M’Cheyne Bible Reading Plan
ดาวิดสั่งเสียกับซาโลมอน
2 เมื่อถึงเวลาที่ดาวิดใกล้จะตาย เขาได้สั่งเสียกับซาโลมอนลูกชายเขาว่า 2 “พ่อกำลังจะไปตามทางที่คนทั้งโลกต้องไปกัน ดังนั้น ให้เข้มแข็งและกล้าหาญไว้เถิด 3 และให้ทำตามสิ่งที่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของเจ้าสั่งไว้ ให้เดินตามวิถีทางทั้งหลายของพระองค์ ให้รักษาข้อบังคับทั้งหลายของพระองค์ และพวกคำสั่งของพระองค์ รวมทั้งกฎต่างๆของพระองค์ และข้อตกลงทั้งหลายของพระองค์ ตามที่เขียนไว้ในกฎของโมเสส เพื่อเจ้าจะได้เจริญรุ่งเรืองในทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำและในทุกๆแห่งที่เจ้าไป 4 แล้วพระยาห์เวห์จะได้รักษาคำสัญญาของพระองค์ที่ให้กับพ่อว่า ‘ถ้าพวกลูกหลานของเจ้าให้ความสนใจกับเส้นทางชีวิตของเขา และใช้ชีวิตต่อหน้าเราด้วยความสัตย์ซื่ออย่างสุดจิตสุดใจ กษัตริย์ที่จะมานั่งอยู่บนบัลลังก์ของอิสราเอล ก็จะมาจากครอบครัวของเจ้า’”
5 ดาวิดพูดอีกว่า “ที่นี้ เจ้าก็รู้อยู่แล้วว่าโยอาบลูกชายนางเศรุยาห์ได้ทำยังไงกับพ่อ เขาได้ฆ่าแม่ทัพสองคนของกองทัพอิสราเอล คืออับเนอร์ลูกชายของเนอร์และอามาสาลูกชายเยเธอร์ เขาทำให้เลือดของสองคนนี้ไหลนองในช่วงเวลาที่สงบสุขราวกับว่าเป็นช่วงสงคราม และเลือดนั้นได้เปื้อนเข็มขัดที่พันรอบเอวของเขาและรองเท้าที่เท้าทั้งสองข้างของเขาด้วย 6 ให้เจ้าใช้สมองของเจ้าคิดดูว่าจะจัดการกับเขายังไง แต่อย่าให้หัวหงอกของเขาลงไปสู่แดนคนตายอย่างสงบสุข
7 แต่ให้แสดงความเมตตากรุณากับพวกลูกชายของบารซิลลัย แห่งกิเลอาด และอนุญาตให้พวกเขาอยู่ในหมู่คนที่ได้นั่งกินอาหารร่วมโต๊ะกับเจ้า เพราะพวกเขาจงรักภักดีต่อพ่อตอนที่พ่อหลบหนีจากอับซาโลมพี่ชายของเจ้า
8 และให้จำไว้ว่า ชิเมอีลูกชายของเกรา ชาวเบนยามินจากเมืองบาฮูริมยังอยู่กับเจ้า เขาเคยตะโกนสาปแช่งพ่ออย่างหยาบคายในวันที่พ่อหนีไปเมืองมาหะนาอิม เมื่อเขาลงมาเพื่อพบพ่อที่แม่น้ำจอร์แดน พ่อเคยสาบานไว้กับเขาต่อพระยาห์เวห์ว่า ‘เราจะไม่ฆ่าเจ้าตายด้วยดาบ’ 9 แต่ตอนนี้ อย่าถือว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์อีกต่อไป เจ้าเป็นคนฉลาด เจ้าคงรู้ว่าต้องทำยังไงกับเขา เจ้าจะต้องนำหัวหงอกของเขาลงไปสู่แดนคนตายพร้อมกับเลือด”
ดาวิดตาย
(1 พศด. 29:26-28)
10 แล้วดาวิดก็ล่วงลับไปอยู่กับพวกบรรพบุรุษของเขาและศพของเขาได้ถูกฝังไว้ในเมืองของดาวิด 11 เขาได้ปกครองอิสราเอลอยู่เป็นเวลาสี่สิบปี คือได้ครอบครองในเฮโบรนอยู่เจ็ดปี และครอบครองในเยรูซาเล็มอยู่สามสิบสามปี
ซาโลมอนกุมอำนาจทั้งหมด
12 แล้วซาโลมอนได้ขึ้นนั่งบนบัลลังก์ของดาวิด ผู้เป็นพ่อของเขา และได้กุมอำนาจทั้งสิ้นในอาณาจักรของเขา
13 ในเวลานั้นอาโดนียาห์ลูกชายของนางฮักกีทได้ไปหานางบัทเชบาแม่ของซาโลมอน นางบัทเชบาถามเขาว่า “นี่เจ้ามาอย่างสันติหรือเปล่า”
เขาตอบว่า “ใช่แล้ว ข้าพเจ้ามาอย่างสันติ” 14 แล้วเขาก็พูดว่า “ข้าพเจ้ามีเรื่องบางอย่างจะพูดกับท่าน”
นางตอบว่า “พูดไปสิ”
15 เขาพูดว่า “อย่างที่ท่านรู้แล้วว่า อาณาจักรนี้เคยเป็นของข้าพเจ้ามาก่อน ตอนนั้นคนอิสราเอลทั้งหมดอยากให้ข้าพเจ้าเป็นกษัตริย์ของพวกเขา แต่แล้วสถานการณ์ได้เปลี่ยนไป และอาณาจักรนี้ก็ตกไปอยู่ในมือน้องชายของข้าพเจ้า เพราะพระยาห์เวห์ได้ยกมันให้กับเขา 16 ตอนนี้ ข้าพเจ้าอยากขอร้องท่านอย่างหนึ่ง ขออย่าได้ปฏิเสธข้าพเจ้าเลย”
นางพูดว่า “พูดไปสิ”
17 เขาจึงพูดว่า “โปรดช่วยขอกับกษัตริย์ซาโลมอนว่าให้ยกนางอาบีชากชาวชูเนมให้เป็นเมียข้าพเจ้าด้วย เขาจะไม่ปฏิเสธท่านหรอก”
18 นางบัทเชบาตอบว่า “ได้สิ เราจะพูดกับกษัตริย์ให้เจ้า”
19 เมื่อนางบัทเชบาไปพบกษัตริย์ซาโลมอน เพื่อจะไปพูดเรื่องของอาโดนียาห์ กษัตริย์ได้ลุกขึ้นเพื่อมาพบนางและก้มทำความเคารพนาง และนั่งลงบนบัลลังก์ของเขา เขามีบัลลังก์อยู่ที่หนึ่งสำหรับให้แม่กษัตริย์นั่ง และนางได้นั่งลงที่ข้างขวาของเขา
20 นางพูดว่า “แม่มีเรื่องเล็กๆอยากขอร้องเจ้าเรื่องหนึ่ง ขออย่าได้ปฏิเสธแม่เลย”
กษัตริย์ตอบว่า “ว่ามาเถิด แม่ ข้าพเจ้าจะไม่ปฏิเสธท่านหรอก”
21 นางจึงพูดว่า “ยกนางอาบีชากชาวชูเนมให้แต่งงานกับอาโดนียาห์พี่ชายของเจ้าเถิด”
22 กษัตริย์ซาโลมอนตอบแม่ของเขาว่า “ทำไมแม่ถึงได้ขอนางอาบีชากชาวชูเนมให้กับอาโดนียาห์เล่า อย่างนี้ก็เท่ากับขอให้ลูกยกอาณาจักรให้กับเขาไปด้วย อย่าลืมว่าเขาเป็นพี่ชายคนโตและนักบวชอาบียาธาร์และโยอาบลูกชายนางเศรุยาห์ก็อยู่ฝ่ายเขาด้วย”
23 แล้วกษัตริย์ซาโลมอนได้สาบานโดยอ้างพระยาห์เวห์ว่า “ถ้าอาโดนียาห์ไม่ได้ชดใช้การขอร้องครั้งนี้ด้วยชีวิตของเขา ก็ขอให้พระเจ้าลงโทษข้าพเจ้าอย่างรุนแรง 24 พระยาห์เวห์ผู้ที่ได้แต่งตั้งข้าพเจ้าให้นั่งอยู่บนบัลลังก์ของดาวิดพ่อของข้าพเจ้า และผู้ที่ได้สร้างราชวงศ์ของข้าพเจ้าขึ้นมาตามที่พระองค์ได้สัญญาไว้ พระองค์มีชีวิตอยู่แน่ขนาดไหน วันนี้อาโดนียาห์จะต้องตายอย่างแน่นอนขนาดนั้น”
25 กษัตริย์ซาโลมอนจึงออกคำสั่งกับเบไนยาห์ลูกชายของเยโฮยาดา และเขาก็ไปฆ่าอาโดนียาห์
26 กษัตริย์พูดกับนักบวชอาบียาธาร์ว่า “กลับไปยังที่นาของเจ้าในอานาโธท เจ้ามันสมควรตาย แต่เราจะไม่ฆ่าเจ้าในตอนนี้เพราะว่าเจ้าเคยเป็นผู้ถือหีบของพระยาห์เวห์ องค์เจ้าชีวิต[a] ต่อหน้าดาวิดผู้เป็นพ่อของเราและเคยลำบากร่วมกับพ่อของเรามาก่อน” 27 ซาโลมอนจึงปลดอาบียาธาร์ออกจากตำแหน่งนักบวชของพระยาห์เวห์ ซึ่งเป็นไปตามคำพูดของพระยาห์เวห์ที่เคยพูดไว้เกี่ยวกับครอบครัวเอลีที่ชิโลห์
28 เมื่อข่าวรู้มาถึงหูโยอาบซึ่งเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับอาโดนียาห์ แม้ว่าเขาจะไม่ได้ร่วมมือกับอับซาโลม เขาก็ได้หลบหนีเข้าไปที่เต็นท์ของพระยาห์เวห์ และไปจับที่เชิงงอนของแท่นบูชาไว้[b] 29 เมื่อมีคนไปบอกกษัตริย์ซาโลมอนว่า โยอาบหลบหนีไปที่เต็นท์ของพระยาห์เวห์ และไปอยู่ที่ด้านข้างของแท่นบูชา ซาโลมอนจึงสั่งเบไนยาห์ลูกชายเยโฮยาดาว่า “ไปฆ่าเขาซะ”
30 เบไนยาห์จึงเข้าไปในเต็นท์ของพระยาห์เวห์ และพูดกับโยอาบว่า “กษัตริย์สั่งว่า ‘ออกมาเดี๋ยวนี้’”
แต่เขาตอบว่า “ไม่ เราจะตายอยู่ที่นี่”
เบไนยาห์จึงไปรายงานกับกษัตริย์ถึงสิ่งที่โยอาบตอบ 31 แล้วกษัตริย์ก็ได้สั่งเบไนยาห์ว่า “ไปทำตามที่เขาพูดได้เลย ให้ฆ่าเขาและฝังเขาเสีย เพื่อว่าครอบครัวของเราและตัวเราจะได้ไม่ต้องรับผิดด้วยกันกับโยอาบที่ไปฆ่าคนบริสุทธิ์ 32 พระยาห์เวห์จะทำให้การนองเลือดที่เขาได้ทำนั้นกลับมาตกลงบนหัวของเขาเอง เพราะเขาได้ทำร้ายคนสองคนที่ชอบธรรมและดีกว่าเขาด้วยดาบ โดยที่ดาวิดผู้เป็นพ่อของเราไม่รู้ คืออับเนอร์ลูกชายของเนอร์ซึ่งเป็นแม่ทัพของอิสราเอล และอามาสาลูกชายของเยเธอร์ผู้เป็นแม่ทัพของยูดาห์ 33 ขอให้ความผิดแห่งเลือดของพวกเขานี้ ตกอยู่บนหัวของโยอาบและลูกหลานของโยอาบตลอดไป แต่ขอให้ดาวิดและลูกหลานของเขา ครอบครัวและบัลลังก์ของเขา ได้รับสันติสุขจากพระยาห์เวห์ตลอดไป”
34 เบไนยาห์ลูกชายของเยโฮยาดาจึงขึ้นไปฆ่าโยอาบและฝังศพเขาไว้ในที่ดินของโยอาบเองในถิ่นแห้งแล้ง 35 กษัตริย์ซาโลมอนได้แต่งตั้งให้เบไนยาห์ลูกชายเยโฮยาดาขึ้นเป็นแม่ทัพแทนโยอาบและแต่งตั้งนักบวชศาโดกขึ้นแทนอาบียาธาร์ 36 แล้วกษัตริย์ก็ได้ส่งคนไปหาชิเมอีและบอกกับเขาว่า “ให้สร้างบ้านของตัวเจ้าเองขึ้นในเมืองเยรูซาเล็มและอาศัยอยู่ที่นั่น ห้ามออกไปที่อื่นอีก 37 วันใดที่เจ้าออกมาและข้ามลำธารแห้งขิดโรนไป เจ้าจะต้องตายอย่างแน่นอน เจ้าจะต้องรับผิดชอบต่อการตายของเจ้าเอง[c]”
38 ชิเมอีตอบกษัตริย์ไปว่า “สิ่งที่ท่านพูดมานั้นก็ยุติธรรม ข้าพเจ้าผู้รับใช้ท่านจะทำตามที่กษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้าได้พูดไว้” และชิเมอีก็ได้อยู่ในเมืองเยรูซาเล็มเป็นเวลานาน 39 แต่อีกสามปีต่อมา ทาสสองคนของชิเมอีหลบหนีไปหากษัตริย์อาคีชแห่งเมืองกัทลูกชายของมาอาคาห์ และมีคนมาบอกชิเมอีว่า “ตอนนี้ ทาสทั้งสองคนของท่านอยู่ในเมืองกัท” 40 อย่างนั้น ชิเมอีจึงผูกอานบนลาของเขาและไปหากษัตริย์อาคีชที่เมืองกัท เพื่อตามหาทาสสองคนของเขา ชิเมอีก็ได้ออกไปและนำตัวทาสทั้งสองคนของเขากลับมาจากเมืองกัท
41 เมื่อซาโลมอนรู้เรื่องว่าชิเมอีได้ออกไปจากเยรูซาเล็มไปเมืองกัทและได้กลับมาแล้ว 42 กษัตริย์จึงเรียกตัวชิเมอีมาและพูดกับเขาว่า “เราเคยให้เจ้าสาบานไว้กับพระยาห์เวห์ และเตือนเจ้ามาก่อนแล้วไม่ใช่หรือว่า ‘ในวันที่เจ้าจากไปและไปที่ไหนก็ตาม ให้แน่ใจได้เลยว่ามันจะเป็นวันตายของเจ้า’ และในเวลานั้น เจ้าก็พูดกับเราว่า ‘สิ่งที่ท่านพูดนั้นยุติธรรม ข้าพเจ้าจะเชื่อฟังท่าน’ 43 แล้วทำไมเจ้าจึงไม่รักษาคำสาบานที่ให้ไว้กับพระยาห์เวห์ และไม่เชื่อฟังคำสั่งที่เราได้ให้เจ้าไว้เล่า” 44 กษัตริย์พูดกับชิเมอีด้วยว่า “เจ้าก็รู้อยู่เต็มอก ในเรื่องความผิดที่เจ้าเคยทำไว้กับดาวิดผู้เป็นพ่อของเรา ตอนนี้พระยาห์เวห์จะตอบแทนเจ้าสำหรับความผิดที่เจ้าได้ทำลงไป 45 แต่กษัตริย์ซาโลมอนจะได้รับการอวยพร และบัลลังก์ของดาวิดก็จะยังปลอดภัยอยู่ต่อหน้าพระยาห์เวห์ตลอดไป”
46 แล้วกษัตริย์ก็ออกคำสั่งให้เบไนยาห์ลูกชายเยโฮยาดานำตัวชิเมอีออกไปฆ่า อย่างนี้ อาณาจักรนี้ก็ได้ตั้งมั่นคงอยู่ภายใต้การปกครองของซาโลมอน
ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
6 พี่น้องครับ ถ้าพี่น้องคนไหนถูกจับได้ว่าไปทำบาป ก็ให้พวกคุณที่เป็นคนของพระวิญญาณช่วยให้เขากลับมาอยู่ในทางที่ถูกต้อง แต่ต้องช่วยด้วยความสุภาพ และให้ระวังให้ดี เพราะไม่อย่างนั้นตัวคุณเองก็อาจจะถูกล่อลวงให้หลงไปทำบาปได้เหมือนกัน 2 ให้แบ่งเบาภาระซึ่งกันและกัน เมื่อคุณทำอย่างนั้น คุณก็ได้ทำตามกฎของพระคริสต์จริงๆ 3 ถ้าใครคิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น ทั้งๆที่ไม่จริง เขาก็หลอกตัวเอง 4 ให้แต่ละคนสำรวจการงานของตน จะได้ภูมิใจในงานที่เขาทำ ไม่ต้องเที่ยวเอาไปเปรียบเทียบกับคนโน้นคนนี้ 5 ให้ต่างคนต่างรับผิดชอบภาระของตนเอง
อย่าหยุดทำดี
6 อย่าลืมแบ่งปันสิ่งที่ดีๆที่คุณมีให้ครูที่สอนคุณเรื่องถ้อยคำของพระเจ้าด้วย 7 อย่าโง่ไปหน่อยเลย ไม่มีใครหลอกพระเจ้าได้หรอก ใครหว่านพืชอะไรลงไป ก็ต้องเก็บเกี่ยวผลของพืชนั้น 8 คนที่หว่านเพื่อกิเลสตัณหาของสันดาน ก็จะเก็บเกี่ยวความพินาศ ส่วนคนที่หว่านเพื่อเอาใจพระวิญญาณ ก็จะเก็บเกี่ยวชีวิตที่อยู่กับพระเจ้าตลอดไปจากพระวิญญาณนั้น 9 อย่าเพิ่งท้อแท้ในการทำดี เพราะเมื่อถึงเวลาที่เหมาะ คุณก็จะได้เก็บเกี่ยวผลจากการทำดีนั้น ถ้าไม่เลิกไปซะก่อนนะ 10 ดังนั้น เมื่อมีโอกาสก็ให้ทำดีกับทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับครอบครัวที่ไว้วางใจในพระเจ้า
เปาโลเขียนจดหมายจบ
11 ดูตัวหนังสือที่ใหญ่โตนี้สิ เป็นลายมือของผมเอง 12 คนพวกนั้นที่อยากได้หน้า พยายามบังคับให้คุณทำพิธีขลิบ ก็เพราะเหตุผลแค่ข้อเดียวคือกลัวจะถูกคนยิวข่มเหงตอนประกาศเรื่องไม้กางเขนของพระคริสต์[a] 13 ขนาดพวกมันเองที่เข้าพิธีขลิบแล้ว ก็ยังไม่ทำตามกฎ แต่ที่พวกมันอยากให้คุณทำพิธีขลิบ ก็เพื่อจะได้ไปโม้โอ้อวดว่าพวกมันนี่แน่ ที่ทำให้คุณเข้าพิธีขลิบได้ 14 ขอให้ผมอย่าได้โอ้อวดเรื่องอะไรเลย นอกจากเรื่องกางเขนของพระเยซูคริสต์เจ้าของพวกเราเท่านั้น โลกนี้ก็ได้ตาย[b] จากผมไปแล้ว และผมเองก็ได้ตายต่อโลกนี้ไปแล้วเหมือนกัน 15 จะทำหรือไม่ทำพิธีขลิบนั้น มันไม่ได้สำคัญอะไรเลย แต่สิ่งที่สำคัญคือ โลกใหม่ที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นมา 16 ขอให้พระเจ้ามีความเมตตากรุณาและให้สันติสุขกับทุกคนที่ใช้ชีวิตตามกฎนี้ ผู้เป็นอิสราเอลแท้ๆของพระเจ้าด้วย
17 สุดท้ายนี้ อย่าให้ใครมาสร้างปัญหาเพิ่มขึ้นให้กับผมอีกเลย บาดแผล[c]ทั่วตัวของผม ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า ผมเป็นของพระคริสต์
18 พี่น้องครับ ขอให้ความเมตตากรุณาของพระเยซูคริสต์เจ้า อยู่กับจิตวิญญาณของพวกคุณด้วยเถิด อาเมน
พระเจ้าเลือกเอเสเคียลเป็นยามเฝ้าดูเมืองอิสราเอล
(อสค. 3:16-21)
33 คำพูดของพระยาห์เวห์ได้มาถึงผมว่า 2 “เจ้าลูกมนุษย์ ให้พูดกับคนของเจ้าและบอกพวกเขาว่า
‘เมื่อเรานำกองทัพศัตรูมาต่อสู้กับแผ่นดินหนึ่งและประชาชนของแผ่นดินนั้นได้เลือกคนหนึ่งในพวกเขาให้เป็นยามเฝ้าดูเมือง
3 และถ้ายามคนนั้นมองเห็นกองทัพศัตรูบุกเข้ามาโจมตีแผ่นดินนั้น เขาจะเป่าแตรเตือนประชาชน
4 แล้วถ้ามีใครได้ยินเสียงแตรนั้น แต่เมินเฉยต่อเสียงเตือนนั้น กองทัพศัตรูนั้นก็จะมาคร่าเอาชีวิตเขาไป เขาแส่หาที่ตายเอง
5 เขาแส่หาที่ตายเอง เพราะเขาได้ยินเสียงแตร แต่ทำเป็นเมินเฉยไม่สนใจต่อเสียงเตือนนั้น
แต่ถ้าหากเขาฟังเสียงเตือน เขาก็จะรักษาชีวิตของเขาไว้ได้
6 แต่ถ้ายามเห็นกองทัพศัตรูกำลังบุกมา แต่ไม่ยอมเป่าแตรเตือนประชาชน แล้วกองทัพศัตรูบุกมาถึงและได้คร่าเอาชีวิตคนหนึ่งคนใดไป คนเหล่านั้นต้องตายไปเพราะบาปของพวกเขา แต่เราจะให้ยามคนนั้นต้องรับผิดชอบต่อเลือดของพวกเขาด้วย’”
7 “เจ้าลูกมนุษย์ เราได้ให้เจ้าเป็นยามเฝ้าดูครอบครัวอิสราเอล ดังนั้น เมื่อไหร่ก็ตามที่เจ้าได้ยินคำเตือนจากเรา เจ้าจะต้องไปเตือนพวกเขา
8 ถ้าเราพูดกับคนชั่วว่า ‘ไอ้ชาติชั่ว เจ้าจะต้องตายแน่’ แล้วเจ้ากลับไม่เอาสิ่งนี้ไปเตือนเขา เพื่อหันเขาไปจากทางชั่วของเขา คนชั่วนั้นจะต้องตายเพราะบาปของเขา แต่เราจะให้เจ้าต้องรับผิดชอบต่อเลือดของเขาด้วย
9 แต่ถ้าเจ้าเตือนคนชั่วนั้นให้หันไปจากสิ่งที่เขาทำอยู่ แต่เขาไม่ยอมฟังเจ้า เขาจะตายเพราะบาปของเขาเอง แต่เจ้าจะได้รักษาชีวิตของเจ้าไว้”
พระเจ้าไม่ชอบทำลายมนุษย์
(อสค. 18:21-30)
10 “เจ้าลูกมนุษย์ ให้พูดกับครอบครัวอิสราเอลว่า
‘พวกเจ้ากำลังพูดกันว่า “การกบฏและบาปของพวกเรานั้นหนักอึ้งเหลือเกิน พวกเรากำลังซูบผอมลงเพราะบาปเหล่านั้น พวกเราจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ยังไง”’
11 พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตพูดว่า ‘ให้บอกกับพวกเขาว่า “เรามีชีวิตอยู่แน่ขนาดไหน ก็ให้แน่ใจขนาดนั้นเลยว่า เราไม่ได้ชื่นชมกับความตายของคนชั่วหรอก แต่เราอยากจะให้พวกเขาหันไปจากความชั่วที่พวกเขาทำ และมีชีวิตอยู่ต่อไปมากกว่า กลับใจเสีย ให้หันไปจากทางชั่วทั้งหลายของเจ้า ชาวอิสราเอลเอ๋ย พวกเจ้าจะไปตายกันทำไมเล่า”’
12 ดังนั้น เจ้าลูกมนุษย์ ให้พูดกับคนของเจ้าว่า
‘ความดีของคนดี ไม่อาจช่วยรักษาชีวิตของเขาไว้ได้ ถ้าเขาหันไปทำบาป
ส่วนความชั่วของคนชั่ว ก็จะไม่เป็นเหตุให้เขาล่มสลาย ถ้าเขาหันไปจากความชั่วของเขา
ถ้าคนดีทำบาป เขาจะไม่สามารถรักษาชีวิตของเขาไว้ได้ โดยพึ่งความดีที่พวกเขาเคยทำมา’
13 ถ้าเราบอกกับคนดีว่า เขาจะมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน แต่เขาพึ่งในความดีของเขาและไปทำชั่ว เราจะไม่จดจำสิ่งดีๆที่เขาเคยทำ เขาจะตายเพราะความชั่วที่เขาได้ทำไป
14 และถ้าเราพูดกับพวกคนชั่วว่า ‘เจ้าจะต้องตายอย่างแน่นอน’ แต่แล้วเขาก็หันจากบาปและไปทำสิ่งที่ยุติธรรมและถูกต้อง 15 เช่น เขาคืนของค้ำประกันเงินกู้ คืนสิ่งที่เขาได้ขโมยมา และเดินตามทางทั้งหลายที่ให้ชีวิต และไม่ทำชั่ว เขาคนนั้นจะมีชีวิตแน่ เขาจะไม่ตาย 16 เราจะไม่จดจำบาปที่เขาเคยทำ และเอามันมาฟ้องเขา เขาได้ทำในสิ่งที่ยุติธรรมและถูกต้อง เขาจะมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน
17 แต่คนของเจ้าพูดว่า ‘วิธีการของพระยาห์เวห์ไม่ยุติธรรม’ แต่เป็นวิธีการของพวกเขาต่างหากที่ไม่ยุติธรรม
18 ถ้าคนดีหันไปจากความดีของเขา และไปทำชั่ว เขาจะตายเพราะความชั่วนั้น
19 ถ้าคนชั่วหันไปจากความชั่วของเขา และไปทำสิ่งที่ยุติธรรมและถูกต้อง เขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไป เพราะเขาทำอย่างนั้น 20 ครอบครัวอิสราเอล พวกเจ้ายังพูดว่า ‘วิธีการของพระยาห์เวห์ไม่ยุติธรรม’ แต่เราจะตัดสินพวกเจ้าแต่ละคนตามการกระทำของตน”
เมืองเยรูซาเล็มจะถูกทำลาย
21 ในวันที่ห้า เดือนสิบ ของปีที่สิบสองของการเนรเทศ[a]
มีชายคนหนึ่งที่รอดจากการล่มสลายของเมืองเยรูซาเล็ม ได้มาพบผมและพูดว่า
“เมืองแตกแล้ว”
22 คืนก่อนที่ชายคนนี้จะมาหา มือของพระยาห์เวห์ได้อยู่กับผมแล้ว แต่พระองค์ได้เปิดปากของผม ก่อนที่ชายคนนั้นจะมาหาผมในตอนเช้า ปากของผมจึงเปิดออกและผมก็ไม่เป็นใบ้อีกต่อไป[b]
23 แล้วคำพูดของพระยาห์เวห์ได้มาถึงผมว่า 24 “เจ้าลูกมนุษย์ พวกที่รอดชีวิตที่อาศัยอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังในแผ่นดินอิสราเอลกำลังพูดว่า
‘ขนาดอับราฮัมคนเดียว ก็ยังเป็นเจ้าของแผ่นดินได้ แล้วนี่ พวกเรามีตั้งมากมาย แผ่นดินจะต้องตกเป็นของพวกเราอย่างแน่นอน’
25 ดังนั้นให้พูดกับพวกเขาว่า
‘นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตพูด
พวกเจ้ายังคิดจะเป็นเจ้าของแผ่นดินอย่างนั้นหรือ ในเมื่อเจ้ากินเนื้อสัตว์ที่ยังมีเลือดติดอยู่และมองหาความช่วยเหลือจากพวกรูปเคารพและยังฆ่าคนบริสุทธิ์อีกด้วย 26 พวกเจ้าหากินด้วยดาบ ทำสิ่งที่น่ารังเกียจทั้งหลาย แต่ละคนก็เป็นชู้กับเมียของเพื่อนบ้าน อย่างนี้แล้ว เจ้ายังคิดจะเป็นเจ้าของแผ่นดินอีกหรือ’
27 ให้พูดสิ่งนี้กับพวกเขา
‘นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตพูด
เรามีชีวิตอยู่แน่ขนาดไหน ก็ให้แน่ใจขนาดนั้นเลยว่า พวกที่อาศัยอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังจะล้มลงด้วยดาบ เราจะส่งพวกสัตว์ป่าไปขย้ำพวกที่หนีออกไปอยู่ตามชานเมือง พวกที่ไปอยู่ตามที่ซ่อนและตามถ้ำจะตายด้วยโรคระบาด 28 เราจะทำให้แผ่นดินนี้ถูกทิ้งร้าง และความแข็งแกร่งที่เมืองนี้หยิ่งผยองนักหนาจะสิ้นสุดลง พวกภูเขาของอิสราเอลจะรกร้างจนไม่มีใครเดินทางข้ามพวกมัน
29 เมื่อเราทิ้งแผ่นดินนี้ให้รกร้างเพราะสิ่งน่ารังเกียจทั้งหลายที่พวกเขาได้ทำนั้น แล้วพวกเขาจะได้รู้ว่าเราคือยาห์เวห์’
30 ส่วนเจ้า เจ้าลูกมนุษย์
คนของเจ้ากำลังพูดถึงเจ้าตามกำแพงและประตูบ้านว่า ‘ไป ไปฟังถ้อยคำของพระยาห์เวห์กันเถอะ’
31 ประชาชนของเรามาพบเจ้าอย่างที่เคยทำมา และมานั่งอยู่ต่อหน้าเจ้า เพื่อที่จะฟังคำพูดของเจ้า แต่พวกเขาไม่ทำตาม คำพูดกระตุ้นราคะอยู่ที่ริมฝีปากพวกเขา และใจของพวกเขาละโมบเอาแต่ได้
32 ในสายตาพวกเขา เจ้าก็เป็นแค่นักร้องที่ร้องเพลงกระตุ้นราคะ ด้วยเสียงอันไพเราะ และเล่นดนตรีเก่งเท่านั้นเอง พวกเขาฟังคำพูดของเจ้าแต่ไม่ได้เอาไปทำตาม 33 เมื่อสิ่งต่างๆเหล่านี้เกิดขึ้น (ซึ่งมันจะเป็นไปตามนั้นอย่างแน่นอนอยู่แล้ว)
พวกเขาจะได้รู้ว่ามีผู้พูดแทนพระเจ้าได้มาอยู่ท่ามกลางพวกเขาจริง”
เพลงแห่งเทศกาล
ถึงหัวหน้านักร้อง ให้ร้องเพลงนี้ตามทำนองกิททีธ[a] บทเพลงของอาสาฟ
1 ให้ร้องเพลงด้วยความยินดีให้กับพระเจ้าผู้ให้พละกำลังกับพวกเรา
ให้โห่ร้องคำสรรเสริญให้กับพระเจ้าของยาโคบ
2 ให้เริ่มบรรเลงดนตรี ตีกลองรำมะนา
ให้ดีดพิณสี่สายและพิณสิบสายเถิด
3 ให้เป่าแตรเขาแกะทั้งในคืนวันเพ็ญใหม่[b] และในคืนวันเพ็ญเต็มดวง[c]
ซึ่งเป็นคืนที่งานเทศกาลของพวกเราเริ่มต้น
4 การเฉลิมฉลองเทศกาลเป็นกฎสำหรับคนอิสราเอล
และเป็นคำสั่งจากพระเจ้าของยาโคบ
5 พระเจ้าให้กฎเกณฑ์นี้กับครอบครัวของโยเซฟ
ตอนที่พวกเขาออกมาจากอียิปต์
ข้าพเจ้าได้ยินเสียงที่ข้าพเจ้าไม่เคยรู้จักมาก่อน
6 เสียงนั้นพูดว่า “เราปลดภาระออกจากบ่าของเจ้า
และเอาตะกร้าที่หนักอึ้งออกจากมือทั้งสองข้างของเจ้า
7 เมื่อเจ้าเจอกับความทุกข์ยาก เจ้าเรียกหาเราและเราก็ช่วยกู้เจ้า
เราตอบเจ้าจากเมฆครึ้มฟ้าคะนอง
เราได้ทดลองเจ้าที่แหล่งน้ำเมรีบาห์” เซลาห์
8 คนของเรา ฟังเราให้ดี เราจะให้คำเตือนกับเจ้า
อิสราเอลเอ๋ย เราหวังเหลือเกินว่าเจ้าจะฟังเรา
9 อย่าได้มีพระเจ้าอื่นในหมู่พวกเจ้า
อย่าได้กราบไหว้บูชาพระเจ้าของคนต่างชาติ
10 เราคือพระยาห์เวห์ พระเจ้าของเจ้า
เราคือผู้ที่นำเจ้าออกมาจากอียิปต์
อ้าปากของเจ้าให้กว้าง และเราจะเติมให้เต็ม
11 แต่คนของเราไม่ยอมฟังเสียงของเรา
ชาวอิสราเอลไม่ยอมทำตามสิ่งที่เราบอก
12 เราก็เลยปล่อยให้พวกเขาไปตามทางที่ดื้อรั้นของพวกเขา
และทำอะไรก็ได้ที่พวกเขาอยากทำ
13 ถ้าเพียงแต่คนของเราฟังเสียงเรา
ถ้าเพียงแต่คนอิสราเอลจะเดินในทางทั้งหลายของเรา
14 เราก็จะปราบศัตรูของพวกเขาในไม่ช้า
และจะลงโทษคู่ต่อสู้ของพวกเขา
15 เราจะบีบบังคับคนที่เกลียดชังเรา ให้ต้องมายอมจำนนต่อเรา
และพวกเขาจะต้องอับอายขายหน้าตลอดไป
16 แต่อิสราเอล เราจะเลี้ยงเจ้าด้วยข้าวสาลีที่ดีที่สุด
และเราจะให้เจ้าอิ่มหนำด้วยน้ำเชื่อมผลไม้ที่ไหลออกมาจากหิน
พระเจ้าตัดสินเทพเจ้าของคนต่างชาติ
เพลงสดุดีของอาสาฟ
1 พระเจ้ายืนอยู่ในที่ชุมนุมสวรรค์ท่ามกลางเทพเจ้าทั้งหลาย[d]
พระองค์ได้ประกาศคำตัดสิน
2 พระเจ้าพูดว่า “อีกนานแค่ไหน ที่เจ้าจะตัดสินอย่างไม่ยุติธรรม
อีกนานไหม ที่เจ้าจะเข้าข้างคนชั่ว” เซลาห์
3 “ให้ตัดสินคดีของคนยากจน และเด็กกำพร้าอย่างยุติธรรมด้วย
แก้ต่างให้กับคนยากจนและคนขัดสนด้วย
4 ช่วยกู้คนยากจนและคนขัดสนด้วย
ช่วยพวกเขาให้รอดพ้นจากอุ้งมือของคนชั่ว
5 เทพเจ้าพวกนี้ไม่รู้ และไม่เข้าใจอะไรเลย
พวกเขาเดินอยู่ในความมืด
ในขณะที่รากฐานของสังคมโลกนี้กำลังสั่นคลอน”
6 เราว่าพวกเจ้าเป็นเทพเจ้า
พวกเจ้าต่างก็เป็นลูกของพระเจ้าผู้สูงสุด
7 แต่ความจริงแล้ว เจ้าจะต้องตายเหมือนกับมนุษย์
เจ้าจะล้มตายไปเหมือนกับผู้นำทุกคน
8 ข้าแต่พระเจ้าลุกขึ้นเถิด และมาตัดสินโลกนี้
เพราะพระองค์นั่นแหละเป็นพระเจ้าของชนชาติทั้งสิ้น
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International