M’Cheyne Bible Reading Plan
14 ต่อไปนี้ เป็นแผ่นดินในคานาอัน ที่นักบวชเอเลอาซาร์กับโยชูวาลูกชายของนูน และพวกหัวหน้าตระกูลของชนเผ่าต่างๆของอิสราเอล ได้แจกจ่ายให้กับชาวอิสราเอลเป็นมรดก 2 พวกเขาได้จับสลากแจกจ่ายที่ดินให้กับชนเผ่าทั้งเก้าเผ่าและครึ่งเผ่าของมนัสเสห์ ตามที่พระยาห์เวห์ได้สั่งไว้ผ่านทางโมเสส 3 เพราะโมเสสได้ให้มรดกแก่เผ่ารูเบนและเผ่ากาด รวมทั้งเผ่ามนัสเสห์ครึ่งเผ่าไปแล้วบนอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน แต่เขาไม่ได้แบ่งมรดกให้กับชนเผ่าเลวีเหมือนที่ให้กับเผ่าอื่นๆ 4 ลูกหลานของโยเซฟได้แบ่งออกเป็นสองเผ่า คือเผ่ามนัสเสห์ และเผ่าเอฟราอิม เผ่าเลวีไม่มีส่วนแบ่งในแผ่นดินนี้ นอกจากเมืองต่างๆที่ใช้อาศัยอยู่ กับทุ่งหญ้าสำหรับเลี้ยงฝูงแกะและวัวของพวกเขา 5 อย่างนี้ ชาวอิสราเอลได้แบ่งที่ดินกันตามที่พระยาห์เวห์ได้สั่งโมเสสไว้
คาเลบได้รับเฮโบรน
6 ชนเผ่ายูดาห์ ได้มาหาโยชูวาที่กิลกาล คาเลบลูกชายเยฟุนเนห์จากตระกูลเคนัสได้พูดกับโยชูวาว่า “ท่านก็รู้ว่าพระยาห์เวห์ได้พูดอะไรกับโมเสสคนของพระเจ้า[a] เกี่ยวกับตัวท่านและตัวข้าพเจ้า ที่คาเดชบารเนีย 7 ข้าพเจ้ามีอายุสี่สิบปี ตอนที่โมเสสผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์ได้ส่งข้าพเจ้าจากคาเดชบารเนียมาสอดแนมแผ่นดินนี้ และข้าพเจ้าก็ได้กลับมารายงานท่านตามความคิดเห็นของข้าพเจ้า 8 แต่พี่น้องคนอื่น ซึ่งไปด้วยกันกับข้าพเจ้านั้น ได้ทำให้ใจของประชาชนอ่อนปวกเปียกไปด้วยความกลัว แต่ข้าพเจ้ายังคงติดตามพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพเจ้าอย่างสุดใจ 9 แล้วในวันนั้น โมเสสได้สาบานกับข้าพเจ้าว่า ‘แผ่นดินที่ท่านได้เข้าไปเหยียบมานั้นจะเป็นมรดกของท่านและลูกหลานของท่านตลอดไปอย่างแน่นอน เพราะท่านได้ติดตามพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าอย่างสุดใจ’
10 เดี๋ยวนี้ ดูสิ มันเป็นไปตามที่พระยาห์เวห์ได้สัญญาไว้ พระองค์ได้ให้ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ต่อมาอีกสี่สิบห้าปี ตั้งแต่เวลานั้นที่พระองค์ได้พูดเรื่องนี้กับโมเสสตอนที่อิสราเอลเดินทางอยู่ในทะเลทราย เดี๋ยวนี้ ข้าพเจ้าก็มีอายุแปดสิบห้าปีแล้ว 11 ข้าพเจ้ายังคงแข็งแรงเหมือนวันที่โมเสสได้ส่งข้าพเจ้าออกไป ตอนนี้ ข้าพเจ้าก็ยังแข็งแรงพอที่จะออกไปสู้รบได้ และยังไปทำโน่นทำนี่ได้เหมือนเมื่อก่อน 12 ดังนั้น ตอนนี้ ให้มอบพื้นที่แถบเนินเขานี้ ที่พระยาห์เวห์ได้สัญญาไว้กับข้าพเจ้าในวันนั้น เพราะในวันนั้น ตัวท่านเองก็ได้ยินแล้วว่า มีคนอานาค[b] อยู่ที่นั่น และเมืองทั้งหลายของพวกมันนั้นทั้งใหญ่และมีการป้องกันอย่างแน่นหนา แต่พระยาห์เวห์อยู่กับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะขับไล่พวกมันออกไป อย่างที่พระองค์ได้พูดไว้”
13 ดังนั้น โยชูวาจึงอวยพรคาเลบลูกชายเยฟุนเนห์ และยกเมืองเฮโบรนให้เป็นมรดกของเขา 14 ดังนั้น เฮโบรนจึงกลายเป็นมรดกของคาเลบลูกชายของเยฟุนเนห์ชาวเคนัสกับลูกหลานของเขามาจนถึงทุกวันนี้ เพราะเขาได้ติดตามพระยาห์เวห์พระเจ้าของชาวอิสราเอลอย่างสิ้นสุดใจ 15 (ก่อนหน้านั้น เมืองเฮโบรนมีชื่อว่า คิริยาทอารบา อารบาคนนี้เป็นคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในคนอานาค)
แล้วแผ่นดินก็หยุดพักจากสงคราม
ที่ดินสำหรับชนเผ่ายูดาห์
15 ที่ดินที่มอบให้เผ่ายูดาห์ แบ่งตามตระกูลต่างๆ ด้านใต้ติดกับเขตแดนของเอโดม คือไปถึงทะเลทรายศินเป็นที่สุดเขตด้านใต้ 2 พรมแดนทางทิศใต้นั้นเริ่มจากตรงปลายของทะเลเกลือ จากอ่าวที่หันหน้าออกไปทางใต้[c] 3 ยื่นลงไปทางด้านใต้ของเส้นผ่านทางแมงป่อง และผ่านเรื่อยไปถึงศิน แล้วขึ้นไปทางด้านใต้ของเมืองคาเดชบารเนีย และผ่านไปเมืองเฮสโรนขึ้นไปถึงเมืองอัดดาร์ และเลี้ยวไปถึงคารคา 4 พรมแดนผ่านเรื่อยไปถึงอัสโมน และไล่ไปตามลำธารอียิปต์ จนมาสิ้นสุดที่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน นี่จะเป็นพรมแดนทางใต้ของพวกยูดาห์
5 พรมแดนด้านตะวันออก คือติดกับทะเลเกลือ ขึ้นไปเรื่อยจนถึงปากแม่น้ำจอร์แดน พรมแดนทางเหนือ เริ่มจากอ่าวบริเวณปากแม่น้ำจอร์แดน 6 และพรมแดนนั้นขึ้นไปถึงเมืองเบธฮกลาห์ เรื่อยขึ้นไปทางเหนือของเบธอาราบาห์ ขึ้นไปถึงก้อนหินโบฮัน (โบฮันเป็นลูกชายรูเบน) 7 แล้วเขตแดนทางเหนือ ผ่านหุบเขาอาโคร์ไปจนถึงเมืองเดบีร์ แล้วเลี้ยวขึ้นทางทิศเหนือไปถึงกิลกาล ซึ่งอยู่ตรงข้ามเส้นผ่านทางอดุมมิมซึ่งอยู่ทางใต้ของหุบเขา แล้วเส้นเขตแดนก็อ้อมไปรอบพวกตาน้ำของเอนเชเมช และไปสิ้นสุดที่เอนโรเกล 8 แล้วเขตแดนก็ผ่านหุบเขาลูกชายฮินโนม ถึงไหล่เขาด้านใต้ของเมืองชาวเยบุส (คือเมืองเยรูซาเล็ม) จากนั้น เส้นพรมแดนก็ขึ้นไปถึงยอดเนินเขาซึ่งอยู่ทางตะวันตกของหุบเขาฮินโนม ซึ่งอยู่ทางเหนือสุดของหุบเขาเรฟาอิม 9 เส้นเขตแดนก็เลี้ยวจากจุดสูงสุดของเนินเขานั้นไปทางลำห้วยแห่งเนฟโทอาห์ จากนั้น มันก็เลาะไปตามหุบเขาจนไปถึงเมืองต่างๆของภูเขาเอโฟรน แล้วเขตแดนก็หันไปยังเมืองบาอาลาห์ (หรือเมืองคิริยาทเยอาริมนั่นเอง) 10 เขตแดนได้อ้อมไปทางตะวันตกของบาอาลาห์ไปถึงภูเขาเสอีร์ แล้วอ้อมไปทางลาดเขาทางทิศเหนือของภูเขายาอาริม (ซึ่งก็คือเคสะโลน) และมันก็ลงไปทางเมืองเบธเชเมชแล้วอ้อมไปถึงเมืองทิมนาห์ 11 พรมแดนได้ทอดยาวไปตามหุบเขาไปถึงเมืองเอโครน แล้วหันไปยังเมืองชิกเคโรน ผ่านไปถึงภูเขาบาอาลาห์ และต่อไปถึงเมืองยับเนเอล และไปสิ้นสุดลงที่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน 12 พรมแดนด้านตะวันตกคือทะเลเมดิเตอร์เรเนียน นี่เป็นพรมแดนล้อมรอบคนยูดาห์ตามตระกูลของเขา
13 พระยาห์เวห์ได้สั่งให้โยชูวาแบ่งที่ดินให้กับคาเลบลูกชายของเยฟุนเนห์ ซึ่งเป็นที่ดินส่วนหนึ่งในเขตของคนยูดาห์ คือ คิริยาทอารบาหรือเมืองเฮโบรน (อารบา เป็นบรรพบุรุษของอานาค) 14 และคาเลบได้ขับไล่ลูกชายทั้งสามคนของอานาคออกไป คือ เชชัย อาหิมาน และทัลมัยผู้เป็นลูกหลานของอานาค 15 จากที่นั่น คาเลบได้ขึ้นไปต่อสู้กับประชาชนชาวเดบีร์ (เมืองเดบีร์ เดิมชื่อว่า คิริยาทเสเฟอร์) 16 คาเลบพูดว่า “ใครตีเมืองคิริยาทเสเฟอร์และยึดมันไว้ได้ เราจะยกอัคสาห์ลูกสาวของเราให้เป็นเมียคนนั้น”
17 โอทนีเอล ลูกชายเคนัสน้องชายของคาเลบยึดเมืองนั้นได้ ดังนั้น คาเลบจึงยกอัคสาห์ลูกสาวของเขาให้เป็นเมียของโอทนีเอล 18 เมื่ออัคสาห์มาพบโอทนีเอล นางได้รบเร้าให้เขา[d] ไปขอที่นาแห่งหนึ่งจากพ่อของนาง นางได้ลงมาจากหลังลา และคาเลบได้ถามนางว่า “ลูกจะเอาอะไรหรือ”
19 นางพูดว่า “ขอของขวัญให้กับลูกหน่อย เพราะพ่อได้ให้แผ่นดินที่แห้งแล้งในเนเกบกับลูก ดังนั้น ขอที่มันมีพวกตาน้ำกับลูกด้วย” ดังนั้น คาเลบจึงยกพวกตาน้ำด้านบนและด้านล่างให้กับนาง
20 ต่อไปนี้เป็นมรดกของชนเผ่ายูดาห์ ตามตระกูลต่างๆของพวกเขา 21 เมืองต่างๆทั้งหมดนี้เป็นของคนเผ่ายูดาห์ คือใกล้บริเวณใต้สุดที่ติดกับพรมแดนของเอโดม คือเมืองขับเซเอล เอเดอร์ ยากูร 22 คีนาห์ ดีโมนาห์ อาดาดาห์ 23 เคเดช ฮาโซร์อิทนาน 24 ศีฟ เทเลม เบอาโลท 25 ฮาโซรฮาดัททาห์ เคริโอทเฮสโรน (คือเมืองฮาโซร์) 26 อามัม เชมา โมลาดาห์ 27 ฮาซารกัดดาห์ เฮชโมน เบธเปเลต 28 ฮาซารชูอาล เบเออร์เชบา บิซิโอธิยาห์ 29 บาอาลาห์ อิยิม เอเซม 30 เอลโทลัด เคสิล โฮรมาห์ 31 ศิกลาก มัดมันนาห์ สันสันนาห์ 32 เลบาโอท ชิลฮิม อายิน และริมโมน ทั้งหมดยี่สิบเก้าเมือง กับชนบทของเมืองนั้นๆด้วย
33 ชนเผ่ายูดาห์ได้เมืองต่างๆตามแถบที่ลุ่มเชิงเขาด้านตะวันตก ด้วย คือเมืองเอชทาโอล โศราห์ อัชนาห์ 34 ศาโนอาห์ เอนกันนิม ทัปปูวาห์ เอนาม 35 ยารมูท อดุลลัม โสโคห์ อาเซคาห์ 36 ชาอาราอิม อดีธาอิม เกเดราห์ (หรือเกเดโรธาอิม) รวมเป็นสิบสี่เมืองกับชนบทของเมืองนั้นๆ
37 ชนเผ่ายูดาห์ยังได้รับเมืองเหล่านี้ด้วย คือ เศนัน ฮาดัสสาห์ มิกดัลกาด 38 ดิเลอัน มิสปาห์ โยกเธเอล 39 ลาคีช โบสคาท เอกโลน 40 คับโบน ลามัม คิทลิช 41 เกเดโรท เบธดาโกน นาอามาห์ และมักเคดาห์ รวมทั้งหมดสิบหกเมืองกับชนบทของเมืองนั้นๆ
42 ลิบนาห์ เอเธอร์ อาชัน 43 อิฟทาห์ อัชนาห์ เนซีบ 44 เคอีลาห์ อัคซีบ มาเรชาห์ รวมเป็นเก้าเมืองกับชนบทของเมืองนั้นๆ
45 เอโครนและเมืองต่างๆกับชนบทของมัน 46 ทางตะวันตกของเอโครน และเมืองทั้งหมดที่อยู่ใกล้กับเมืองอัชโดดและชนบทของมัน 47 อัชโดดกับบรรดาเมืองโดยรอบและชนบทของมัน กาซากับเมืองต่างๆโดยรอบ และชนบทของมัน ไปจนถึงลำธารอียิปต์และแนวฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
48 ชนเผ่ายูดาห์ได้รับเมืองต่างๆในแถบเนินเขา คือ ชามีร์ ยาททีร์ โสโคห์ 49 ดานนาห์ คิริยาทสันนาห์ (คือเมืองเดบีร์) 50 อานาบ เอชเทโมห์ อานิม 51 โกเชน โฮโลน และกิโลห์ รวมเป็นสิบเอ็ดเมืองกับชนบทของเมืองนั้นๆ
52 อาหรับ ดูมาห์ เอชาน 53 ยานิม เบธทัปปูวาห์ อาเฟคาห์ 54 ฮุมทาห์ คิริยาทอารบา (คือเมืองเฮโบรน) และเมืองศิโยร์ รวมเป็นเก้าเมืองกับชนบทของเมืองนั้นๆ
55 มาโอน คารเมล ศีฟ ยุทธาห์ 56 ยิสเรเอล โยกเดอัม ศาโนอาห์ 57 คาอิน กิเบอาห์ และทิมนาห์ รวมเป็นสิบเมืองกับชนบทของเมืองนั้นๆ
58 ฮัลฮูล เบธซูร์ เกโดร์ 59 มาอาราธ เบธอาโนท และเอลเทโคน รวมเป็นหกเมืองกับชนบทของเมืองนั้นๆ
60 คิริยาทบาอัล (คือเมืองคิริยาทเยอาริม) และรับบาห์ รวมเป็นสองเมืองกับชนบทของเมืองนั้นๆ
61 เมืองในทะเลทรายคือ เบธอาราบาห์ มิดดีน เสคะคาห์ 62 นิบชาน เมืองเกลือ และเอนเกดี รวมเป็นหกเมืองกับชนบทของเมืองนั้นๆ
63 แต่ประชาชนชาวยูดาห์ไม่สามารถขับไล่ชาวเยบุสซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองเยรูเซาเล็มออกไปได้ ดังนั้น ชาวเยบุสจึงได้อาศัยอยู่ร่วมกับประชาชนชาวยูดาห์ในเยรูซาเล็มมาจนถึงทุกวันนี้
สรรเสริญพระยาห์เวห์ที่ช่วยคนอ่อนแอ
1 สรรเสริญพระยาห์เวห์
จิตวิญญาณของข้าพเจ้าเอ๋ย สรรเสริญพระองค์เถิด
2 ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระยาห์เวห์ตราบเท่าที่ข้าพเจ้ายังมีชีวิตอยู่
ข้าพเจ้าจะร้องเพลงสรรเสริญแด่พระเจ้าของข้าพเจ้าตราบเท่าที่ข้าพเจ้ายังมีลมหายใจอยู่
3 อย่าได้เชื่อพึ่งในพวกผู้นำทั้งหลาย
เพราะพวกเขาเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาๆไม่มีฤทธิ์อำนาจที่จะช่วยให้รอดได้
4 จิตวิญญาณของพวกเขาจะออกจากร่างและร่างกายของพวกเขาจะกลับสู่ดิน
แล้วในวันนั้น แผนงานทั้งหลายของพวกเขาก็จะสูญสิ้นไป
5 คนที่มีพระเจ้าของยาโคบเป็นผู้ช่วยให้รอด ถือว่ามีเกียรติจริงๆ
พวกเขาฝากความหวังไว้ในพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา
6 พระองค์สร้างฟ้าสวรรค์ แผ่นดินโลก ทะเลและทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในพวกมัน
พระองค์ยังคงรักษาความสัตย์ซื่อของพระองค์ตลอดกาล
7 พระองค์ให้ความยุติธรรมกับคนที่ถูกกดขี่ข่มเหง
พระองค์ให้อาหารกับคนเหล่านั้นที่หิวโหย
พระยาห์เวห์ปลดปล่อยคนเหล่านั้นที่ถูกขังคุก
8 พระยาห์เวห์ช่วยคนตาบอดให้มองเห็น
พระยาห์เวห์ช่วยคนเหล่านั้นที่หลังคดงอให้ยืนตรง
พระยาห์เวห์รักคนเหล่านั้นที่ทำถูกต้อง
9 พระยาห์เวห์คุ้มครองคนต่างด้าว
พระองค์ค้ำจุนเด็กกำพร้าและหญิงหม้าย
และพระองค์ทำลายแผนการของคนชั่ว
10 พระยาห์เวห์จะปกครองตลอดไป
ศิโยนเอ๋ย พระเจ้าของเจ้าจะปกครองไปตลอดรุ่นแล้วรุ่นเล่า
สรรเสริญพระยาห์เวห์เถิด
พระยาห์เวห์พระผู้สร้างช่วยคนของพระองค์
1 สรรเสริญพระยาห์เวห์ มันเป็นการดีที่จะร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าของเรา
เป็นสิ่งที่น่ายินดีและถูกต้องที่จะสรรเสริญพระองค์
2 พระยาห์เวห์กำลังสร้างเยรูซาเล็มขึ้นมาใหม่
และพระองค์กำลังนำพวกชาวอิสราเอลที่ถูกต้อนไป กลับมา
3 พระองค์เยียวยาผู้ที่ใจแตกสลาย
และพันแผลให้พวกเขา
4 พระองค์นับจำนวนดวงดาว
และตั้งชื่อให้กับดวงดาวทุกดวง
5 องค์เจ้าชีวิตของพวกเรานั้นยิ่งใหญ่และเกรียงไกร
และความเข้าใจของพระองค์นั้นไม่มีขีดจำกัด
6 พระยาห์เวห์ค้ำจุนคนต่ำต้อย
แต่พระองค์ผลักไสคนชั่วลงสู่ดิน
7 ให้ร้องเพลงขอบคุณพระยาห์เวห์
ร้องเพลงสดุดีแด่พระเจ้าด้วยพิณสี่สาย
8 พระองค์คลุมท้องฟ้าด้วยเมฆ พระองค์ให้ฝนตกบนแผ่นดิน
พระองค์ให้หญ้างอกขึ้นตามเนินเขาต่างๆ
9 พระองค์ให้อาหารกับสัตว์ทั้งหลาย
และเลี้ยงแม้แต่ลูกกาตัวเล็กๆที่ร้องขออาหารจากพระองค์
10 พระองค์ไม่สนใจเรื่องพละกำลังของม้า
ไม่ชื่นชมกับพลังขาของนักรบ
11 แต่พระยาห์เวห์ชื่นชมในคนเหล่านั้นที่ยำเกรงพระองค์
คือคนเหล่านั้นที่ฝากความหวังไว้กับความรักมั่นคงของพระองค์
12 เยรูซาเล็มเอ๋ย ยกย่องพระยาห์เวห์เถิด
ศิโยนเอ๋ย สรรเสริญพระเจ้าของเจ้าเถิด
13 เพราะพระองค์ทำให้สลักประตูเมืองของเจ้าแข็งแรง
พระองค์ได้อวยพรลูกๆของเจ้าภายในเมืองของเจ้า
14 พระองค์ทำให้สันติภาพเกิดขึ้นในเขตแดนของเจ้า
และให้เมล็ดพืชชั้นดีกับเจ้าอย่างเหลือเฟือ
15 พระองค์ส่งคำสั่งของพระองค์ออกไปทั่วโลก
และคำสั่งนั้นก็วิ่งไปยังจุดหมายของมันอย่างรวดเร็ว
16 พระองค์ทำให้หิมะตกขาวเหมือนกับขนแกะ
พระองค์หว่านน้ำค้างที่แข็งขาวไปทั่วเหมือนขี้เถ้า
17 พระองค์โยนลูกเห็บลงมาเป็นก้อนๆ
จะมีใครทนความหนาวเหน็บที่พระองค์ส่งมาได้
18 พระองค์ส่งคำสั่งของพระองค์ออกไป แล้วสิ่งเหล่านี้ก็เริ่มละลาย
พระองค์ระบายลมหายใจออกมา สายน้ำก็เริ่มไหล
19 พระองค์ให้บัญญัติต่างๆของพระองค์กับคนของยาโคบ
พระองค์ให้พวกกฎหมายและกฎระเบียบต่างๆของพระองค์กับคนอิสราเอล
20 พระองค์ไม่ได้ทำอย่างนี้กับชนชาติอื่นๆ
ไม่มีชนชาติไหนที่รู้กฎระเบียบของพระองค์
สรรเสริญพระยาห์เวห์เถิด
เยเรมียาห์สั่งสอนในวิหาร
(ยรม. 26:1-6)
7 นี่คือถ้อยคำที่เยเรมียาห์ได้รับจากพระยาห์เวห์ คือ
2 “เยเรมียาห์ ให้ไปยืนอยู่ในประตูวิหารของพระยาห์เวห์ และประกาศข้อความนี้ออกไป
‘พวกเจ้าชาวยูดาห์ทั้งหลายที่กำลังเดินผ่านประตูนี้เข้ามาเพื่อนมัสการพระยาห์เวห์ ฟังสิ่งที่พระยาห์เวห์พูดให้ดี 3 นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้น ผู้เป็นพระเจ้าแห่งอิสราเอลพูด “ถ้าเจ้าทำตัวดี เราก็จะอาศัยอยู่ที่นี่กับเจ้า 4 อย่าไปหลงเชื่อคำพูดที่หลอกลวงเหล่านั้น ที่ว่า ‘นี่เป็นวิหารของพระยาห์เวห์ วิหารของพระยาห์เวห์ วิหารของพระยาห์เวห์’[a] 5 แต่ถ้าเจ้าทำให้วิถีทางและการกระทำต่างๆของเจ้าดีจริงๆ และให้ความเป็นธรรมต่อกันและกัน 6 ถ้าเจ้าไม่กดขี่คนต่างถิ่น เด็กกำพร้า และแม่หม้าย ถ้าเจ้าไม่ทำให้เลือดของผู้บริสุทธิ์ต้องหลั่งไหลในที่แห่งนี้ และถ้าเจ้าไม่นมัสการพระอื่นๆเพราะมันมีแต่จะทำให้เจ้าเจ็บตัวเปล่าๆ 7 เราก็จะยอมให้เจ้าอาศัยอยู่ในที่แห่งนี้ ในดินแดนที่เราได้มอบให้กับบรรพบุรุษของเจ้าไว้ตลอดไป”’”
8 “เจ้ากำลังไว้วางใจในคำพูดที่หลอกลวงที่ไร้ค่าเหล่านั้น 9 เจ้าไปขโมย ไปฆ่า ไปมีชู้ ไปสัญญาที่เจ้าไม่คิดจะรักษา ไปเผาเครื่องหอมให้พระบาอัล และไปบูชาพระอื่นๆที่เจ้าไม่รู้จัก 10 แล้วกลับมายืนอยู่ต่อหน้าวิหารนี้ ที่มีชื่อของเราอยู่ แล้วพวกเจ้าก็พูดว่า ‘พวกเราได้รับความรอดแล้ว’ อย่างนั้นหรือ ที่เจ้าทำอย่างนี้ ก็เพื่อเจ้าจะได้กลับไปทำเรื่องชั่วช้าพวกนั้นอีกใช่ไหม 11 เจ้าเห็นวิหารนี้ ที่มีชื่อเราตั้งอยู่ กลายเป็นซ่องโจรไปแล้วใช่ไหม แม้แต่เราเองก็ยังเห็นมันเป็นอย่างนั้นเลย” พระยาห์เวห์พูดว่าอย่างนั้น
12 “พวกเจ้าคนยูดาห์ ไปสิ ไปยังสถานที่ของเรา ที่อยู่ในชิโลห์[b] เราได้ตั้งที่นั่นเป็นที่แรกสำหรับให้ชื่อของเราสถิตอยู่ ไปดูสิว่าเราได้ทำอะไรกับมันบ้าง เพราะความชั่วช้าของอิสราเอลคนของเรา 13 แล้วตอนนี้ พวกเจ้าคนอิสราเอลก็ได้ทำสิ่งที่ชั่วร้ายพวกนี้” พระยาห์เวห์พูดอย่างนั้น “และถึงแม้เราได้เตือนเจ้าตั้งแต่เนิ่นๆแล้ว แต่เจ้ากลับไม่ฟังเรา แถมเมื่อเราเรียกเจ้า เจ้าก็ไม่ตอบเสียอีก 14 ดังนั้น เราจะทำกับวิหารที่มีชื่อของเราตั้งอยู่ ที่เจ้าไว้วางใจนักหนา และเราจะทำกับสถานที่ที่เราได้มอบให้กับบรรพบุรุษของเจ้า อย่างเดียวกับที่เราทำกับชิโลห์ 15 เราจะเหวี่ยงเจ้าออกไปให้พ้นหน้าเรา เหมือนกับที่เราเคยเหวี่ยงพวกพี่น้องของเจ้าทั้งหมด พวกที่สืบเชื้อสายมาจากเอฟราอิม”
16 “ส่วนเจ้าเยเรมียาห์ ไม่ต้องอธิษฐานเผื่อคนกลุ่มนี้ และไม่ต้องร้องไห้ให้พวกเขาด้วย เจ้าไม่ต้องอธิษฐานต่อเราให้กับพวกเขา เพราะคำอธิษฐานจะมาไม่ถึงเรา เราจะไม่ฟังเจ้า 17 เจ้าไม่เห็นหรือยังไง ว่าพวกมันกำลังทำอะไรในเมืองยูดาห์และตามท้องถนนของเมืองเยรูซาเล็ม 18 พวกลูกๆกำลังเก็บฟืน ส่วนพวกพ่อกำลังจุดไฟ พวกผู้หญิงกำลังนวดแป้งทำขนมปังสำหรับเจ้าแม่แห่งสวรรค์ และกำลังเทเครื่องดื่มบูชาถวายพระอื่นๆเพื่อยั่วโมโหเรา” 19 พระยาห์เวห์พูดว่า “พวกเขาคิดว่ากำลังยั่วโมโหเราหรือ ไม่เลย อันที่จริง พวกเขากำลังทำกับตัวเองต่างหาก พวกเขาถึงต้องอับอายขายหน้า”
20 ดังนั้นนี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์ เจ้านายของผมพูดคือ “ความโกรธและความแค้นของเรากำลังจะเทออกมายังวิหารนี้ เทใส่ทั้งคน สัตว์ ต้นไม้ตามท้องทุ่ง และผลผลิตจากพื้นดิน ความโกรธของเราจะเผาไหม้อยู่ และจะไม่มีวันดับ”
พระยาห์เวห์อยากให้เชื่อฟังมากกว่าให้เครื่องบูชา
21 นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้น ผู้เป็นพระเจ้าแห่งอิสราเอล พูด “เพิ่มเครื่องเผาบูชาเข้าไปในเครื่องเซ่นไหว้ของเจ้าด้วย กินเนื้อซะด้วย 22 ตอนที่เราพาบรรพบุรุษของพวกเจ้าออกมาจากอียิปต์นั้น เราไม่ได้สั่งอะไรพวกเขาเลยเกี่ยวกับเรื่องเครื่องเผาบูชาและเครื่องเซ่นไหว้ เราไม่ได้บอกบรรพบุรุษของพวกเจ้าให้ทำอย่างนั้น 23 แต่สิ่งที่เราสั่งให้พวกเขาทำ คือ ‘ให้ฟังเสียงของเรา แล้วเราจะเป็นพระเจ้าของเจ้า และเจ้าจะเป็นคนของเรา ให้เจ้าเดินในทางที่เราสั่งเจ้า นั่นจะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเจ้า’”
24 “แต่พวกเขาไม่ยอมฟัง และทำเป็นหูทวนลม กลับไปทำตามความต้องการชั่วๆของตัวเอง พวกเขากลับเดินถอยหลังแทนที่จะเดินไปข้างหน้า 25 ตั้งแต่วันนั้นที่บรรพบุรุษของเจ้าออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ จนถึงวันนี้ เราได้ส่งพวกผู้รับใช้ของเรา พวกผู้พูดแทนพระเจ้า ไปหาพวกเจ้าทุกวัน 26 แต่พวกเขาไม่ยอมฟังเรา และไม่ยอมเงี่ยหูฟัง พวกเขาดื้อดึงหัวแข็ง พวกเขาชั่วร้ายยิ่งกว่าบรรพบุรุษของพวกเขาเสียอีก”
27 “เยเรมียาห์ เจ้าจะเอาคำพูดทั้งหมดนี้ไปบอกกับพวกเขา แต่พวกเขาจะไม่ฟังเจ้า เจ้าจะเรียกพวกเขา แต่พวกเขาจะไม่ตอบเจ้า 28 เจ้าจะต้องบอกกับพวกเขาว่า ‘นี่คือชนชาติที่ไม่ยอมฟังเสียงของพระยาห์เวห์ พระเจ้าของเขา และไม่ยอมรับการตีสอนจากพระองค์ ความจริงได้ตายไปเสียแล้ว และมันก็หายไปจากปากของพวกเขา’”
หุบเขาแห่งการฆ่า
29 “เยเรมียาห์ ตัดผมของเจ้าทิ้งไป แล้วขึ้นไปร้องไห้คร่ำครวญบนเนินเขาโล้นเตียนซะ เพราะพระยาห์เวห์ได้ปฏิเสธและทอดทิ้งคนรุ่นนี้ที่ยั่วโมโหพระองค์ไปแล้ว 30 เพราะพวกคนยูดาห์ ได้ทำในสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาเรา” พระยาห์เวห์พูดว่าอย่างนั้น “พวกเขาได้เอาสิ่งที่น่าขยะแขยงมาไว้ในวิหารที่มีชื่อของเราสถิตอยู่ เพื่อทำให้วิหารนั้นเป็นมลทินไป 31 พวกเขาสร้างที่สูงของโทเฟท ที่อยู่ในหุบเขาของบุตรชายของฮินโนมเพื่อเผาลูกชายลูกสาวตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่เคยสั่งหรือไม่เคยแม้แต่จะคิด 32 ดังนั้น วันนั้นจึงกำลังจะมาถึง” พระยาห์เวห์พูดว่าอย่างนั้น “วันที่จะไม่มีใครพูดถึงโทเฟทและหุบเขาของบุตรชายของฮินโนมอีกเลย แต่ผู้คนจะเรียกมันว่า หุบเขาแห่งการฆ่า และพวกเขาจะฝังศพไว้ที่โทเฟท จนกระทั่งไม่เหลือที่ให้ฝังศพอีกต่อไป 33 ส่วนศพของชนชาตินี้ก็จะกลายเป็นอาหารของนกในอากาศ และของพวกสัตว์ป่าบนพื้นดิน และจะไม่มีใครไล่พวกมันไป 34 เราจะทำให้เสียงสนุกสนาน เสียงงานรื่นเริง และเสียงของเจ้าบ่าวและเจ้าสาวหยุดลงในบ้านเมืองยูดาห์และตามท้องถนนของเมืองเยรูซาเล็ม เพราะดินแดนนี้จะถูกปล่อยทิ้งร้าง”
พระเยซูเข้าเมืองเยรูซาเล็มอย่างกษัตริย์
(มก. 11:1-11; ลก. 19:28-38; ยน. 12:12-19)
21 เมื่อพระเยซูและพวกศิษย์ใกล้ถึงเมืองเยรูซาเล็ม พวกเขามาหยุดอยู่ที่หมู่บ้านเบธฟายีที่ภูเขามะกอกเทศ พระเยซูส่งศิษย์สองคนไปก่อนล่วงหน้า 2 สั่งว่า “เข้าไปในหมู่บ้านข้างหน้านั้น ทันทีที่คุณไปถึง คุณจะเห็นแม่ลาผูกอยู่กับลูกของมัน ให้แก้มัดลาทั้งสองตัวแล้วจูงมาให้เรา 3 ถ้ามีใครถามว่า จะเอาลาไปไหน ให้ตอบว่า องค์เจ้าชีวิตต้องการใช้ เขาก็จะให้คุณมาทันที”
4 สิ่งนี้เกิดขึ้น เพื่อให้เป็นจริงตามที่ผู้พูดแทนพระเจ้าได้พูดไว้ว่า
5 “บอกชาวเมืองศิโยนว่า
ดูนั่นสิ กษัตริย์ของพวกคุณกำลังมาหา
พระองค์สุภาพอ่อนโยนและนั่งอยู่บนหลังลา
นั่งอยู่บนลูกลาน้อยตัวผู้ตัวหนึ่ง”[a]
6 ศิษย์สองคนนั้นเข้าไปในหมู่บ้าน และทำตามที่พระเยซูสั่ง 7 พวกเขาจูงแม่ลาและลูกลามาให้พระองค์ แล้วเอาเสื้อคลุมของเขาปูบนหลังลาให้พระเยซูนั่ง 8 ฝูงชนเป็นจำนวนมากพากันเอาเสื้อคลุมของตนปูบนถนน บางคนก็ตัดกิ่งไม้มาปูตามท้องถนนให้พระองค์ผ่าน 9 ฝูงชนที่เดินนำหน้าและที่เดินตามหลังพระองค์ ต่างก็พากันโห่ร้องว่า
ไชโย แด่พระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่งสูงสุดในสวรรค์”
10 เมื่อพระองค์เข้าไปในเมืองเยรูซาเล็ม คนทั้งเมืองต่างแตกตื่นถามกันว่า “ใครกันนี่”
11 ฝูงชนก็ตอบว่า “เยซูไง ผู้พูดแทนพระเจ้า คนนั้นที่มาจากหมู่บ้านนาซาเร็ธ แคว้นกาลิลี”
พระเยซูไปวิหาร
(มก. 11:15-19; ลก. 19:45-48; ยน. 2:13-22)
12 พระเยซูเข้าไปในเขตวิหาร และไล่คนที่กำลังซื้อและขายข้าวของกันอยู่ที่นั่นออกไปจนหมด พระองค์คว่ำโต๊ะของคนรับแลกเงิน และที่นั่งของคนขายนกพิราบ 13 พระองค์ร้องบอกกับทุกคนที่อยู่ในที่นั่นว่า “พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ‘บ้านของเรามีชื่อว่าเป็นบ้านสำหรับอธิษฐาน’[d] แต่พวกเจ้ากลับทำให้มันเป็นรังโจร”[e]
14 มีคนตาบอดและคนง่อยเข้ามาหาพระองค์ในวิหาร พระองค์รักษาพวกเขาจนหาย 15 เมื่อพวกหัวหน้านักบวชและครูสอนกฎปฏิบัติ เห็นสิ่งอัศจรรย์ต่างๆที่พระเยซูทำ และได้ยินเสียงเด็กๆโห่ร้องกันในวิหารว่า “ไชโย สำหรับบุตรของดาวิด” พวกเขาก็โกรธแค้นพระเยซูมาก
16 พวกเขาถามพระองค์ว่า “ได้ยินที่เด็กๆพวกนั้นโห่ร้องกันอยู่หรือเปล่า” พระเยซูตอบว่า “ได้ยินสิ พวกคุณไม่เคยอ่านในพระคัมภีร์หรือที่ว่า ‘พระเจ้าได้สอนเด็กๆและทารกให้ร้องเพลงสรรเสริญพระองค์’”[f]
17 แล้วพระเยซูก็ออกจากเมืองไปพักค้างคืนอยู่ที่หมู่บ้านเบธานี
พระเยซูแสดงพลังแห่งความเชื่อ
(มก. 11:12-14, 20-24)
18 เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ในระหว่างทางที่พระเยซูกำลังเดินกลับเข้าเมือง พระองค์รู้สึกหิว 19 พระองค์มองเห็นต้นมะเดื่ออยู่ริมทาง จึงเดินเข้าไปใกล้แต่ไม่เห็นมีลูก มีแต่ใบเท่านั้น พระองค์พูดกับต้นมะเดื่อว่า “อย่าได้ออกลูกอีกเลย” และต้นมะเดื่อนั้นก็เหี่ยวแห้งตายทันที
20 เมื่อพวกศิษย์เห็นก็แปลกใจ จึงถามพระองค์ว่า “ทำไมมันถึงเหี่ยวแห้งตายเร็วจังครับ”
21 พระเยซูตอบว่า “เราจะบอกให้รู้ ถ้าคุณเชื่อโดยไม่สงสัยเลย คุณก็จะทำอย่างนั้นได้เหมือนกัน และจะทำได้มากกว่านั้นด้วย แม้แต่สั่งให้ภูเขาลูกนี้ลอยลงไปในทะเล มันก็จะเป็นไปตามนั้น 22 ถ้าคุณเชื่อ คุณจะได้ทุกอย่างที่คุณอธิษฐานขอ”
ผู้นำชาวยิวสงสัยเรื่องสิทธิอำนาจของพระเยซู
(มก. 11:27-33; ลก. 20:1-8)
23 พระเยซูเข้าไปในวิหาร เมื่อพระองค์กำลังสอนอยู่นั้น พวกหัวหน้านักบวชและพวกผู้นำอาวุโส เข้ามาถามพระองค์ว่า “แกมีสิทธิ์อะไรไปไล่พวกพ่อค้านั้น ใครให้สิทธิ์นี้กับแก”
24 พระเยซูตอบว่า “เราขอถามคุณเรื่องหนึ่งเหมือนกัน ถ้าคุณตอบเรา แล้วเราจะบอกว่าเราใช้สิทธิ์ของใครทำอย่างนี้ 25 ตอบหน่อยสิว่า พิธีจุ่มน้ำของยอห์นมาจากสวรรค์หรือมาจากมนุษย์” พวกหัวหน้านักบวชและพวกผู้นำอาวุโสต่างก็ปรึกษากันว่า “ถ้าเราตอบว่า ‘มาจากสวรรค์’ มันก็จะย้อนถามเราว่า ‘แล้วทำไมพวกคุณถึงไม่เชื่อยอห์นละ’ 26 แต่ถ้าเราตอบว่า ‘มาจากมนุษย์’ เราก็กลัวฝูงชนจะโกรธ เพราะพวกนั้นต่างก็เชื่อว่า ยอห์นเป็นผู้พูดแทนพระเจ้า”
27 พวกเขาจึงตอบพระเยซูว่า “ไม่รู้สิ” พระเยซูก็เลยบอกว่า “ถ้าอย่างนั้น เราก็จะไม่บอกเหมือนกัน ว่าเราใช้สิทธิ์ของใครในการทำสิ่งเหล่านี้”
เรื่องลูกชายสองคน
28 “บอกหน่อยว่า คุณคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ชายคนหนึ่งมีลูกสองคน เขาบอกลูกชายคนโตว่า ‘ลูกพ่อ วันนี้ไปทำงานในไร่องุ่นของพ่อนะ’
29 เขาตอบว่า ‘ไม่ได้ครับ’ แต่ต่อมาเขาเปลี่ยนใจ แล้วไปทำงานในไร่องุ่น
30 จากนั้นพ่อไปบอกลูกชายอีกคนว่า ‘ลูกพ่อ วันนี้ไปทำงานในไร่องุ่นของพ่อนะ’ เขาตอบว่า ‘ครับพ่อ ผมจะไป’ แต่เขาก็ไม่ได้ไป”
31 “ลูกสองคนนี้ คนไหนที่เชื่อฟังพ่อของเขา” พวกหัวหน้าชาวยิวตอบว่า “ลูกคนแรก” พระเยซูจึงบอกพวกเขาว่า “เราจะบอกให้รู้ว่า คนเก็บภาษีและโสเภณีกำลังเข้าไปในอาณาจักรของพระเจ้าก่อนพวกคุณเสียอีก 32 ยอห์นได้มาชี้ให้เห็นว่า จะใช้ชีวิตที่ถูกต้องกับพระเจ้าได้อย่างไร พวกคุณก็ไม่ยอมเชื่อเขา แต่คนเก็บภาษีและโสเภณีกลับเชื่อยอห์น ถึงแม้คุณเห็นพวกเขาทำอย่างนี้แล้ว แต่ก็ยังไม่ยอมกลับตัวกลับใจมาเชื่อยอห์นเลย
เรื่องเปรียบเทียบเกี่ยวกับชาวสวนชั่ว
(มก. 12:1-12; ลก. 20:9-19)
33 ฟังเรื่องเปรียบเทียบนี้ให้ดี เจ้าของที่แปลงหนึ่งได้ทำสวนองุ่นไว้ ล้อมรั้วไว้รอบ ขุดบ่อย่ำองุ่น[g] และสร้างหอคอย แล้วให้ชาวสวนมาเช่าสวนองุ่นนั้น ส่วนตัวเขาเดินทางไปต่างประเทศ 34 เมื่อถึงฤดูเก็บองุ่น เจ้าของสวนส่งพวกทาสของเขามารับส่วนแบ่งองุ่นจากพวกคนเช่า
35 แต่พวกคนเช่าจับทาสของเขาไว้ ทุบตีคนหนึ่ง ฆ่าอีกคนหนึ่ง แล้วเอาหินขว้างอีกคนหนึ่ง 36 เจ้าของสวนจึงส่งพวกทาสมามากกว่าครั้งแรก แต่ก็ถูกพวกคนเช่าสวน ทำเหมือนเดิม 37 สุดท้าย เจ้าของสวนจึงส่งลูกชายของเขามาเอง เขาว่า ‘พวกนั้นจะต้องเคารพยำเกรงลูกชายของเราแน่ๆ’
38 แต่เมื่อพวกคนเช่าเห็นลูกชายของเขามา ก็พูดกันว่า ‘นี่ไง ผู้รับมรดก เร็วเข้าพวกเรา ฆ่ามันซะ สวนนี้จะได้ตกเป็นของพวกเรา’ 39 พวกคนเช่าสวนจึงจับตัวลูกชายเจ้าของสวนโยนออกไปนอกสวนแล้วฆ่าเขา 40 เมื่อเจ้าของสวนมา เขาจะทำอย่างไรกับคนเช่าพวกนี้”
41 พวกหัวหน้านักบวชและพวกผู้นำอาวุโสตอบว่า “เขาจะต้องฆ่าคนชั่วพวกนั้นอย่างโหดเหี้ยม และให้ชาวสวนคนอื่นที่ยอมแบ่งองุ่นให้กับเขาเมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวมาเช่าต่อ”
42 พระเยซูบอกพวกเขาว่า “พวกคุณไม่เคยอ่านพระคัมภีร์ข้อนี้หรือที่ว่า
‘หินก้อนนี้ที่ช่างก่อสร้างทิ้งแล้ว กลับกลายมาเป็นหินก้อนที่สำคัญที่สุด
องค์เจ้าชีวิตทำให้เป็นอย่างนั้น สำหรับเราแล้วนี่เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อจริงๆ’[h]
43 เราจะบอกให้รู้ว่า อาณาจักรของพระเจ้าจะถูกริบเอาไปจากคุณ และยกไปให้กับคนที่ทำตามความต้องการของพระเจ้า 44 คนที่ล้มทับหินนี้ ร่างกายก็จะหักเป็นชิ้นๆ แต่ถ้าถูกหินนี้ล้มทับ คนนั้นก็จะแหลกละเอียด”[i]
45 เมื่อพวกหัวหน้านักบวชและพวกฟาริสีได้ยินเรื่องเปรียบเทียบนี้ ก็รู้ทันทีว่าพระองค์กำลังว่าพวกเขาเป็นคนเช่าชั่วร้ายพวกนั้น 46 พวกเขาจึงหาทางที่จะจับพระเยซู แต่ก็กลัวฝูงชน เพราะพวกนี้เชื่อว่าพระองค์เป็นผู้พูดแทนพระเจ้า
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International