Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
1 พงศาวดาร 22

22 แล้วดาวิดตรัสว่า “พระนิเวศของพระเจ้าพระยาห์เวห์และแท่นบูชาสำหรับเครื่องเผาบูชาของอิสราเอลจะอยู่ที่นี่”

เตรียมก่อสร้างพระวิหาร

ดาวิดจึงทรงเกณฑ์คนต่างด้าวที่อาศัยในอิสราเอล และมอบหมายให้เป็นช่างสกัดหิน เตรียมหินสำหรับก่อสร้างพระวิหารของพระเจ้า ดาวิดทรงให้เตรียมเหล็กจำนวนมาก เพื่อทำหมุดสำหรับใช้กับบานประตูและเหล็กยึด และหลอมทองสัมฤทธิ์ จำนวนมหาศาลเกินกว่าจะชั่งได้ ทั้งเตรียมซุงไม้สนซีดาร์มากมายเกินกว่าจะนับได้ ซึ่งชาวไซดอนและชาวไทระได้นำมาถวายดาวิด

ดาวิดตรัสว่า “โซโลมอนลูกของเรายังเด็กและอ่อนประสบการณ์ พระนิเวศซึ่งจะสร้างขึ้นเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าควรจะงดงามโอ่อ่าตระการ มีชื่อเสียงเลื่องลือในสายตามวลประชาชาติ ฉะนั้นเราจะตระเตรียมเพื่อการนี้” ดาวิดจึงทรงเตรียมการไว้อย่างเต็มที่ก่อนสิ้นพระชนม์

แล้วดาวิดตรัสกำชับโซโลมอนราชโอรสให้สร้างพระนิเวศถวายแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอล ดาวิดตรัสว่า “ลูกเอ๋ย ใจพ่อคิดจะสร้างพระนิเวศเพื่อพระนามของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพ่อ แต่มีพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงพ่อว่า ‘เจ้าได้ฆ่าคนมากมายในสงคราม ทำให้เลือดนองแผ่นดินในสายตาของเรา ฉะนั้นเจ้าจะไม่ได้เป็นผู้สร้างนิเวศเพื่อนามของเรา แต่จะมีลูกคนหนึ่งของเจ้าเป็นบุคคลแห่งสันติ ซึ่งเราจะให้เขาพักสงบจากศัตรูรอบด้าน ลูกคนนี้จะมีชื่อว่า โซโลมอน[a]และเราจะให้อิสราเอลอยู่เย็นเป็นสุขตลอดรัชกาลของเขา 10 เขาคือผู้ที่จะสร้างนิเวศเพื่อนามของเรา เขาจะเป็นบุตรของเรา และเราจะเป็นบิดาของเขา และจะสถาปนาราชบัลลังก์ของเขาเหนืออิสราเอลตลอดไป’

11 “บัดนี้ ลูกเอ๋ย ขอให้องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเจ้า ให้เจ้าประสบความสำเร็จ และสร้างพระนิเวศสำหรับพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าดังที่พระองค์ตรัสไว้แล้ว 12 ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าประทานความสุขุมรอบคอบกับความเข้าใจแก่เจ้า เมื่อทรงตั้งเจ้าขึ้นปกครองอิสราเอล เพื่อเจ้าจะรักษาบทบัญญัติของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า 13 หากเจ้าใส่ใจปฏิบัติตามกฎหมายและบทบัญญัติซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าประทานแก่โมเสสสำหรับอิสราเอล เจ้าก็จะประสบความสำเร็จ จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด อย่ากลัวหรืออย่าท้อแท้

14 “พ่อเพียรสะสมเพื่อพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า ได้ทองคำหนักประมาณ 3,450 ตัน[b] เงินหนักประมาณ 34,500 ตัน[c] เหล็กกับทองสัมฤทธิ์จำนวนมหาศาลเกินกว่าจะชั่งได้ พร้อมทั้งซุงกับหิน เจ้าอาจหาเพิ่มเติมอีกก็ได้ 15 เจ้ามีคนงานมากมายทั้งช่างสกัดหิน ช่างก่อ ช่างไม้ ช่างฝีมือทุกประเภท 16 ผู้ชำนาญงานทอง เงิน ทองสัมฤทธิ์ และเหล็ก บัดนี้จงเริ่มงาน ขอให้องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับลูก”

17 แล้วดาวิดบัญชาให้บรรดาผู้นำอิสราเอลช่วยเหลือโซโลมอนราชโอรสของพระองค์ 18 ดาวิดตรัสกับพวกเขาว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านสถิตกับท่านไม่ใช่หรือ? และทรงโปรดประทานความสงบรอบด้านแก่พวกท่านไม่ใช่หรือ? เพราะทรงให้ชนชาติทั้งหลายที่อยู่ในดินแดนนี้ก่อนเราพ่ายแพ้เรา และดินแดนนี้ก็ขึ้นต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าและต่อประชากรของพระองค์ 19 บัดนี้จงทุ่มเทจิตใจและจิตวิญญาณแสวงหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน จงเริ่มสร้างสถานนมัสการของพระเจ้าพระยาห์เวห์ เพื่อท่านจะนำหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าและเครื่องใช้อันบริสุทธิ์ต่างๆ เข้าสู่พระวิหาร ซึ่งจะสร้างขึ้นเพื่อพระนามของพระยาห์เวห์”

1 เปโตร 3

สามีภรรยา

ในทำนองเดียวกันภรรยาทั้งหลายจงยอมเชื่อฟังสามีของตน เพื่อว่าแม้สามีบางคนไม่เชื่อพระวจนะของพระเจ้า แต่ความประพฤติของภรรยาก็อาจชนะใจเขา ทำให้เขาหันกลับมาเชื่อโดยไม่ต้องเอ่ยปาก เมื่อเขาเห็นความบริสุทธิ์และความยำเกรงพระเจ้าในชีวิตของท่าน ความงามของท่านไม่ควรมาจากการตกแต่งภายนอกเช่น ถักผม สวมเครื่องทองและเสื้อผ้าสวยงาม แต่ให้ออกมาจากตัวตนภายใน คือความงามอันไม่รู้จางหายของจิตใจที่อ่อนโยนและสงบเยือกเย็น ซึ่งจิตใจเช่นนี้ทรงคุณค่ายิ่งนักในสายพระเนตรพระเจ้า เพราะนี่เป็นแนวทางที่สตรีผู้บริสุทธิ์ในอดีตซึ่งหวังใจในพระเจ้าเคยทำให้ตนเองงดงาม พวกนางยอมเชื่อฟังสามีของตน เหมือนนางซาราห์ผู้เชื่อฟังอับราฮัมและเรียกเขาว่านาย ถ้าท่านทำสิ่งที่ถูกต้องและไม่หวาดหวั่นสิ่งร้ายอันใด ท่านทั้งหลายก็เป็นลูกหลานของนางซาราห์

ในทำนองเดียวกันสามีทั้งหลายจงอยู่กับภรรยาด้วยความเห็นอกเห็นใจ จงให้เกียรติภรรยาในฐานะเป็นผู้ที่อ่อนแอกว่าและในฐานะทายาทผู้รับชีวิตซึ่งเป็นของประทานอันทรงพระคุณจากพระเจ้าร่วมกับท่าน เพื่อจะไม่มีสิ่งใดขัดขวางคำอธิษฐานของท่านทั้งสอง

ทนทุกข์เพราะการทำดี

สุดท้ายนี้ท่านทั้งปวงจงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน จงเห็นอกเห็นใจกัน จงรักกันฉันพี่น้อง จงมีใจอ่อนโยนและถ่อมสุภาพ อย่าทำชั่วตอบแทนการชั่ว อย่าด่าว่าผู้ที่ด่าว่าท่าน แต่จงให้พรเขาแทนเพราะพระเจ้าได้ทรงเรียกท่านให้ทำเช่นนี้ เพื่อท่านจะได้รับพระพรเป็นมรดก 10 เพราะ

“ผู้ใดรักชีวิต
และปรารถนาจะเห็นวันคืนอันผาสุก
ต้องรักษาลิ้นให้พ้นจากความชั่ว
รักษาริมฝีปากให้พ้นจากคำพูดหลอกลวง
11 เขาต้องหันจากความชั่วร้ายและทำความดี
เขาต้องใฝ่หาสันติภาพและมุ่งมั่นเพื่อให้ได้มา
12 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเฝ้าดูคนชอบธรรม
และทรงเงี่ยพระกรรณฟังคำอธิษฐานของพวกเขา
แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงหันพระพักตร์เข้าต่อต้านคนที่กระทำชั่ว”[a]

13 ถ้าท่านมุ่งมั่นทำดี ใครจะมาทำร้ายท่าน? 14 แต่ถึงแม้ท่านต้องทนทุกข์ทั้งๆ ที่ทำสิ่งที่ถูกต้อง ท่านก็ได้รับพระพร “อย่ากลัวสิ่งที่พวกเขากลัว[b] อย่าตกใจกลัวเลย”[c] 15 แต่ในใจของท่านจงเทิดทูนพระคริสต์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า จงเตรียมพร้อมเสมอที่จะตอบทุกคนซึ่งถามถึงเหตุผลที่ท่านมีความหวังใจเช่นนี้ แต่จงตอบอย่างสุภาพอ่อนโยนและให้เกียรติ 16 จงรักษาจิตสำนึกให้บริสุทธิ์ เพื่อผู้ที่กล่าวร้ายความประพฤติดีของท่านในพระคริสต์จะได้ละอายใจที่มาใส่ร้ายท่าน 17 เพราะหากเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าให้ท่านทนทุกข์เนื่องจากการทำดีก็ดีกว่าทนทุกข์เนื่องจากทำชั่ว 18 เพราะพระคริสต์สิ้นพระชนม์เพื่อลบล้างบาปเพียงครั้งเดียวเป็นพอ คือคนชอบธรรมตายเพื่อคนอธรรมเพื่อนำเราทั้งหลายไปถึงพระเจ้า พระองค์ทรงถูกประหารทางกาย แต่พระองค์ทรงเป็นขึ้นในพระวิญญาณ 19 ในสภาวะนั้น[d]พระองค์ยังได้เสด็จไปประกาศแก่วิญญาณทั้งหลายที่ถูกจองจำอยู่ด้วย 20 วิญญาณซึ่งในอดีตไม่เชื่อฟังเมื่อครั้งพระเจ้าทรงอดทนรอคอยในสมัยของโนอาห์ขณะที่เขาต่อเรือ ในเรือนี้มีคนเพียงไม่กี่คนคือแปดคนเท่านั้นที่พระเจ้าทรงใช้น้ำช่วยพวกเขาให้รอดชีวิต[e] 21 น้ำนี้เล็งถึงบัพติศมาซึ่งบัดนี้ช่วยท่านทั้งหลายให้รอดเช่นกัน บัพติศมาไม่ใช่เป็นการขจัดสิ่งสกปรกออกจากร่างกาย แต่เป็นการปฏิญาณต่อพระเจ้าว่าจะรักษาจิตสำนึกที่ดี บัพติศมาช่วยท่านให้รอดโดยการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์ 22 ผู้ได้เสด็จขึ้นสู่สวรรค์และบัดนี้ประทับที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าโดยมีเหล่าทูตสวรรค์ ผู้ทรงอำนาจ และผู้ทรงเดชานุภาพอยู่ใต้อำนาจของพระองค์

มีคาห์ 1

พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งมีมาถึงมีคาห์แห่งโมเรเชทในรัชกาลกษัตริย์โยธาม อาหัส และเฮเซคียาห์แห่งยูดาห์ ต่อไปนี้คือนิมิตที่มีคาห์เห็นเกี่ยวกับสะมาเรียและเยรูซาเล็ม

ประชาชาติทั้งสิ้นเอ๋ยจงฟังเถิด
โลกและทุกคนที่อยู่ในโลกจงฟัง
พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตจะเป็นพยานกล่าวโทษท่าน
องค์พระผู้เป็นเจ้าจากพระวิหารศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์

คำพิพากษาสะมาเรียและเยรูซาเล็ม

ดูเถิด! องค์พระผู้เป็นเจ้ากำลังเสด็จจากที่ประทับ
พระองค์เสด็จลงมาและทรงดำเนินอยู่บนเบื้องสูงของโลก
ภูเขาหลอมละลายใต้พระองค์
และหุบเขาต่างๆ แยกออก
เหมือนขี้ผึ้งถูกลนไฟ
และเหมือนน้ำถาโถมลงมาตามลาดเขา
ทั้งหมดนี้เนื่องมาจากการล่วงละเมิดของยาโคบ
เนื่องด้วยบาปทั้งหลายของพงศ์พันธุ์อิสราเอล
ยาโคบล่วงละเมิดอะไร?
ไม่ใช่สะมาเรียหรอกหรือ?
สถานบูชาบนที่สูงของยูดาห์นั้นคืออะไร?
ไม่ใช่เยรูซาเล็มหรอกหรือ?

“ฉะนั้นเราจะทำให้สะมาเรียกลายเป็นซากปรักหักพัง
เป็นที่ทำสวนองุ่น
เราจะเทหินที่ใช้สร้างเมืองนั้นลงในหุบเขา
และจะเผยฐานรากของเมืองนั้นออกมา
รูปเคารพทั้งปวงของสะมาเรียจะถูกทุบแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
เครื่องถวายทั้งปวงในวิหารของเมืองนั้นจะถูกไฟเผา
เราจะทำลายเทวรูปทั้งหมดของเมืองนั้น
เนื่องจากสะมาเรียรวบรวมเครื่องถวายมาจากค่าจ้างของโสเภณี
มันจะถูกใช้เป็นค่าจ้างโสเภณีอีก”

คร่ำครวญไว้อาลัย

ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจะร้องไห้คร่ำครวญ
จะเดินไปมาโดยเปลือยกายและเท้าเปล่า
ข้าพเจ้าจะร้องโหยหวนเหมือนหมาใน
และครวญครางเหมือนนกเค้าแมว
เพราะบาดแผลของสะมาเรียเยียวยาไม่ได้
และลามมาถึงยูดาห์แล้ว
มาถึงประตูเมืองของพี่น้องร่วมชาติของข้าพเจ้า
มาถึงเยรูซาเล็มเลยทีเดียว
10 อย่าบอกเรื่องนี้ในเมืองกัท[a]
อย่าร้องไห้เลย[b]
อย่าบอกในเบธโอฟราห์[c]
จงเกลือกตัวในฝุ่น
11 ท่านผู้อาศัยในชาฟีร์[d]เอ๋ย
จงผ่านไปอย่างตัวเปล่าเล่าเปลือยและอับอายขายหน้า
บรรดาผู้อาศัยในศาอานัน[e]
จะไม่ออกมา
เบธเอเซลกำลังทุกข์โศก
การปกป้องคุ้มครองถูกยกไปจากท่านแล้ว
12 บรรดาผู้อาศัยในมาโรท[f]ดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด
รอคอยการบรรเทาทุกข์
เพราะภัยพิบัติจากองค์พระผู้เป็นเจ้า
มาถึงประตูเยรูซาเล็มแล้ว
13 ท่านผู้อาศัยในลาคีช[g]
จงเทียมฝูงม้าเข้ากับรถม้าศึก
ท่านเป็นคนแรกที่นำธิดาแห่งศิโยน[h]
ให้ทำบาป
เพราะได้พบการล่วงละเมิดของอิสราเอล
ในท่าน
14 ฉะนั้นท่านจะให้ของขวัญอำลา
แก่โมเรเชทกัท
เมืองอัคซิบ[i]จะถูกจับได้ว่าหลอกลวง
บรรดากษัตริย์อิสราเอล
15 เราจะนำผู้พิชิตมาเหนือเจ้า
ผู้ซึ่งอาศัยในมาเรชาห์[j]
บรรดาผู้นำผู้ทรงเกียรติของอิสราเอล
จะหนีไปหลบที่อดุลลัม[k]
16 จงโกนผมไว้ทุกข์
ให้ลูกๆ ที่เจ้าชื่นใจ
จงโกนหัวให้ล้านเหมือนนกแร้ง
เพราะลูกๆ ของเจ้าจะถูกพรากไปเป็นเชลย

ลูกา 10

พระเยซูทรงส่งสาวก 72 คนออกไป(A)

10 หลังจากนี้พระเยซูทรงตั้งสาวกอีก 72 คน[a]ให้เขาออกไปเป็นคู่ๆ ล่วงหน้าพระองค์ไปยังทุกเมืองและทุกแห่งที่พระองค์จะเสด็จ พระองค์ตรัสกับเขาว่า “งานเก็บเกี่ยวมีมากแต่คนงานมีน้อยนัก เหตุฉะนั้นจงทูลขอต่อพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าแห่งการเก็บเกี่ยวให้ส่งคนงานมายังทุ่งแห่งการเก็บเกี่ยวของพระองค์ ไปเถิด! เราส่งท่านออกไปเหมือนลูกแกะท่ามกลางสุนัขป่า อย่าเอาถุงใส่เงิน หรือย่าม หรือรองเท้าไป และไม่ต้องแวะทักทายใครระหว่างทาง

“เมื่อท่านเข้าไปในบ้านใด ก่อนอื่นจงพูดว่า ‘สันติสุขจงมีแก่บ้านนี้’ ถ้าผู้รักสันติอยู่ที่นั่น สันติสุขของท่านก็ดำรงอยู่กับเขา ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น สันติสุขก็กลับคืนมาสู่ท่าน จงพักอยู่ที่บ้านนั้นและดื่มกินสิ่งที่เขาจัดมาให้ท่าน เพราะคนงานสมควรได้รับค่าจ้างของตน อย่าเที่ยวย้ายจากบ้านนี้ไปบ้านนั้น

“เมื่อท่านเข้าไปในเมืองใดและได้รับการต้อนรับ จงกินสิ่งที่เขาจัดให้ท่าน จงรักษาคนเจ็บป่วยที่นั่นและบอกพวกเขาว่า ‘อาณาจักรของพระเจ้าอยู่ใกล้พวกท่านแล้ว’ 10 แต่เมื่อไปยังเมืองใดที่ไม่มีใครต้อนรับ จงไปที่กลางถนนและกล่าวว่า 11 ‘แม้แต่ฝุ่นของเมืองของท่านซึ่งติดอยู่ที่เท้าของเรา เรายังเช็ดออกเป็นการกล่าวโทษท่าน แต่กระนั้นจงแน่ใจในข้อนี้ คืออาณาจักรของพระเจ้าอยู่ใกล้แล้ว’ 12 เราบอกท่านว่า ในวันนั้นโทษของเมืองโสโดมจะเบากว่าโทษของเมืองนั้น”

13 “วิบัติแก่เจ้า เมืองโคราซิน! วิบัติแก่เจ้า เมืองเบธไซดา! เพราะหากการอัศจรรย์ที่ทำในเมืองของเจ้าได้ทำในเมืองไทระและเมืองไซดอน พวกเขาคงนุ่งห่มผ้ากระสอบนั่งจมกองขี้เถ้าและกลับใจใหม่นานแล้ว 14 แต่ในวันพิพากษา โทษของเมืองไทระและเมืองไซดอนจะเบากว่าโทษของเจ้า 15 ส่วนเจ้า เมืองคาเปอรนาอุม เจ้าจะถูกยกขึ้นเทียมฟ้าหรือ? ไม่เลย เจ้าจะต้องลงไปในเหวลึก[b]ต่างหาก

16 “ผู้ที่ฟังพวกท่านก็ฟังเรา ผู้ที่ไม่ยอมรับพวกท่าน ก็ไม่ยอมรับเรา ผู้ที่ไม่ยอมรับเรา ก็ไม่ยอมรับพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา”

17 สาวกทั้ง 72 คนกลับมาด้วยความยินดีและทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า โดยพระนามพระองค์ แม้แต่ผีก็สยบต่อพวกข้าพระองค์”

18 พระเยซูตรัสตอบว่า “เราเห็นซาตานตกจากฟ้าสวรรค์เหมือนฟ้าแลบ 19 เราให้สิทธิอำนาจแก่พวกท่านที่จะเหยียบงูร้ายและแมงป่อง และที่จะพิชิตฤทธิ์อำนาจทั้งปวงของศัตรู ไม่มีสิ่งใดจะทำอันตรายพวกท่านได้ 20 อย่างไรก็ตาม อย่าชื่นชมยินดีที่วิญญาณต่างๆ ยอมสยบให้พวกท่าน แต่จงชื่นชมยินดีที่ชื่อของพวกท่านถูกจดไว้ในสวรรค์”

21 ขณะนั้นพระเยซูทรงเปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดีโดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ และตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดา องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ข้าพระองค์สรรเสริญพระองค์ เพราะพระองค์ทรงปิดบังสิ่งเหล่านี้จากคนฉลาดและผู้รู้ และทรงเปิดเผยแก่บรรดาเด็กเล็กๆ ข้าแต่พระบิดา เพราะพระองค์ทรงเห็นชอบเช่นนั้น”

22 “พระบิดาของเราทรงมอบสิ่งทั้งปวงแก่เรา ไม่มีใครรู้ว่าพระบุตรเป็นใครนอกจากพระบิดา และไม่มีใครรู้ว่าพระบิดาเป็นใครนอกจากพระบุตรกับบรรดาผู้ที่พระบุตรทรงเลือกที่จะเปิดเผยพระบิดาแก่เขา”

23 จากนั้นพระองค์ทรงหันมาทางเหล่าสาวกและตรัสกับพวกเขาเป็นการส่วนพระองค์ว่า “ความสุขมีแก่ดวงตาทั้งหลาย ซึ่งได้เห็นสิ่งที่พวกท่านเห็น 24 เพราะเราบอกพวกท่านว่า ผู้เผยพระวจนะมากมายและกษัตริย์หลายองค์ปรารถนาจะเห็นสิ่งที่พวกท่านเห็น แต่ไม่ได้เห็น และอยากได้ยินสิ่งที่พวกท่านได้ยินแต่ไม่ได้ยิน”

คำอุปมาเรื่องชาวสะมาเรียใจดี(B)

25 ครั้งหนึ่งมีผู้เชี่ยวชาญทางบทบัญญัติคนหนึ่งยืนขึ้นทดสอบพระเยซู โดยทูลถามว่า “ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าต้องทำอย่างไรจึงจะได้ชีวิตนิรันดร์?”

26 พระองค์ตรัสว่า “หนังสือบทบัญญัติเขียนไว้ว่าอย่างไร? ท่านอ่านได้ว่าอย่างไร?”

27 เขาทูลว่า “ ‘จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านอย่างสุดใจ สุดจิต สุดกำลัง และสุดความคิดของท่าน’[c]และ ‘จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง’[d]

28 พระเยซูตรัสว่า “ท่านตอบถูกแล้ว จงไปทำเช่นนั้น แล้วท่านจะได้ชีวิต”

29 แต่คนนั้นอยากจะพิสูจน์ว่าตนเองถูกต้อง จึงทูลถามพระเยซูว่า “แล้วใครคือเพื่อนบ้านของข้าพเจ้า?”

30 พระเยซูตรัสตอบว่า “ชายคนหนึ่งถูกโจรปล้นระหว่างเดินทางจากกรุงเยรูซาเล็มไปเมืองเยรีโค พวกโจรชิงเอาเสื้อผ้าจากตัวเขา ทุบตีเขาปางตายแล้วจากไป 31 ปุโรหิตคนหนึ่งบังเอิญผ่านมาทางนั้น เมื่อเห็นชายคนนั้นก็เลี่ยงไปอีกฟากหนึ่ง 32 คนเลวีก็เช่นกัน เมื่อมาถึงที่นั่นและเห็นเขา ก็เลี่ยงไปอีกฟากหนึ่ง 33 แต่ชาวสะมาเรียคนหนึ่งเดินทางมาถึงที่ที่คนนั้นอยู่ เมื่อเห็นเขาก็สงสาร 34 เขาเข้าไป แล้วเอาเหล้าองุ่นกับน้ำมันเทใส่แผลและพันแผลให้ แล้วประคองชายผู้นั้นขึ้นขี่ลาของตน พามาที่โรงแรม และดูแลเขา 35 วันรุ่งขึ้นเขามอบเหรียญเงินสองเหรียญ[e]ให้ผู้ดูแลโรงแรม พร้อมกับกล่าวว่า ‘ช่วยดูแลเขาด้วย และเมื่อข้าพเจ้ากลับมาจะคืนค่าใช้จ่ายส่วนที่เกินกว่านี้ให้’

36 “ท่านคิดว่าในสามคนนี้ คนไหนคือเพื่อนบ้านของชายที่ถูกโจรปล้น?”

37 ผู้เชี่ยวชาญทางบทบัญญัติทูลตอบว่า “คนที่เมตตาเขา” พระเยซูตรัสกับเขาว่า “จงไปทำเช่นเดียวกัน”

ที่บ้านของมารธากับมารีย์

38 ในระหว่างการเดินทาง พระเยซูกับเหล่าสาวกมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ที่นั่นมีผู้หญิงชื่อมารธา เปิดบ้านของนางต้อนรับพระองค์ 39 มารีย์น้องสาวของมารธานั่งอยู่แทบพระบาทขององค์พระผู้เป็นเจ้า และฟังคำตรัสของพระองค์ 40 ฝ่ายมารธาวุ่นอยู่กับการตระเตรียมสิ่งทั้งปวงที่ต้องทำ นางมาทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ไม่ทรงห่วงใยบ้างหรือที่น้องสาวปล่อยให้ข้าพระองค์ทำงานอยู่คนเดียว โปรดบอกให้นางมาช่วยข้าพระองค์เถิด!”

41 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบว่า “มารธา มารธาเอ๋ย เธอว้าวุ่นกังวลในหลายสิ่งนัก 42 แต่มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่จำเป็น[f] มารีย์ได้เลือกสิ่งที่ดีกว่า และไม่มีใครจะเอาสิ่งนั้นไปจากนางได้”

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.