Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
2 พงศาวดาร 24

โยอาชทรงซ่อมแซมพระวิหาร(A)

24 เมื่อโยอาชขึ้นเป็นกษัตริย์ พระองค์ทรงมีพระชนมายุเจ็ดพรรษา และทรงครองราชย์อยู่ในกรุงเยรูซาเล็มสี่สิบปี ราชมารดาคือศิบียาห์จากเบเออร์เชบา โยอาชทรงทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดชั่วอายุของปุโรหิตเยโฮยาดา เยโฮยาดาหามเหสีให้สององค์และโยอาชทรงมีโอรสธิดาหลายองค์

ต่อมาโยอาชตั้งพระทัยจะซ่อมแซมพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า จึงทรงเรียกปุโรหิตและคนเลวีมาประชุม แล้วตรัสกับพวกเขาว่า “จงไปยังหัวเมืองต่างๆ ของยูดาห์ และรวบรวมเงินประจำปีจากอิสราเอลทั้งปวง เพื่อการซ่อมแซมพระวิหารของพระเจ้าของท่าน จงลงมือทำเดี๋ยวนี้” แต่คนเลวีไม่ได้ทำตามทันที

ฉะนั้นกษัตริย์ทรงเรียกเยโฮยาดาหัวหน้าปุโรหิตมาถามว่า “ทำไมท่านจึงไม่ออกคำสั่งให้คนเลวีออกไปเก็บภาษีบำรุงพระวิหารจากหัวเมืองต่างๆ ของยูดาห์และกรุงเยรูซาเล็ม? โมเสสผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้ากำหนดให้เก็บภาษีนี้จากประชากรอิสราเอลเพื่อบำรุงรักษาเต็นท์แห่งพันธสัญญา”

ก่อนหน้านี้บริวารของพระนางอาธาลิยาห์ผู้ชั่วร้ายได้บุกเข้าไปในพระวิหาร และถึงกับนำของศักดิ์สิทธิ์ไปใช้สำหรับพระบาอัล

โยอาชตรัสสั่งให้ทำหีบใบหนึ่งตั้งไว้ข้างนอกที่ประตูพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า และออกหมายประกาศในยูดาห์และในกรุงเยรูซาเล็ม ให้ประชาชนนำภาษีซึ่งโมเสสผู้รับใช้ของพระเจ้าได้กำหนดให้เก็บจากชนอิสราเอลในถิ่นกันดารมาถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า 10 เจ้าหน้าที่และประชากรทั้งปวงต่างยินดีนำเงินมาใส่ไว้ในหีบจนเต็ม 11 เมื่อใดที่คนเลวียกหีบมาพบเจ้าหน้าที่ของกษัตริย์และพวกเขาเห็นว่ามีเงินมาก ราชเลขากับเจ้าหน้าที่ของมหาปุโรหิตจะเก็บเงินออกจากหีบ แล้วนำหีบไปตั้งไว้ที่เดิม พวกเขาทำเช่นนี้สม่ำเสมอจนได้เงินก้อนใหญ่ 12 กษัตริย์และเยโฮยาดามอบเงินนั้นแก่ผู้ควบคุมการก่อสร้างพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า คนเหล่านี้จ้างช่างก่อ ช่างไม้ ช่างเหล็ก และช่างทองสัมฤทธิ์มาซ่อมแซมพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า

13 เจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ ปฏิบัติงานอย่างขยันขันแข็ง ดูแลให้งานซ่อมแซมคืบหน้าไป พวกเขาปฏิสังขรณ์พระวิหารตามรูปแบบเดิมและเสริมให้แข็งแกร่งขึ้น 14 เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น พวกเขานำเงินที่เหลือมามอบแด่กษัตริย์และเยโฮยาดา และใช้ทำเครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ สำหรับพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า เครื่องใช้ในพิธีและการถวายเครื่องเผาบูชา รวมทั้งชามและภาชนะเงินและทอง มีการถวายเครื่องเผาบูชาในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างสม่ำเสมอตลอดชั่วอายุของปุโรหิตเยโฮยาดา

15 เยโฮยาดามีอายุยืนมาก เขาสิ้นชีวิตเมื่ออายุ 130 ปี 16 เขาถูกฝังไว้รวมกับกษัตริย์องค์ต่างๆ ในเมืองดาวิด เพราะเขาได้บำเพ็ญประโยชน์มากมายในอิสราเอลเพื่อพระเจ้าและเพื่อพระวิหารของพระองค์

ความชั่วร้ายของโยอาช

17 หลังจากเยโฮยาดาสิ้นชีวิต บรรดาเจ้าหน้าที่ของยูดาห์มาถวายบังคมกษัตริย์และพระองค์ทรงฟังพวกเขา 18 พวกเขาพากันละทิ้งพระวิหารของพระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษไปกราบไหว้เสาเจ้าแม่อาเชราห์และรูปเคารพต่างๆ พระพิโรธของพระเจ้าจึงตกแก่ยูดาห์และเยรูซาเล็มเนื่องจากความผิดของพวกเขา 19 แม้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงใช้ผู้เผยพระวจนะมาเพื่อนำพวกเขาหันกลับไปหาพระองค์ และถึงแม้ว่าผู้เผยพระวจนะเหล่านั้นว่ากล่าวตักเตือน แต่พวกเขาก็ไม่ยอมฟัง

20 แล้วพระวิญญาณของพระเจ้าเสด็จลงมาเหนือเศคาริยาห์บุตรปุโรหิตเยโฮยาดา เขายืนอยู่ต่อหน้าประชาชนและกล่าวว่า “พระเจ้าตรัสว่า ‘เหตุใดพวกเจ้าไม่เชื่อฟังพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า? พวกเจ้าจะไม่เจริญเพราะเจ้าได้ละทิ้งองค์พระผู้เป็นเจ้าพระองค์จึงได้ทรงละทิ้งเจ้า’ ”

21 แต่พวกเขาคบคิดกันกำจัดเศคาริยาห์ พวกเขารุมเอาหินขว้างเศคาริยาห์จนตายในลานพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าตามพระราชโองการของกษัตริย์ 22 กษัตริย์โยอาชไม่ได้ระลึกถึงบุญคุณของเยโฮยาดาบิดาของเศคาริยาห์เลย แต่กลับฆ่าลูกของเขา ขณะจะสิ้นชีวิต เศคาริยาห์กล่าวว่า “ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทอดพระเนตรสิ่งนี้และเรียกร้องความรับผิดชอบจากท่าน”

23 ในปีต่อมา[a]กองทัพอารัมมารบกับโยอาช บุกโจมตียูดาห์และเยรูซาเล็ม สังหารผู้นำทุกคนของประชาชนและนำของที่ยึดมาได้ทั้งหมดกลับไปถวายกษัตริย์ของพวกเขาในเมืองดามัสกัส 24 แม้กองทัพอารัมมีกำลังพลน้อย แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงให้พวกเขาชนะกองทัพใหญ่ เพราะยูดาห์ได้ละทิ้งพระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษ โยอาชจึงถูกลงโทษ 25 เมื่อชาวอารัมกลับไป ทิ้งให้โยอาชบาดเจ็บสาหัส ข้าราชการของพระองค์คบคิดกันกำจัดโยอาชที่ได้ประหารบุตรของปุโรหิตเยโฮยาดา จึงปลงพระชนม์โยอาชซึ่งบรรทมอยู่บนแท่น แล้วฝังพระศพไว้ในเมืองดาวิด แต่ไม่ใช่ในสุสานหลวง

26 ผู้สมคบกันคือศาบาด[b]บุตรนางชิเมอัทชาวอัมโมน และเยโฮซาบาดบุตรนางชิมริท[c]ชาวโมอับ 27 เรื่องราวเกี่ยวกับโอรสของโยอาช คำพยากรณ์ต่างๆ ว่าด้วยโยอาช และเรื่องราวการซ่อมแซมพระวิหารมีบันทึกไว้ในจดหมายเหตุกษัตริย์องค์ต่างๆ แล้วอามาซิยาห์โอรสของพระองค์ขึ้นครองราชย์แทน

วิวรณ์ 11

พยานทั้งสอง

11 ข้าพเจ้าได้รับไม้อ้ออันหนึ่ง รูปร่างเหมือนไม้วัด และได้รับคำสั่งว่า “จงไปวัดพระวิหารของพระเจ้ากับแท่นบูชาและนับจำนวนผู้นมัสการที่นั่น แต่ไม่ต้องวัดลานชั้นนอกเนื่องจากที่นั่นยกให้คนต่างชาติแล้ว เขาทั้งหลายจะเหยียบย่ำนครศักดิ์สิทธิ์เป็นเวลา 42 เดือน เราจะมอบฤทธิ์อำนาจให้แก่พยานทั้งสองของเรา พวกเขาจะนุ่งห่มผ้ากระสอบและเผยพระวจนะเป็นเวลา 1,260 วัน พยานทั้งสองคือต้นมะกอกสองต้นและคันประทีปสองคันซึ่งอยู่ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าของโลก” ไฟจะพุ่งออกจากปากพยานทั้งสอง เผาผลาญผู้คิดจะมาทำร้าย ผู้ใดคิดจะทำอันตรายพยานทั้งสองจะต้องตายเช่นนี้ ทั้งสองมีฤทธิ์อำนาจที่จะปิด ท้องฟ้าไม่ให้ฝนตกขณะกำลังเผยพระวจนะและมีฤทธิ์ทำให้น้ำกลายเป็นเลือด ตลอดจนบันดาลภัยพิบัติทุกชนิดมากระหน่ำโลกกี่ครั้งก็ได้ตามที่ประสงค์

และเมื่อทั้งสองเป็นพยานเสร็จแล้ว สัตว์ร้ายจากนรกขุมลึกจะขึ้นมาทำร้ายพวกเขา มันจะเอาชนะเขาและฆ่าเขา ซากศพของพยานทั้งสองจะถูกทิ้งอยู่กลางถนนแห่งมหานครซึ่งได้รับสมญานามว่า โสโดมและอียิปต์ ที่ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขาถูกตรึงบนไม้กางเขน ตลอดสามวันครึ่งผู้คนจากทุกหมู่ชน ทุกตระกูล ทุกภาษา และทุกชนชาติจะมาจ้องมองซากศพของเขา และไม่ยอมให้ฝังศพนั้น 10 ชาวโลกทั้งหลายจะมองศพของเขาด้วยความยินดีและจะเฉลิมฉลองให้ของขวัญแก่กัน เพราะผู้เผยพระวจนะทั้งสองได้ทรมานบรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในโลก

11 แต่หลังจากสามวันครึ่งแล้วพระเจ้าทรงระบายลมหายใจแห่งชีวิตเข้าในร่างนั้น เขาทั้งสองจึงลุกขึ้นยืน คนที่พบเห็นก็หวาดกลัวยิ่งนัก 12 แล้วพวกเขาได้ยินเสียงดังจากฟ้าสวรรค์กล่าวว่า “จงขึ้นมาที่นี่” พยานนั้นก็ขึ้นไปในเมฆสู่สวรรค์ขณะที่เหล่าศัตรูของเขามองดูอยู่

13 ในชั่วโมงนั้นเองเกิดแผ่นดินไหวร้ายแรง และหนึ่งในสิบของเมืองนั้นถล่มลง มีคนตายเจ็ดพันคนในแผ่นดินไหวครั้งนี้ ส่วนผู้ที่รอดชีวิตตกใจกลัวและถวายพระเกียรติสิริแด่พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์

14 วิบัติที่สองได้ผ่านพ้นไป วิบัติที่สามจะมาถึงในไม่ช้านี้

แตรคันที่เจ็ด

15 ทูตสวรรค์องค์ที่เจ็ดเป่าแตรและมีเสียงดังหลายเสียงในสวรรค์กล่าวว่า

“ราชอาณาจักรของโลกนี้ได้กลับมาเป็นราชอาณาจักรขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเรากับพระคริสต์ของพระองค์แล้ว และพระองค์จะทรงครองอาณาจักรเป็นนิตย์”

16 แล้วผู้อาวุโสทั้งยี่สิบสี่คนซึ่งนั่งบนบัลลังก์ของตนต่อหน้าพระเจ้าก็หมอบซบหน้าลงนมัสการพระเจ้า 17 ทูลว่า

“ข้าพระองค์ทั้งหลายขอบคุณพระองค์ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์
ผู้ทรงดำรงอยู่ในปัจจุบันและผู้ทรงดำรงอยู่ในอดีต
เพราะพระองค์ได้ทรงสำแดงฤทธานุภาพยิ่งใหญ่ของพระองค์
และได้ทรงเริ่มครอบครองอาณาจักรแล้ว
18 บรรดาประชาชาติโกรธกริ้ว
แต่พระพิโรธของพระองค์มาถึงแล้ว
และเวลานั้นได้มาถึงแล้ว เวลาที่จะทรงพิพากษาคนที่ได้ตายไป
เวลาที่จะประทานบำเหน็จแก่เหล่าผู้เผยพระวจนะผู้รับใช้ของพระองค์
และแก่ประชากรของพระองค์และบรรดาผู้ยำเกรงพระนามของพระองค์
ทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อย
และเวลาที่จะทรงทำลายบรรดาผู้ที่ทำลายโลก”

19 แล้วพระวิหารของพระเจ้าในสวรรค์ก็เปิดออก และข้าพเจ้าเห็นหีบพันธสัญญาภายในพระวิหารของพระองค์ และเกิดฟ้าแลบแวบวาบ เสียงครืนๆ เสียงฟ้าร้องกึกก้อง แผ่นดินไหว และพายุลูกเห็บครั้งร้ายแรง

เศคาริยาห์ 7

ความยุติธรรมและความเมตตา ไม่ใช่การอดอาหาร

ในวันที่สี่เดือนคิสเลฟอันเป็นเดือนที่เก้าของปีที่สี่แห่งรัชกาลดาริอัส พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงเศคาริยาห์ ชาวเบธเอลได้ส่งชาเรเซอร์และเรเกมเมเลคกับพรรคพวกมาทูลองค์พระผู้เป็นเจ้า โดยให้มาถามปุโรหิตที่พระนิเวศของพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์และบรรดาผู้เผยพระวจนะว่า “ข้าพเจ้าควรไว้ทุกข์และถืออดอาหารในเดือนที่ห้าเหมือนที่ได้ทำมาตลอดหลายปีหรือไม่?”

แล้วมีพระดำรัสของพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์มาถึงข้าพเจ้าว่า “จงถามประชาชนทั้งปวงและบรรดาปุโรหิตว่า ‘ตลอดเจ็ดสิบปีมานี้ เมื่อเจ้าถืออดอาหารและทูลอ้อนวอนในเดือนที่ห้าและในเดือนที่เจ็ดนั้น เจ้าถืออดอาหารเพื่อเราจริงหรือ? และเมื่อเจ้ากินดื่ม เจ้าก็ฉลองเพื่อตัวเองไม่ใช่หรือ? เมื่อครั้งเยรูซาเล็มและหัวเมืองทั้งหลายโดยรอบยังรุ่งเรืองและสงบสุข เนเกบและเชิงเขาตะวันตกยังมีผู้คนตั้งรกรากอยู่ ก็มีพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าเตือนไว้อย่างนี้ผ่านทางผู้เผยพระวจนะคนก่อนๆ ไม่ใช่หรือ?’ ”

แล้วมีพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงเศคาริยาห์อีกว่า “พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า ‘จงผดุงความยุติธรรมที่แท้จริง แสดงความเมตตาเห็นอกเห็นใจต่อกัน 10 อย่ากดขี่ข่มเหงแม่ม่ายหรือลูกกำพร้าพ่อ คนต่างด้าวหรือผู้ยากไร้ อย่าให้ท่านมีใจคิดร้ายต่อกัน’

11 “แต่พวกเขาก็ไม่ยอมใส่ใจฟัง เขาอุดหูและหันหลังให้เราอย่างดื้อด้าน 12 เขาทำใจให้แข็งกระด้างดั่งหินเหล็กไฟ และไม่ยอมฟังบทบัญญัติหรือถ้อยคำที่พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์มีมาถึงพวกเขาโดยพระวิญญาณของพระองค์ผ่านทางผู้เผยพระวจนะคนก่อนๆ ฉะนั้นพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์จึงทรงพระพิโรธยิ่งนัก

13 “พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า ‘เมื่อเราร้องเรียก พวกเขาไม่ฟัง ฉะนั้นเมื่อพวกเขาร้องเรียก เราก็จะไม่ฟัง 14 เราใช้พายุหมุนทำให้พวกเขากระจัดกระจายไปเป็นคนแปลกถิ่นในหมู่ชนชาติต่างๆ ดินแดนของเขาจะถูกทิ้งร้างอยู่ข้างหลัง ไม่มีใครผ่านไปมา เขาทำให้ดินแดนอันน่าอภิรมย์กลับเริศร้างไปเช่นนี้’ ”

ยอห์น 10

คนเลี้ยงแกะกับฝูงแกะของเขา

10 “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า คนที่ไม่ได้เข้าคอกแกะทางประตูแต่ปีนเข้าทางอื่นนั้นก็เป็นขโมยและเป็นโจร ส่วนคนที่เข้าทางประตูคือคนเลี้ยงแกะ ยามเปิดประตูให้คนนั้นและแกะฟังเสียงของเขา เขาเรียกแกะของเขาตามชื่อของมันและนำฝูงแกะออกไป เมื่อเขานำแกะทั้งหมดของเขาออกมาแล้วเขาก็เดินนำหน้า และแกะของเขาตามเขาไปเพราะรู้จักเสียงของเขา แต่แกะจะไม่มีวันตามคนแปลกหน้า อันที่จริงพวกมันจะวิ่งหนีเขาเพราะพวกมันไม่รู้จักเสียงของคนแปลกหน้า” พระเยซูทรงใช้โวหารเปรียบเทียบนี้แต่เขาทั้งหลายไม่เข้าใจว่าพระองค์ทรงบอกอะไร

ฉะนั้นพระเยซูจึงตรัสอีกว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เราเป็นประตูสำหรับแกะ คนทั้งปวงที่มาก่อนหน้าเราเป็นขโมยและโจร แต่แกะไม่ฟังพวกเขา เราเป็นประตูนั้น ผู้ใดเข้ามาทางเราจะรอด[a] เขาจะเข้าออกและพบทุ่งหญ้า 10 ขโมยนั้นมาเพียงเพื่อลัก ฆ่า และทำลาย เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะมีชีวิตและมีชีวิตอย่างครบบริบูรณ์

11 “เราเป็นคนเลี้ยงแกะที่ดี คนเลี้ยงที่ดีนั้นยอมพลีชีวิตเพื่อฝูงแกะ 12 คนรับจ้างไม่ใช่คนเลี้ยงซึ่งเป็นเจ้าของแกะ ดังนั้นเมื่อเห็นสุนัขป่ามาเขาก็ละทิ้งฝูงแกะและหนีไป แล้วสุนัขป่าก็เข้าทำร้ายฝูงแกะและทำให้แตกกระจัดกระจายไป 13 คนนั้นหนีเพราะเขาเป็นคนรับจ้างและไม่ได้ห่วงแกะเลย

14 “เราเป็นคนเลี้ยงที่ดี เรารู้จักแกะของเราและแกะของเรารู้จักเรา 15 เช่นเดียวกับที่พระบิดาทรงรู้จักเราและเรารู้จักพระบิดา และเราพลีชีวิตของเราเพื่อแกะนั้น 16 เรามีแกะอื่นซึ่งไม่ใช่ของคอกนี้เราต้องพามาด้วย แกะเหล่านั้นจะฟังเสียงของเราเช่นกันและจะรวมกันเป็นฝูงเดียว มีคนเลี้ยงคนเดียว 17 เหตุที่พระบิดาของเราทรงรักเราก็เพราะเราพลีชีวิตของเราเพียงเพื่อจะรับชีวิตนั้นคืนมาอีก 18 ไม่มีใครชิงชีวิตไปจากเราแต่เราพลีชีวิตโดยสมัครใจ เรามีสิทธิ์ที่จะสละชีวิตและมีสิทธิ์ที่จะรับชีวิตคืนมาอีก เราได้รับคำบัญชานี้จากพระบิดาของเรา”

19 พระดำรัสเหล่านี้ทำให้พวกยิวแตกแยกกันอีกครั้ง 20 หลายคนพูดว่า “เขาถูกผีสิงและคลุ้มคลั่ง ไปฟังเขาทำไม?”

21 แต่คนอื่นๆ พูดว่า “นี่ไม่ใช่คำพูดของคนที่ถูกผีสิง ผีจะทำให้คนตาบอดมองเห็นได้หรือ?”

พวกยิวไม่เชื่อ

22 แล้วก็ถึงเทศกาลฉลองพระวิหาร[b]ที่กรุงเยรูซาเล็ม ขณะนั้นเป็นช่วงฤดูหนาว 23 และพระเยซูทรงดำเนินอยู่ที่เฉลียงของโซโลมอนในลานพระวิหาร 24 พวกยิวมาห้อมล้อมพระองค์และทูลว่า “ท่านจะให้เราข้องใจอยู่นานเท่าใด? ถ้าท่านเป็นพระคริสต์[c]ก็บอกเรามาตรงๆ เถิด”

25 พระเยซูตรัสตอบว่า “เราได้บอกพวกท่านแล้วแต่พวกท่านไม่เชื่อ การอัศจรรย์ต่างๆ ที่เราทำในพระนามของพระบิดาของเราเป็นพยานให้แก่เรา 26 แต่พวกท่านไม่เชื่อเพราะพวกท่านไม่ใช่แกะของเรา 27 แกะของเราฟังเสียงของเรา เรารู้จักแกะนั้นและแกะนั้นตามเรา 28 เราให้ชีวิตนิรันดร์แก่แกะนั้น แกะนั้นจะไม่พินาศเลย ไม่มีผู้ใดชิงแกะนั้นไปจากมือของเราได้ 29 พระบิดาของเราผู้ประทานแกะนั้นแก่เราทรงยิ่งใหญ่เหนือกว่าสิ่งทั้งปวง[d] ไม่มีผู้ใดแย่งชิงแกะนั้นจากพระหัตถ์พระบิดาของเราได้ 30 เรากับพระบิดาเป็นหนึ่งเดียวกัน”

31 เป็นอีกครั้งหนึ่งที่พวกยิวหยิบก้อนหินขึ้นจะขว้างพระองค์ 32 แต่พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “เราได้สำแดงสิ่งดีมากมายจากพระบิดาให้พวกท่านเห็น พวกท่านหยิบก้อนหินจะขว้างเราเพราะเหตุใด?”

33 พวกยิวตอบว่า “ที่เราจะขว้างก้อนหินใส่ท่านไม่ใช่เพราะสิ่งดีที่ท่านทำแต่เพราะท่านพูดหมิ่นประมาทพระเจ้า เนื่องจากท่านเป็นเพียงมนุษย์แต่อ้างตัวเป็นพระเจ้า”

34 พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า “มีเขียนไว้ในหนังสือบทบัญญัติของท่านไม่ใช่หรือว่า ‘เราได้กล่าวว่าพวกเจ้าเป็นเทพเจ้า’[e]? 35 คนเหล่านั้นที่พระวจนะของพระเจ้ามีมาถึงถูกเรียกว่าเทพเจ้าและถ้าพระคัมภีร์ถูกต้องเสมอ 36 แล้วท่านจะว่าเราพูดหมิ่นประมาทพระเจ้าได้อย่างไร เมื่อเรากล่าวว่า ‘เราเป็นบุตรของพระเจ้า’ ในเมื่อพระบิดาเป็นผู้เลือกและส่งเราเข้ามาในโลกนี้? 37 ถ้าเราไม่ได้ทำสิ่งที่พระบิดาของเราทรงกระทำก็อย่าเชื่อเราเลย 38 แต่ถ้าเราทำสิ่งนั้น แม้ท่านไม่เชื่อเราก็จงเชื่อสิ่งที่เราทำเถิด เพื่อท่านจะได้รู้และเข้าใจว่าพระบิดาทรงอยู่ในเราและเราอยู่ในพระบิดา” 39 อีกครั้งหนึ่งที่พวกเขาพยายามจะจับพระองค์แต่ทรงรอดพ้นเงื้อมมือของเขาไป

40 จากนั้นพระเยซูทรงข้ามแม่น้ำจอร์แดนกลับไปยังที่ซึ่งเมื่อก่อนยอห์นเคยให้บัพติศมา พระองค์ประทับอยู่ที่นั่น 41 ผู้คนมากมายมาหาพระองค์และพูดว่า “ถึงแม้ยอห์นไม่เคยทำหมายสำคัญใดๆ เลย แต่ทุกอย่างที่ยอห์นบอกเกี่ยวกับท่านผู้นี้ล้วนเป็นจริง” 42 และที่นั่นมีหลายคนเชื่อในพระเยซู

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.