Revised Common Lectionary (Semicontinuous)
พระองค์บาดเจ็บก็เพื่อการล่วงละเมิดของเรา
13 “ดูเถิด ผู้รับใช้ของเราจะปฏิบัติด้วยการไตร่ตรองจากสติปัญญา
พระองค์จะปรากฏและจะได้รับการยกย่องและเชิดชู”
14 ด้วยว่า คนจำนวนมากตกตะลึงที่เห็นว่า
พระองค์ถูกทำให้เสียรูปจนเกินสภาพของความเป็นมนุษย์
และไม่มีเค้ารูปเหมือนบรรดาบุตรของมนุษย์เหลืออยู่เลย
15 ดังนั้น พระองค์จะประพรมประชาชาติจำนวนมาก
บรรดากษัตริย์จะปิดปากเพราะพระองค์
เพราะสิ่งที่ไม่เคยรับรู้มาก่อน พวกเขาก็จะได้เห็น
และสิ่งที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อน พวกเขาก็จะได้เข้าใจ[a]
53 ใครบ้างที่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินจากพวกเราแล้ว
และอานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าได้ปรากฏแจ้งแก่ผู้ใด[b]
2 ด้วยว่า พระองค์เติบโตขึ้น ณ เบื้องหน้าพระเจ้าอย่างพืชต้นเล็ก
และอย่างรากที่งอกจากดินแห้ง
พระองค์ไม่มีความงามหรือความยิ่งใหญ่ที่ทำให้พวกเราอยากจะมองดู
และไม่มีรูปลักษณ์ที่พวกเราพึงปรารถนา
3 พระองค์ถูกผู้คนดูหมิ่นและทอดทิ้ง
บุรุษแห่งความเศร้าโศก และคุ้นเคยกับความทุกข์
และเป็นผู้ที่มีแต่คนหนีหน้าไป
พระองค์ถูกดูหมิ่น และพวกเราไม่ได้เชิดชูพระองค์
4 แน่นอนที่สุด พระองค์เองได้แบกรับเอาความเจ็บป่วยของพวกเรา
และรับเอาความเศร้าโศกของพวกเรา[c]
แต่พวกเรายังคิดว่า พระองค์ถูกพระเจ้าลงโทษ
จึงบาดเจ็บแสนสาหัส และถูกทรมาน
5 แต่พระองค์ถูกตรึงเพราะการล่วงละเมิดของพวกเรา
พระองค์บาดเจ็บแสนสาหัสเพราะความชั่วของพวกเรา
พวกเรามีสันติสุขได้ก็เนื่องจากพระองค์รับการลงโทษ
พวกเราได้รับการรักษาให้หายได้ก็เพราะบาดแผลของพระองค์
6 เราทุกคนเป็นเสมือนแกะที่พลัดจากฝูง
เราแต่ละคนได้กลับไปดำเนินชีวิตในทางของตนเอง
และพระผู้เป็นเจ้าได้ให้พระองค์แบกความชั่วของเราทุกคน
7 พระองค์ถูกบีบบังคับและรับความทรมาน
พระองค์ก็ยังไม่ปริปาก
พระองค์ถูกนำไปดั่งลูกแกะที่รอการประหาร
และเป็นดั่งแกะที่นิ่งอยู่ตรงหน้าคนตัดขนแกะ
พระองค์ไม่ปริปากของพระองค์
8 พระองค์ถูกนำไปด้วยการกดขี่และตัดสิน
และใครเล่าจะพูดถึงเชื้อสายของพระองค์ได้
เพราะพระองค์ถูกตัดขาดจากดินแดนของคนเป็น[d]
และถูกลงโทษเพราะการล่วงละเมิดของชนชาติของข้าพเจ้า
9 พระองค์ถูกตัดสินให้ถึงแก่ชีวิตพร้อมกับคนชั่ว
และในความตาย พระองค์อยู่ในที่ของผู้มั่งมี
ถึงแม้ว่าพระองค์ไม่ได้กระทำสิ่งใดผิด
และพระองค์ไม่เคยกล่าวคำล่อลวง
10 แต่เป็นความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า
ที่จะให้พระองค์บาดเจ็บแสนสาหัส
และทำให้พระองค์รับทุกข์ทรมาน
และแม้ว่าพระผู้เป็นเจ้าทำให้ชีวิตของพระองค์เป็นของถวายเพื่อไถ่โทษ
พระองค์จะเห็นผู้สืบเชื้อสายของพระองค์ และจะมีชีวิตอันยืนยาว
และพระองค์จะกระทำสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าประสงค์สำเร็จ
11 เมื่อจิตวิญญาณของพระองค์ทนทุกข์แล้ว
พระองค์จะเห็นผลที่ได้รับและจะพอใจ
ผู้รับใช้ของเราเป็นผู้มีความชอบธรรม
พระองค์จะทำให้คนจำนวนมากพ้นผิดโดยความเข้าใจอันลึกซึ้งของพระองค์
และจะแบกรับบาปของพวกเขา
12 ฉะนั้น เราจะมอบส่วนหนึ่งให้แก่พระองค์ในท่ามกลางผู้ที่ยิ่งใหญ่
และพระองค์จะแบ่งปันของที่ริบมาได้ให้กับผู้ที่เข้มแข็ง
เพราะพระองค์มอบชีวิตให้กับความตาย
และถูกนับอยู่ในพวกคนล่วงละเมิด[e]
ด้วยว่า พระองค์รับบาปของคนจำนวนมาก
และอธิษฐานขอให้แก่บรรดาผู้ล่วงละเมิด
เอลี เอลี ลามาสะบักธานี
ถึงหัวหน้าวงดนตรี โน้ตเพลงกวาง ในยามย่ำรุ่ง เพลงสดุดีของดาวิด
1 พระเจ้าของข้าพเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้า ทำไมพระองค์จึงทอดทิ้งข้าพเจ้า[a]
ทำไมพระองค์จึงอยู่ห่างไกลเกินที่จะช่วยข้าพเจ้า
ไม่ได้ยินแม้แต่คำคร่ำครวญของข้าพเจ้า
2 โอ พระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าร้องไห้ในเวลากลางวัน แต่พระองค์ไม่ตอบ
และในช่วงเวลากลางคืนข้าพเจ้าก็หาได้พักไม่
3 แต่พระองค์ยังคงความเป็นผู้บริสุทธิ์
เป็นที่สรรเสริญของอิสราเอล
4 บรรพบุรุษของเราไว้วางใจในพระองค์
ท่านเหล่านั้นไว้วางใจ และพระองค์ช่วยให้รอดพ้น
5 ท่านร้องถึงพระองค์ และได้รับความรอดพ้น
ท่านไว้วางใจในพระองค์ และไม่ได้รับความอับอาย
6 แต่ข้าพเจ้าเป็นหนอนตัวหนึ่งซึ่งไม่ใช่มนุษย์
ถูกผู้คนดูหมิ่นและรังเกียจ
7 ทุกคนที่เห็นข้าพเจ้าก็ล้อเลียน
พวกเขาเยาะเย้ยข้าพเจ้า พลางสั่นหัวกันไปมา[b] พูดว่า
8 “ปล่อยให้เป็นเรื่องของพระผู้เป็นเจ้าเถิด ให้พระองค์ช่วยเขาให้รอดพ้น
ปล่อยให้พระองค์ช่วยผู้ที่พระองค์ยินดี”
9 พระองค์เป็นผู้ที่นำข้าพเจ้าออกมาจากครรภ์
พระองค์ให้ความปลอดภัยแก่ข้าพเจ้าในอ้อมอกแม่
10 นับแต่เกิดมา ข้าพเจ้าถูกมอบให้กับพระองค์
พระองค์เป็นพระเจ้าของข้าพเจ้ามาโดยตลอด ตั้งแต่วันที่ออกจากครรภ์มารดา
11 อย่าอยู่ห่างไกลจากข้าพเจ้า
เพราะว่าความลำบากอยู่ใกล้
และไม่มีใครคอยช่วย
12 มีศัตรูประดุจโคหนุ่มจำนวนมากล้อมอยู่รอบกายข้าพเจ้า
โคหนุ่มของบาชาน[c] พวกนี้มีกำลังมหาศาลตีวงเข้าล้อมข้าพเจ้า
13 พวกมันอ้าปากกว้างเข้าใส่ข้าพเจ้าประดุจสิงโตคำราม
และเขมือบอย่างตะกละตะกราม
14 เรี่ยวแรงข้าพเจ้าถูกสูบออกไปจนหมดสิ้น
และกระดูกทุกท่อนหลุดจากข้อต่อ
หัวใจข้าพเจ้าเป็นดั่งขี้ผึ้ง
ที่หลอมละลายอยู่ในทรวงอก
15 ปากคอข้าพเจ้าแห้งผากดั่งเศษกระเบื้องดินเผา
ลิ้นผนึกกับขากรรไกร
พระองค์วางตัวข้าพเจ้าลงบนผงธุลีแห่งความตาย
16 พวกสุนัขอยู่ล้อมรอบข้าพเจ้า
กลุ่มคนชั่วรายล้อมข้าพเจ้าไว้
พวกเขาตรึงมือและเท้าข้าพเจ้า
17 ข้าพเจ้านับจำนวนกระดูกของข้าพเจ้าได้ทุกท่อน
ผู้คนพินิจดูข้าพเจ้า และสมน้ำหน้า
18 พวกเขาแบ่งปันเสื้อตัวนอกของข้าพเจ้าในหมู่พวกเขา
แล้วเขาจับฉลากเอาเสื้อตัวในของข้าพเจ้าไป[d]
19 โอ พระผู้เป็นเจ้า ขอพระองค์อย่าออกห่างไปไกลเลย
ผู้ช่วยเหลือของข้าพเจ้า โปรดรีบมาช่วยข้าพเจ้าด้วยเถิด
20 ช่วยชีวิตของข้าพเจ้าให้พ้นจากคมดาบ
ชีวิตอันมีค่าของข้าพเจ้าให้พ้นจากเงื้อมมือสุนัข
21 ช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากปากสิงโตด้วยเถิด
พระองค์ได้ช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากเขากระทิง
22 ข้าพเจ้าจะบอกเล่าถึงพระนามของพระองค์แก่เหล่าพี่น้องของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าจะร้องเพลงสรรเสริญพระองค์ในท่ามกลางที่ประชุม[e]
23 บรรดาท่านที่มีความเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า จงสรรเสริญพระองค์
ผู้สืบตระกูลของยาโคบทุกคน จงถวายเกียรติแด่พระองค์
ผู้สืบตระกูลของอิสราเอล จงยกย่องพระองค์
24 เพราะว่าพระองค์ไม่ได้ดูหมิ่นหรือชิงชังความทุกข์ของผู้ได้รับทุกข์ทรมาน
พระองค์ไม่ได้ซ่อนหน้าจากเขา
แต่ได้ยินในยามที่เขาร้องเรียกถึงพระองค์
25 คำสรรเสริญของข้าพเจ้าในที่ประชุมใหญ่มาจากพระองค์
ข้าพเจ้าจะทำตามคำสัญญาต่อหน้าบรรดาผู้เกรงกลัวพระองค์
26 คนยากไร้จะมีกินและอิ่มหนำ
บรรดาผู้แสวงหาพระผู้เป็นเจ้าจะสรรเสริญพระองค์
ขอให้พวกท่านมีชีวิตที่สุขสบายอยู่เป็นนิจ
27 ทั่วแหล่งหล้าจะรำลึกได้
และหันเข้าหาพระผู้เป็นเจ้า
แล้วทุกครอบครัวของบรรดาประชาชาติ
จะก้มลงกราบพระองค์
28 ด้วยว่าการปกครองเป็นของพระผู้เป็นเจ้า
และพระองค์ปกครองบรรดาประชาชาติ
29 คนหยิ่งยโสในโลกจะรับประทานและก้มกราบ ณ เบื้องหน้าพระองค์
ทุกคนที่ต้องจบชีวิตกลายเป็นผงธุลีจะคุกเข่าลงต่อหน้าพระองค์
รวมถึงคนที่ไม่อาจรักษาชีวิตของตนไว้ได้
30 ผู้สืบตระกูลจะรับใช้พระองค์
ผู้คนจะพูดถึงพระผู้เป็นเจ้าในยุคต่อๆ ไป
31 พวกเขาจะมาและประกาศถึงความชอบธรรมของพระองค์
แก่ผู้คนที่จะเกิดมาภายหลังว่า
พระองค์ได้กระทำสิ่งเหล่านี้
16 “พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า นี่คือพันธสัญญา
ที่เราจะทำกับพวกเขา และหลังจากนั้น
เราจะให้กฎบัญญัติของเราประทับอยู่ในใจของเขา
และจะจารึกไว้ในความคิดของเขา”[a]
17 พระองค์กล่าวอีกว่า
“เราจะไม่จดจำบาปและการกระทำ
ที่ชั่วร้ายของเขาอีกต่อไป”[b]
18 บัดนี้ เมื่อมีการยกโทษสิ่งเหล่านี้แล้ว จึงไม่มีการถวายสิ่งใดๆ เพื่อชดใช้บาปอีกต่อไป
ต้องมีมานะอดทน
19 ฉะนั้น พี่น้องเอ๋ย ในเมื่อพวกเรามีความมั่นใจที่จะเข้าสู่อภิสุทธิสถานโดยโลหิตของพระเยซู 20 โดยทางใหม่ และทางอันมีชีวิตที่เปิดออกให้พวกเราผ่านเข้าไปทางม่าน คือทางร่างกายของพระองค์ 21 และในเมื่อเรามีปุโรหิตผู้ยิ่งใหญ่ที่ดูแลพระตำหนักของพระเจ้า 22 ขอให้เราเข้าใกล้พระเจ้าด้วยใจจริง และมีความมั่นใจในความเชื่อ ให้ใจของเรารับการประพรมให้สะอาดจากมโนธรรมที่ชั่วร้าย และกายของเรารับการล้างให้สะอาดด้วยน้ำอันบริสุทธิ์ 23 ขอให้เรายึดมั่นในความหวัง ที่เราอ้างว่าเราเชื่อโดยไม่ลังเลใจ เพราะองค์ผู้ให้สัญญาไว้จะรักษาคำมั่นสัญญา 24 และขอให้เราคิดดูว่าจะทำอย่างไร จึงจะได้สนับสนุนกันและกันให้มีความรักและทำความดี 25 ขออย่าขาดการประชุมร่วมกัน เหมือนบางคนที่มีนิสัยนั้น แต่จงให้กำลังใจกันและกันมากยิ่งขึ้น ในเมื่อท่านเห็นว่าวันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว
หัวหน้ามหาปุโรหิตผู้ยิ่งใหญ่
14 ฉะนั้น ในเมื่อเรามีหัวหน้ามหาปุโรหิตผู้ยิ่งใหญ่ที่ได้ผ่านเข้าไปในสวรรค์แล้ว คือพระเยซูผู้เป็นพระบุตรของพระเจ้า ขอให้เราทั้งหลายยึดมั่นในความเชื่อซึ่งเรายอมรับด้วยปากเถิด 15 เพราะเรามีหัวหน้ามหาปุโรหิตที่สามารถเห็นใจในความอ่อนแอของเรา และในเมื่อพระองค์ก็ถูกยั่วยุมาแล้วเช่นเดียวกับเราทุกประการ ถึงกระนั้นพระองค์ก็ไม่มีบาป 16 ดังนั้น ขอให้เราทั้งหลายเข้าไปใกล้ให้ถึงบัลลังก์แห่งพระคุณด้วยความมั่นใจ เพื่อเราจะได้รับความเมตตา และพบพระคุณเพื่อช่วยเราในยามจำเป็น
7 ตลอดวันเวลาที่พระเยซูมีชีวิตเป็นมนุษย์ พระองค์ได้อธิษฐาน และอ้อนวอนเสียงดัง และหลั่งน้ำตาต่อพระองค์ผู้สามารถช่วยให้พระองค์พ้นจากความตาย ซึ่งพระเจ้าได้สดับรับฟังเพราะพระเยซูยอมเชื่อฟัง 8 ถึงแม้ว่าพระองค์เป็นบุตร พระองค์ก็ได้เรียนรู้การเชื่อฟัง เนื่องจากความทุกข์ยากลำบากที่ได้รับ 9 หลังจากที่พระเจ้าได้ทำให้พระองค์เพียบพร้อมทุกประการแล้ว พระองค์ก็คือแหล่งแห่งความรอดพ้นอันเป็นนิรันดร์สำหรับทุกคนที่เชื่อฟังพระองค์
พระเยซูถูกจับกุม
18 เมื่อพระเยซูกล่าวดังนี้แล้ว พระองค์พร้อมด้วยสาวกได้เดินข้ามซอกหุบเขาขิดโรน เข้าไปยังสวนแห่งหนึ่ง 2 ยูดาสผู้กำลังจะทรยศพระองค์ก็รู้จักสวนนั้น เพราะพระเยซูเคยไปพบปะกับเหล่าสาวกของพระองค์ที่นั่นบ่อยครั้ง 3 ยูดาสจึงพาทหารในกองกลุ่มหนึ่งกับพวกเจ้าหน้าที่จากบรรดามหาปุโรหิตและฟาริสีไปที่นั่น ต่างก็ถือตะเกียง ไต้ และอาวุธมาด้วย 4 พระเยซูทราบดีถึงทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพระองค์ จึงก้าวออกไปถามพวกเขาว่า “ท่านตามหาใคร” 5 พวกเขาตอบว่า “เยซูแห่งเมืองนาซาเร็ธ” พระองค์กล่าวว่า “เราคือผู้นั้น”[a] และยูดาสผู้ที่กำลังจะทรยศพระองค์ก็ยืนอยู่ที่นั่นด้วย 6 เมื่อพระองค์กล่าวว่า “เราคือผู้นั้น” พวกเขาก็ถอยหลังกลับไปและล้มลงที่พื้น 7 พระองค์จึงถามพวกเขาอีกว่า “ท่านตามหาใคร” เขาพูดว่า “เยซูแห่งเมืองนาซาเร็ธ” 8 พระเยซูตอบว่า “เราบอกแล้วว่าเราคือผู้นั้น ถ้าท่านตามหาเรา ก็จงปล่อยให้คนเหล่านี้ไปเถิด” 9 เพื่อจะได้เป็นไปตามคำที่พระองค์กล่าวไว้ว่า “ในบรรดาผู้ที่พระองค์ได้มอบให้แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ได้ให้สักคนเดียวหลงหายเลย”[b] 10 ซีโมนเปโตรมีดาบจึงชักออกฟันทาสชื่อมัลคัส ซึ่งเป็นผู้รับใช้ของหัวหน้ามหาปุโรหิต และตัดหูขวาของเขาขาด 11 พระเยซูกล่าวกับเปโตรว่า “จงเอาดาบใส่ฝักเสีย เราควรจะต้องดื่มจากถ้วยซึ่งพระบิดาได้ให้แก่เรามิใช่หรือ”
12 แล้วเหล่าทหารในกองกลุ่มหนึ่งพร้อมทั้งผู้บังคับกองพันกับพวกเจ้าหน้าที่ของชาวยิวจึงจับกุมและมัดพระเยซูไว้ 13 แรกทีเดียวพวกเขานำพระองค์ไปหาอันนาส ซึ่งเป็นพ่อตาของคายาฟาสหัวหน้ามหาปุโรหิตในปีนั้น 14 คายาฟาสเป็นคนแนะนำพวกชาวยิวว่า ดีแล้วที่คนหนึ่งจะตายแทนคนทั้งปวง
เปโตรปฏิเสธครั้งแรก
15 ซีโมนเปโตรและสาวกอีกคนกำลังตามพระเยซูไป สาวกคนนั้นรู้จักกับหัวหน้ามหาปุโรหิต จึงได้เข้าไปกับพระเยซูถึงลานบ้านของหัวหน้ามหาปุโรหิต 16 แต่เปโตรกำลังยืนอยู่ที่ประตูด้านนอก ฉะนั้นสาวกคนที่รู้จักหัวหน้ามหาปุโรหิต จึงได้ออกไปพูดกับหญิงที่เฝ้าประตูและนำเปโตรเข้ามา 17 ทาสรับใช้หญิงที่เฝ้าประตูจึงพูดกับเปโตรว่า “ท่านไม่ใช่สาวกอีกคนของชายผู้นี้ใช่ไหม” เขาพูดว่า “เราไม่ได้เป็น” 18 ขณะนั้นอากาศหนาวเย็น พวกทาสรับใช้และเจ้าหน้าที่กำลังยืนผิงไฟซึ่งก่อจากถ่าน เปโตรเองก็ยืนผิงไฟอยู่กับเขาด้วย
หัวหน้ามหาปุโรหิตถามพระเยซู
19 หัวหน้ามหาปุโรหิตถามพระเยซูเกี่ยวกับบรรดาสาวกและการสั่งสอนของพระองค์ 20 พระเยซูตอบว่า “เราได้พูดอย่างเปิดเผยต่อโลก เราสั่งสอนอยู่เสมอในศาลาที่ประชุมและในพระวิหารที่พวกชาวยิวมาชุมนุมกัน เราไม่ได้พูดสิ่งใดในที่ลับ 21 ทำไมท่านจึงถามเรา จงถามพวกที่ได้ยินเถิดว่าเราพูดอะไรกับเขา เพราะพวกเขารู้ว่าเราได้พูดอะไรไป” 22 เมื่อพระองค์กล่าวดังนั้นแล้ว เจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ตบหน้าพระเยซูแล้วพูดว่า “ท่านตอบหัวหน้ามหาปุโรหิตอย่างนั้นหรือ” 23 พระเยซูตอบว่า “ถ้าเราพูดผิดก็จงกล่าวหาเถิดว่าผิดอย่างไร แต่ถ้าถูกต้องแล้ว ท่านมาตบเราทำไม” 24 อันนาสจึงมอบพระองค์ซึ่งถูกมัดอยู่ให้กับคายาฟาสหัวหน้ามหาปุโรหิต
เปโตรปฏิเสธครั้งที่ 2 และครั้งที่ 3
25 ขณะนั้นซีโมนเปโตรกำลังยืนผิงไฟอยู่ คนเหล่านั้นจึงพูดกับเขาว่า “ท่านไม่ใช่หนึ่งในบรรดาสาวกของเขาด้วยหรือ” เปโตรปฏิเสธว่า “เราไม่ได้เป็น” 26 ทาสรับใช้คนหนึ่งของหัวหน้ามหาปุโรหิตซึ่งเป็นญาติกับคนที่เปโตรตัดหูขาดก็พูดขึ้นว่า “ข้าพเจ้าเห็นท่านในสวนกับเขามิใช่หรือ” 27 เปโตรจึงปฏิเสธอีก และทันใดนั้นเอง ไก่ก็ขัน
ปีลาตสอบสวนพระเยซู
28 เขาเหล่านั้นก็พาพระเยซูจากคายาฟาสไปยังวังของผู้ว่าราชการโรมันในตอนเช้าตรู่ แต่ไม่ได้เข้าไปในวังเพื่อไม่ให้เป็นมลทิน และจะได้รับประทานในเทศกาลปัสกาได้ 29 ปีลาตจึงออกมาหาเขาเหล่านั้นแล้วพูดว่า “ชายผู้นี้ถูกฟ้องร้องด้วยข้อหาอะไร” 30 พวกเขาตอบว่า “ถ้าชายผู้นี้ไม่กระทำความชั่ว พวกเราก็จะไม่มอบเขาไว้กับท่าน” 31 ปีลาตจึงพูดกับเขาว่า “พวกท่านจงเอาตัวเขาไปกล่าวโทษตามกฎของท่านเองเถิด” บรรดาชาวยิวพูดกับเขาว่า “พวกเราไม่มีสิทธิ์ประหารใคร” 32 ทั้งนี้เพื่อเป็นไปตามที่พระเยซูได้กล่าวไว้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพระองค์จะสิ้นชีวิตอย่างไร
33 ปีลาตจึงเข้าไปในวังอีกและเรียกพระเยซูมาถามว่า “ท่านเป็นกษัตริย์ของชาวยิวหรือ” 34 พระเยซูตอบว่า “ท่านพูดเกี่ยวกับเราตามความคิดของท่านเอง หรือเพราะคนอื่นๆ บอกท่าน” 35 ปีลาตตอบว่า “เราเป็นคนยิวหรือ ชนชาติของท่านและเหล่ามหาปุโรหิตได้มอบตัวท่านไว้กับเรา ท่านได้กระทำอะไรไปบ้าง” 36 พระเยซูตอบว่า “อาณาจักรของเราไม่ได้เป็นของโลกนี้ ถ้าอาณาจักรของเราเป็นของโลกนี้แล้ว บรรดาผู้รับใช้ของเราก็จะต่อสู้เพื่อไม่ให้เราถูกมอบตัวไว้กับพวกชาวยิว แต่เท่าที่เป็นอยู่นี้ อาณาจักรของเราไม่ได้อยู่ที่นี่” 37 ดังนั้นปีลาตจึงพูดกับพระองค์ว่า “ถ้าเช่นนั้นท่านก็คือกษัตริย์น่ะสิ” พระเยซูตอบว่า “ท่านพูดถูกต้องแล้วว่าเราคือกษัตริย์ และด้วยเหตุนี้เราจึงเกิดมา และเราจึงมาในโลกเพื่อยืนยันถึงความจริง ทุกคนที่มาจากความจริงฟังเสียงของเรา”
38 ปีลาตพูดกับพระองค์ว่า “ความจริงคืออะไร” และเมื่อพูดดังนั้นแล้วก็ออกไปหาชาวยิวอีก และพูดว่า “เราเห็นว่าเขาไม่มีความผิด 39 แต่พวกท่านมีธรรมเนียมอย่างหนึ่ง คือให้เราปลดปล่อยใครสักคนให้แก่ท่านในเทศกาลปัสกา ท่านอยากให้เราปลดปล่อยกษัตริย์ของชาวยิวให้แก่ท่านไหม” 40 เขาเหล่านั้นจึงร้องขึ้นอีกว่า “ไม่ใช่ชายคนนี้ ควรเป็นบารับบัส” แต่บารับบัสที่ว่านั้นเป็นโจร
พระเยซูถูกตัดสินให้ตรึงบนไม้กางเขน
19 ปีลาตจึงเอาตัวพระเยซูไปและสั่งให้คนเฆี่ยนพระองค์ 2 พวกทหารสานมงกุฎหนามแล้วสวมไว้บนศีรษะของพระองค์ และคลุมกายด้วยเสื้อตัวนอกสีม่วง 3 แล้วพวกเขาก็มาหาพระองค์ พูดซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า “ไชโย ขอต้อนรับกษัตริย์ของชาวยิว” แล้วเขาก็ตบหน้าพระองค์ 4 ปีลาตก็ออกไปอีกและพูดกับเขาเหล่านั้นว่า “ดูเถิด เราจะเอาตัวเขาออกมาให้พวกท่าน เพื่อท่านจะได้รู้ว่า เราเห็นว่าเขาไม่มีความผิด” 5 พระเยซูซึ่งสวมมงกุฎหนามและเสื้อตัวนอกสีม่วงก็ได้ออกมา ปีลาตพูดกับเขาเหล่านั้นว่า “นี่ไง ชายคนนั้น” 6 ดังนั้นเมื่อเหล่ามหาปุโรหิตและเจ้าหน้าที่เห็นพระองค์ พวกเขาจึงร้องเสียงดังว่า “ให้ตรึงเขาเสีย ให้ตรึงเขาเสีย” ปีลาตพูดกับเขาเหล่านั้นว่า “เอาตัวเขาไป แล้วก็ตรึงเขาเองเถิด เพราะเราเห็นว่าเขาไม่มีความผิด” 7 พวกชาวยิวตอบเขาว่า “ตามกฎของพวกเราแล้ว เขาควรตาย เพราะว่าเขาตั้งตนเป็นพระบุตรของพระเจ้า” 8 เมื่อปีลาตได้ยินดังนั้นก็ตกใจกลัวยิ่งขึ้น 9 จึงเข้าไปในวังอีก แล้วพูดกับพระเยซูว่า “ท่านมาจากไหน” พระเยซูไม่ตอบ 10 ปีลาตจึงพูดกับพระองค์ว่า “ท่านไม่พูดกับเราหรือ ไม่รู้หรือว่าเรามีสิทธิอำนาจที่จะปล่อยท่าน และก็มีสิทธิอำนาจที่จะตรึงท่าน” 11 พระเยซูตอบว่า “ท่านไม่มีสิทธิอำนาจเหนือเรา นอกจากว่าจะได้รับมาจากเบื้องบน ด้วยเหตุนี้เองคนที่มอบเราไว้กับท่านจึงมีบาปยิ่งกว่าท่าน”
12 ปีลาตพยายามอย่างยิ่งที่จะปลดปล่อยพระองค์ไป แต่ชาวยิวร้องด้วยเสียงอันดังว่า “ถ้าท่านปลดปล่อยชายคนนี้ ท่านก็ไม่ใช่มิตรของซีซาร์ คนที่ตั้งตนเป็นกษัตริย์ถือว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อซีซาร์” 13 เมื่อปีลาตได้ยินดังนั้นจึงพาพระเยซูออกมา และนั่งลงบนที่นั่งของผู้ตัดสินความ ที่เรียกว่า ลานปูศิลา หรือตามภาษาฮีบรูคือ กับบาธา 14 วันนั้นเป็นวันจัดเตรียม[c]สำหรับเทศกาลปัสกา เวลาประมาณ 6 โมงเช้า[d]ปีลาตพูดกับชาวยิวว่า “นี่ไง กษัตริย์ของท่าน” 15 พวกเขาจึงร้องเสียงดังว่า “เอาตัวเขาไปเสีย เอาตัวเขาไปเสีย ให้ตรึงเขาเสีย” ปีลาตพูดกับพวกเขาว่า “เราควรจะตรึงกษัตริย์ของท่านหรือ” บรรดามหาปุโรหิตตอบว่า “เราไม่มีกษัตริย์อื่นนอกจากซีซาร์” 16 จากนั้นปีลาตจึงมอบพระองค์ให้เขาเหล่านั้นนำพระองค์ไปตรึงบนไม้กางเขน
ไม้กางเขน
17 พวกเขาจึงพาพระเยซูไป ให้พระองค์แบกไม้กางเขนของพระองค์เอง[e] ออกไปยังสถานที่ซึ่งเรียกว่า ที่ของกะโหลกศีรษะหรือเรียกเป็นภาษาฮีบรูว่า กลโกธา 18 ที่นั้นเองที่พวกเขาตรึงพระองค์พร้อมกับชายอื่นอีก 2 คนโดยให้พระเยซูอยู่กลาง
19 ปีลาตเขียนป้ายติดไว้ที่ไม้กางเขนด้วยว่า
“พระเยซูแห่งเมืองนาซาเร็ธ กษัตริย์ของชาวยิว”
20 ชาวยิวจำนวนมากอ่านป้ายนี้ เพราะที่ที่เขาตรึงพระเยซูอยู่ใกล้ตัวเมือง และเขียนไว้เป็นภาษาฮีบรู ภาษาลาติน และภาษากรีก 21 ดังนั้นพวกมหาปุโรหิตของชาวยิวพูดกับปีลาตว่า “อย่าเขียนว่า ‘กษัตริย์ของชาวยิว’ แต่ให้เขียนตามที่เขาได้กล่าวไว้ว่า ‘เราคือกษัตริย์ของชาวยิว’” 22 ปีลาตตอบว่า “สิ่งใดที่เราเขียนแล้ว ก็แล้วไป”
23 เมื่อพวกทหารได้ตรึงพระเยซูบนไม้กางเขนแล้ว ก็เอาเสื้อตัวนอกของพระองค์มาแบ่งออกเป็น 4 ส่วนให้ทหารคนละส่วน และที่เหลือเป็นเสื้อตัวใน ทอเป็นชิ้นเดียวโดยไม่มีตะเข็บ 24 เขาเหล่านั้นจึงพูดโต้ตอบกันว่า “อย่าฉีกเสื้อตัวนั้นเลย แต่มาจับฉลากกันและดูว่าใครจะได้ไป” ซึ่งเป็นไปตามพระคัมภีร์ที่ว่า
“พวกเขาแบ่งปันเสื้อตัวนอกของข้าพเจ้าในหมู่พวกเขา
แล้วเขาจับฉลากเอาเสื้อตัวในของข้าพเจ้าไป”[f]
พวกทหารก็ได้ทำตามนั้น
25 บรรดาผู้ที่ยืนอยู่ข้างไม้กางเขนของพระเยซูมี มารดากับน้าสาวของพระองค์ มารีย์ภรรยาของเคลโอปัส และมารีย์ชาวมักดาลา 26 เมื่อพระเยซูมองเห็นมารดาของพระองค์และสาวกที่พระองค์รักยืนอยู่ใกล้ๆ จึงกล่าวกับมารดาของพระองค์ว่า “หญิงเอ๋ย ดูเถิด บุตรของท่าน” 27 แล้วพระองค์กล่าวกับสาวกคนนั้นว่า “ดูเถิด มารดาของเจ้า” ครั้นแล้วสาวกผู้นั้นก็รับมารดาของพระองค์เข้ามาอยู่ในบ้านของตน
พระเยซูสิ้นชีวิต
28 หลังจากนั้น พระเยซูทราบว่าทุกสิ่งเสร็จบริบูรณ์แล้ว เพื่อเป็นไปตามที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ พระองค์กล่าวว่า “เรากระหายน้ำ” 29 มีโถใส่เหล้าองุ่นเปรี้ยวตั้งอยู่ที่นั่น เขาเหล่านั้นจึงเอาฟองน้ำชุบเหล้าองุ่นเปรี้ยวติดไว้ที่ปลายไม้หุสบ ยื่นให้ถึงปากของพระองค์ 30 เมื่อพระเยซูรับเหล้าองุ่นเปรี้ยวแล้ว พระองค์กล่าวว่า “เสร็จสิ้นแล้ว” จากนั้นพระองค์ก็ก้มศีรษะลงสิ้นชีวิต
31 วันนั้นเป็นวันจัดเตรียม ชาวยิวจึงขอให้ปีลาตหักขาของผู้ที่ถูกตรึงและเอาตัวไป เพื่อไม่ให้ร่างค้างอยู่บนไม้กางเขนในวันสะบาโต (ในเมื่อเฉพาะวันสะบาโตวันนั้นสำคัญเป็นพิเศษ) 32 ดังนั้นเหล่าทหารจึงมาหักขาของชายคนแรกที่ถูกตรึงอยู่กับพระองค์ แล้วก็หักขาของชายอีกคน 33 แต่เมื่อพวกเขามาถึงพระเยซูก็พบว่าพระองค์สิ้นชีวิตแล้ว จึงไม่หักขาของพระองค์ 34 แต่ทหารคนหนึ่งใช้หอกแทงสีข้างของพระองค์ โลหิตกับน้ำก็ไหลออกมาทันที 35 ชายคนที่เห็นก็ได้ยืนยัน และคำยืนยันของเขาเป็นความจริง เขารู้ว่าเขาบอกความจริงเพื่อว่าพวกท่านจะได้เชื่อเช่นกัน 36 สิ่งนี้เกิดขึ้นก็เพื่อจะได้เป็นไปตามพระคัมภีร์ที่ว่า “กระดูกของพระองค์จะไม่หักสักชิ้นเดียว”[g] 37 และมีอีกตอนที่พระคัมภีร์ระบุว่า “พวกเขาจะมองดูองค์ผู้ที่พวกเขาได้แทง”[h]
โยเซฟนำร่างของพระเยซูไปฝัง
38 หลังจากนั้นโยเซฟชาวเมืองอาริมาเธียก็ได้มาขอร่างของพระเยซูไปจากปีลาต โยเซฟแอบเป็นสาวกอย่างลับๆ ของพระเยซูเพราะกลัวพวกชาวยิว และปีลาตได้อนุญาต เขาจึงมานำร่างของพระองค์ไป 39 เขามาพร้อมกับนิโคเดมัสซึ่งตอนแรกก็ได้มาหาพระองค์ในเวลากลางคืน โดยนำเครื่องหอมอันประกอบด้วยมดยอบกับกฤษณาหนักประมาณสามสิบกว่ากิโลกรัมมาด้วย 40 ชายทั้งสองจึงนำร่างของพระเยซูมาปฏิบัติตามประเพณีนิยมการฝังศพของชาวยิว โดยพันหุ้มด้วยริ้วผ้าป่านห่อด้วยเครื่องหอม 41 สถานที่ซึ่งพระองค์ถูกตรึงบนไม้กางเขนนั้นมีสวนแห่งหนึ่ง และในสวนมีถ้ำเก็บศพใหม่ซึ่งไม่เคยมีร่างอื่นฝังมาก่อน 42 เพราะว่าวันนั้นเป็นวันจัดเตรียมของชาวยิวและเพราะถ้ำเก็บศพอยู่ใกล้ๆ เขาจึงวางร่างของพระเยซูไว้ที่นั่น
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation