Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
อพยพ 14

ข้ามทะเลแดง

14 ครั้นแล้ว พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “จงบอกชาวอิสราเอลให้ย้อนกลับไปตั้งค่ายอยู่บริเวณหน้าปีหะหิโรธซึ่งอยู่ระหว่างมิกดลกับทะเล ตรงข้ามบาอัลเซโฟน จงตั้งค่ายที่ริมฝั่งทะเล ฟาโรห์จะพูดถึงชาวอิสราเอลว่า ‘พวกเขายังคงวนเวียนอยู่ในแผ่นดินด้วยความสับสน เหมือนถูกกักไว้ในถิ่นทุรกันดาร’ เราจะทำจิตใจของฟาโรห์ให้แข็งกระด้าง และเขาจะไล่ตามคนเหล่านั้นไป จากนั้นเราจะได้รับเกียรติที่มีชัยชนะเหนือฟาโรห์และกองทัพของเขา และชาวอียิปต์จะรู้ว่าเราคือพระผู้เป็นเจ้า” ชาวอิสราเอลจึงกระทำตามนั้น

เมื่อกษัตริย์แห่งอียิปต์ได้ทราบว่าประชาชนหนีไปแล้ว จิตใจของฟาโรห์และบรรดาข้าราชบริพารที่มีต่อประชาชนก็เปลี่ยนไป และพวกเขาพูดว่า “นี่เราทำอะไรลงไป ถึงได้ปล่อยให้ชาวอิสราเอลซึ่งเป็นทาสของพวกเราเป็นอิสระ” ท่านจึงเตรียมคนและรถศึกไปกับท่าน ท่านเลือกรถศึก 600 คันที่ดีที่สุด อีกทั้งรถศึกอื่นๆ ของอียิปต์โดยมีผู้บังคับการประจำรถแต่ละคัน พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ทำจิตใจของฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ให้แข็งกระด้าง ท่านไล่ตามชาวอิสราเอลซึ่งกำลังเดินทางไปอย่างมีชัย กองทัพของชาวอียิปต์พร้อมกับม้า รถศึก และทหารม้าไล่ตามพวกเขาไปจนทันชาวอิสราเอลซึ่งตั้งค่ายอยู่ที่ชายฝั่งทะเลใกล้ปีหะหิโรธที่อยู่ตรงข้ามบาอัลเซโฟน

10 เมื่อฟาโรห์เข้ามาใกล้ ชาวอิสราเอลเงยหน้าขึ้น ดูเถิด ชาวอียิปต์กำลังไล่ตามพวกเขามา ชาวอิสราเอลกลัวมากจึงร้องเรียกถึงพระผู้เป็นเจ้า 11 พวกเขาพูดกับโมเสสว่า “นี่เป็นเพราะหลุมฝังศพในอียิปต์มีไม่พอหรือไง ท่านจึงพาพวกเราไปตายกันในถิ่นทุรกันดาร ท่านพาพวกเราออกไปจากอียิปต์เพื่ออะไรกัน 12 เราบอกท่านตอนอยู่ที่อียิปต์ไม่ใช่หรือว่า อย่ามายุ่งกับพวกเรา ปล่อยให้เรารับใช้ชาวอียิปต์ เพราะให้พวกเรารับใช้ชาวอียิปต์ก็ยังจะดีกว่าให้เราไปตายกันในถิ่นทุรกันดาร” 13 โมเสสตอบประชาชนว่า “อย่ากลัวเลย ท่านมั่นใจได้ แล้วท่านจะเห็นว่าพระผู้เป็นเจ้าจะช่วยท่านให้รอดพ้นในวันนี้ ท่านจะไม่มีวันเห็นชาวอียิปต์พวกนี้อีกต่อไป 14 พระผู้เป็นเจ้าจะเป็นผู้ต่อสู้ให้ท่าน เพียงแต่ท่านสงบนิ่งเอาไว้”

15 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “ทำไมเจ้าจึงร้องเรียกถึงเรา จงบอกชาวอิสราเอลให้มุ่งหน้าต่อไป 16 จงยกไม้เท้าของเจ้าขึ้น ยื่นมือเจ้าออกไปสู่ทะเลและแหวกทะเลออก ชาวอิสราเอลก็จะเดินผ่านทะเลไปบนพื้นที่แห้งได้ 17 แล้วเราจะทำจิตใจของชาวอียิปต์ให้แข็งกระด้าง พวกเขาจะได้ตามลงไป แล้วเราจะมีชัยชนะเหนือฟาโรห์และกองทัพของเขา รถศึกและทหารม้าของเขา แล้วเราจะได้รับเกียรติ 18 และชาวอียิปต์จะรู้ว่าเราคือพระผู้เป็นเจ้าเมื่อเราได้รับเกียรติที่ได้มาจากชัยชนะเหนือฟาโรห์ รถศึก และทหารม้าของเขา”

19 แล้วทูตสวรรค์ของพระเจ้าที่นำหน้าค่ายอิสราเอลก็ย้ายไปอยู่ข้างหลัง เมฆก้อนมหึมาดั่งเสาหลักก็ย้ายจากข้างหน้าพวกเขาไปอยู่ข้างหลังพวกเขา 20 คืออยู่ระหว่างค่ายของอียิปต์และค่ายของชาวอิสราเอล เป็นเมฆให้ความมืดที่ด้านหนึ่งและส่องให้อีกด้านหนึ่งสว่าง ทำให้ทั้ง 2 ค่ายไม่สามารถเข้าใกล้กันตลอดคืน

21 แล้วโมเสสก็ยื่นมือออกไปที่ทะเล ตลอดทั้งคืนพระผู้เป็นเจ้าทำให้ลมตะวันออกพัดกระหน่ำอย่างแรงและดันน้ำในทะเล ทำให้ใจกลางทะเลกลายเป็นแผ่นดินแห้ง คือน้ำได้แหวกออกจากกัน 22 แล้วชาวอิสราเอลก็เดินบนดินแห้งที่กลางทะเล ทั้ง 2 ฟากเป็นดั่งกำแพงน้ำให้พวกเขา 23 ชาวอียิปต์ไล่ตามไปจนถึงใจกลางทะเล ทั้งม้าของฟาโรห์ รถศึกและทหารม้าของท่านด้วย 24 ก่อนฟ้าสาง พระผู้เป็นเจ้าในรูปลักษณ์ของเพลิงและเมฆก้อนมหึมาดั่งเสาหลักได้ปรากฏเหนือค่ายของชาวอียิปต์ซึ่งทำให้พวกเขาว้าวุ่นชุลมุน 25 พระองค์ทำให้ล้อรถศึกติดขัดหมุนลำบาก ชาวอียิปต์พูดว่า “หนีไปให้ไกลจากพวกอิสราเอลกันเถิด เพราะพระผู้เป็นเจ้ากำลังช่วยพวกเขาต่อสู้กับชาวอียิปต์”

26 แล้วพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “คราวนี้เจ้าจงยื่นมือออกไปสู่ทะเล น้ำจะได้ไหลกลับมาท่วมชาวอียิปต์ ท่วมรถศึกและทหารม้าของพวกเขา” 27 โมเสสจึงยื่นมือออกไปสู่ทะเล และน้ำก็ไหลกลับมาสู่ระดับเดิมเมื่อรุ่งอรุณ ชาวอียิปต์พยายามวิ่งหนีให้พ้นน้ำ พระผู้เป็นเจ้าทำให้ชาวอียิปต์ถูกซัดจมลงทะเล 28 น้ำไหลกลับมาท่วมรถศึก ทหารม้าและกองทัพของฟาโรห์ที่ไล่ตามชาวอิสราเอลลงไปในทะเล จึงไม่มีใครรอดตายสักคนเดียว 29 ขณะที่ชาวอิสราเอลได้เดินบนพื้นดินแห้งของทะเล ทั้ง 2 ฟากเป็นดั่งกำแพงน้ำให้พวกเขา

30 ในวันนั้น พระผู้เป็นเจ้าช่วยอิสราเอลให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของชาวอียิปต์ และอิสราเอลก็ได้เห็นชาวอียิปต์ตายเกลื่อนกลาดอยู่ที่ริมฝั่งทะเล 31 อิสราเอลได้เห็นอานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้าที่สำแดงต่อชาวอียิปต์ ต่างก็เกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า และพวกเขาก็เชื่อในพระผู้เป็นเจ้า และในโมเสสผู้รับใช้ของพระองค์

ลูกา 17

หินโม่แป้ง

17 พระเยซูกล่าวกับสาวกว่า “สิ่งอันเป็นเหตุให้ผู้คนทำบาปนั้นมาแน่ แต่วิบัติจะไปยังผู้ที่นำสิ่งเหล่านั้นมา หากเขาเป็นเหตุให้คนหนึ่งในบรรดาเด็กเล็กๆ เหล่านี้พลั้งพลาดไป[a] ให้ถ่วงคอเขาด้วยหินโม่แป้ง และโยนลงทะเลจะดีกว่า ฉะนั้นพวกเจ้าจงระวังตัวไว้ให้ดี ถ้าพี่น้องของเจ้าทำบาปก็จงเตือนเขา เมื่อเขากลับใจก็จงยกโทษให้เสีย ถ้าเขาทำบาปต่อเจ้าวันละ 7 ครั้ง และกลับมาหาเจ้าพูดว่า ‘เราขอกลับใจ’ ทั้ง 7 ครั้งก็จงยกโทษให้แก่เขา”

ความเชื่อเท่าเมล็ดพันธุ์จิ๋ว

อัครทูตพูดกับพระเยซูเจ้าว่า “โปรดเพิ่มความเชื่อให้พวกเราเถิด”

พระองค์ตอบว่า “ถ้าเจ้ามีความเชื่อมากเพียงเท่ากับเมล็ดพันธุ์จิ๋ว เจ้าก็สามารถสั่งต้นหม่อนต้นนี้ได้ว่า ‘จงถอนรากขึ้นและลงไปปักในทะเล’ มันจะเชื่อฟังเจ้า

หน้าที่ของคนรับใช้

สมมุติว่าพวกเจ้าคนใดคนหนึ่งส่งคนรับใช้ให้ไปไถนาหรือเลี้ยงแกะ เมื่อคนรับใช้กลับมาจากนา เจ้าจะพูดไหมว่า ‘มานั่งกินเถิด’ แต่จะพูดอย่างนี้มากกว่าใช่ไหมว่า ‘เตรียมอาหารเย็นให้แก่เรา แล้วเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อรอรับใช้เราขณะที่เราดื่มกิน เสร็จแล้วเจ้าจึงจะกินและดื่มได้’ แล้วจะขอบใจคนรับใช้ เพราะเขาทำตามคำสั่งหรือ 10 ฉะนั้นเจ้าก็เช่นกัน เมื่อเจ้าทำทุกสิ่งที่ได้รับตามคำสั่งให้ทำแล้วก็ควรพูดว่า ‘พวกข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ที่ไม่ได้มีบุญคุณ เพราะเพียงแต่ทำตามหน้าที่เท่านั้น’”

ชายโรคเรื้อน 10 คน

11 ในการเดินทางที่มุ่งไปยังเมืองเยรูซาเล็ม พระเยซูเดินทางไปตามเขตแดนระหว่างแคว้นสะมาเรียและแคว้นกาลิลี 12 พระองค์ได้เข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ชายโรคเรื้อน 10 คนมาพบพระองค์ คนเหล่านั้นได้แต่ยืนอยู่ห่างๆ 13 และร้องขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า “พระเยซู นายท่านโปรดเมตตาพวกเราเถิด” 14 เมื่อพระเยซูได้เห็นดังนั้นก็กล่าวว่า “จงไปแสดงตัวแก่บรรดาปุโรหิตเถิด” และขณะที่เขาทั้งหลายไปก็หายจากโรค[b] 15 หนึ่งในผู้ป่วยที่หายเป็นปกติได้กลับมาสรรเสริญพระเจ้าด้วยเสียงอันดัง 16 ชายผู้นี้เป็นชาวสะมาเรียซึ่งก็ได้ทรุดตัวลงแทบเท้าพระเยซูเพื่อขอบคุณพระองค์ 17 พระเยซูถามว่า “ทั้ง 10 คนมิใช่หรือที่หายเป็นปกติ แล้วอีก 9 คนอยู่ไหน 18 ไม่มีใครกลับมาสรรเสริญพระเจ้า ยกเว้นชายต่างแดนคนนี้ใช่ไหม” 19 พระองค์กล่าวกับเขาว่า “จงลุกขึ้นแล้วไปได้ ความเชื่อของเจ้าทำให้เจ้าหายดี”

อาณาจักรของพระเจ้า

20 ครั้งหนึ่งพวกฟาริสีถามว่า เมื่อใดที่อาณาจักรของพระเจ้าจะมาเยือน พระเยซูตอบว่า “อาณาจักรของพระเจ้าไม่มาในสภาพที่มองเห็นได้ 21 จะไม่มีใครพูดว่า ‘ดูเถิด อยู่นี่เอง’ หรือ ‘ดูเถิด อยู่นั่นเอง’ เพราะว่าอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ในตัวท่านเอง”[c]

22 พระองค์ได้กล่าวกับสาวกว่า “จะถึงเวลาที่เจ้าปรารถนาจะเห็นวันหนึ่งของบุตรมนุษย์อีก และก็จะไม่เห็น 23 พวกเขาจะบอกเจ้าว่า ‘ดูนั่นเถิด’ หรือ ‘ดูนี่เถิด’ ก็อย่าวิ่งตามพวกเขาไป 24 เพราะว่าวันของบุตรมนุษย์เป็นเสมือนฟ้าแลบ ซึ่งเปล่งประกายส่องฟากฟ้าให้แจ่มจ้าจากด้านหนึ่งสู่อีกด้านหนึ่ง 25 แต่ท่านต้องทนทุกข์ทรมานหลายอย่างก่อน และคนในช่วงกาลเวลานี้จะไม่ยอมรับท่าน 26 ในสมัยของโนอาห์[d]เป็นอย่างไร สมัยของบุตรมนุษย์ก็จะเป็นอย่างนั้น 27 ผู้คนกำลังดื่มกิน สมรสและยกให้เป็นสามีภรรยากันจนถึงวันที่โนอาห์ได้ลงเรือใหญ่ แล้วน้ำท่วมทำลายพวกเขาหมดสิ้น 28 เช่นเดียวกับสมัยของโลท[e]ที่ผู้คนดื่มกิน หรือซื้อขาย หว่านไถเพาะปลูก และปลูกสร้างบ้านเรือน 29 แต่ในวันที่โลทออกจากเมืองโสโดม กำมะถันกับไฟตกลงจากสวรรค์ได้ทำลายพวกเขาหมด 30 และจะเป็นเช่นเดียวกันกับวันที่บุตรมนุษย์ปรากฏขึ้น 31 ในวันนั้น คนที่อยู่บนหลังคาบ้านไม่ควรลงมาเก็บสมบัติในบ้าน คนที่อยู่ในทุ่งนาก็ไม่ควรย้อนกลับไป 32 จงรำลึกถึงภรรยาของโลทเถิด 33 ใครก็ตามที่พยายามจะได้มาซึ่งชีวิตของตนจะสูญเสียชีวิตนั้นไป และใครก็ตามที่สูญเสียชีวิตของตนก็จะมีชีวิตอยู่ได้ 34 เราขอบอกเจ้าว่า ในคืนวันนั้นคน 2 คนจะอยู่ในเตียงเดียวกัน คนหนึ่งจะถูกพาตัวไป อีกคนหนึ่งถูกทิ้งไว้ 35 หญิง 2 คนจะโม่แป้งอยู่ด้วยกัน คนหนึ่งจะถูกพาตัวไป อีกคนหนึ่งถูกทิ้งไว้ [36 ชาย 2 คนจะอยู่ในนา คนหนึ่งจะถูกพาตัวไป อีกคนหนึ่งถูกทิ้งไว้]”[f] 37 เขาเหล่านั้นถามว่า “ที่ไหน พระองค์ท่าน” พระองค์ตอบว่า “ซากศพอยู่ที่ไหน ฝูงอีแร้งก็จะรุมกันอยู่ที่นั่น”

โยบ 32

เอลีฮูเริ่มตำหนิเพื่อนโยบ

32 ดังนั้น พวกเพื่อนชายทั้งสามคนจึงหยุดโต้ตอบโยบ เพราะโยบมีความชอบธรรมในสายตาของตนเอง แต่เอลีฮูบุตรของบาราเคลชาวบูซตระกูลรามโกรธมาก เขาโกรธโยบมาก เพราะโยบเห็นว่าตนเป็นฝ่ายถูกต้อง แทนที่จะเป็นพระเจ้า เขาโกรธเพื่อนทั้งสามคนของโยบมากด้วย เพราะพวกเขาตอบคำถามโยบไม่ได้ แม้ว่าพวกเขาประกาศว่าโยบเป็นฝ่ายผิด เอลีฮูรอให้พวกเขาพูดกับโยบก่อน เพราะพวกเขามีอาวุโสกว่า แต่ในเมื่อเอลีฮูเห็นว่าไม่มีคำตอบจากชายทั้งสาม เขาจึงเคืองยิ่งนัก

เอลีฮูบุตรของบาราเคลชาวบูซจึงพูดว่า

“ข้าพเจ้ามีอายุน้อย
    พวกท่านอาวุโส
ฉะนั้นข้าพเจ้ากลัว
    และไม่กล้าออกความคิดเห็นกับท่าน
ข้าพเจ้าคิดในใจว่า ‘ปล่อยให้ผู้ที่มีอายุมากกว่าพูด
    และให้ผู้อาวุโสสอนเรื่องสติปัญญา’
แต่ว่าเป็นวิญญาณที่อยู่ในมนุษย์
    เป็นลมหายใจขององค์ผู้กอปรด้วยมหิทธานุภาพ ที่ทำให้พวกเขาเข้าใจ
ไม่ใช่ว่าผู้ใดสูงอายุแล้วจะเรืองปัญญา
    และไม่ใช่ว่าผู้ใดอาวุโสแล้วจะเข้าใจถึงความเป็นธรรม

10 ฉะนั้น ข้าพเจ้าขอบอกว่า ‘ฟังข้าพเจ้า
    ให้ข้าพเจ้าออกความคิดเห็นเถิด’
11 ดูเถิด ข้าพเจ้ารอให้พวกท่านพูด
    ข้าพเจ้าฟังสิ่งที่ท่านพูดจากความเข้าใจ
ขณะที่พวกท่านพิจารณาดูว่าจะพูดอะไร
12     ข้าพเจ้าตั้งใจฟังพวกท่าน
ดูเถิด ไม่มีใครในพวกท่านที่พิสูจน์ได้ว่า โยบเป็นฝ่ายผิด
    และพวกท่านไม่ได้ตอบคำถามโยบ
13 พวกท่านพูดได้อย่างไรว่าท่านพบสติปัญญาแล้ว
    ให้พระเจ้าเป็นผู้ตอบโยบเถิด ไม่ใช่มนุษย์
14 โยบไม่ได้โต้ตอบต่อว่าข้าพเจ้า
    และข้าพเจ้าจะไม่ตอบโยบอย่างที่ท่านทำ

15 เพื่อนทั้งสามนิ่งอึ้งและไม่ได้พูดตอบอีก
    พวกเขาไม่มีอะไรจะพูดอีกต่อไป
16 ในเมื่อพวกเขาไม่พูดสิ่งใด
    และก็ยังยืนอยู่ที่นี่ ไม่โต้ตอบอีกแล้ว ข้าพเจ้าควรจะรอต่อไปอีกหรือ
17 ข้าพเจ้ามีคำตอบจะให้ท่านเช่นกัน
    ข้าพเจ้าจะออกความเห็นด้วย
18 เพราะข้าพเจ้ามีเรื่องจะพูดมากมาย
    จนรั้งไว้ไม่อยู่
19 ดูเถิด ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนเหล้าองุ่นใหม่ที่ยังถูกบรรจุอยู่
    เหมือนถุงหนังใหม่ที่เกือบจะปริออก
20 ข้าพเจ้าจำเป็นต้องพูดให้บรรเทาลง
    ข้าพเจ้าต้องเปิดปากตอบ
21 ข้าพเจ้าจะไม่ลำเอียงต่อผู้ใด
    และไม่ยกยอผู้ใด
22 เพราะข้าพเจ้าไม่ชำนาญเรื่องการยกยอปอปั้น
    แต่ถ้าทำเช่นนั้น อีกไม่นานองค์ผู้สร้างของข้าพเจ้า ก็จะพรากตัวข้าพเจ้าไป

2 โครินธ์ 2

ฉะนั้น ข้าพเจ้าได้ตัดสินใจเองว่า จะไม่มาเยี่ยมพวกท่านชนิดที่มีความทุกข์ใจอีก ถ้าข้าพเจ้าทำให้ท่านทุกข์ใจ แล้วใครเล่าที่จะทำให้ข้าพเจ้ายินดี นอกจากคนที่ข้าพเจ้าทำให้ทุกข์ใจ ตามที่ข้าพเจ้าได้เขียนมาแล้วก็เพื่อว่าเวลาที่ข้าพเจ้ามา พวกที่ควรจะทำให้ข้าพเจ้าชื่นชมยินดีจะได้ไม่ทำให้ข้าพเจ้าทุกข์ใจ ข้าพเจ้ามั่นใจในพวกท่านทุกคนว่าจะมีความยินดีร่วมกับข้าพเจ้า เนื่องจากข้าพเจ้ามีความยากลำบากและปวดร้าวยิ่งนัก จึงได้เขียนถึงท่านด้วยน้ำตา มิใช่จะทำให้ท่านเป็นทุกข์ แต่เพื่อท่านจะได้ทราบถึงความรักที่ข้าพเจ้ามีต่อท่าน

ให้อภัยผู้กระทำบาป

หากว่าใครก็ตามที่ก่อความทุกข์ใจให้ เขาไม่ได้ทำให้ข้าพเจ้าทุกข์ใจมากได้เท่ากับที่ทำให้พวกท่านทุกคนทุกข์ใจกันไปแล้ว ข้าพเจ้าไม่อยากพูดเกินความจริง โทษทัณฑ์ที่บุคคลนั้นได้รับจากคนส่วนใหญ่ก็พอสมควรแล้ว และตรงกันข้ามคือท่านควรจะให้อภัยและปลอบโยนเขา มิฉะนั้นคนๆ นั้นจะจมอยู่ในความโศกเศร้าจนเกินไป ฉะนั้น ข้าพเจ้าขอให้ท่านแสดงความรักของท่านแก่เขาอีก เหตุที่ข้าพเจ้าได้เขียนถึงท่านแล้วก็เพื่อทดสอบดูว่าพวกท่านเชื่อฟังทุกสิ่งหรือไม่ 10 ถ้าท่านให้อภัยผู้ใด ข้าพเจ้าก็ให้อภัยผู้นั้นเช่นกัน ถ้ามีสิ่งใดที่จะต้องให้อภัย สิ่งที่ข้าพเจ้าให้อภัยนั้นก็ให้อภัยต่อหน้าพระคริสต์ เพราะเห็นแก่พวกท่านเอง 11 เพื่อไม่ให้เราเสียรู้ซาตาน[a] เพราะเรารู้ทันกลอุบายของมัน

ผู้รับใช้แห่งพันธสัญญาใหม่

12 เมื่อข้าพเจ้าไปยังเมืองโตรอัสเพื่อประกาศข่าวประเสริฐของพระคริสต์ และพระผู้เป็นเจ้าได้เปิดโอกาสให้ข้าพเจ้า 13 ข้าพเจ้ายังวิตกกังวลที่หาทิตัสน้องชายของเราไม่พบ จึงร่ำลาพวกเขาและเดินทางต่อไปยังแคว้นมาซิโดเนีย

14 แต่ขอบคุณพระเจ้าผู้นำเราสู่ชัยชนะเสมอในพระคริสต์ และพระองค์ให้เราเป็นผู้ประกาศเรื่องพระคริสต์ทั่วทุกแห่ง เสมือนกลิ่นหอมฟุ้งกระจายไปทั่ว 15 เพราะเราเป็นกลิ่นอันหอมหวานของพระคริสต์เพื่อพระเจ้า ท่ามกลางพวกที่รอดพ้นและพวกที่กำลังพินาศ 16 เราเป็นกลิ่นแห่งความตายสำหรับคนพวกหนึ่ง และเป็นกลิ่นแห่งชีวิตสำหรับคนอีกพวก ใครเล่าจะเหมาะสมกับงานเหล่านี้ 17 เพราะว่าเราไม่เหมือนคนจำนวนมากที่ใช้คำกล่าวของพระเจ้าเป็นเครื่องมือหากิน แต่ในพระคริสต์เราจึงพูดต่อหน้าพระเจ้าด้วยความจริงใจอย่างคนที่มาจากพระเจ้า

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation