตะวันออกของเบธาเวน

เมื่อคนอิสราเอลเห็นว่า พวกเขาอยู่ในสถานการณ์ที่คับขัน และกองทัพของพวกเขาก็ถูกกดดันอย่างหนัก พวกเขาจึงซ่อนตัวอยู่ตามถ้ำ ตามพงไม้ ตามซอกหิน ตามอุโมงค์ และตามบ่อเก็บน้ำ คนฮีบรูบางคนถึงกับข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปที่เมืองกาดและกิเลอาด ส่วนซาอูลยังคงอยู่ที่กิลกาลและกองทหารทั้งหมดที่อยู่กับเขาต่างกลัวจนตัวสั่น

ซาอูลได้เฝ้าคอยอยู่เจ็ดวัน ตามเวลาที่ซามูเอลได้กำหนดไว้ แต่ซามูเอลก็ไม่ได้มาที่กิลกาล และประชาชนที่อยู่กับซาอูลก็เริ่มกระจัดกระจายไป ดังนั้นเขาจึงพูดว่า “เอาเครื่องเผาบูชา และเครื่องสังสรรค์บูชามาให้เรา” และซาอูลก็ได้ถวายเครื่องเผาบูชา 10 ทันทีที่ซาอูลถวายเครื่องเผาบูชาเสร็จสิ้นลง ซามูเอลก็มาถึง ซาอูลจึงออกไปต้อนรับเขา

11 ซามูเอลถามว่า “ท่านได้ทำอะไรลงไป”

ซาอูลตอบว่า “เมื่อเราเห็นว่าประชาชนเริ่มกระจัดกระจายไป และท่านก็ไม่มาตามเวลาที่นัดไว้ และคนฟีลิสเตียก็ได้รวมพลกันที่มิคมาช 12 เราคิดว่า ‘ตอนนี้คนฟีลิสเตียจะลงมาต่อสู้กับเราที่กิลกาล และเราก็ยังไม่ได้ขอให้พระยาห์เวห์ช่วยเหลือ ดังนั้นเราจึงฝืนใจถวายเครื่องเผาบูชาเอง’”

13 ซามูเอลพูดว่า “ท่านได้ทำสิ่งที่โง่ๆลงไปแล้ว ท่านไม่ได้ทำตามคำสั่งที่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของท่านได้สั่งท่านไว้ ถ้าท่านได้ทำตาม พระองค์จะก่อตั้งอาณาจักรของท่านเหนือคนอิสราเอลตลอดไป 14 แต่ ตอนนี้ อาณาจักรของท่านจะไม่ยั่งยืนอีกแล้ว พระยาห์เวห์ได้ค้นหาผู้ชายอีกคนหนึ่งที่จะทำตามใจพระองค์[e] และได้แต่งตั้งเขาให้เป็นผู้นำประชาชนของพระองค์แล้ว เพราะท่านไม่ได้รักษาคำสั่งของพระยาห์เวห์” 15 จากนั้นซามูเอลก็ลุกขึ้นไปจากกิลกาล

การต่อสู้ที่มิคมาช

ซาอูลและกองทัพที่เหลือของเขาได้จากกิลกาล[f] ไปยังเมืองกิเบอาห์ในเขตแดนเบนยามิน ซาอูลนับคนที่เหลืออยู่กับเขาได้ประมาณหกร้อยคน 16 ซาอูลและโยนาธานลูกชายของเขากับคนที่อยู่กับเขา ได้ไปพักอยู่ที่เกบาในเขตแดนเบนยามิน

ในขณะที่คนฟีลิสเตียตั้งค่ายอยู่ที่มิคมาช 17 คนฟีลิสเตียได้แบ่งกำลังสำหรับโจมตีออกเป็นสามกอง กองที่หนึ่งมุ่งตรงไปโอฟราห์ที่อยู่ใกล้กับชูอัล 18 กองที่สองตรงไปเบธโฮโรน และกองที่สามตรงไปที่เขตแดนเหนือหุบเขาเศโบอิมที่หันไปทางทะเลทราย

19 คนฟีลิสเตียไม่ยอมให้มีช่างตีเหล็กเหลืออยู่ในแผ่นดินอิสราเอลแม้แต่คนเดียว เพราะคนฟีลิสเตียพูดกันว่า “ไม่อย่างนั้นคนฮีบรูจะทำดาบ ทำหอกใช้กัน” 20 ดังนั้นคนอิสราเอลทั้งหมดจึงต้องลงไปหาคนฟีลิสเตียเพื่อลับคราด พลั่ว ขวาน และเคียวของพวกเขาให้คม 21 คนฟีลีสเตียคิดค่าลับคราดและพลั่ว เป็นเงินแปดกรัม และคิดค่าลับสามง่าม ขวาน และปฏัก[g] เป็นเงินสี่กรัม 22 ดังนั้น ในวันที่สู้รบกันนั้น กองทหารของซาอูลและโยนาธาน จึงไม่มีดาบหรือหอกอยู่ในมือ มีแต่ซาอูลและโยนาธานลูกชายเท่านั้นที่มี

23 ตอนนี้กองกำลังกองหนึ่งของฟีลิสเตียได้เดินทางมาถึงทางข้ามที่จะไปเมืองมิคมาชแล้ว

โยนาธานสู้กับคนฟีลิสเตีย

14 วันหนึ่งโยนาธานลูกชายของซาอูลได้พูดกับเด็กหนุ่มผู้ถืออาวุธของเขาว่า “มาเถอะ ให้พวกเราไปที่ค่ายของคนฟีลิสเตียที่อยู่ฝั่งโน้นกัน” แต่เขาไม่ได้บอกซาอูลพ่อของเขา

(ขณะนั้นซาอูลกำลังพักผ่อนอยู่ที่ชานเมืองกิเบอาห์ใต้ต้นทับทิมในมิโกรน กับคนประมาณหกร้อยคน ซึ่งในจำนวนนั้นมีอาหิยาห์ผู้ที่ใส่เอโฟดอยู่ด้วย เขาเป็นลูกชายของอาหิทูบซึ่งเป็นพี่ชายของอีคาโบด อีคาโบดและอาหิทูบเป็นลูกชายของฟีเนหัส ฟีเนหัสเป็นลูกชายของเอลี เอลีเคยเป็นนักบวชของพระยาห์เวห์อยู่ที่เมืองชิโลห์ ไม่มีใครรู้ว่าโยนาธานได้ออกไปแล้ว

ทางข้ามทั้งสองข้างที่โยนาธานจะใช้ข้ามเข้าไปยังค่ายของฟีลิสเตียนั้นเป็นหน้าผา หน้าผาทั้งสองด้านนี้ ข้างหนึ่งเรียกว่าโบเซส และอีกข้างหนึ่งเรียกว่าเสเนห์ หน้าผาด้านหนึ่งอยู่ทางเหนือตรงฝั่งเมืองมิคมาช ส่วนหน้าผาอีกด้านอยู่ทางใต้ตรงฝั่งเมืองเกบา)

โยนาธานพูดกับเด็กหนุ่มผู้ถืออาวุธของเขาว่า “ไปกันเถอะ พวกเราข้ามไปยังป้อมทหารของไอ้พวกผู้ชายที่ยังไม่ได้ทำพิธีขลิบพวกนั้น บางทีพระยาห์เวห์อาจจะมาช่วยเราทำสิ่งนี้ก็ได้ ไม่มีอะไรจะมาขัดขวางไม่ให้พระยาห์เวห์มาช่วยกู้ได้ ไม่ว่าพระองค์จะใช้คนมากหรือน้อยก็ตาม”

คนถืออาวุธของเขาพูดว่า “ทำอะไรก็ได้ตามใจท่าน ลุยไปเลย ข้าพเจ้าจะอยู่เคียงข้างท่านตลอดไป”

โยนาธานพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นไปกันเถอะ พวกเราจะข้ามไปหาคนฟีลิสเตีย และปล่อยให้พวกเขาเห็นพวกเรา ถ้าพวกเขาพูดกับพวกเราว่า ‘คอยอยู่ที่นั่นจนกว่าพวกเราจะลงไปหาเจ้า’ พวกเราก็จะหยุดในที่ที่พวกเราอยู่และจะไม่ไปหาพวกเขา 10 แต่ถ้าพวกเขาพูดว่า ‘ขึ้นมาหาพวกเราสิ’ พวกเราก็จะปีนขึ้นไป เพราะนั่นจะเป็นสัญญาณให้กับเรา ว่าพระยาห์เวห์ได้มอบพวกเขาไว้ในกำมือของพวกเราแล้ว”

11 โยนาธานและคนถืออาวุธของเขาจึงแสดงตัวให้คนฟีลิสเตียที่ค่ายได้เห็น พวกเขาก็พูดว่า “ดูซิ พวกฮีบรูกำลังคลานออกจากรูที่พวกมันใช้หลบซ่อน” 12 ชายคนหนึ่งในค่ายก็ตะโกนใส่โยนาธานและคนถืออาวุธของเขาว่า “ขึ้นมาหาพวกเราสิ แล้วพวกเราจะให้บทเรียนกับพวกเจ้า”

ดังนั้นโยนาธานจึงพูดกับคนถืออาวุธของเขาว่า “ปีนตามเรามา พระยาห์เวห์ได้มอบพวกเขาให้อยู่ในกำมือของคนอิสราเอลแล้ว”

13 โยนาธานปีนขึ้นไปด้วยมือและเท้าของเขา คนถืออาวุธของเขาปีนตามมาอย่างติดๆ โยนาธานสู้รบกับคนฟีลิสเตีย และคนฟีลิสเตียก็ล้มลงต่อหน้าโยนาธาน คนถืออาวุธของเขาก็ตามมาติดๆและได้ฆ่าฟันพวกนั้นอยู่ข้างหลังเขา 14 ในการปะทะกันครั้งแรก พวกเขาสองคนฆ่าคนฟีลิสเตียตายประมาณยี่สิบคนในพื้นที่ประมาณสองไร่

15 จากนั้นทหารทั้งกองทัพของฟีลิสเตียก็ตกใจกลัวจนตัวสั่น คือพวกที่อยู่ในค่าย ในสนามรบ พวกที่อยู่ตามป้อมต่างๆและพวกที่อยู่ในกองกำลังย่อย ได้เกิดแผ่นดินไหวขึ้น มันเป็นความหวาดกลัวที่พระเจ้าส่งมา

16 พวกยามของซาอูลที่กิเบอาห์ในแผ่นดินเบนยามิน เห็นทหารฟีลิสเตียวิ่งหนีไปคนละทิศละทาง 17 ซาอูลจึงพูดกับคนที่อยู่กับเขาว่า “เรียกพวกเรามารวมพลกันให้หมด และดูว่าใครหายไป”

เมื่อตรวจดูก็พบว่าโยนาธานและคนถืออาวุธของเขาไม่ได้อยู่ที่นั่น

18 ซาอูลจึงพูดกับอาหิยาห์ว่า “ให้นำเอโฟดมาที่นี่” (ในเวลานั้นอาหิยาห์ใส่เอโฟดยืนอยู่ต่อหน้าชาวอิสราเอล)[h] 19 ขณะที่ซาอูลกำลังพูดกับนักบวช เพื่อคอยคำแนะนำจากพระเจ้า ก็เกิดเสียงอึกทึกขึ้นในค่ายฟีลิสเตียและมันก็ดังขึ้นๆ ซาอูลจึงพูดกับนักบวชว่า “ไม่ต้องดึงสลากจากเอโฟดเพื่อถามพระยาห์เวห์แล้ว ไม่มีเวลาแล้ว”[i]

20 ดังนั้นซาอูลและประชาชนที่อยู่กับเขาจึงออกไปเพื่อจะรบ แต่พวกเขากลับพบว่าคนฟีลิสเตียอยู่ในความสับสนถือดาบฆ่าฟันกันเอง 21 คนฮีบรูที่เดิมเคยอยู่กับคนฟีลิสเตียและพวกที่อยู่ในค่ายก็หันมาร่วมมือกับคนอิสราเอล มาอยู่ฝ่ายเดียวกับซาอูลและโยนาธาน 22 เมื่อคนอิสราเอลทั้งหมดที่หลบซ่อนอยู่ตามแถบเทือกเขาเอฟราอิมรู้ข่าวว่าคนฟีลิสเตียกำลังหนี พวกเขาก็เข้าร่วมรบ และไล่ล่าคนฟีลิสเตียอย่างดุเดือด

23 ในวันนั้นพระยาห์เวห์ได้ช่วยกู้คนอิสราเอลไว้ การสู้รบได้ขยายเลยเมืองเบธาเวนออกไป กองทัพทั้งหมดได้อยู่กับซาอูล ตอนนั้นเขามีทหารอยู่หนึ่งหมื่นคน การสู้รบได้ขยายไปทุกเมืองในแถบเนินเขาของเอฟราอิม[j]

ซาอูลทำความผิดอีกครั้ง

24 แต่ซาอูลได้ทำผิดอย่างใหญ่หลวงในวันนั้น[k] คนอิสราเอลทั้งเหน็ดเหนื่อยและหิวจัด เพราะซาอูลได้บังคับประชาชนให้สาบานว่า “ใครก็ตามที่กินอาหารก่อนค่ำและก่อนที่เราจะได้แก้แค้นศัตรูของเรา ขอให้ถูกสาปแช่ง” ดังนั้นจึงไม่มีใครในกองทัพได้กินอาหารเลย

25 ฝ่ายกองทัพได้เข้าไปในป่า และได้พบรังผึ้งอยู่บนพื้น 26 เมื่อพวกเขาเข้าไปในป่า ก็เห็นน้ำผึ้งกำลังไหลออกจากรัง แต่ไม่มีใครเอามือไปรองน้ำผึ้งมากิน เพราะพวกเขากลัวคำสาบาน 27 แต่โยนาธานไม่รู้เรื่องที่ซาอูลพ่อของเขาบังคับให้ประชาชนสาบาน เขาจึงใช้ปลายไม้เท้าที่ถืออยู่ในมือแหย่เข้าไปในรังผึ้ง แล้วเอามือปาดน้ำผึ้งมาเข้าปาก ทำให้กลับมีเรี่ยวแรงขึ้น

28 ตอนนั้นมีทหารคนหนึ่งบอกเขาว่า “พ่อของท่านบังคับให้เหล่าทหารสาบานว่า ‘ใครที่กินอาหารวันนี้จะถูกสาปแช่ง’ นั่นเป็นเหตุที่ทำให้ผู้คนอ่อนเพลีย”

29 โยนาธานพูดว่า “พ่อของเราได้ทำความลำบากแก่ผู้คนในประเทศแล้ว ดูซิว่าเราสดชื่นขึ้นขนาดไหน เมื่อเราได้ชิมน้ำผึ้งเพียงเล็กน้อย 30 มันจะดีแค่ไหนถ้าวันนี้ประชาชนได้กินอาหารที่พวกเขาริบมาจากศัตรู เราก็คงจะฆ่าพวกฟีลิสเตียได้มากกว่านี้อีกเยอะทีเดียว”

31 ในวันนั้นหลังจากที่คนอิสราเอลได้โจมตีคนฟีลิสเตีย จากเมืองมิคมาชไปจนถึงเมืองอัยยาโลน พวกเขาก็หมดเรี่ยวแรง 32 พวกเขาเข้ายึดข้าวของต่างๆ ริบเอาแกะ วัวตัวผู้และลูกวัวมา แล้วจัดการฆ่าบนพื้นและกินเป็นอาหารรวมทั้งกินเลือดด้วย

33 จากนั้นก็มีคนไปบอกซาอูลว่า “ดูซิ พวกทหารกำลังทำบาปต่อพระยาห์เวห์ด้วยการกินเนื้อที่ยังมีเลือดติดอยู่”

ซาอูลพูดว่า “พวกเจ้าได้ทำบาปแล้ว กลิ้งก้อนหินก้อนใหญ่มาที่นี่เดี๋ยวนี้” 34 จากนั้นเขาก็พูดอีกว่า “ไปแจ้งกับประชาชนทั้งหลายว่า ‘ให้แต่ละคนเอาวัวและแกะมาให้เรา แล้วฆ่าพวกมันกินกันที่นี่ อย่าทำบาปต่อพระยาห์เวห์ ด้วยการกินเนื้อสัตว์ที่ยังมีเลือดติดอยู่อีก’”

ดังนั้นทุกคนจึงเอาวัวของเขามาฆ่าที่นั่นในคืนนั้น 35 จากนั้นซาอูลได้สร้างแท่นบูชาต่อพระยาห์เวห์ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เขาได้ทำอย่างนี้

36 ซาอูลพูดว่า “ให้เราลงไปไล่ล่าคนฟีลิสเตียในคืนนี้จนถึงรุ่งเช้า ยึดข้าวของต่างๆของพวกมัน และอย่าปล่อยให้มีใครรอดชีวิตแม้แต่คนเดียว”

ประชาชนก็พูดว่า “ทำตามที่ท่านเห็นว่าดีเถิด”

แต่นักบวชกลับพูดว่า “ให้เราถามพระเจ้าในที่นี้ดูก่อนเถอะ”

37 ดังนั้นซาอูลจึงถามพระเจ้าว่า “เราควรไล่ตามคนฟีลิสเตียหรือไม่ พระเจ้าจะให้พวกเขาตกอยู่ในกำมือของคนอิสราเอลหรือไม่” แต่พระเจ้าก็ไม่ได้ตอบอะไรแก่ซาอูลในวันนั้น

38 ซาอูลจึงพูดว่า “ผู้นำของทหารทั้งหลายมาที่นี่เถอะ และค้นหาดูสิว่า ใครทำบาปในวันนี้ 39 เราขอสาบานต่อพระยาห์เวห์ ผู้ช่วยชีวิตคนอิสราเอล ถ้าแม้แต่โยนาธานลูกชายของเราเองทำบาป เขาก็ต้องตาย” ไม่มีใครพูดอะไรสักคำ

40 ซาอูลพูดกับคนอิสราเอลทั้งหมดว่า “พวกท่านทั้งหลายยืนอยู่ที่นั่น เราและลูกชายจะยืนอยู่ที่นี่”

ประชาชนก็ตอบว่า “ทำในสิ่งที่ท่านเห็นว่าดีเถิด”

41 จากนั้นซาอูลก็อธิษฐาน “ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอล ได้โปรดตอบข้าพเจ้าผู้รับใช้ของพระองค์ในวันนี้ด้วยเถิด[l] ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอล ถ้าเป็นตัวข้าพเจ้าหรือโยนาธานลูกชายข้าพเจ้าที่ได้ทำบาป ก็ขอให้สลากออกมาเป็นอูริม แต่ถ้าอิสราเอลคนของพระองค์ได้ทำบาป ก็ขอให้สลากออกมาเป็นทูมมิม”

แล้วซาอูลและโยนาธานก็ถูกเลือก ประชาชนอื่นๆก็รอดไป 42 ซาอูลพูดว่า “โยนสลากอีกครั้งหนึ่ง ดูสิว่าระหว่างเรากับโยนาธานลูกของเรา ใครเป็นคนทำผิด” แล้วโยนาธานก็ถูกเลือก

43 แล้วซาอูลได้พูดกับโยนาธานว่า “บอกพ่อซิว่า เจ้าทำอะไรลงไป”

โยนาธานตอบว่า “ลูกเพียงแค่ชิมน้ำผึ้งที่ติดอยู่ที่ปลายไม้เท้าเท่านั้น ตอนนี้ ลูกก็พร้อมที่จะตายแล้ว”

44 ซาอูลพูดว่า “ขอพระเจ้าลงโทษเราอย่างหนักถ้าเราไม่รักษาคำพูด โยนาธาน เจ้าจะต้องตาย”

45 แต่ประชาชนพูดกับซาอูลว่า “โยนาธานสมควรจะตายอย่างนั้นหรือ เขาคือผู้นำชัยชนะอันยิ่งใหญ่มาสู่อิสราเอล ไม่มีทาง พระยาห์เวห์มีชีวิตอยู่แน่ขนาดไหน ก็ให้แน่ใจขนาดนั้นเลยว่า จะไม่มีผมสักเส้นบนหัวของเขาต้องตกพื้น เพราะเป็นพระเจ้าเองที่ช่วยเขาให้รบชนะในวันนี้” ดังนั้นประชาชนได้ช่วยชีวิตโยนาธานไว้ เขาจึงไม่ตาย

46 แล้วซาอูลได้หยุดติดตามคนฟีลิสเตีย และพวกเขาก็กลับไปยังแผ่นดินของตน

ซาอูลสู้กับศัตรูของอิสราเอล

47 หลังจากที่ซาอูลได้รับหน้าที่ปกครองอิสราเอล เขาได้สู้รบกับศัตรูที่อยู่รอบด้าน คือชาวโมอับ ชาวอัมโมน ชาวเอโดม พวกกษัตริย์ของโศบาห์ และชาวฟีลิสเตีย ไม่ว่าเขาจะหันไปทางไหน เขาก็มีชัยเหนือคนเหล่านั้น 48 เขาต่อสู้อย่างกล้าหาญและทำให้พวกอามาเลคพ่ายแพ้ และช่วยคนอิสราเอลให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของคนเหล่านั้นที่เคยปล้นอิสราเอล

49 ซาอูลมีลูกชายคือโยนาธาน อิชวี และมัลคีชูวา ส่วนลูกสาวคนโตของเขาชื่อเมราบ และลูกสาวคนเล็กชื่อมีคาล 50 เมียของเขาชื่ออาหิโนอัมซึ่งเป็นลูกสาวของอาหิมาอัส

แม่ทัพของซาอูลคืออับเนอร์ลูกชายของเนอร์ เนอร์เป็นลุงของซาอูล 51 พ่อของซาอูลคือคีช และพ่อของอับเนอร์คือเนอร์ ทั้งคีชและเนอร์ต่างก็เป็นลูกของอาบีเอล

52 ตลอดชีวิตของซาอูล ได้ทำสงครามกับคนฟีลิสเตียอย่างหนัก และเมื่อซาอูลพบคนเก่งและกล้าหาญ ก็จะเอามาอยู่ด้วยกับเขา

ลูกา 10:1-24

พระเยซูส่งศิษย์เจ็ดสิบสองคนออกไป

10 ต่อมาพระเยซูเลือกศิษย์อีกเจ็ดสิบสองคน[a] แล้วส่งพวกเขาออกไปเป็นคู่ๆล่วงหน้าพระองค์ไปตามเมืองและหมู่บ้านต่างๆที่พระองค์กำลังจะไป พระองค์บอกพวกเขาว่า “พืชผลที่จะให้เก็บเกี่ยวนั้นมีมากมายแต่คนงานมีน้อย ดังนั้นให้อ้อนวอนขอองค์เจ้าชีวิตผู้เป็นเจ้าของพืชผล ให้ส่งคนงานมาช่วยเก็บเกี่ยวพืชผลของพระองค์ด้วย ไปเถอะ แต่อย่าลืมนะว่าเรากำลังส่งพวกคุณออกไปเหมือนพวกลูกแกะไปอยู่ท่ามกลางฝูงหมาป่า ไม่ต้องเอาถุงเงิน ถุงย่าม หรือรองเท้าติดตัวไป และไม่ต้องหยุดทักทายใครในระหว่างทาง เมื่อเข้าบ้านไหนก็ให้อวยพรก่อนว่า ‘ขอให้บ้านนี้อยู่เย็นเป็นสุข’ ถ้าบ้านนั้นมีคนที่รักความสงบสุขอยู่ พรนั้นก็จะตกเป็นของเขา แต่ถ้าไม่มี พรนั้นก็จะกลับมาอยู่กับคุณอีก เมื่ออยู่บ้านไหนก็ให้อยู่บ้านนั้นตลอด อย่าย้ายไปย้ายมา เมื่อเขาเอาอะไรมาให้กินและดื่ม ก็กินเลย เพราะคนงานก็สมควรจะได้รับค่าจ้าง เมื่อเข้าไปในเมืองไหน เขาเลี้ยงอะไรก็ให้กินสิ่งนั้น รักษาคนที่ไม่สบายในเมืองนั้น และบอกเขาว่า ‘อาณาจักรของพระเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว’ 10 แต่ถ้าเมืองไหนไม่ต้อนรับคุณ ก็ให้ไปยืนอยู่ที่ถนนแล้วพูดว่า 11 ‘แม้แต่ฝุ่นในเมืองนี้ที่ติดเท้าเรา เราก็จะปัดออกให้หมด’[b] เพื่อเป็นการเตือนพวกคุณ แต่ให้รู้เอาไว้ว่า ‘อาณาจักรของพระเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว’ 12 เราจะบอกให้รู้ว่า ในวันพิพากษา โทษของเมืองนั้นจะรุนแรงกว่าโทษของเมืองโสโดมเสียอีก”

พระเยซูเตือนประชาชนที่ไม่เชื่อ

(มธ. 11:20-24)

13 “น่าละอายจริงๆเมืองโคราซินและเมืองเบธไซดา[c] เพราะถ้าเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในเมืองของเจ้านี้ไปเกิดที่เมืองไทระและเมืองไซดอน[d] แล้วละก็ คนที่นั่นก็คงกลับตัวกลับใจ ใส่ผ้ากระสอบและเอาขี้เถ้าโรยหัวไปนานแล้ว 14 ในวันพิพากษานั้น โทษของเมืองนี้จะรุนแรงกว่าโทษของเมืองไทระและเมืองไซดอนเสียอีก 15 ส่วนเจ้า เมืองคาเปอรนาอุม เจ้าคิดว่า เจ้าจะถูกยกขึ้นสูงเทียมฟ้าหรือ ไม่มีทาง เจ้าจะต้องถูกโยนลงไปในแดนคนตายต่างหาก”

16 แล้วพระองค์ก็บอกกับศิษย์ว่า “คนที่ยอมรับถ้อยคำของพวกคุณ ก็เท่ากับยอมรับเราด้วย และคนที่ไม่ยอมรับพวกคุณ ก็เท่ากับไม่ยอมรับเราด้วย แล้วคนที่ไม่ยอมรับเรา ก็เท่ากับไม่ยอมรับพระเจ้าผู้ที่ส่งเรามาด้วย”

ศิษย์เจ็ดสิบสองคนกลับมา

17 ศิษย์ทั้งเจ็ดสิบสองคนกลับมารายงานพระเยซูด้วยความดีใจว่า “อาจารย์ครับ ตอนที่เราอ้างชื่อของอาจารย์ แม้แต่พวกผีชั่ว[e] ยังเชื่อฟังเราเลย” 18 พระเยซูตอบว่า “เราเห็นซาตานตกลงมาจากฟ้าเหมือนฟ้าแลบ 19 เราให้อำนาจพวกคุณ ที่จะเหยียบย่ำงูร้ายและแมงป่อง และเราให้อำนาจเหนือศัตรูทั้งหมด ไม่มีอะไรทำร้ายพวกคุณได้ 20 แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอย่าดีใจเพราะพวกผีชั่วเชื่อฟังคุณ แต่ให้ดีใจเพราะมีชื่อของพวกคุณจดไว้บนสวรรค์แล้ว”

พระเยซูขอบคุณพระบิดา

(มธ. 11:25-27; 13:16-17)

21 ในเวลานั้นพระเยซูเต็มไปด้วยความสุขในพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์พูดว่า

“ลูกขอขอบคุณพระองค์ผู้เป็นเจ้าของฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก เพราะพระองค์ได้ปิดบังเรื่องเหล่านี้จากพวกที่มีการศึกษาและพวกเฉลียวฉลาด แต่เปิดเผยให้กับคนที่ไร้เดียงสาเหมือนเด็กเล็กๆได้รู้ ใช่แล้ว พระบิดา เพราะนั้นแหละเป็นไปตามความพอใจของพระองค์”

22 “พระบิดาได้ให้เรามีสิทธิอำนาจเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีใครรู้จักพระบุตร นอกจากพระบิดา และไม่มีใครรู้จักพระบิดา นอกจากพระบุตร และคนที่พระบุตรเลือกที่จะบอกให้รู้เกี่ยวกับพระบิดา”

23 พระเยซูหันมาพูดกับพวกศิษย์เป็นการส่วนตัวว่า “เป็นเกียรติจริงๆสำหรับพวกคุณที่ได้เห็นสิ่งเหล่านี้ 24 เราจะบอกให้รู้ว่า มีพวกผู้พูดแทนพระเจ้า และพวกกษัตริย์อยากเห็นอยากได้ยินสิ่งที่พวกคุณเห็นและได้ยินนี้ แต่พวกเขาก็ไม่ได้เห็นและก็ไม่ได้ยินด้วย”

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International