Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
โยชูวา 18-19

การแบ่งแผ่นดินที่เหลือ

18 ชุมชนชาวอิสราเอลทั้งหมดมาประชุมกันที่ชิโลห์และตั้งเต็นท์นัดพบกันที่นั่น ในตอนนั้น แผ่นดินได้ตกอยู่ในครอบครองของพวกเขาแล้ว แต่ยังคงมีชาวอิสราเอลอีกเจ็ดเผ่า ที่ยังไม่ได้รับมรดกเป็นส่วนแบ่งของพวกเขา

ดังนั้นโยชูวาจึงพูดกับชาวอิสราเอลว่า “พวกเราจะรอไปอีกนานแค่ไหน กว่าจะเข้าไปยึดครองแผ่นดินที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษท่านได้มอบให้แก่พวกท่าน ให้เลือกคนมาเผ่าละสามคน ข้าพเจ้าจะส่งพวกเขาให้เดินทางไปสำรวจทั่วแผ่นดินนั้น และจดรายละเอียดของแผ่นดินนั้นมา ตามมรดกที่แต่ละเผ่าได้รับ และนำกลับมาให้ข้าพเจ้า พวกเขาจะแบ่งมันออกเป็นเจ็ดส่วน ชนเผ่ายูดาห์จะยังคงอยู่ในเขตแดนของเขาทางตอนใต้ และครอบครัวของโยเซฟจะคงอยู่ในเขตแดนทางเหนือ ให้พวกท่านเขียนรายละเอียดของที่ดินทั้งเจ็ดส่วน และนำมันกลับมาให้ข้าพเจ้าที่นี่ และข้าพเจ้าจะจับสลากแบ่งให้ท่านที่นี่ต่อหน้าพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเรา แต่ชาวเลวีจะไม่ได้รับส่วนแบ่งในหมู่พวกท่านทั้งหลาย เพราะฐานะนักบวชของพระยาห์เวห์ก็คือมรดกของพวกเขาอยู่แล้ว ส่วนชนเผ่ากาด รูเบน และเผ่ามนัสเสห์ครั้งหนึ่งก็ได้รับมรดกของพวกเขาที่อยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนแล้ว ซึ่งโมเสสผู้รับใช้พระยาห์เวห์ได้มอบให้พวกเขาไว้”

ดังนั้น คนเหล่านั้นจึงออกเดินทาง โยชูวากำชับพวกเขาให้จดรายละเอียดเกี่ยวกับที่ดินว่า “ให้เดินทางไปให้ทั่วทั้งแผ่นดินและจดรายละเอียดของมันและกลับมาหาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะจับสลากให้กับพวกท่านที่นี่ ต่อหน้าพระยาห์เวห์ที่ชิโลห์”

จากนั้น คนเหล่านี้ก็ออกเดินทางไปทั่วทั้งแผ่นดินนั้น และได้จดบันทึกรายละเอียดของแผ่นดินลงในหนังสือเกี่ยวกับเมืองต่างๆในเจ็ดส่วนนั้น แล้วพวกเขาจึงกลับมาหาโยชูวาที่ค่ายชิโลห์ 10 และโยชูวาก็ได้จับสลากให้กับพวกเขาที่ชิโลห์ต่อหน้าพระยาห์เวห์ โยชูวาได้แบ่งที่ดินให้กับชาวอิสราเอลตามส่วนแบ่งของแต่ละเผ่า

ที่ดินสำหรับชนเผ่าเบนยามิน

11 สลากอันแรกตกเป็นของเผ่าเบนยามิน ตามตระกูลต่างๆของเผ่านั้น พวกเขาได้ที่ดินที่อยู่ระหว่างชนเผ่ายูดาห์และโยเซฟ 12 พรมแดนทางเหนือเริ่มต้นที่แม่น้ำจอร์แดน และขึ้นไปถึงสันเขาทางตอนเหนือของเมืองเยริโค และมันก็ขึ้นไปถึงแถบเนินเขาทางตะวันตก และไปสิ้นสุดที่ทะเลทรายเบธาเวน 13 จากที่นั่นพรมแดนก็อ้อมไปถึงเมืองลูส ไปถึงสันเขาเมืองลูส (เรียกอีกอย่างว่าเบธเอล) แล้วเส้นพรมแดนก็ลงไปจนถึงอาทาโรทอัดดาร์ บนภูเขาซึ่งอยู่ทางใต้ของเมืองเบธโฮโรนล่าง 14 พรมแดนก็หักโค้งไปทางตะวันตก อ้อมลงไปทางใต้จากภูเขาที่อยู่ทางใต้ของเบธโฮโรน และไปสิ้นสุดที่คิริยาทบาอัล (คือคิริยาทเยอาริม) เมืองนี้เป็นของชนเผ่ายูดาห์ นี่คือพรมแดนทางตะวันตก

15 ทางด้านใต้ เริ่มที่ชานเมืองคิริยาทเยอาริมไปตามลำธารจนถึงตาน้ำของเนฟโทอาห์ 16 ลงไปถึงเชิงเขาที่อยู่ตรงข้ามหุบเขาลูกชายฮินโนม ซึ่งอยู่ทางเหนือของหุบเขาเรฟาอิม และมันก็ลงไปที่หุบเขาฮินโนม ใต้สันเขาของชาวเยบุสแล้วจึงลงไปที่เมืองเอนโรเกล 17 จากนั้น มันก็หักโค้งขึ้นเหนือไปตามลำธารจนถึงเมืองเอนเชเมช และก็ไปตามลำธารจนไปออกที่เกลีโลท ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับทางข้ามเขาชื่ออดุมมิม แล้วลงไปถึงก้อนหินของโบฮันซึ่งเป็นลูกชายของรูเบน 18 แล้วเส้นเขตแดนก็อ้อมขึ้นไปทางเหนือถึงสันเขาที่หันหน้าเข้าหาหุบเขาจอร์แดน แล้วก็ลงไปที่หุบเขาจอร์แดน 19 พรมแดนได้อ้อมขึ้นไปที่สันเขาทางด้านเหนือของเบธฮกลาห์ และมาสิ้นสุดที่อ่าวด้านเหนือของทะเลเกลือที่ตอนใต้สุดของแม่น้ำจอร์แดน นี่คือเขตแดนทางด้านใต้

20 แม่น้ำจอร์แดนเป็นพรมแดนทางตะวันออก นี่คือเขตแดนที่เป็นมรดกของตระกูลต่างๆของเผ่าเบนยามินในทุกด้าน 21 เมืองต่างๆที่เป็นของชนเผ่าเบนยามินที่แบ่งตามตระกูลต่างๆของพวกเขา คือ เยริโค เบธฮกลาห์ เอเมคเคซีส 22 เบธอาราบาห์ เศมาราอิม เบธเอล 23 อัฟวิม ปาราห์ โอฟราห์ 24 เคฟาอัมโมนี โอฟนี เกบา รวมเป็นสิบสองเมือง พร้อมกับชนบทรอบๆเมืองเหล่านั้น

25 กิเบโอน รามาห์ เบเอโรท 26 มิสปาห์ เคฟีราห์ โมซาห์ 27 เรเคม อิรเปเอล ทาระลาห์

28 เศลา หะเอเลฟ เยบุส (เยรูซาเล็ม) กิเบอาห์ และคิริยาท รวมเป็นสิบสี่เมืองและชนบทรอบๆเมืองเหล่านั้น นี่คือมรดกของชนเผ่าเบนยามินที่แบ่งตามตระกูลต่างๆของพวกเขา

ที่ดินสำหรับเผ่าสิเมโอน

19 สลากอันที่สองตกเป็นของเผ่าสิเมโอน สำหรับตระกูลต่างๆของเผ่านั้น มรดกของพวกเขาอยู่ในที่ดินของชนเผ่ายูดาห์ มีเมืองเหล่านี้เป็นมรดก คือ เบเออร์เชบา (หรือเชบา) โมลาดาห์ ฮาซารชูอาล บาลาห์ เอเซม เอลโทลัด เบธูล โฮรมาห์ ศิกลาก เบธมารคาโบท ฮาซารสูสาห์ เบธเลบาโอท และเมืองชารุเฮน รวมเป็นสิบสามเมืองกับชนบทของเมืองต่างๆเหล่านั้น

อายิน ริมโมน เอเธอร์ และอาชัน รวมเป็นสี่เมืองและชนบทของเมืองต่างๆเหล่านั้น และยังมีหมู่บ้านต่างๆที่อยู่รอบๆเมืองเหล่านี้ไปจนถึงบาอาลัทเบเออร์ เมืองรามาห์ที่เนเกบ นี่คือมรดกที่ยกให้กับตระกูลต่างๆของเผ่าสิเมโอน มรดกของคนเผ่าสิเมโอนเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินของคนเผ่ายูดาห์ เพราะส่วนแบ่งของคนเผ่ายูดาห์ใหญ่เกินไปสำหรับพวกเขา ดังนั้น คนเผ่าสิเมโอนจึงได้รับมรดกอยู่ท่ามกลางมรดกของคนเผ่ายูดาห์

ที่ดินสำหรับชนเผ่าเศบูลุน

10 สลากอันที่สามตกเป็นของเผ่าเศบูลุนสำหรับตระกูลต่างๆของเผ่านั้น พรมแดนของที่ดินที่เป็นมรดกของพวกเขาไปไกลถึงสาริด 11 พรมแดนขึ้นไปทางตะวันตกเรื่อยไปจนถึงมาเรอัล มาจดเมืองดับเบเชท จนถึงลำธารทางทิศตะวันออกของโยกเนอัม 12 จากสาริด พรมแดนยื่นไปในฝั่งตรงข้ามคือฝั่งที่ดวงอาทิตย์ขึ้น ไปถึงพรมแดนเมืองคิสโลททาโบร์ แล้วตามลำธารไปถึงเมืองดาเบรัท แล้วขึ้นไปถึงเมืองยาเฟีย 13 จากที่นั่นพรมแดนอ้อมไปทางทิศที่ดวงอาทิตย์ขึ้น ไปจนถึงเมืองกัทเฮเฟอร์ และเมืองเอทคาซิน เรื่อยไปตามลำธารแห้งไปจนถึงริมโมน และหักโค้งเข้าหาเมืองเนอาห์ 14 พรมแดนทางทิศเหนือโค้งเข้าหาเมืองฮันนาโธน และสิ้นสุดที่หุบเขาอิฟทาห์เอล 15 ได้รวมเมืองขัทตาท นาหะลาล ชิมโรน อิดาลาห์ และเบธเลเฮม รวมทั้งหมดสิบสองเมืองกับชนบทของเมืองต่างๆเหล่านั้น

16 นี่คือมรดกของเผ่าเศบูลุนสำหรับตระกูลต่างๆของพวกเขา คือเมืองต่างๆเหล่านี้ และชนบทของเมืองต่างๆเหล่านี้

ที่ดินสำหรับชนเผ่าอิสสาคาร์

17 สลากอันที่สี่ตกเป็นของเผ่าอิสสาคาร์ สำหรับตระกูลต่างๆของเผ่านั้น 18 ดินแดนของพวกเขารวมเมือง ยิสเรเอล เคสุลโลท ชูเนม 19 ฮาฟาราอิม ชิโยน อานาหะราท 20 รับบีท คีชิโอน เอเบส 21 เรเมท เอนกันนิม เอนหัดดาห์ และเบธปัสเซส

22 พรมแดนยังไปติดกับเมืองทาโบร์ ชาหะซุมาห์ เบธเชเมช และไปสิ้นสุดที่แม่น้ำจอร์แดน รวมทั้งหมดสิบหกเมืองกับชนบทของเมืองต่างๆเหล่านั้น 23 นี่คือมรดกที่ดินที่ให้กับเผ่าของอิสสาคาร์สำหรับตระกูลต่างๆของพวกเขา คือเมืองต่างๆและชนบทของเมืองต่างๆเหล่านั้น

ที่ดินสำหรับชนเผ่าอาเชอร์

24 สลากอันที่ห้าตกเป็นของเผ่าอาเชอร์สำหรับตระกูลต่างๆของเผ่านั้น 25 เขตแดนของพวกเขารวมถึงเมืองเฮลขัท ฮาลี เบเทน อัคชาฟ 26 อาลัมเมเลค อามาด มิชอาล

ทางตะวันตกไปจดภูเขาคารเมลและเมืองชิโห ลิบนาท 27 แล้วเลี้ยวไปทางตะวันออกจนถึงเมืองเบธดาโกน ไปจดเขตเศบูลุนและหุบเขาอิฟทาห์เอลไปทางเหนือ ถึงเมืองเบธเอเมคและเนอีเอล และเรื่อยไปทางเหนือถึงเมืองคาบูล 28 เอโบรน[a] เรโหบ ฮัมโมน และคานาห์ไปไกลถึงมหาไซดอน 29 พรมแดนเลี้ยวไปถึงรามาห์ ไปไกลถึงเมืองไทระที่มีกำแพงล้อมรอบ แล้วเส้นพรมแดนก็เลี้ยวไปโฮสาห์และไปสิ้นสุดที่ทะเล ซึ่งรวมเมือง มาฮารับ อัคซีบ 30 อุมมาห์ อาเฟก และเรโหบไว้ด้วย

รวมแล้วมียี่สิบสองเมือง กับชนบทของเมืองต่างๆเหล่านั้น 31 นี่คือมรดกของเผ่าอาเชอร์ สำหรับตระกูลต่างๆของพวกเขา คือ เมืองต่างๆเหล่านี้และชนบทของเมืองต่างๆเหล่านี้

ที่ดินสำหรับชนเผ่านัฟทาลี

32 สลากอันที่หกตกเป็นของเผ่านัฟทาลีสำหรับตระกูลต่างๆของเผ่านั้น 33 พรมแดนของเขาเริ่มมาจากเฮเลฟ จากต้นก่อในศานันนิม และอาดามีเนเขบ ยับเนเอล จนถึงเมืองลัคคูม และสิ้นสุดที่แม่น้ำจอร์แดน 34 พรมแดนก็เลี้ยวไปทางตะวันตกไปที่เมืองอัสโนททาโบร์ และมันก็ออกจากที่นั่นไปที่เมืองหุกกอก ไปจดกับเขตเศบูลุนทางทิศใต้และเขตอาเชอร์ทางตะวันตก และแม่น้ำจอร์แดนทางทิศตะวันออก 35 บรรดาเมืองที่มีป้อมปราการ คือ ศิดดิม เศอร์ ฮัมมัท รัคคัท คินเนเรท 36 อาดามาห์ รามาห์ ฮาโซร์ 37 เคเดช เอเดรอี เอนฮาโซร์ 38 ยิโรน มิกดัลเอล โฮเรม เบธอานาท และเบธเชเมช รวมเป็นสิบเก้าเมือง กับชนบทที่อยู่รอบเมืองต่างๆเหล่านั้น

39 นี่คือมรดกของเผ่านัฟทาลีสำหรับตระกูลต่างๆของพวกเขา คือเมืองต่างๆและชนบทของเมืองต่างๆเหล่านั้น

ที่ดินสำหรับชนเผ่าดาน

40 สลากอันที่เจ็ดตกเป็นของเผ่าดาน สำหรับตระกูลต่างๆของเผ่านั้น 41 เขตแดนที่เป็นมรดกของพวกเขา รวมเมืองโศราห์ เอชทาโอล อิรเชเมช 42 ชาอาลับบิน อัยยาโลน ยิทลาห์ 43 เอโลน ทิมนาห์ เอโครน 44 เอลเทเคห์ กิบเบโธน บาอาลัท 45 เยฮุด เบเนเบราค กัทริมโมน 46 เมยารโคน รัคโคน และบริเวณที่อยู่ใกล้เมืองยัฟฟา

47 เมื่อชนเผ่าดานสูญเสียดินแดนของพวกเขาไป พวกเขาได้ลุกขึ้นสู้รบกับเมืองเลเชม[b] และพวกเขาก็ยึดมันได้และได้ฆ่าชาวเมืองนั้น แล้วยึดครองเมือง และตั้งถิ่นฐานที่นั่น พวกเขาได้เปลี่ยนชื่อเมืองเป็นเมืองดานตามชื่อของบรรพบุรุษของพวกเขา 48 นี่คือมรดกของเผ่าดาน สำหรับตระกูลต่างๆของพวกเขา คือเมืองเหล่านี้และชนบทของเมืองต่างๆเหล่านี้

ที่ดินสำหรับโยชูวา

49 เมื่อได้แบ่งดินแดนส่วนต่างๆของแผ่นดินนั้นเป็นมรดกตามเขตแดนของมันแล้ว ชาวอิสราเอลได้มอบมรดกท่ามกลางพวกเขาให้กับโยชูวาลูกชายของนูน 50 ตามคำสั่งของพระยาห์เวห์ พวกเขาได้ให้เมืองกับโยชูวาตามที่เขาได้ขอไว้ คือ เมืองทิมนาทเสราห์[c] ในเขตเทือกเขาเอฟราอิม โยชูวาได้สร้างเมืองขึ้นใหม่และตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นั่น

51 นั่นคือดินแดนที่นักบวชเอเลอาซาร์ โยชูวาลูกชายของนูน และบรรดาผู้นำของแต่ละตระกูลของชนเผ่าต่างๆของอิสราเอล ได้แจกจ่าย โดยการจับสลากที่เมืองชิโลห์ ต่อหน้าพระยาห์เวห์ ที่ทางเข้าเต็นท์นัดพบ ดังนั้นเขาทั้งหลายก็แบ่งปันแผ่นดินจนเสร็จเรียบร้อย

สดุดี 149-150

เฉลิมฉลองชัยชนะที่มาจากพระยาห์เวห์

สรรเสริญพระยาห์เวห์ ร้องเพลงบทใหม่ให้กับพระยาห์เวห์เถิด
    ร้องเพลงสรรเสริญพระองค์ในที่ชุมนุมของคนเหล่านั้นที่สัตย์ซื่อต่อพระองค์
ชาวอิสราเอลเอ๋ย ให้เฉลิมฉลองผู้สร้างของเจ้าเถิด
    พลเมืองของศิโยนเอ๋ย ให้ชื่นชมยินดีในกษัตริย์ของเจ้าเถิด
ให้พวกเขาสรรเสริญพระองค์ด้วยการเต้นรำ
    ร้องเพลงให้กับพระองค์ด้วยกลองรำมะนาและพิณ
พระยาห์เวห์ชื่นชมคนของพระองค์
    พระองค์ให้เกียรติกับคนต่ำต้อยของพระองค์โดยให้พวกเขามีชัยเหนือศัตรู
ให้คนเหล่านั้นที่สัตย์ซื่อต่อพระองค์ดีใจในเกียรตินี้
    ให้พวกเขาร้องเพลงด้วยความยินดีแม้แต่ตอนที่นอนอยู่บนเตียง
ขอให้เสียงสรรเสริญพระเจ้าอยู่ในลำคอของเขา
    และให้ดาบสองคมอยู่ในมือของเขา
พร้อมที่จะแก้แค้นต่อชนชาติอื่นๆ
    และลงโทษพวกคนต่างชาติ
ให้พวกเขาจับกษัตริย์ของคนเหล่านั้นล่ามโซ่
    และจับคนสำคัญของคนเหล่านั้นใส่ขื่อเหล็ก
ให้พวกเขาลงโทษคนเหล่านั้นตามคำตัดสินที่พระเจ้าได้ให้ไว้
    เรื่องนี้นำเกียรติยศมาให้กับคนเหล่านั้นที่สัตย์ซื่อต่อพระองค์

สรรเสริญพระยาห์เวห์เถิด

บทสรุปที่เรียกให้สรรเสริญพระยาห์เวห์

สรรเสริญพระยาห์เวห์ สรรเสริญพระเจ้าในวิหารของพระองค์
    สรรเสริญพระองค์ในฟ้าสวรรค์อันเป็นป้อมปราการของพระองค์
สรรเสริญพระองค์สำหรับการกระทำอันทรงฤทธิ์ทั้งหลายของพระองค์
    สรรเสริญพระองค์ให้สมกับความยิ่งใหญ่ของพระองค์

สรรเสริญพระองค์ด้วยเสียงแตร
    สรรเสริญพระองค์ด้วยการเล่นพิณใหญ่และพิณเล็ก
สรรเสริญพระองค์ด้วยการตีกลองรำมะนาและการเต้นรำ
    สรรเสริญพระองค์ด้วยเครื่องสายและขลุ่ย
สรรเสริญพระองค์ด้วยเสียงฉาบอันดัง
    สรรเสริญพระองค์ด้วยเสียงฉาบอันกึกก้องเถิด
ขอให้ทุกสิ่งที่มีลมหายใจ สรรเสริญพระยาห์เวห์เถิด

สรรเสริญพระยาห์เวห์เถิด

เยเรมียาห์ 9

ผมอยากจะให้หัวของผมเต็มไปด้วยน้ำ
    และดวงตาของผมเป็นน้ำพุแห่งน้ำตา
ผมจะได้ร้องไห้ทั้งวันทั้งคืน
    ผมจะได้ร้องไห้ให้กับคนที่ผมรักที่ถูกฆ่า
พระยาห์เวห์พูดว่า “เราหวังเหลือเกินว่าเราจะมีที่หยุดพัก
    สำหรับคนเดินทางในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง
เพื่อว่าเราจะได้ทิ้งคนของเรา
    และไปให้พ้นๆพวกเขา
เพราะพวกเขาทุกคนเป็นคนเล่นชู้
    และเป็นกลุ่มของคนขี้โกง
พวกเขาโก่งลิ้นของพวกเขาเหมือนคันธนู
    และพวกเขาประสบความสำเร็จในแผ่นดินนี้ ด้วยการหลอกลวง ไม่ใช่ด้วยความสัตย์ซื่อ
เพราะพวกเขาทำชั่วซ้ำแล้วซ้ำอีก
    และพวกเขาก็ไม่รู้จักเราด้วย”
พระยาห์เวห์พูดว่าอย่างนั้น

“พวกเขาปกป้องตัวเองจากเพื่อนบ้าน
    และแม้แต่พี่น้องของพวกเจ้าเองก็ยังไว้ใจไม่ได้
เพราะพี่น้องทุกคนขี้โกง
    และเพื่อนบ้านทุกคนก็ชอบนินทา
ผู้คนโกงเพื่อนบ้านของเขาเอง
    และไม่พูดความจริง
พวกเขาสอนลิ้นตัวเองให้พูดโกหก
    พวกเขาทำให้ตัวเองเหนื่อยอ่อนด้วยการทำผิด
เยเรมียาห์ บ้านของเจ้าตั้งอยู่ท่ามกลางคนขี้โกง
    พวกเขาปฏิเสธที่จะรู้จักเรา”
พระยาห์เวห์พูดว่าอย่างนั้น

ดังนั้น นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์ ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นพูด คือ
“เรากำลังจะหลอมพวกเขาให้บริสุทธิ์ด้วยไฟ
    และทดสอบพวกเขาด้วยไฟ
ถ้าเราไม่ทำอย่างนี้แล้ว
    เราจะทำอะไรให้กับคนที่น่าสงสารของเราได้อีกหรือ
ลิ้นของพวกเขาแหลมคมเหมือนธนู
    เขาพูดโกหกด้วยปากของเขา
พวกเขาแต่ละคนพูดกับเพื่อนบ้านอย่างเป็นมิตร
    แต่ในใจกลับคิดหาทางเอาเปรียบเพื่อนบ้านอยู่
เพราะเรื่องพวกนี้ สมควรที่เราจะลงโทษพวกเขาอีกครั้ง ไม่ใช่หรือ” พระยาห์เวห์พูดอย่างนั้น
    “สมควรที่เราจะแก้แค้นชนชาติที่ทำตัวอย่างนี้ ไม่ใช่หรือ”
10 พระยาห์เวห์พูดว่า “เราจะร้องไห้คร่ำครวญให้ภูเขา
    และเราจะร้องเพลงงานศพให้ทุ่งหญ้าในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง
เพราะพวกมันถูกทิ้งร้างว่างเปล่า เพื่อจะได้ไม่มีใครเดินผ่านมา
    และพวกมันก็ไม่ได้ยินเสียงวัวในแผ่นดินนั้น
แม้แต่นกบนท้องฟ้าไปจนถึงสัตว์ป่าก็หนีไปกันหมดแล้ว
    พวกมันไปกันหมดแล้ว
11 เราจะทำให้เยรูซาเล็มกลายเป็นกองหิน
    เป็นที่อยู่ของหมาไน
และเราจะทำให้บ้านเมืองในยูดาห์กลายเป็นซากปรักหักพัง
    ที่ไม่มีใครเหลือสักคน”

12 มีใครที่เฉลียวฉลาดพอที่จะเข้าใจเรื่องนี้บ้าง และขอให้คนที่พระยาห์เวห์พูดด้วย อธิบายเรื่องนี้ให้หน่อยว่าทำไมแผ่นดินถึงถูกทำลาย ทำไมต้องถูกเผาและทิ้งร้างเหมือนทะเลทรายที่ไม่มีใครเดินผ่าน 13 แล้วพระยาห์เวห์ก็พูดว่า “ที่เป็นอย่างนี้เพราะพวกเขาทอดทิ้งกฎของเรา ที่เราได้ให้ไว้ต่อหน้าพวกเขา พวกเขาไม่ฟังเสียงของเรา และพวกเขาก็ไม่เดินตามกฎนั้น 14 แต่พวกเขายืนกรานที่จะทำตามจิตใจที่ดื้อดึงของตัวเอง พวกเขาหันไปติดตามพระบาอัลเหมือนกับที่บรรพบุรุษของพวกเขาสอนให้พวกเขาทำ” 15 ดังนั้น นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้น ผู้เป็นพระเจ้าแห่งอิสราเอลพูด คือ “เราจะทำให้คนพวกนี้ต้องกลืนกินความขมขื่น และเราจะทำให้พวกเขาดื่มยาพิษ 16 เราจะทำให้พวกเขากระจัดกระจายไปตามชนชาติต่างๆที่พวกเขาและบรรพบุรุษของพวกเขาไม่เคยรู้จักมาก่อน เราจะส่งดาบตามล่าพวกเขาไป จนกว่าเราจะทำลายพวกเขาจนสิ้นซาก”

17 นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นพูด
“ให้ไตร่ตรองดูถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
    แล้วไปเรียกพวกผู้หญิงที่รับจ้างร้องไห้ในงานศพมา
    ให้ไปเชิญพวกผู้หญิงที่ชำนาญในเรื่องนี้มา”
18 ผู้คนพูดว่า
“ให้พวกนางมาเร็วๆแล้วมาร้องไห้ให้พวกเรา
    น้ำตาจะได้ไหลออกมาจากตาของพวกเรา
    และเปลือกตาของพวกเราจะได้มีน้ำตาไหลนอง”
19 เพราะได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญจากศิโยนว่า
    “เราถูกทำลายถึงขนาดนี้ได้ยังไง
    พวกเราอับอายเหลือเกิน
เพราะพวกเราถูกบีบบังคับให้ทิ้งแผ่นดินนี้
    เมื่อพวกศัตรูพังทลายบ้านของพวกเรา”

20 ไปเรียกพวกผู้หญิง และบอกพวกเขาว่า “พวกผู้หญิง ให้ฟังพระคำของพระยาห์เวห์
    และฟังว่าพระองค์พูดอะไร
ให้สอนลูกสาวของพวกเจ้าถึงวิธีร้องไห้ไว้ทุกข์
    และให้ผู้หญิงไปสอนเพื่อนบ้านของเธอให้ร้องเพลงไว้ทุกข์นี้ด้วย ที่ว่า

21 โธ่ ความตายเข้ามาทางหน้าต่างแล้ว
    มันเข้ามาในป้อมปราการของเราแล้ว
มันมาเพื่อกำจัดเด็กๆให้หมดไปจากถนน
    และกำจัดคนหนุ่มออกจากสี่แยกต่างๆ”
22 เยเรมียาห์ ให้พูดเรื่องพวกนี้
นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์พูด “ศพคนจะกองกันอยู่บนพื้นเหมือนมูลสัตว์
    เหมือนฟ่อนข้าวที่ถูกทิ้งไว้หลังเก็บเกี่ยว
    และไม่มีใครไปเก็บรวบรวมมัน”

23 พระยาห์เวห์พูดว่า
“อย่าให้คนฉลาด
    โอ้อวดสติปัญญาของตัวเอง
อย่าให้คนแข็งแรง
    โอ้อวดความแข็งแกร่งของตัวเอง
และอย่าให้คนรวย
    โอ้อวดความร่ำรวยของตัวเอง

24 แต่ให้คนที่โอ้อวด โอ้อวดเกี่ยวกับเรื่องนี้ คือ
    ให้เขาโอ้อวดว่าเขามีความเข้าใจและรู้จักเรา
เขารู้ว่าเราคือยาห์เวห์
    ผู้ที่มีความรักมั่นคง มีความยุติธรรม
    และมีความชอบธรรมในแผ่นดินนี้
    และเขาก็รู้ว่าเราชอบใจในเรื่องพวกนี้”
พระยาห์เวห์พูดว่าอย่างนี้

25 พระยาห์เวห์พูดว่า “วันเหล่านั้นกำลังจะมาถึงแล้ว วันที่เราจะจัดการลงโทษทุกคนที่ทำพิธีขลิบแต่เปลือกนอก 26 เราจะลงโทษอียิปต์ ยูดาห์ เอโดม อัมโมน และโมอับ และเราจะลงโทษคนพวกนั้นทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งและเข้าพิธีโกนผมจอน[a] เพราะพลเมืองของชนชาติอื่นๆทั้งหมด ยังไม่ได้ทำพิธีขลิบ แต่คนอิสราเอลทั้งหมดยังไม่ได้ทำพิธีขลิบที่ใจ”

มัทธิว 23

พระเยซูเตือนให้รู้เกี่ยวกับผู้นำศาสนา

(มก. 12:38-40; ลก. 11:37-52; 20:45-47)

23 พระเยซูพูดกับฝูงชน และพวกศิษย์ของพระองค์ว่า “พวกครูสอนกฎปฏิบัติและพวกฟาริสีมีอำนาจในการสอนพวกคุณเรื่องกฎของโมเสส ให้เชื่อฟังและทำตามสิ่งที่เขาสอนนั้น แต่อย่าไปทำตามสิ่งที่เขาทำเลย เพราะเขาสอนอย่างหนึ่งแต่ทำอีกอย่างหนึ่ง เขาสร้างกฎที่เป็นภาระหนักอึ้งให้คนอื่นแบกไว้ แต่ตัวเขาเองไม่ช่วยยกแม้แต่นิ้วเดียว

เขาทำทุกอย่างเพื่ออวดคนเท่านั้น เขาทำกล่องใส่ข้อพระคัมภีร์[a] อันใหญ่กว่าธรรมดามาผูกที่หน้าผากและข้อมือ และเอาพวกพู่ห้อยที่ยาวกว่าธรรมดามาแขวนที่ชายเสื้อคลุม เขาชอบนั่งอยู่หัวโต๊ะในงานเลี้ยง และนั่งในที่สำคัญที่สุดในที่ประชุม พวกเขาชอบให้คนทำความเคารพเขาที่กลางตลาด และชอบให้คนเรียกว่า ‘อาจารย์’

อย่ายอมให้ใครเรียกคุณว่า ‘อาจารย์’ เพราะคุณมีอาจารย์เพียงคนเดียว และพวกคุณก็เป็นพี่น้องกันหมด อย่าเรียกใครบนโลกนี้ว่า ‘บิดา’ เพราะคุณมีพระบิดาเพียงองค์เดียวอยู่บนสวรรค์ 10 และอย่าให้ใครมาเรียกคุณว่า ‘ครู’ เพราะคุณมีครูเพียงคนเดียวคือพระคริสต์ 11 คนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในหมู่พวกคุณต้องเป็นผู้รับใช้ 12 คนที่ยกตัวเองให้ใหญ่กว่าคนอื่น จะถูกกดให้ต่ำต้อยลง คนที่ถ่อมตัวลง จะถูกเชิดชูให้ยิ่งใหญ่ขึ้น

13 น่าละอายจริงๆพวกเจ้าที่เป็นครูสอนกฎปฏิบัติและพวกฟาริสีหน้าซื่อใจคด[b] เจ้าปิดหนทางคนอื่นไม่ให้ไปถึงอาณาจักรแห่งสวรรค์ ตัวเจ้าเองไม่ยอมเข้าไป แล้วยังไปขัดขวางไม่ให้คนอื่นที่เขาพยายามเข้าไปอีกด้วย 14 [c]

15 น่าละอายจริงๆพวกเจ้าที่เป็นครูสอนกฎปฏิบัติและพวกฟาริสีหน้าซื่อใจคด พวกเจ้าอุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเล เพื่อจะหาคนมานับถือศาสนาอย่างเจ้า แต่พอเจ้าได้เขามาแล้ว เจ้ากลับทำให้เขาสมควรที่จะตกนรกมากกว่าเจ้าเองถึงสองเท่า

16 น่าละอายจริงๆพวกเจ้าที่เป็นคนนำทางตาบอด พวกเจ้าสอนว่า ‘ถ้าใครสาบานต่อวิหาร ก็ไม่มีผลอะไรเลย แต่ถ้าใครสาบานต่อทองคำในวิหารนั้น เขาจะต้องทำตามคำสาบานนั้น’ 17 เจ้าคนโง่ตาบอด อันไหนสำคัญกว่ากัน ระหว่างทองคำกับวิหารที่ทำให้ทองคำนั้นศักดิ์สิทธิ์ 18 พวกเจ้ายังพูดอีกว่า ‘ถ้าใครสาบานต่อแท่นบูชา มันไม่มีผลอะไรเลย แต่ถ้าใครสาบานต่อเครื่องเซ่นไหว้บนแท่นบูชานั้น เขาต้องทำตามคำสาบานนั้น’ 19 เจ้ามันตาบอดจริงๆ อะไรสำคัญกว่ากัน ระหว่างของเซ่นไหว้กับแท่นบูชาที่ทำให้ของนั้นศักดิ์สิทธิ์ 20 ด้วยเหตุนี้ คนที่สาบานต่อแท่นบูชา ก็สาบานต่อแท่นบูชารวมถึงทุกสิ่งที่อยู่บนแท่นบูชานั้นด้วย 21 คนที่สาบานต่อวิหาร ก็สาบานต่อวิหารรวมถึงพระองค์ผู้ที่อยู่ในวิหารนั้นด้วย 22 คนที่ได้สาบานต่อสวรรค์ ก็สาบานต่อบัลลังก์ของพระเจ้ารวมถึงพระองค์ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์นั้นด้วย

23 น่าละอายจริงๆพวกเจ้าที่เป็นครูสอนกฎปฏิบัติและพวกฟาริสีหน้าซื่อใจคด พวกเจ้าได้ให้หนึ่งในสิบส่วนของทุกอย่างที่เจ้ามีกับพระเจ้า แม้แต่สะระแหน่ ลูกผักชี และยี่หร่า เจ้าก็ให้ แต่พวกเจ้ากลับมองข้ามเรื่องที่สำคัญกว่าในกฎปฏิบัตินั้น คือความยุติธรรม ความเมตตา และความซื่อสัตย์ การให้หนึ่งในสิบส่วนนั้นก็ดีอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ควรทิ้งคำสอนที่สำคัญกว่านี้ด้วยเหมือนกัน 24 เจ้าคนนำทางตาบอด พวกเจ้ากรองแมลงออกจากน้ำดื่ม แต่กลับกลืนอูฐเข้าไปทั้งตัว[d]

25 น่าละอายจริงๆพวกเจ้าที่เป็นครูสอนกฎปฏิบัติและพวกฟาริสีหน้าซื่อใจคด พวกเจ้าได้ล้างถ้วยล้างจานแต่เพียงภายนอก แต่ภายในมีแต่ความโลภและกิเลสเต็มไปหมด 26 เจ้าฟาริสีตาบอด ทำความสะอาดภายในถ้วยชามเสียก่อน แล้วภายนอกก็จะสะอาดไปเอง

27 น่าละอายจริงๆพวกเจ้าที่เป็นครูสอนกฎปฏิบัติและพวกฟาริสีหน้าซื่อใจคด พวกเจ้าเหมือนกับอุโมงค์ฝังศพที่ทาสีขาว ข้างนอกดูสวยงาม แต่ข้างในเต็มไปด้วยกระดูกคนตายและสิ่งสกปรกสารพัด 28 เหมือนกับพวกเจ้า ที่ภายนอกคนเห็นว่าเป็นคนที่ทำตามใจพระเจ้า แต่ภายในเต็มไปด้วยความหน้าซื่อใจคดและความชั่วร้าย

29 น่าละอายจริงๆพวกเจ้าที่เป็นครูสอนกฎปฏิบัติและพวกฟาริสีหน้าซื่อใจคด พวกเจ้าได้สร้างอุโมงค์ฝังศพให้กับพวกผู้พูดแทนพระเจ้า และตกแต่งอนุสาวรีย์ให้กับคนเหล่านั้นที่ทำตามใจพระเจ้า 30 แล้วเจ้าก็พูดว่า ‘ถ้าเราอยู่ในสมัยบรรพบุรุษของเรานั้น เราจะไม่ยอมร่วมมือกับเขาในการฆ่าพวกผู้พูดแทนพระเจ้าพวกนี้แน่’ 31 นี่แสดงให้เห็นว่า พวกเจ้ายอมรับว่า ตัวเองเป็นลูกหลานของคนพวกนั้นที่ฆ่าผู้พูดแทนพระเจ้า 32 ดังนั้นไปทำความบาปที่บรรพบุรุษเจ้าได้เริ่มไว้ให้เสร็จเสียสิ

33 เจ้าพวกงูร้าย พวกอสรพิษ พวกเจ้าจะหนีนรกไปพ้นได้อย่างไร 34 เราส่งพวกผู้พูดแทนพระเจ้า คนที่มีปัญญา และครูมาหาเจ้า แล้วพวกเจ้าก็จับพวกเขาไปฆ่าบ้าง ไปตรึงบนไม้กางเขนบ้าง ไปเฆี่ยนในที่ประชุมบ้าง และไล่ล่าพวกเขาหนีจากเมืองหนึ่งไปยังอีกเมืองหนึ่งบ้าง 35 ดังนั้นเลือดของคนที่ทำตามใจพระเจ้าที่หลั่งไหลลงบนโลกนี้จะตกลงบนพวกเจ้า ตั้งแต่เลือดของอาเบลจนถึงเลือดของเศคาริยาห์[e] ลูกของเบเรคิยาห์ที่โดนพวกเจ้าฆ่าตายระหว่างวิหารกับแท่นบูชา 36 เราจะบอกให้รู้ว่า ผลกรรมเหล่านั้นจะตกอยู่กับคนในสมัยนี้อย่างแน่นอน

พระเยซูเตือนคนในเมืองเยรูซาเล็ม

(ลก. 13:34-35)

37 เยรูซาเล็ม เยรูซาเล็มเอ๋ย เจ้าได้ฆ่าพวกผู้พูดแทนพระเจ้า และเอาหินขว้างคนที่พระเจ้าส่งมาหาเจ้าจนตาย มีหลายครั้งที่เราอยากจะโอบลูกๆของเจ้าเข้ามาเหมือนแม่ไก่กกลูกอยู่ใต้ปีกของมัน แต่เจ้าก็ไม่ยอม 38 ตอนนี้บ้านของพวกเจ้าจะถูกทิ้งให้รกร้าง 39 จากนี้ไป พวกเจ้าจะไม่ได้เห็นเราอีกจนกว่าพวกเจ้าจะพูดว่า ‘ขอให้พระเจ้าอวยพรผู้ที่มาในนามขององค์เจ้าชีวิต’[f]

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International