Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
1 พงศ์กษัตริย์ 13

คนของพระเจ้าจากยูดาห์

13 โดยพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า คนของพระเจ้าคนหนึ่งจากยูดาห์มายังเบธเอล ขณะที่เยโรโบอัมทรงยืนอยู่ข้างแท่นบูชาเพื่อถวายเครื่องบูชา คนของพระเจ้านั้นร้องออกมาโดยพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าเกี่ยวกับแท่นบูชาว่า “แท่นบูชา แท่นบูชาเอ๋ย! องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘บุตรคนหนึ่งนามโยสิยาห์จะถือกำเนิดในวงศ์วานของดาวิด เขาผู้นั้นจะเผาบรรดาปุโรหิตของสถานบูชาบนที่สูงทั้งหลายผู้ซึ่งบัดนี้ถวายเครื่องบูชาที่นี่ และกระดูกมนุษย์จะถูกนำมาเผาบนเจ้า’ ” ในวันเดียวกันนั้นคนของพระเจ้าก็ให้หมายสำคัญว่า “นี่คือหมายสำคัญที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประกาศไว้ แท่นนี้จะแยกออก และเถ้าถ่านบนแท่นนี้จะถูกเทออก”

เมื่อกษัตริย์เยโรโบอัมทรงได้ยินถ้อยคำที่คนของพระเจ้าประกาศเกี่ยวกับแท่นบูชาที่เบธเอล ก็ยื่นพระหัตถ์ออกมาจากแท่นและตรัสว่า “จับชายคนนี้ไว้!” แต่พระหัตถ์ของกษัตริย์กลายเป็นอัมพาตแข็งอยู่ในท่านั้น ไม่สามารถชักพระหัตถ์กลับคืนดังเดิม แล้วแท่นบูชาก็แยกจากกัน เถ้าถ่านร่วงลงมา สำเร็จตามหมายสำคัญที่คนของพระเจ้าให้ไว้โดยพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า

กษัตริย์ตรัสกับคนของพระเจ้าว่า “ช่วยอธิษฐานวิงวอนพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ให้มือของเรากลับคืนสภาพปกติด้วยเถิด” คนของพระเจ้าจึงอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อกษัตริย์ แล้วพระหัตถ์ของกษัตริย์ก็กลับเป็นปกติ

จากนั้นกษัตริย์ตรัสกับคนของพระเจ้าว่า “มาที่วังกับเราเถิด มารับประทานอะไรด้วยกัน แล้วเราจะให้รางวัลท่าน”

แต่คนของพระเจ้าทูลกษัตริย์ว่า “แม้ฝ่าพระบาทจะประทานราชสมบัติให้ครึ่งหนึ่ง ข้าพระบาทก็จะไม่ไปกับฝ่าพระบาท ทั้งจะไม่รับประทานอาหารหรือดื่มน้ำในสถานที่นี้ เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสบัญชาข้าพเจ้าว่า ‘ห้ามรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำ หรือกลับไปตามเส้นทางที่มา’” 10 แล้วเขาจึงกลับไปอีกทางหนึ่ง ไม่ใช่เส้นทางเดียวกับที่มายังเบธเอล

11 มีผู้เผยพระวจนะชราผู้หนึ่งอาศัยอยู่ในเบธเอล ลูกๆ ของเขากลับมาบ้านและเล่าทุกสิ่งที่คนของพระเจ้าได้ทำที่เบธเอลในวันนั้น และสิ่งที่เขาทูลกษัตริย์ 12 บิดาของพวกเขาถามว่า “เขาไปทางไหน?” ลูกๆ จึงบอกเส้นทางที่คนของพระเจ้าจากยูดาห์เดินทางไป 13 ดังนั้นเขาจึงบอกลูกๆ ว่า “ผูกอานลาให้ที” และเมื่อพวกลูกๆ ผูกอานลาให้เสร็จแล้ว เขาก็ขี่ไป 14 และตามคนของพระเจ้าไปทันขณะที่เขานั่งอยู่ใต้ต้นโอ๊ก จึงเข้าไปถามว่า “ท่านคือคนของพระเจ้าที่มาจากยูดาห์หรือ?”

เขาตอบว่า “ถูกแล้ว”

15 ผู้เผยพระวจนะชราจึงพูดกับเขาว่า “เชิญมารับประทานอาหารกับข้าพเจ้าที่บ้าน”

16 คนของพระเจ้าตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่อาจกลับไปกับท่าน หรือกินดื่มกับท่านที่นี่ 17 พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าสั่งห้ามว่า ‘เจ้าจงอย่ารับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่นั่น และอย่ากลับไปเส้นทางเดิม’ ”

18 แต่ผู้เผยพระวจนะชรานั้นตอบว่า “เราก็เป็นผู้เผยพระวจนะเหมือนกัน และทูตสวรรค์องค์หนึ่งแจ้งพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าแก่เราว่า ‘ให้พาเขากลับมาที่บ้านของเจ้าเพื่อเขาจะได้รับประทานอาหารและดื่มน้ำ’” (แต่ผู้เผยพระวจนะชราโกหกเขา) 19 ดังนั้นคนของพระเจ้าจึงกลับไปกับผู้เผยพระวจนะชราและกินดื่มในบ้านของเขา

20 ขณะที่ทั้งสองนั่งอยู่ที่โต๊ะ มีพระดำรัสจากองค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงผู้เผยพระวจนะชราซึ่งพาเขากลับมา 21 เขาก็กล่าวกับคนของพระเจ้าซึ่งมาจากยูดาห์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘เจ้าได้ฝ่าฝืนคำตรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าและไม่ทำตามพระบัญชาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า 22 เจ้ากลับมากินดื่มในสถานที่ซึ่งพระองค์ตรัสห้ามไว้ ฉะนั้นร่างของเจ้าจะไม่ได้ถูกฝังในอุโมงค์ของบรรพบุรุษ’ ”

23 เมื่อคนของพระเจ้ากินดื่มเสร็จแล้ว ผู้เผยพระวจนะซึ่งพาเขากลับมาก็ส่งเขาขึ้นลากลับไป 24 ระหว่างทางมีสิงโตออกมาฆ่าเขา ร่างของเขาถูกทิ้งไว้กลางทาง มีลาและสิงโตยืนอยู่ข้างๆ 25 คนที่ผ่านไปมาเห็นศพทิ้งอยู่กลางทาง มีสิงโตยืนอยู่ข้างๆ ก็ไปแจ้งข่าวในเมืองซึ่งผู้เผยพระวจนะชราอาศัยอยู่

26 เมื่อผู้เผยพระวจนะที่พาเขากลับมาได้ยินเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็กล่าวว่า “นี่แหละคนของพระเจ้าที่ฝ่าฝืนพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงให้สิงโตมาฉีกทึ้งเขาจนสิ้นชีวิตตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเตือนไว้”

27 จากนั้นเขาก็สั่งลูกๆ ว่า “ผูกอานลาให้ที” พวกลูกๆ ก็ปฏิบัติตาม 28 เขามาพบร่างที่ถูกทิ้งอยู่กลางทาง ลาและสิงโตยังยืนอยู่ข้างๆ สิงโตไม่ได้กินร่างนั้น ทั้งไม่ได้ฉีกทึ้งลา 29 ผู้เผยพระวจนะจึงเอาร่างคนของพระเจ้าพาดบนลาตัวนั้น และนำกลับมายังเมืองของตน เพื่อไว้อาลัยและฝัง 30 เขาวางศพไว้ในอุโมงค์ฝังศพที่เตรียมไว้สำหรับเขาเองและคร่ำครวญว่า “อนิจจา น้องชายเอ๋ย!”

31 หลังจากฝังศพแล้ว เขากล่าวกับลูกๆ ว่า “เมื่อพ่อตาย จงฝังพ่อไว้ในอุโมงค์ฝังศพเดียวกับที่ฝังคนของพระเจ้า ให้กระดูกของพ่ออยู่เคียงข้างกระดูกของเขา 32 เพราะถ้อยคำที่เขาประกาศไว้โดยพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าเกี่ยวกับแท่นบูชาในเบธเอลและสถานบูชาบนที่สูงทั้งหลายในเมืองต่างๆ ของสะมาเรียจะเป็นจริงอย่างแน่นอน”

33 ถึงเพียงนี้แล้วเยโรโบอัมก็ยังไม่ทรงหันเหจากวิถีอันชั่วร้ายของพระองค์ กลับตั้งปุโรหิตจากคนทุกประเภทสำหรับสถานบูชาบนที่สูงทั้งหลาย ใครที่อยากเป็นปุโรหิตก็ทรงแต่งตั้งสำหรับสถานบูชาบนที่สูงเหล่านั้น 34 นี่เป็นบาปของราชวงศ์เยโรโบอัม ซึ่งนำราชวงศ์ไปสู่ความเสื่อมถอยและล่มสลายไปจากแผ่นดินโลก

ฟีลิปปี 4

ฉะนั้นพี่น้องทั้งหลายผู้ซึ่งข้าพเจ้ารักและอาลัยหา ผู้เป็นความชื่นชมยินดีและเป็นมงกุฎของข้าพเจ้า เพื่อนที่รัก ท่านควรจะยืนหยัดมั่นคงในองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างนั้น!

ตักเตือน

ข้าพเจ้าขอวิงวอนนางยูโอเดียและนางสินทิเคให้ปรองดองกันในองค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าขอร้องท่านผู้เป็นเพื่อนร่วมแบกภาระที่สัตย์ซื่อของข้าพเจ้าให้ช่วยหญิงเหล่านี้ผู้ร่วมฝ่าฟันเพื่อข่าวประเสริฐเคียงข้างข้าพเจ้า พร้อมทั้งเคลเมนท์กับเพื่อนร่วมงานอื่นๆ ของข้าพเจ้า คนเหล่านี้มีชื่ออยู่ในหนังสือแห่งชีวิตแล้ว

จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าเสมอ ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่าจงชื่นชมยินดีเถิด! ให้ความสุภาพอ่อนโยนของท่านเป็นที่ประจักษ์แก่คนทั้งปวง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้แล้ว อย่ากระวนกระวายในเรื่องใดๆ เลย แต่จงทูลขอทุกสิ่งต่อพระเจ้าด้วยการอธิษฐานและการอ้อนวอนพร้อมกับการขอบพระคุณ แล้วสันติสุขของพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจจะปกป้องความคิดจิตใจของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์

สุดท้ายนี้พี่น้องทั้งหลาย จงใคร่ครวญถึงสิ่งที่เลอเลิศหรือสิ่งที่ควรสรรเสริญคือ สิ่งที่จริง สิ่งที่น่านับถือ สิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่บริสุทธิ์ สิ่งที่น่ารัก สิ่งที่น่ายกย่อง ทุกสิ่งที่ท่านได้เรียนรู้ ได้รับ ได้ยินจากข้าพเจ้า หรือได้เห็นจากข้าพเจ้า จงนำไปปฏิบัติและพระเจ้าแห่งสันติสุขจะสถิตกับท่าน

ขอบคุณสำหรับของฝากจากพี่น้องชาวฟีลิปปี

10 ข้าพเจ้าชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้ายิ่งนักเนื่องจากในที่สุดพวกท่านก็กลับมาห่วงใยข้าพเจ้าอีกครั้ง อันที่จริงท่านห่วงใยข้าพเจ้ามาตลอด แต่ไม่มีโอกาสที่จะแสดงออก 11 ข้าพเจ้าพูดอย่างนี้ไม่ใช่เพราะกำลังขัดสน เพราะข้าพเจ้าเรียนรู้ที่จะพอใจในสิ่งที่ตนมีไม่ว่าสภาพการณ์จะเป็นเช่นไร 12 ข้าพเจ้ารู้ว่ายามขาดแคลนเป็นอย่างไร และรู้ว่ายามมีเหลือเฟือเป็นอย่างไร ข้าพเจ้ารู้จักเคล็ดลับที่จะพอใจกับสิ่งที่ตนมีในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะอิ่มหนำหรือหิวโหย มั่งมีหรือขัดสน 13 ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งได้โดยพระองค์ผู้ประทานกำลังแก่ข้าพเจ้า

14 กระนั้นก็เป็นความกรุณาของท่านที่ได้แบ่งปันให้ในยามที่ข้าพเจ้าเดือดร้อน 15 ยิ่งกว่านั้นตามที่พวกท่านชาวฟีลิปปีทราบอยู่ว่า ในตอนที่ท่านเพิ่งรู้จักข่าวประเสริฐ เมื่อข้าพเจ้าออกเดินทางต่อจากแคว้นมาซิโดเนีย ไม่มีคริสตจักรไหนมีส่วนร่วมในรายรับรายจ่ายของข้าพเจ้าเลย มีแต่พวกท่านเท่านั้น 16 แม้เมื่อข้าพเจ้าอยู่ในเมืองเธสะโลนิกา ท่านก็ยังส่งความช่วยเหลือมาให้ข้าพเจ้าในยามขัดสนครั้งแล้วครั้งเล่า 17 ไม่ใช่ว่าข้าพเจ้าอยากได้ของกำนัล แต่ข้าพเจ้าอยากให้ตัวเลขในบัญชีของท่านเพิ่มขึ้น 18 ข้าพเจ้าได้รับครบถ้วน ที่จริงได้มากเกินพอเสียด้วยซ้ำ บัดนี้ข้าพเจ้าได้รับของที่ท่านฝากมากับเอปาโฟรดิทัสแล้ว พวกท่านจัดหาให้ข้าพเจ้าอย่างเหลือเฟือ สิ่งเหล่านี้เป็นของถวายอันหอมหวล เป็นเครื่องบูชาที่พระเจ้าทรงรับและพอพระทัย 19 และพระเจ้าของข้าพเจ้าจะประทานสิ่งที่จำเป็นทุกอย่างแก่ท่านจากความมั่งคั่งอันเลอเลิศของพระองค์ในพระเยซูคริสต์

20 ขอพระเกียรติสิริมีแด่พระเจ้าพระบิดาของเราสืบๆ ไปเป็นนิตย์ อาเมน

คำลงท้าย

21 ข้าพเจ้าขอฝากความคิดถึงมายังประชากรทุกคนของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ บรรดาพี่น้องที่อยู่กับข้าพเจ้าก็ฝากความคิดถึงมายังท่าน 22 ประชากรทุกคนของพระเจ้าโดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในราชสำนักของซีซาร์ ฝากความคิดถึงมายังพวกท่านด้วย

23 ขอพระคุณองค์พระเยซูคริสต์เจ้าดำรงอยู่กับวิญญาณจิตของท่านทั้งหลายเถิด อาเมน[a]

เอเสเคียล 43

พระเกียรติสิริกลับคืนสู่พระวิหาร

43 แล้วชายผู้นั้นนำข้าพเจ้ามายังประตูซึ่งหันไปทางตะวันออก และข้าพเจ้าเห็นพระเกียรติสิริของพระเจ้าแห่งอิสราเอลมาจากทางตะวันออก พระสุรเสียงของพระองค์เหมือนเสียงกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก และแผ่นดินก็เจิดจ้าด้วยพระเกียรติสิริของพระองค์ นิมิตที่ข้าพเจ้าเห็นนี้เหมือนกับนิมิตที่ข้าพเจ้าเห็นในคราวที่พระองค์เสด็จมาทำลายกรุงนั้น และเหมือนนิมิตที่ข้าพเจ้าเห็นริมแม่น้ำเคบาร์ ข้าพเจ้าจึงหมอบกายซบหน้าลงกับพื้น พระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าเข้าสู่พระวิหารทางประตูด้านตะวันออก แล้วพระวิญญาณทรงยกข้าพเจ้าขึ้น นำข้าพเจ้ามาที่ลานชั้นใน และพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าปกคลุมทั่วพระวิหาร

ขณะที่เขาผู้นั้นยืนอยู่ข้างข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้ยินผู้หนึ่งตรัสกับข้าพเจ้าดังมาจากภายในพระวิหาร พระองค์ตรัสว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย บัลลังก์และแท่นวางเท้าของเราอยู่ที่นี่ นี่คือที่ซึ่งเราจะสถิตอยู่ท่ามกลางชนชาติอิสราเอลตลอดไป พงศ์พันธุ์อิสราเอล ไม่ว่าประชาชนหรือกษัตริย์จะไม่ทำให้นามอันบริสุทธิ์ของเราแปดเปื้อนมลทินอีก โดยการนอกใจ[a]และกราบไหว้รูปเคารพ[b]อันไร้ชีวิตของกษัตริย์ของเขาที่สถานบูชาบนที่สูงทั้งหลาย เมื่อพวกเขาวางธรณีประตูถัดจากธรณีประตูของเรา และประตูถัดจากประตูของเรา มีเพียงผนังซึ่งกั้นระหว่างเรากับเขา เขาก็ทำให้นามอันบริสุทธิ์ของเราเป็นมลทินโดยการกระทำอันน่าชิงชัง ฉะนั้นเราจึงทำลายเขาด้วยความโกรธ บัดนี้ให้เขากำจัดการนอกใจและรูปเคารพอันไร้ชีวิตของเหล่ากษัตริย์ของพวกเขาไปจากเรา แล้วเราจะอยู่ท่ามกลางพวกเขาตลอดไป

10 “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงกล่าวถึงพระวิหารให้ประชาชนอิสราเอลฟัง เพื่อเขาจะละอายใจในบาปของตน ให้เขาพิจารณาแผนผังของพระวิหาร 11 และหากเขาละอายใจในสิ่งทั้งปวงที่ทำไปแล้ว ก็จงแจ้งแผนผังพระวิหาร การจัดเตรียมทางเข้าออก แผนผังทั้งหมด ตลอดจนกฎเกณฑ์[c]และบทบัญญัติต่างๆ จงบันทึกสิ่งเหล่านี้ไว้ต่อหน้าเขา เพื่อเขาจะทำตามแผนผังและปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ทั้งปวง

12 “นี่เป็นกฎเรื่องพระวิหาร คืออาณาบริเวณโดยรอบบนยอดเขาจะเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด นั่นเป็นกฎของพระวิหาร

แท่นบูชา

13 “นี่เป็นขนาดของแท่นบูชา วัดเป็นหน่วย หน่วยหนึ่งเท่ากับ 1 ศอก[d]กับ 1 ฝ่ามือ[e] ร่องของแท่นบูชานั้นลึก 1 ศอก และกว้าง 1 ศอก ที่ขอบมีริมหนา 1 คืบ[f] ความสูงของแท่นมีดังนี้ 14 จากฐานที่พื้นมาถึงคิ้วล่างของแท่นสูง 2 ศอก กว้าง 1 ศอก[g] และจากคิ้วที่เล็กกว่าขึ้นถึงคิ้วที่ใหญ่กว่าสูง 4 ศอก กว้าง 1 ศอก[h] 15 เตาของแท่นบูชาสูง 4 ศอก[i] และเชิงงอนทั้งสี่ยื่นขึ้นมาจากเตา 16 เตาของแท่นบูชาเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้างยาวด้านละ 12 ศอก[j] 17 คิ้วบนก็เป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้างยาวด้านละ 14 ศอก[k] ยกริมรอบหนาครึ่งศอก[l]และมีร่องขนาด 1 ศอกโดยรอบ บันไดแท่นบูชาหันไปทางตะวันออก”

18 แล้วเขากล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสดังนี้ว่า ต่อไปนี้คือกฎเกณฑ์เรื่องการถวายเครื่องเผาบูชาและการประพรมเลือดเหนือแท่นในวันที่สร้างเสร็จ 19 เจ้าจงมอบวัวหนุ่มเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปแก่ปุโรหิตชาวเลวีในครอบครัวของศาโดกผู้เข้ามาปฏิบัติงานใกล้ชิดต่อหน้าเรา พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตประกาศดังนี้ 20 เจ้าจงเอาเลือดบางส่วนทาที่เชิงงอนทั้งสี่ของแท่นบูชาและที่มุมทั้งสี่ของคิ้วบนและริมโดยรอบ เป็นการชำระแท่นบูชาและลบมลทินแท่นนั้น 21 เจ้าจงใช้วัวหนุ่มเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปและเผาในที่ซึ่งกำหนดไว้ในบริเวณพระวิหารนอกสถานนมัสการ

22 “ในวันที่สอง เจ้าจงถวายแพะผู้ที่ไม่มีตำหนิเพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป และจงชำระแท่นเหมือนเมื่อชำระโดยใช้วัวผู้ 23 เมื่อเจ้าชำระแท่นนั้นเสร็จแล้ว จงถวายวัวหนุ่มหนึ่งตัวและแกะผู้คัดจากฝูงหนึ่งตัว ทั้งวัวและแกะผู้ต้องไม่มีตำหนิ 24 เจ้าจงถวายสัตว์ทั้งสองต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า และปุโรหิตจะเหยาะเกลือบนวัวและแกะผู้ถวายเป็นเครื่องเผาบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า

25 “ตลอดเจ็ดวัน เจ้าจงถวายแพะผู้วันละตัวเพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป และจงเตรียมวัวหนุ่มหนึ่งตัวและแกะผู้คัดจากฝูงหนึ่งตัวด้วย สัตว์เหล่านี้ต้องไม่มีตำหนิ 26 ตลอดเจ็ดวันพวกเขาต้องลบมลทินและชำระให้สะอาดเพื่อเป็นการถวายแท่นนั้น 27 เมื่อครบเจ็ดวันแล้ว ตั้งแต่วันที่แปดเป็นต้นไป ปุโรหิตต้องนำเครื่องเผาบูชาและเครื่องสันติบูชาของเจ้ามาถวายบนแท่นบูชา แล้วเราจะยอมรับพวกเจ้า พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตประกาศดังนั้น”

สดุดี 95-96

95 มาเถิด ให้เราร้องเพลงรื่นเริงถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า
ให้เราโห่ร้องแด่พระศิลาแห่งความรอดของเรา
ให้เรามาเข้าเฝ้าต่อหน้าพระองค์ด้วยการขอบพระคุณ
ให้เราโห่ร้องสดุดีพระองค์ด้วยดนตรีและบทเพลง

เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระเจ้ายิ่งใหญ่
เป็นกษัตริย์ยิ่งใหญ่เหนือทวยเทพทั้งมวล
ห้วงลึกแห่งแผ่นดินโลกอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์
ยอดเขาทั้งหลายเป็นของพระองค์
ท้องทะเลเป็นของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสร้างขึ้น
และพระหัตถ์ของพระองค์ทรงปั้นแผ่นดิน

มาเถิด ให้เรากราบนมัสการและหมอบคำนับ
ให้เราคุกเข่าต่อหน้าพระยาห์เวห์พระผู้สร้างของเรา
เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของเรา
เราเป็นประชากรที่พระองค์ทรงเลี้ยงดูในทุ่งหญ้าของพระองค์
เป็นฝูงแกะที่พระองค์ทรงอุ้มชูด้วยพระหัตถ์ของพระองค์

วันนี้หากท่านได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์
อย่าทำใจแข็งกระด้างเหมือนที่เมรีบาห์[a]
เหมือนที่มัสสา[b]ในถิ่นกันดาร
ที่ซึ่งบรรพบุรุษของพวกเจ้าได้ทดลองเรา
พวกเขาลองดีกับเราทั้งๆ ที่พวกเขาได้เห็นสิ่งต่างๆ ที่เราทำ
10 ตลอดสี่สิบปีเราโกรธคนในชั่วอายุนั้น
และเรากล่าวว่า “พวกเขาเป็นชนชาติที่ใจหลงเตลิด
และพวกเขาไม่รู้จักวิถีทางของเรา”
11 ดังนั้นเราจึงสาบานด้วยความโกรธของเราว่า
“พวกเขาจะไม่มีวันได้เข้าสู่การพักสงบของเรา”

96 (A)จงร้องเพลงบทใหม่ถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า
จงร้องเพลงถวายองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด โลกทั้งโลกเอ๋ย
จงร้องเพลงถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า สรรเสริญพระนามของพระองค์
จงประกาศความรอดของพระองค์ทุกๆ วัน
จงประกาศพระเกียรติสิริของพระองค์ท่ามกลางประชาชาติทั้งหลาย
ประกาศพระราชกิจล้ำเลิศของพระองค์ท่ามกลางชนชาติทั้งมวล

เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงยิ่งใหญ่นัก และควรแก่การสรรเสริญเป็นที่สุด
พระองค์ทรงเป็นที่เคารพยำเกรงเหนือพระทั้งปวง
เพราะพระของชนชาติต่างๆ เป็นเพียงรูปเคารพ
แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างฟ้าสวรรค์
สง่าราศีและพระบารมีอยู่ต่อหน้าพระองค์
พระเดชานุภาพและพระเกียรติสิริอยู่ในสถานนมัสการของพระองค์

ทุกครอบครัวในชนชาติทั้งหลายเอ๋ย จงเทิดทูนองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด
จงเทิดทูนองค์พระผู้เป็นเจ้าถึงพระเกียรติสิริและพระเดชานุภาพของพระองค์
จงเทิดทูนองค์พระผู้เป็นเจ้าตามพระเกียรติสิริที่ควรแก่พระนามของพระองค์
จงนำเครื่องบูชาเข้ามายังพระนิเวศของพระองค์
จงนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าในสง่าราศีแห่งความบริสุทธิ์ของพระองค์[c]
โลกทั้งโลกจงสั่นสะท้านต่อหน้าพระองค์
10 จงกล่าวท่ามกลางประชาชาติทั้งหลายว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงครอบครอง”
โลกได้รับการสถาปนาไว้อย่างมั่นคง จะไม่มีวันคลอนแคลน
พระองค์จะทรงพิพากษาชนชาติทั้งหลายอย่างยุติธรรม

11 ฟ้าสวรรค์จงชื่นชมยินดี แผ่นดินโลกจงเปรมปรีดิ์
ท้องทะเลและสรรพสิ่งในนั้นจงแซ่ซ้องกังวาล
12 ท้องทุ่งและทุกสิ่งในนั้นจงร่าเริง
แล้วต้นไม้ในป่าจะร้องเพลง
13 พวกมันจะขับร้องต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะพระองค์เสด็จมา
พระองค์เสด็จมาเพื่อพิพากษาแผ่นดินโลก
พระองค์จะทรงพิพากษาโลกด้วยความชอบธรรม
และพิพากษาชนชาติต่างๆ ด้วยความจริงของพระองค์

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.