Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
1 พงศ์กษัตริย์ 21

สวนองุ่นของนาโบท

21 นาโบทชาวยิสเรเอลมีสวนองุ่นในยิสเรเอล ข้างวังของอาหับกษัตริย์แห่งสะมาเรีย อยู่มาวันหนึ่งอาหับพูดกับนาโบทว่า “ยกสวนองุ่นของเจ้าให้เราเถอะ เราจะได้ใช้เป็นสวนผัก เพราะว่าอยู่ใกล้วังของเรา แล้วเราจะให้สวนองุ่นที่ดีกว่าแทน หรือถ้าเจ้าคิดว่าจะรับเป็นเงินดีกว่า เราก็จะให้เงินเจ้าตามราคา” แต่นาโบทตอบอาหับว่า “พระผู้เป็นเจ้าไม่อนุญาตให้ข้าพเจ้ายกมรดกของบรรพบุรุษให้แก่ท่าน”[a] อาหับเข้าไปในวังของท่าน ทั้งขุ่นเคืองใจและโกรธ เป็นเพราะคำที่นาโบทชาวยิสเรเอลพูดกับท่าน เขาได้พูดว่า “ข้าพเจ้าจะไม่ยกมรดกของบรรพบุรุษของข้าพเจ้าให้แก่ท่าน” ท่านนอนลงบนเตียง หันหน้าเข้ากำแพง และไม่ยอมรับประทานอาหาร

แต่เยเซเบลมาหาท่าน และพูดกับท่านว่า “ทำไมท่านจึงกลุ้มใจถึงกับไม่ยอมรับประทานอาหาร” ท่านตอบนางว่า “เพราะว่าเราคุยกับนาโบทชาวยิสเรเอล และบอกเขาว่า ‘ยกสวนองุ่นของเจ้าให้เรา แลกเป็นเงิน ถ้าไม่เอา เราจะให้สวนองุ่นที่ดีกว่าแทน ถ้าเจ้าต้องการ’ และเขาตอบเราว่า ‘ข้าพเจ้าจะไม่ยกสวนองุ่นของข้าพเจ้าให้แก่ท่าน’” เยเซเบลผู้เป็นภรรยาตอบว่า “ปัจจุบันนี้ท่านปกครองอิสราเอลหรือเปล่า ลุกขึ้นและรับประทานขนมปัง และทำใจให้เบิกบานได้แล้ว ข้าพเจ้าจะมอบสวนองุ่นของนาโบทให้ท่านเอง”

ดังนั้น นางจึงเขียนจดหมายในนามของอาหับ และผนึกด้วยตราประทับของกษัตริย์ และส่งจดหมายไปยังบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่และบรรดาผู้นำที่อาศัยอยู่ในยิสเรเอลเมืองเดียวกับนาโบท นางเขียนในจดหมายว่า “จงประกาศเป็นทางการให้ร่วมกันอดอาหาร จัดการให้นาโบทนั่งเป็นประธานในที่ประชุม 10 ให้คนชั่วสองคนนั่งตรงข้ามกับเขา ให้เขาทั้งสองกล่าวหานาโบทว่า ‘ท่านพูดหมิ่นประมาทพระเจ้าและกษัตริย์’ แล้วก็เอาตัวเขาออกไป เอาก้อนหินขว้างเขาให้ตาย” 11 และบรรดาผู้ชายของเมือง คือบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่และบรรดาผู้นำที่อาศัยอยู่ในเมือง ก็กระทำตามที่เยเซเบลสั่ง ดังที่เขียนไว้ในจดหมายซึ่งนางส่งไปให้พวกเขา 12 เขาทั้งปวงประกาศเป็นทางการให้ร่วมกันอดอาหาร และจัดการให้นาโบทนั่งเป็นประธานในที่ประชุม 13 และคนชั่วทั้งสองกล่าวหานาโบทต่อหน้าสาธารณชนว่า “นาโบทสาปแช่งพระเจ้าและกษัตริย์” และพวกเขาก็เอาตัวเขาออกไปนอกเมือง และเอาหินขว้างเขาจนตาย 14 แล้วแจ้งให้เยเซเบลทราบว่า “นาโบทถูกหินขว้างตายแล้ว”

15 ทันทีที่เยเซเบลทราบว่านาโบทถูกหินขว้างตายแล้ว เยเซเบลบอกอาหับว่า “ลุกขึ้นเถิด เชิญท่านไปยึดสวนองุ่นของนาโบทชาวยิสเรเอลได้แล้ว ที่ดินซึ่งเขาปฏิเสธที่จะแลกกับเงิน นาโบทหามีชีวิตไม่ เพราะเขาตายเสียแล้ว” 16 ทันทีที่อาหับทราบว่านาโบทตายแล้ว อาหับก็ลุกขึ้น เพื่อลงไปยึดสวนองุ่นของนาโบทชาวยิสเรเอล

พระผู้เป็นเจ้ากล่าวโทษอาหับ

17 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวผ่านเอลียาห์ชาวทิชบีว่า 18 “จงลุกขึ้น ลงไปพบกับอาหับกษัตริย์แห่งอิสราเอล ผู้อยู่ในสะมาเรีย ดูเถิด เขาอยู่ในสวนองุ่นของนาโบท ซึ่งเขาไปยึดเป็นเจ้าของ 19 เจ้าจงพูดกับเขาว่า ‘พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้คือ “เจ้าได้ฆ่าคนและยึดที่ดินของเขาใช่ไหม”’ และเจ้าจงพูดกับเขาว่า ‘พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ “ที่ใดก็ตามที่สุนัขเลียเลือดของนาโบท มันก็จะเลียเลือดของเจ้าที่นั่น”’”

20 อาหับบอกเอลียาห์ว่า “ศัตรูของเราก็ได้พบเราแล้วหรือนี่” ท่านตอบว่า “ข้าพเจ้าได้พบท่านแล้ว เพราะว่าท่านมุ่งมั่นกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า 21 ดังนั้น พระผู้เป็นเจ้าจะให้ภัยอันตรายเกิดขึ้นกับเจ้า และจะตัดขาดทุกคนในอิสราเอลที่เป็นชายออกจากอาหับ ไม่ว่าทาสหรือคนที่เป็นอิสระ 22 และเราจะทำให้พงศ์พันธุ์ของเจ้าเหมือนกับพงศ์พันธุ์ของเยโรโบอัมบุตรของเนบัท[b] และเหมือนกับพงศ์พันธุ์ของบาอาชาบุตรของอาหิยาห์[c] เพราะเจ้ายั่วโทสะเรา และเป็นเหตุให้อิสราเอลกระทำบาป 23 และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวถึงเยเซเบลด้วยว่า ‘สุนัขจะกินร่างของเยเซเบลภายในกำแพงเมืองของยิสเรเอล’ 24 สุนัขจะกินร่างของคนในครอบครัวของอาหับที่ตายในเมือง และนกในอากาศจะกินร่างของคนตายในทุ่งโล่ง”

อาหับกลับใจ

25 (ไม่มีผู้ใดที่มุ่งมั่นกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้าเท่ากับอาหับ ด้วยการสนับสนุนยุยงจากเยเซเบลภรรยาของท่าน 26 ท่านกระทำสิ่งที่น่าชังยิ่งนัก ด้วยการหันไปติดตามรูปเคารพ เหมือนกับที่ชาวอาโมร์ได้กระทำ ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าก็ได้ขับไล่ออกไปต่อหน้าชาวอิสราเอล)

27 ครั้นอาหับได้ยินคำพูดดังกล่าว ท่านก็ฉีกเสื้อให้ขาดวิ่น สวมผ้ากระสอบแทน อดอาหาร และสวมผ้ากระสอบนอน และก้าวเดินช้าๆ ด้วยใจหดหู่ 28 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวผ่านเอลียาห์ชาวทิชบีว่า 29 “เจ้าเห็นไหมว่าอาหับถ่อมตัวต่อหน้าเราอย่างไร เป็นเพราะว่าเขาถ่อมตัวลงต่อหน้าเรา เราจะไม่ทำให้ภัยอันตรายเกิดขึ้นในชั่วชีวิตของเขา แต่เราจะทำให้ภัยอันตรายเกิดขึ้นกับพงศ์พันธุ์ของเขาในชั่วชีวิตของบุตรของเขา”

1 เธสะโลนิกา 4

ดำเนินชีวิตให้เป็นที่พอใจของพระเจ้า

สุดท้ายนี้ พี่น้องทั้งหลาย พวกเราขอร้องและสนับสนุนท่านในพระนามของพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าว่า ในเมื่อท่านได้รับรู้การดำเนินชีวิตจากพวกเราแล้วว่า ทำอย่างไรจึงจะเป็นที่พอใจของพระเจ้า (ซึ่งท่านได้กระทำอยู่แล้ว) เพื่อท่านจะได้กระทำมากยิ่งขึ้นอีก เพราะท่านทราบว่า เราให้คำกำชับแก่ท่านตามแนวทางของพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นความประสงค์ของพระเจ้า ที่ท่านควรได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ ท่านควรหลีกเลี่ยงการประพฤติผิดทางเพศ ทุกท่านควรรู้จักควบคุมกายของตนในทางที่บริสุทธิ์และมีเกียรติ ไม่ใช่ในความใคร่ที่เป็นกิเลสตามอย่างคนนอกซึ่งไม่รู้จักพระเจ้า และไม่ควรให้ใครทำผิด หรือเอาเปรียบพี่น้องของตนในเรื่องนี้ พระผู้เป็นเจ้าจะลงโทษเรื่องเหล่านี้ตามที่พวกเราได้บอกและเตือนท่านแล้ว ด้วยว่า พระเจ้าไม่ได้เรียกเราให้เป็นคนมีมลทิน แต่ให้เป็นคนบริสุทธิ์ ฉะนั้นคนที่ปฏิเสธคำกำชับนี้ไม่ได้ปฏิเสธมนุษย์ แต่ปฏิเสธพระเจ้าผู้ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์แก่ท่าน

พวกเราไม่จำเป็นต้องเขียนถึงท่านเรื่องความรักฉันพี่น้อง เพราะท่านเองได้รับการสอนจากพระเจ้า ให้รักซึ่งกันและกัน 10 ความจริงแล้วท่านก็รักพี่น้องทั้งหลายทั่วทั้งแคว้นมาซิโดเนีย กระนั้นก็ตาม เราขอให้พวกท่านกระทำมากยิ่งขึ้นอีก 11 จงตั้งเป้าหมายว่าจะอยู่อย่างสงบ อย่ายุ่งเรื่องของคนอื่น และทำงานด้วยมือของตนเอง ตามที่เราได้บอกท่านแล้ว 12 เพื่อว่า ท่านจะได้เป็นที่นับถือของคนภายนอก และท่านจะได้ไม่ต้องพึ่งพาอาศัยใครเลย

วันที่พระผู้เป็นเจ้าจะกลับมา

13 พี่น้องทั้งหลาย พวกเราอยากให้ท่านทราบเกี่ยวกับบรรดาผู้ล่วงลับไปแล้ว ท่านจะได้ไม่ระทมใจดังเช่นผู้อื่นที่ปราศจากความหวัง 14 ในเมื่อเราเชื่อว่า พระเยซูเสียชีวิต และฟื้นคืนชีวิตอีก เราจึงเชื่อว่า พระเจ้าจะพาคนที่เชื่อในพระเยซูซึ่งได้ล่วงลับไปแล้วมากับพระองค์ด้วย 15 เราขอบอกท่านตามคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าว่า พวกเราที่ยังมีชีวิตอยู่ และจะอยู่ต่อไปอีกจนกระทั่งพระผู้เป็นเจ้ามา จะไม่รุดหน้าไปก่อนพวกที่ล่วงลับไปแล้วอย่างแน่นอน 16 ด้วยว่า พระผู้เป็นเจ้าเองจะลงมาจากสวรรค์พร้อมกับคำบัญชาด้วยเสียงอันดัง กับเสียงของทูตสวรรค์ชั้นเอกและด้วยเสียงแตรของพระเจ้า ครั้นแล้วคนที่ตายไปโดยที่มีความเชื่อในพระคริสต์จะฟื้นคืนชีวิตก่อน 17 แล้วพวกเราที่มีชีวิตอยู่และอยู่ต่อไปในโลกจะถูกรับขึ้นไปด้วยกันกับพวกเขาในกลุ่มเมฆ เพื่อพบกับพระผู้เป็นเจ้าในห้วงฟ้าอากาศ เราก็จะอยู่กับพระผู้เป็นเจ้าเป็นนิตย์ 18 ฉะนั้นจงให้กำลังใจกันด้วยคำดังกล่าวเถิด

ดาเนียล 3

รูปเคารพทองคำของเนบูคัดเนสซาร์

กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์บัญชาให้หล่อรูปเคารพทองคำ ซึ่งสูง 60 ศอก และกว้าง 6 ศอก และให้ตั้งไว้ที่ที่ราบดูรา ในแคว้นบาบิโลน และกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เรียกประชุมผู้ปกครองแคว้น เจ้าหน้าที่ชั้นสูง ผู้ว่าราชการ ที่ปรึกษา ผู้ดูแลกองคลัง ผู้ตัดสินความ เจ้าหน้าที่บังคับคดี และบรรดาเจ้าหน้าที่ของแคว้นต่างๆ เพื่อมางานถวายรูปเคารพที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ตั้งขึ้น ครั้นแล้ว ผู้ปกครองแคว้น เจ้าหน้าที่ชั้นสูง ผู้ว่าราชการ ที่ปรึกษา ผู้ดูแลกองคลัง ผู้ตัดสินความ เจ้าหน้าที่บังคับคดี และบรรดาเจ้าหน้าที่ของแคว้นต่างๆ จึงมาร่วมประชุมในงานถวายรูปเคารพที่กษัตริย์ได้ตั้งขึ้น และพวกเขาก็ยืนที่เบื้องหน้ารูปเคารพนั้น ผู้ประกาศออกเสียงดังประกาศว่า “โอ ทุกชนชาติ ทุกประชาชาติ และทุกภาษาเอ๋ย ท่านได้รับคำบัญชาดังนี้คือ เมื่อท่านได้ยินเสียงแตรงอน ปี่ พิณเล็ก เครื่องสายรูปสามเหลี่ยม พิณสิบสาย ปี่สกอต และเสียงดนตรีทุกชนิด พวกท่านจะต้องหมอบลงนมัสการรูปเคารพทองคำที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ตั้งขึ้น และใครก็ตามที่ไม่หมอบลงนมัสการ ก็จะถูกโยนในเตาเผาที่มีไฟลุกโพลง” ดังนั้น ทันทีที่ชนชาติทั้งปวงได้ยินเสียงแตรงอน ปี่ พิณเล็ก เครื่องสายรูปสามเหลี่ยม พิณสิบสาย ปี่สกอต และเสียงดนตรีทุกชนิด ทุกชนชาติ ทุกประชาชาติ และทุกภาษาก็หมอบลงนมัสการรูปเคารพทองคำที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ได้ตั้งขึ้น

เตาเผาที่ลุกโพลง

ขณะนั้น ชาวเคลเดียบางคนถือโอกาสกล่าวหาว่าร้ายชาวยิว พวกเขาพูดว่า “โอ กษัตริย์ ขอให้ท่านมีชีวิตยิ่งยืนนานเถิด 10 โอ กษัตริย์ ท่านได้ตั้งกฤษฎีกาไว้ว่า ทุกคนที่ได้ยินเสียงแตรงอน ปี่ พิณเล็ก เครื่องสายรูปสามเหลี่ยม พิณสิบสาย ปี่สกอต และเสียงดนตรีทุกชนิด จะต้องหมอบลงนมัสการรูปเคารพทองคำนั้น 11 และใครก็ตามที่ไม่หมอบลงนมัสการ ก็จะถูกโยนในเตาเผาที่มีไฟลุกโพลง 12 มีชาวยิวบางคนที่ท่านได้แต่งตั้งให้เป็นผู้บริหารงานของแคว้นบาบิโลนคือ ชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก โอ กษัตริย์ ชายเหล่านี้ไม่ได้เชื่อฟังท่าน พวกเขาไม่ได้นมัสการปวงเทพเจ้าของท่าน หรือนมัสการรูปเคารพทองคำที่ท่านได้ตั้งขึ้น”

13 เนบูคัดเนสซาร์โกรธมาก จึงสั่งให้นำชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก มาหาท่าน พวกเขาถูกนำมายืนที่เบื้องหน้ากษัตริย์ 14 เนบูคัดเนสซาร์ถามพวกเขาว่า “ชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก จริงหรือนี่ ที่พวกเจ้าไม่นมัสการบรรดาเทพเจ้าของเรา และไม่นมัสการรูปเคารพทองคำที่เราได้ตั้งขึ้น 15 ต่อไปนี้ เมื่อได้ยินเสียงแตรงอน ปี่ พิณเล็ก เครื่องสายรูปสามเหลี่ยม พิณสิบสาย ปี่สกอต และเสียงดนตรีทุกชนิด ถ้าพวกเจ้าพร้อมที่จะหมอบลงนมัสการรูปเคารพทองคำที่เราให้หล่อไว้ ก็จะดีมาก แต่ถ้าพวกเจ้าไม่นมัสการ เจ้าจะถูกโยนในเตาเผาที่มีไฟลุกโพลง แล้วผู้ใดเป็นพระเจ้าที่จะช่วยพวกเจ้าให้รอดจากมือของเราได้”

16 ชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโกตอบกษัตริย์ว่า “โอ เนบูคัดเนสซาร์ พวกเราไม่จำเป็นต้องตอบท่านในเรื่องดังกล่าว 17 ถ้าจะต้องเป็นไปเช่นนั้น พระเจ้าของพวกเราที่เรานมัสการสามารถช่วยพวกเราจากไฟที่ลุกโพลง และพระองค์จะช่วยพวกเราให้รอดจากมือของท่านผู้เป็นกษัตริย์ 18 แต่ว่าถ้าไม่เป็นอย่างนั้น โอ กษัตริย์ ขอท่านรับทราบว่า พวกเราจะไม่นมัสการบรรดาเทพเจ้าของท่าน และไม่นมัสการรูปเคารพทองคำที่ท่านได้ตั้งขึ้นแน่”

19 แล้วเนบูคัดเนสซาร์จึงโกรธ ชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโกยิ่งนัก ความรู้สึกที่มีต่อพวกเขาก็เปลี่ยนไป ท่านสั่งให้ติดไฟที่เตาเผาให้ร้อนกว่าปกติเป็น 7 เท่า 20 และท่านสั่งบรรดานักรบผู้กล้าหาญให้มัดตัวชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก และโยนทั้งสามคนลงในเตาเผาที่มีไฟลุกโพลง 21 ดังนั้น ชายเหล่านั้นถูกมัดทั้งยังสวมเสื้อคลุม เสื้อยาวชั้นใน หมวก และเครื่องแต่งกายชิ้นอื่น แล้วก็ถูกโยนลงในเตาเผาที่ลุกโพลง 22 เพราะคำสั่งของกษัตริย์เด็ดขาด เตาเผาจึงร้อนจัดมาก เปลวไฟเผาไหม้ตัวนักรบที่คุมตัวชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโกจนสิ้นชีวิต 23 ส่วนชายทั้งสามคนคือ ชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโกที่ถูกมัดตัวก็ตกลงในเตาเผาที่มีไฟลุกโพลง

24 กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ตกตะลึงถึงกับลุกขึ้นยืนทันที ท่านถามบรรดาที่ปรึกษาของท่านว่า “พวกเราโยนชาย 3 คนที่ถูกมัดตัวลงในเตาไฟมิใช่หรือ” พวกเขาตอบกษัตริย์ว่า “เป็นเช่นนั้นจริงๆ โอ กษัตริย์” 25 ท่านตอบว่า “แต่ว่าเราเห็นชาย 4 คนเดินอยู่กลางเปลวไฟ แก้มัดแล้วด้วย ทั้งสี่คนก็ไม่เป็นอันตราย และดูเหมือนว่า คนที่สี่ดูราวกับบุตรของเทพเจ้า”

26 ดังนั้น เนบูคัดเนสซาร์จึงไปใกล้ประตูเตาเผาที่มีไฟลุกโพลง และพูดว่า “ชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโกบรรดาผู้รับใช้ของพระเจ้าผู้สูงสุด จงออกมาที่นี่เถิด” ชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโกจึงออกมาจากกองไฟ 27 ฝ่ายผู้ปกครองแคว้น เจ้าหน้าที่ชั้นสูง ผู้ว่าราชการ และที่ปรึกษาของกษัตริย์ ต่างก็มาห้อมล้อมและเห็นว่าไฟไม่ได้ทำอันตรายต่อร่างกายของชายทั้งสาม ผมก็ไม่ไหม้ เสื้อคลุมไม่ถูกไฟเผา และไม่มีแม้แต่กลิ่นควันไฟติดตัวพวกเขาเลย 28 เนบูคัดเนสซาร์พูดว่า “ขอพระเจ้าของชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโกได้รับพระพรเถิด พระองค์ได้ส่งทูตสวรรค์มาช่วยบรรดาผู้รับใช้ที่วางใจในพระองค์ พวกเขาไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของข้าพเจ้า และยอมสละชีวิตแทนที่จะนมัสการเทพเจ้าใดๆ นอกจากพระเจ้าของพวกเขาเท่านั้น 29 ฉะนั้น ข้าพเจ้าออกกฤษฎีกาว่า ทุกชนชาติ ทุกประชาชาติ และภาษาใดก็ตามที่พูดถึงสิ่งที่ขัดแย้งต่อพระเจ้าของชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก จะถูกตัดเป็นท่อนๆ และบ้านเรือนของพวกเขาก็จะถูกพังทลายไป เพราะว่าไม่มีเทพเจ้าใดๆ ที่สามารถช่วยให้พ้นภัยอย่างนี้ได้” 30 แล้วกษัตริย์ก็เลื่อนตำแหน่งให้แก่ชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก ในแคว้นบาบิโลน

สดุดี 107

ภาค 5

บทที่ 107-150

ความเมตตานานาประการ

จงขอบคุณพระผู้เป็นเจ้า เพราะพระองค์ประเสริฐ
    เพราะความรักอันมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล
ให้บรรดาผู้ที่พระผู้เป็นเจ้าไถ่ไว้แล้วกล่าวเช่นนั้นเถิด
    คือคนที่พระองค์ไถ่มาจากอำนาจของศัตรู
และรวบรวมมาจากดินแดนทั้งหลาย
    จากตะวันออกและตะวันตก
    จากเหนือและใต้

พวกเขาพเนจรอยู่ในถิ่นทุรกันดารอันแร้นแค้น
    และไม่สามารถหาทางเข้าเมืองเพื่ออาศัยอยู่ได้
ทั้งหิวและกระหาย
    ชีวิตจิตใจอ่อนระอา
พวกเขาจึงร้องต่อพระผู้เป็นเจ้าในยามลำบาก
    พระองค์ก็ได้ช่วยพวกเขาให้พ้นจากความทุกข์
พระองค์นำพวกเขามุ่งตรงไป
    จนถึงเมืองเพื่ออาศัยอยู่
ให้พวกเขาขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าในความรักอันมั่นคงของพระองค์
    ในสิ่งมหัศจรรย์ของพระองค์ที่มีต่อบรรดาบุตรของมนุษย์
เพราะพระองค์ทำให้ผู้กระหายได้รับจนพอใจ
    และมอบสิ่งดีๆ แก่ผู้หิวโหย

10 บ้างก็ตกอยู่ในความมืดมิด
    นักโทษรับทุกข์ทรมานเพราะถูกล่ามโซ่
11 เพราะพวกเขาฝ่าฝืนคำกล่าวของพระเจ้า
    และดูหมิ่นความตั้งใจขององค์ผู้สูงสุด
12 ใจของพวกเขาท้อแท้เพราะงานหนัก
    เมื่อล้มลงก็ไม่มีใครช่วย
13 พวกเขาจึงร้องต่อพระผู้เป็นเจ้าในยามลำบาก
    พระองค์ก็ได้ช่วยพวกเขาให้พ้นจากความทุกข์
14 ปลดปล่อยให้พ้นจากความมืดมิด
    และทำให้โซ่ที่ล่ามไว้ขาดออก
15 ให้พวกเขาขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าในความรักอันมั่นคงของพระองค์
    ในสิ่งมหัศจรรย์ของพระองค์ที่มีต่อบรรดาบุตรของมนุษย์
16 เพราะพระองค์พังประตูทองสัมฤทธิ์ลง
    รวมทั้งที่ได้หักดาลประตู

17 พวกโง่เขลาที่ยังคงฝ่าฝืนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
    ก็ต้องทนทุกข์ต่อไปเพราะความชั่วของตนเอง
18 พวกเขาแขยงอาหารทุกชนิด
    และเขยิบเข้าไปใกล้ประตูแดนคนตาย
19 พวกเขาจึงร้องต่อพระผู้เป็นเจ้าในยามลำบาก
    พระองค์ก็ได้ช่วยให้พ้นจากความทุกข์
20 เมื่อพระองค์บัญชา โรคที่พวกเขาเป็นอยู่ก็หายขาด
    พระองค์ยังช่วยให้พ้นจากความพินาศอีกด้วย
21 ให้พวกเขาขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าในความรักอันมั่นคงของพระองค์
    ในสิ่งมหัศจรรย์ของพระองค์ที่มีต่อบรรดาบุตรของมนุษย์
22 ให้พวกเขามอบของถวายแห่งการขอบคุณ
    และประกาศสิ่งที่พระองค์ได้กระทำด้วยเพลงแห่งความยินดี

23 บางคนออกเรือเดินทะเล
    ท่องไปในมหาสมุทรเพื่อทำการค้า
24 พวกนั้นได้เห็นสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้ากระทำ
    เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของพระองค์ในท่ามกลางทะเลลึก
25 เพียงพระองค์กล่าว ก็เกิดลมอันแรงกล้า
    ซึ่งทำให้เกิดคลื่นลูกใหญ่
26 พวกคนในเรือถูกโยนลอยสูงขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อนจะดำดิ่งลงสู่ห้วงลึก
    ความกล้าของพวกเขามลายไปสิ้นเมื่ออันตรายย่างกรายเข้ามา
27 พวกเขาสะดุดและโซเซไปมาราวกับคนเมา
    ความชำนาญของพวกเขาไร้ประโยชน์
28 พวกเขาจึงร้องต่อพระผู้เป็นเจ้าในยามลำบาก
    พระองค์ก็ได้ช่วยพวกเขาให้พ้นจากความทุกข์
29 พระองค์ทำให้พายุสงบ
    และคลื่นสงบนิ่ง
30 ครั้นแล้วพวกเขาก็พากันดีใจเพราะคลื่นลมสงบลง
    และพระองค์นำไปยังท่าที่พวกเขาต้องการ
31 ให้พวกเขาขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าในความรักอันมั่นคงของพระองค์
    ในสิ่งมหัศจรรย์ของพระองค์ที่มีต่อบรรดาบุตรของมนุษย์
32 ให้พวกเขายกย่องพระองค์ต่อหน้าที่ประชุมของชนชาติ
    และสรรเสริญพระองค์ในที่ประชุมของบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่

33 พระองค์ทำให้แม่น้ำกลายเป็นถิ่นทุรกันดาร
    แหล่งน้ำกลายเป็นดินที่แห้งแตกระแหง
34 ดินที่เคยอุดมกลับกลายเป็นดินเค็ม
    เพราะผู้ที่อาศัยอยู่ที่นั่นชั่วร้าย
35 พระองค์เปลี่ยนถิ่นทุรกันดารให้กลายเป็นแอ่งน้ำได้
    จากดินที่แห้งผากกลับเป็นแหล่งน้ำ
36 พระองค์ให้ผู้หิวกระหายตั้งถิ่นฐาน
    และพวกเขาก็สร้างเมืองขึ้นเพื่อพักอาศัย
37 พวกเขาหว่านเมล็ดในไร่นาและปลูกสวนองุ่น
    ซึ่งก็เก็บเกี่ยวได้ผลดี
38 ด้วยพระพรของพระองค์ เขาทั้งหลายจึงทวีจำนวนลูกหลานมากขึ้น
    และไม่ปล่อยให้ฝูงสัตว์ลดจำนวนลง

39 ครั้นเมื่อถูกลดจำนวนลงและอับอาย
    เพราะถูกบีบบังคับ เผชิญกับความวิบัติและความเศร้า
40 พระองค์ให้บรรดาผู้นำเป็นที่ถูกดูหมิ่น
    และทำให้พวกเขาพเนจรไปในถิ่นทุรกันดาร
41 แต่พระองค์ฉุดคนยากไร้ขึ้นจากความทุกข์ทรมาน
    และทำให้ครอบครัวของคนเหล่านั้นเพิ่มจำนวนมากขึ้นดั่งฝูงแกะ
42 บรรดาผู้มีความชอบธรรมเห็นแล้วก็ยินดี
    และคนชั่วทั้งปวงก็ปิดปาก

43 ผู้ใดเรืองปัญญาก็ให้เขาใส่ใจในสิ่งเหล่านี้
    ให้เขาระลึกถึงความรักอันมั่นคงของพระผู้เป็นเจ้า

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation