Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
ปฐมกาล 9-10

สัญญาที่พระเจ้าทำกับโนอาห์

พระเจ้าได้อวยพรโนอาห์กับพวกลูกชายของเขาและพูดว่า “ให้มีลูกมีหลานมากมายเต็มแผ่นดิน บรรดาสัตว์ทุกอย่างในโลกนี้ ทั้งพวกนก พวกสัตว์เลื้อยคลานอยู่บนพื้นดิน และปลาในทะเล จะกลัวพวกเจ้า พวกมันทั้งหมดจะอยู่ภายใต้การควบคุมของเจ้า ทุกสิ่งที่มีชีวิตที่เคลื่อนไหวได้ เราจะยกให้เป็นอาหารของพวกเจ้า เหมือนอย่างที่เราได้ยกพวกพืชผักให้พวกเจ้ากินอยู่แล้ว ตอนนี้เราให้ทุกสิ่งทุกอย่างกับเจ้า แต่พวกเจ้าจะต้องไม่กินเนื้อสัตว์ที่ยังมีเลือดติดอยู่ เพราะมีชีวิตอยู่ในเลือด ไม่อย่างนั้นเราจะทวงเลือดนั้นคืนจากชีวิตของพวกเจ้า สัตว์ตัวไหนที่ฆ่ามนุษย์ เราจะทวงชีวิตนั้นคืนจากมันด้วย สำหรับมนุษย์นั้น ถ้าใครฆ่าใครก็ตาม เราจะทวงชีวิตของคนๆนั้นคืนมา

ใครที่ฆ่าคน
    คนนั้นจะต้องถูกอีกคนหนึ่งฆ่าด้วย
    เพราะพระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมาตามรูปแบบของพระองค์

ให้พวกเจ้ามีลูกหลานมากมายและอยู่กันจนเต็มแผ่นดิน”

พระเจ้าพูดกับโนอาห์และพวกลูกชายของเขาอีกว่า “เราจะทำข้อตกลงกับเจ้าและลูกหลานทั้งหมดของเจ้า 10 เราจะทำข้อตกลงกับสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่อยู่กับเจ้า ทั้งพวกนก พวกสัตว์ใช้งาน และสัตว์อื่นทั้งหมดที่อยู่กับเจ้า 11 เราให้สัญญากับพวกเจ้าว่า จะไม่มีน้ำมาท่วมทำลายทุกสิ่งที่มีชีวิตหรือโลกนี้อีก”

12 แล้วพระเจ้าก็พูดต่ออีกว่า “นี่คือเครื่องหมายแห่งสัญญาที่เราได้ทำกับเจ้า กับลูกหลานของเจ้า และกับสิ่งมีชีวิตทุกอย่างที่อยู่กับเจ้า เป็นเครื่องหมายที่จะมีอยู่ตลอดไป 13 คือเราจะทำให้มีรุ้งที่ก้อนเมฆ เพื่อแสดงถึงสัญญาระหว่างเรากับโลก 14 เวลาใดที่มีรุ้งกินน้ำที่ก้อนเมฆเหนือพื้นดินนั้น 15 เราจะระลึกถึงสัญญาที่เราได้ให้ไว้กับเจ้า และบรรดาสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่อยู่กับเจ้า คือเราจะไม่ให้น้ำมาท่วมทำลายสิ่งมีชีวิตทั้งหลายอีก 16 เมื่อมีรุ้งกินน้ำที่ก้อนเมฆเมื่อใด เราจะมองดูรุ้งนั้น และจะนึกถึงสัญญาที่มั่นคงถาวร ระหว่างเรากับทุกสิ่งที่มีชีวิตบนโลกนี้”

17 แล้วพระเจ้าพูดกับโนอาห์อีกว่า “นี่แหละคือเครื่องหมายแห่งสัญญาระหว่างเรากับทุกสิ่งที่มีชีวิตบนโลกนี้”

โนอาห์กับลูกๆของเขา

18 ลูกชายของโนอาห์คือ เชม ฮาม และยาเฟท ออกมาจากเรือด้วยกัน (ฮามได้เป็นพ่อของคานาอัน) 19 ประชาชนทั้งหมดบนโลกนี้ล้วนมาจากลูกชายทั้งสามคนนี้ของเขา

20 ฝ่ายโนอาห์นั้นเป็นชาวไร่ เขาเป็นคนแรกที่ทำไร่องุ่น 21 เขาได้ดื่มเหล้าองุ่นและเมาหลับไปในเต็นท์ ทั้งที่เปลือยกายอยู่ 22 ฝ่ายฮามที่เป็นพ่อของคานาอันนั้น มาเห็นโนอาห์พ่อของเขานอนหลับเปลือยกายอยู่ เขาจึงออกไปบอกกับพี่ชายทั้งสองคนของเขา 23 เชมกับยาเฟทจึงช่วยกันเอาผ้ามาพาดบ่าของพวกเขาทั้งสองคน และเดินหันหลังเข้าไปหาพ่อที่นอนเปลือยกายอยู่ เอาผ้าคลุมร่างพ่อไว้โดยที่ไม่ได้มองร่างเปลือยของพ่อเลย

24 เมื่อโนอาห์ตื่นขึ้นสร่างเมาแล้ว และรู้เรื่องว่าลูกชายคนเล็กได้ทำอะไรกับเขา 25 โนอาห์จึงพูดว่า

“คานาอัน[a] เจ้าจะต้องถูกแช่ง
    ให้เป็นทาสชั้นต่ำที่สุดของพี่น้อง”

26 แล้วโนอาห์พูดต่ออีกว่า

“ขอพระเจ้าอวยพรให้เชม
    และให้คานาอันเป็นทาสของเขาเถิด
27 ขอพระเจ้าขยาย[b] ดินแดนของยาเฟท
    ขอให้ยาเฟทอยู่ในเต็นท์ของเชม[c]
    ขอให้คานาอันเป็นทาสของยาเฟทด้วย”

28 โนอาห์มีชีวิตหลังน้ำท่วมต่อไปอีกสามร้อยห้าสิบปี 29 โนอาห์มีอายุถึงเก้าร้อยห้าสิบปีจึงตาย

เชื้อสายของลูกชายของโนอาห์

(1 พศด. 1:5-23)

10 ต่อไปนี้เป็นเชื้อสายของลูกชายทั้งสามคนของโนอาห์ คือ เชม ฮาม และยาเฟท พวกเขามีลูกหลังจากน้ำท่วม

ลูกหลานของยาเฟท

พวกลูกชายของยาเฟท คือ โกเมอร์ มาโกก มาดัย ยาวาน ทูบัล เมเชค และทิราส

พวกลูกชายของโกเมอร์ คือ อัชเคนัส รีฟาท และโทการมาห์

พวกลูกชายของยาวาน คือ เอลีชาห์ ทารชิช คิทธิม และโดดานิม[d]

บรรดาประชาชนที่อาศัยอยู่ตามบริเวณทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ล้วนสืบเชื้อสายมาจากลูกๆของยาเฟท ครอบครัวทั้งหลายนี้แต่ละครอบครัวได้กลายเป็นชนชาติต่างๆที่มีแผ่นดินและภาษาเป็นของพวกเขาเอง

ลูกหลานของฮาม

ฮามมีลูกชายคือ คูช อียิปต์[e] พูตและคานาอัน

คูชมีลูกชายหลายคน คือ เชบา ฮาวิลาห์ สับทาห์ ราอามาห์ และสับเทคา ส่วนลูกของราอามาห์ คือ เสบาและเดดาน

ลูกของคูชที่ชื่อว่านิมโรดนั้น เป็นนักรบที่กล้าหาญ[f] คนหนึ่งในแผ่นดิน เขาเป็นนายพรานที่กล้าหาญมากต่อหน้าพระยาห์เวห์ นี่เป็นเหตุที่ประชาชนมักพูดว่า “คนผู้นี้เป็นเหมือนนิมโรดนายพรานผู้กล้าหาญต่อหน้าพระยาห์เวห์”

10 อาณาจักรของนิมโรดนั้น เริ่มขยายจากเมืองบาบิโลน เมืองเอเรก และเมืองอัคคัด ซึ่งเมืองทั้งสามนี้อยู่ในแผ่นดินชินาร์[g] 11 จากที่นั่น นิมโรดได้ไปยังแผ่นดินอัสซีเรีย แล้วสร้างเมืองนีนะเวห์ เมืองเรโหโบทอีร์ เมืองคาลาห์ 12 และเมืองเรเสน ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างเมืองนีนะเวห์กับเมืองคาลาห์นั้น เดี๋ยวนี้เรเสนได้กลายเป็นเมืองใหญ่เมืองหนึ่ง

13 อียิปต์มีลูกชายหลายคน คือ ลูด อานามิม เลหะบิม นัฟทูฮิม 14 ปัทรุสิม คัสลูห์ (ผู้เป็นต้นตระกูลคนฟีลิสเตีย) และคนคัฟโทร์

15 คานาอันมีลูกคนโต คือ ไซดอน คานาอันยังเป็นพ่อของเฮท 16 คนเยบุส คนอาโมไรต์ คนเกอร์กาชี 17 คนฮีไวต์ คนอารคี คนสินี 18 คนอารวัด คนเศเมอร์ และคนฮามัทด้วย ต่อมาภายหลังครอบครัวคานาอันได้กระจายออกไปตามที่ต่างๆ

19 เขตของคนคานาอัน แผ่ขยายจากเมืองไซดอนไปทางเมืองเกราร์จนถึงเมืองกาซา และไปทางเมืองโสโดม โกโมราห์ อัดมาห์ และเศโบยิมจนถึงเมืองลาชา

20 คนเหล่านี้เป็นเชื้อสายของฮาม พวกเขามีภาษาของตนเอง มีเขตแดนที่อยู่ของตนเอง และแบ่งแยกเป็นชนชาติต่างๆ

ลูกหลานของเชม

21 ส่วนเชมที่เป็นพี่ชายคนโตของยาเฟทนั้น ก็มีลูกอีกหลายคน เขาเป็นต้นตระกูลของพวกชาวเอเบอร์ด้วย

22 พวกลูกชายของเชม คือเอลาม อัสชูร อารปัคชาด ลูด และอารัม

23 พวกลูกชายของอารัม คืออูส ฮูล เกเธอร์ และมัช

24 ส่วนอารปัคชาดมีลูกชาย คือเชลาห์ ส่วนเชลาห์มีลูกคือเอเบอร์ 25 ลูกชายสองคนของเอเบอร์ คือเพเลก[h] และโยกทาน ที่เขาตั้งชื่อว่าเพเลกก็เพราะในสมัยนั้นมีการแบ่งแผ่นดินกัน

26 โยกทานมีลูกหลายคน คืออัลโมดัด เชเลฟ ฮาซารมาเวท เยราห์ 27 ฮาโดรัม อุซาล ดิคลาห์ 28 โอบาล อาบีมาเอล เสบา 29 โอฟีร์ ฮาวิลาห์ และโยบับ คนเหล่านี้ล้วนเป็นลูกชายของโยกทาน 30 คนเหล่านี้ได้อาศัยอยู่ในแถบเนินเขาด้านตะวันออก[i] จากเมืองเมชาไปทางเสฟาร์

31 คนเหล่านี้เป็นเชื้อสายของเชม พวกเขามีภาษาของตนเอง มีดินแดนที่อยู่ของตนเอง มีเชื้อชาติของตัวเอง

32 นี่คือรายชื่อครอบครัวต่างๆที่เกิดมาจากพวกลูกชายของโนอาห์ พวกเขาเรียงลำดับตามชนชาติของพวกเขา และจากครอบครัวเหล่านี้เอง ประชากรมนุษย์ก็แผ่ขยายไปทั่วโลกภายหลังน้ำท่วม

มัทธิว 9

พระเยซูรักษาคนอัมพาต

(มก. 2:1-12; ลก. 5:17-26)

แล้วพระเยซูได้ลงเรือข้ามฟากกลับไปเมืองของพระองค์ มีคนหามคนเป็นอัมพาตนอนอยู่บนเปลมาหาพระองค์ เมื่อพระเยซูเห็นความเชื่อของพวกเขา ก็พูดกับคนที่เป็นอัมพาตว่า “ลูกเอ๋ย สบายใจได้แล้ว เพราะบาปของลูกได้รับการอภัยแล้ว”

ครูสอนกฎปฏิบัติบางคนก็คิดในใจว่า “ไอ้หมอนี่ พูดจาดูหมิ่นพระเจ้าชัดๆ”

พระเยซูรู้ว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่ จึงพูดขึ้นว่า “ทำไมพวกคุณถึงคิดชั่วร้ายอย่างนี้ในใจ จะให้เราพูดว่า ‘ความบาปของคุณได้รับการอภัยแล้ว’ หรือ ‘ลุกขึ้นเดินซะ’ อันไหนจะง่ายกว่ากัน เดี๋ยวเราจะพิสูจน์ให้เห็นว่า บุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจในโลกนี้ที่จะอภัยบาปได้” แล้วพระเยซูก็พูดกับคนง่อยว่า “ลุกขึ้น เก็บที่นอน แล้วกลับไปบ้านได้แล้ว” ชายคนนั้นก็ลุกขึ้นเดินกลับบ้าน เมื่อเห็นอย่างนั้น ทุกคนก็ตกตะลึง และพากันสรรเสริญพระเจ้าที่ให้มนุษย์มีสิทธิอำนาจทำอย่างนั้นได้

พระเยซูเลือกมัทธิว

(มก. 2:13-17; ลก. 5:27-32)

เมื่อพระเยซูออกมาจากที่นั่น ก็เห็นชายคนหนึ่งชื่อมัทธิว นั่งอยู่ที่ด่านเก็บภาษี พระองค์บอกเขาว่า “ตามเรามา” มัทธิวก็ลุกขึ้นตามพระองค์ไป

10 เมื่อพระเยซูกินอาหารอยู่ที่บ้านของมัทธิว มีคนเก็บภาษี และคนบาปหลายคนมากินอาหารร่วมกับพระเยซูและพวกศิษย์ของพระองค์ 11 เมื่อพวกฟาริสีเห็นอย่างนั้น ก็พูดกับพวกศิษย์ของพระองค์ว่า “ทำไมอาจารย์ของคุณถึงกินอาหารกับพวกคนเก็บภาษีและพวกคนบาป”

12 เมื่อพระเยซูได้ยิน จึงตอบว่า “คนที่สบายดีไม่ต้องการหมอ แต่คนเจ็บป่วยต่างหากที่ต้องการ 13 พวกคุณไปศึกษาดูสิว่า พระคัมภีร์ข้อนี้หมายถึงอะไรที่ว่า ‘เราอยากจะเห็นความเมตตา ไม่ใช่เครื่องบูชา’[a] เพราะเราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนดี แต่มาเพื่อเรียกคนบาป”

คนถามถึงเรื่องการอดอาหาร

(มก. 2:18-22; ลก. 5:33-39)

14 ลูกศิษย์ของยอห์นที่ทำพิธีจุ่มน้ำ เข้ามาถามพระองค์ว่า “พวกเราและพวกฟาริสีอดอาหาร กันเป็นประจำ แต่ทำไมลูกศิษย์ของท่านถึงไม่ทำบ้างล่ะ”

15 พระเยซูตอบว่า “จะให้เพื่อนเจ้าบ่าวโศกเศร้าได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าบ่าวยังอยู่ แต่เมื่อถึงวันนั้นที่เจ้าบ่าวถูกพรากไปจากพวกเขา แล้วเมื่อนั้นพวกเขาจะอดอาหาร”

16 “ไม่มีใครเอาผ้าที่ยังไม่หดไปปะเข้ากับเสื้อผ้าเก่าหรอก เพราะเมื่อผ้านั้นหดก็จะดึงเสื้อผ้าเก่าให้ขาดมากขึ้น 17 คงไม่มีใครเอาเหล้าองุ่นใหม่เทใส่ในถุงหนัง[b]เก่าหรอก เพราะถุงหนังเก่าจะแตก เหล้าองุ่นก็จะรั่วไหลออกมาหมด และถุงหนังเก่าก็จะเสียด้วย แต่ควรจะเทเหล้าองุ่นใหม่ลงในถุงหนังใหม่ เพื่อจะได้รักษาทั้งเหล้าองุ่น และถุงหนังนั้นไว้”

พระเยซูชุบชีวิตเด็กหญิงและรักษาหญิงตกเลือด

(มก. 5:21-43; ลก. 8:40-56)

18 เมื่อพระเยซูกำลังพูดเรื่องนี้อยู่ ก็มีหัวหน้าที่ประชุมชาวยิวคนหนึ่งเข้ามาคุกเข่าต่อหน้าพระองค์และพูดว่า “ลูกสาวของผมเพิ่งตาย แต่ถ้าอาจารย์ช่วยไปวางมือบนตัวเธอ เธอก็จะฟื้นขึ้นมา”

19 พระเยซูลุกขึ้นตามเขาไป ศิษย์ของพระองค์ก็ตามไปด้วย

20 ขณะนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งที่ทนทุกข์ทรมานมากเพราะตกเลือดมาสิบสองปีแล้ว เธอเบียดคนเข้ามาอยู่ข้างหลังพระองค์และแตะพู่ที่ชายเสื้อคลุมพระองค์ 21 เธอคิดในใจว่า “ขอแค่ได้แตะเสื้อคลุมของเขา ฉันก็จะหาย”

22 พระเยซูหันมาเห็นเธอ แล้วพูดว่า “ลูกเอ๋ย สบายใจได้แล้ว ความเชื่อของเจ้าทำให้เจ้าหายแล้ว” แล้วเธอก็หายทันที

23 เมื่อพระเยซูมาถึงบ้านของหัวหน้าที่ประชุมชาวยิว ก็เห็นคนเป่าปี่และคนมากมายกำลังร้องไห้กันอยู่ 24 พระองค์บอกว่า “ออกไปให้หมด เด็กคนนี้ยังไม่ตายแต่กำลังหลับอยู่” พวกนั้นต่างพากันหัวเราะเยาะพระองค์ 25 เมื่อคนพวกนั้นถูกไล่ออกไปหมดแล้ว พระเยซูเข้าไปในห้องของเด็ก จับมือเธอ แล้วเธอก็ลุกขึ้นมา 26 เรื่องนี้ได้เลื่องลือกันไปทั่วแคว้นนั้น

พระเยซูรักษาอีกสามคน

27 เมื่อพระเยซูออกมาจากที่นั่น มีชายตาบอดสองคนเดินตามมาและร้องตะโกนว่า “บุตรดาวิด โปรดสงสารพวกเราด้วยเถิด”

28 เมื่อพระเยซูเข้าไปในบ้าน ชายตาบอดก็เข้าไปหาพระองค์ พระเยซูถามพวกเขาว่า “เชื่อไหมว่า เราทำให้คุณมองเห็นได้” ชายตาบอดตอบว่า “เชื่อครับท่าน”

29 พระเยซูแตะที่ตาของพวกเขา และพูดว่า “คุณเชื่อยังไง ก็ขอให้เป็นไปตามนั้น” 30 แล้วพวกเขาก็มองเห็น พระเยซูสั่งพวกเขาว่า “อย่าบอกเรื่องนี้ให้ใครรู้เป็นอันขาด” 31 แต่พอพวกเขาออกมา ก็ได้กระจายข่าวของพระเยซูไปจนทั่วแคว้นนั้น

32 เมื่อชายสองคนนี้ไปแล้ว มีคนพาชายที่ถูกผีสิงจนทำให้พูดไม่ได้ เข้ามาหาพระเยซู 33 เมื่อพระเยซูไล่ผีออกไปแล้ว ชายคนนั้นก็พูดได้ ทำให้ชาวบ้านแปลกใจมากและพูดว่า “ไม่เคยเห็นเรื่องอะไรอย่างนี้ในอิสราเอลมาก่อนเลย”

34 แต่พวกฟาริสีกลับพูดว่า “เขาใช้ฤทธิ์อำนาจของหัวหน้าผีขับไล่ผีออกไป”

พระเยซูสงสารประชาชน

35 พระเยซูเดินทางไปทั่วทุกเมืองและทุกหมู่บ้าน ไปสั่งสอนในที่ประชุมชาวยิว และประกาศข่าวดีเกี่ยวกับอาณาจักรของพระเจ้า พร้อมกับรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆด้วย 36 เมื่อพระองค์เห็นคนมากมาย พระองค์ก็รู้สึกสงสาร เพราะพวกเขามีปัญหาและไม่มีที่พึ่ง เหมือนฝูงแกะที่ไม่มีคนเลี้ยง 37 พระองค์พูดกับพวกศิษย์ว่า “พืชผลที่จะให้เก็บเกี่ยวนั้นมีมากมาย แต่คนงานมีน้อย 38 ดังนั้นให้อ้อนวอนขอพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของพืชผล ให้ส่งคนงานมาช่วยเก็บเกี่ยวพืชผลของพระองค์ด้วย”

เอสรา 9

การแต่งงานกับคนที่ไม่ใช่ชาวยิว

หลังจากเหตุการณ์เหล่านั้นเสร็จสิ้นลงแล้ว พวกหัวหน้าก็มาพบข้าพเจ้าและพูดว่า “ประชาชนชาวอิสราเอล พวกนักบวช รวมทั้งชาวเลวีทั้งหลาย ไม่ได้แยกตัวเองออกจากชนชาติอื่นๆในดินแดนที่อยู่รอบๆเขา ชาวอิสราเอลได้ทำในสิ่งที่น่ารังเกียจเหมือนกับคนเหล่านั้น คือชาวคานาอัน ชาวฮิตไทต์ ชาวเปริสซี ชาวเยบุส ชาวอัมโมน ชาวโมอับ ชาวอียิปต์ และชาวอาโมไรต์ เพราะคนอิสราเอล ได้รับเอาลูกสาวของชนชาติรอบข้างเหล่านั้น มาเป็นเมียของพวกเขาและของพวกลูกชายของพวกเขาด้วย และพวกเขาได้ทำให้เชื้อสายที่อุทิศไว้สำหรับพระเจ้า ไปผสมปนเปกับชนชาติอื่นที่อยู่ในดินแดนแถบนั้น พวกเจ้าหน้าที่และพวกหัวหน้าเป็นผู้เริ่มลงมือทำก่อน ซึ่งเป็นการไม่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า” เมื่อข้าพเจ้าได้ยินเรื่องนี้ ข้าพเจ้าได้ฉีกทั้งเสื้อและเสื้อคลุมของข้าพเจ้า และดึงผมและเคราของตัวเอง แล้วนั่งตกตะลึงอย่างมาก ทุกคนที่สั่นเทิ้มเมื่อได้ยินถ้อยคำของพระเจ้าแห่งอิสราเอล ก็มาหาข้าพเจ้า เพราะประชาชนที่ได้กลับจากการเป็นเชลยนั้นไม่สัตย์ซื่อต่อพระเจ้า ข้าพเจ้านั่งตกตะลึงอยู่ จนถึงเวลาถวายเครื่องบูชาตอนเย็น

เมื่อได้เวลาถวายเครื่องบูชาตอนเย็น ข้าพเจ้าลุกขึ้นจากตรงที่ข้าพเจ้านั่งด้วยความอับอาย พร้อมกับเสื้อและเสื้อคลุมที่ฉีกขาด ข้าพเจ้าคุกเข่าลงกราบ และยื่นมือทั้งสองขึ้นต่อพระยาห์เวห์ พระเจ้าของข้าพเจ้า และพูดว่า

“ข้าแต่พระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ารู้สึกอับอายและละอายใจเกินกว่าจะสู้หน้าพระองค์ได้ ข้าแต่พระเจ้า บาปของพวกเราได้เพิ่มมากขึ้นจนสูงท่วมหัวของพวกเราแล้ว และความผิดของเรา ก็พอกพูนมากจนถึงสวรรค์แล้ว ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษของพวกเรามาจนถึงทุกวันนี้ เรามีความผิดที่ร้ายแรงมาก และเพราะบาปของเรา พวกเรา รวมทั้งพวกกษัตริย์ของเรา และพวกนักบวชของเราต้องตกไปอยู่ในกำมือของพวกกษัตริย์ต่างชาติทั้งหลาย ถูกดาบฆ่าฟัน ถูกจับไปเป็นเชลย ถูกปล้น และได้รับความอับอายขายหน้าจนถึงทุกวันนี้

แต่แล้วในช่วงระยะเวลาอันสั้น พระยาห์เวห์ พระเจ้าของเราก็ได้แสดงความเมตตาต่อเรา โดยยอมให้พวกเราบางคนหลุดพ้นจากการเป็นเชลย และมอบสถานที่ที่ปลอดภัยให้กับเรา ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ดังนั้นพระเจ้าของเราจึงให้ความหวังใหม่กับเรา และได้ช่วยกู้พวกเราบางคนให้พ้นจากการเป็นเชลยและให้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ใช่แล้ว เราเป็นทาสกัน แต่พระเจ้าของพวกเราก็ไม่ได้ทอดทิ้งเรา ในขณะที่เราตกเป็นทาสนั้น พระองค์ได้แสดงความรักต่อเรา ต่อหน้าพวกกษัตริย์แห่งเปอร์เซีย ด้วยการมอบชีวิตใหม่ให้กับพวกเรา โดยให้สร้างวิหารของพระเจ้าของเราขึ้นมาใหม่ และให้ซ่อมแซมส่วนที่ปรักหักพัง รวมทั้งให้เราได้รับความคุ้มครอง[a] ในยูดาห์และในเยรูซาเล็ม

10 แต่บัดนี้ พระเจ้าของเรา พวกเราจะพูดอะไรได้อีกหลังจากเกิดเรื่องนี้ขึ้นแล้ว เนื่องจากเราได้ทอดทิ้งกฎบัญญัติของพระองค์ 11 ที่พระองค์ได้ให้ผ่านมาทางมือของพวกผู้รับใช้ของพระองค์ คือพวกผู้พูดแทนพระองค์ เมื่อพระองค์พูดว่า ‘แผ่นดินที่พวกเจ้ากำลังเข้าไปเป็นเจ้าของ คือแผ่นดินที่เคยเสื่อมเสีย เนื่องจากการกระทำอันชั่วร้ายของประชาชนที่อาศัยอยู่ที่นั่น แผ่นดินจึงถูกทำลายไป เพราะการกระทำอันน่าขยะแขยงที่พวกเขาได้ทำ พวกเขาได้ทำให้แผ่นดินเต็มไปด้วยการกระทำอันสกปรกทั้งหลายของพวกเขาจากด้านนี้ไปสุดอีกด้านหนึ่ง 12 ดังนั้นอย่าได้ยกลูกสาวของเจ้าให้ไปเป็นเมียลูกชายพวกนั้น และอย่าได้รับลูกสาวของพวกนั้นมาเป็นเมียของลูกชายเจ้าด้วย และอย่าได้ส่งเสริมให้พวกนั้นอยู่ดีมีสุข หรือเจริญรุ่งเรือง เพื่อเจ้าทั้งหลายจะได้แข็งแรง และได้กินสิ่งดีๆจากแผ่นดิน และพวกเจ้าจะได้สืบทอดมรดกนี้ให้กับลูกหลานตลอดไป’

13 หลังจากเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นกับเรา เพราะการกระทำอันชั่วร้ายและความผิดอันใหญ่หลวงของเรา ถึงแม้ว่าพระองค์ พระเจ้าของเราได้ลงโทษเราน้อยกว่าที่เราสมควรจะได้รับสำหรับบาปของเรา แล้วในเมื่อพระองค์ได้ให้พวกเรามีกลุ่มที่เหลือรอดอย่างนี้ 14 เรายังจะกลับไปหักข้อบัญญัติของพระองค์อีกหรือ เรายังจะไปแต่งงานกับชนชาติต่างๆที่ทำสิ่งน่าขยะแขยงเหล่านี้อีกหรือ ถ้าทำอย่างนั้น พระองค์คงจะโกรธเรา และทำลายเราจนไม่มีใครเหลือรอดเลยสักคนใช่ไหมพระองค์

15 ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอล พระองค์ช่างดีนักที่ปล่อยให้เราเป็นกลุ่มที่เหลือรอดจนถึงวันนี้ เราอยู่ต่อหน้าพระองค์ด้วยความผิดของเรา ความผิดนี้ทำให้เราไม่สามารถยืนอยู่ต่อหน้าพระองค์ในฐานะผู้บริสุทธิ์ได้”

กิจการ 9

เซาโลมาเป็นลูกศิษย์พระเยซู

ในระหว่างนั้นเซาโลยังคงขู่ฆ่าพวกศิษย์ขององค์เจ้าชีวิต เขาไปหาหัวหน้านักบวชสูงสุด เพื่อขอจดหมายแนะนำตัวต่อผู้นำในที่ประชุมต่างๆของชาวยิวในเมืองดามัสกัส เพื่อว่าถ้าเขาพบคนที่ติดตามแนวทางขององค์เจ้าชีวิต ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง เขาก็จะได้จับกุมตัวกลับมาที่เมืองเยรูซาเล็ม ทันทีที่เซาโลเดินทางใกล้ถึงเมืองดามัสกัส ก็มีแสงสว่างจ้าจากท้องฟ้าส่องลงมารอบตัวเขา เขาล้มลงกับพื้น และได้ยินเสียงพูดว่า “เซาโล เซาโล เจ้าข่มเหงเราทำไม”

เซาโลพูดว่า “ท่านเป็นใครกัน” พระองค์ตอบว่า “เราคือเยซู คนที่เจ้าข่มเหงไง ลุกขึ้นแล้วเข้าไปในเมือง จะมีคนมาบอกเจ้าเองว่าจะต้องทำอะไรต่อไป”

พวกคนที่เดินทางมากับเซาโลยืนงงพูดอะไรไม่ออกเพราะได้ยินเสียง แต่ไม่เห็นตัวคนพูด เซาโลลุกขึ้น แต่เมื่อลืมตาเขากลับมองอะไรไม่เห็นเลย พวกนั้นจึงจูงมือเซาโลพาไปที่เมืองดามัสกัส เซาโลมองอะไรไม่เห็นและไม่ได้กินหรือดื่มอะไรเป็นเวลาสามวัน

10 ในเมืองดามัสกัส มีศิษย์คนหนึ่งของพระเยซู ชื่ออานาเนีย องค์เจ้าชีวิตได้พูดกับเขาทางนิมิตว่า “อานาเนีย” แล้วเขาก็ตอบว่า “ผมอยู่นี่ครับ องค์เจ้าชีวิต”

11 พระองค์สั่งว่า “ลุกขึ้น ไปที่บ้านของยูดาส[a] ที่อยู่บนถนนตรง ถามหาชายที่ชื่อเซาโลที่มาจากทาร์ซัส ซึ่งตอนนี้เขากำลังอธิษฐานอยู่ 12 เซาโลก็เห็นนิมิตเหมือนกัน เขาเห็นชายชื่ออานาเนีย กำลังเข้ามาในบ้านและวางมือบนตัวเขา เพื่อเขาจะกลับมามองเห็นได้อีก”

13 อานาเนียตอบว่า “องค์เจ้าชีวิต ผมได้ยินเกี่ยวกับเรื่องชั่วๆที่ชายคนนี้ทำกับคนที่เป็นของพระองค์ในเมืองเยรูซาเล็มจากปากของหลายคนแล้ว 14 เขาได้รับอำนาจจากพวกผู้นำนักบวชให้มาจับกุมทุกคนที่ไว้วางใจในพระองค์[b] ที่นี่”

15 แต่องค์เจ้าชีวิตบอกกับอานาเนียว่า “ไปเถอะ เพราะเราได้เลือกชายคนนี้มาเป็นเครื่องมือที่จะไปส่งข่าวเรื่องของเราให้กับคนที่ไม่ใช่ยิว พวกกษัตริย์ และประชาชนชาวอิสราเอล 16 เราเองจะทำให้เซาโลรู้ว่าเขาจะต้องทนทุกข์ทรมานเพราะเราขนาดไหน”

17 แล้วอานาเนียก็ไป เขาได้เข้าไปในบ้าน วางมือลงบนเซาโลแล้วพูดว่า “น้องเซาโล พระเยซูเจ้าผู้ที่ได้ปรากฏตัวให้น้องเห็นในระหว่างทางที่มานั้น ได้ส่งผมมาเพื่อทำให้น้องกลับมองเห็นได้อีก และทำให้น้องเต็มไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์” 18 มีบางสิ่งดูเหมือนกับเกล็ดตกลงมาจากตาของเซาโลทันที และเขาก็มองเห็นได้อีกครั้ง จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นมาเข้าพิธีจุ่มน้ำ 19 หลังจากกินอาหารแล้ว เขาก็รู้สึกดีขึ้น

เซาโลสั่งสอนในเมืองดามัสกัส

เซาโลพักอยู่กับพวกศิษย์ของพระเยซูในเมืองดามัสกัสหลายวัน 20 แล้วเขาก็ตรงรี่ไปที่ประชุมชาวยิว เริ่มประกาศเรื่องของพระเยซู เขาบอกว่า “พระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า”

21 ทุกคนที่ได้ยินเซาโลพูดอย่างนั้น ก็แปลกใจและพูดกันว่า “ไอ้หมอนี่ไม่ใช่หรือ ที่พยายามจะทำลายคนที่เชื่อเยซูที่เมืองเยรูซาเล็ม แล้วที่เขามาที่นี่ ก็เพราะตั้งใจจะมาจับคนพวกนั้นกลับไปให้กับพวกผู้นำนักบวชไม่ใช่หรือ”

22 เซาโลเทศนาอย่างมีพลังมากยิ่งขึ้นว่าพระเยซูคือกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ จนทำให้คนยิวในเมืองดามัสกัสถึงกับเถียงไม่ออก

23 ต่อมาหลายวัน พวกยิววางแผนที่จะฆ่าเซาโล 24 แต่เซาโลรู้แผนนั้นเสียก่อน พวกนั้นคอยเฝ้าอยู่ที่ประตูเมืองทั้งกลางวันกลางคืนเพื่อจะฆ่าเซาโล 25 แต่พวกศิษย์บางคนที่เซาโลเคยสอนได้พาเขาหนีไปตอนกลางคืน โดยให้เขานั่งในเข่ง แล้วค่อยๆหย่อนเข่งนั้นผ่านช่องกำแพงเมืองลงไปข้างล่าง

เซาโลอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม

26 เมื่อเซาโลกลับมาถึงเมืองเยรูซาเล็ม เขาพยายามจะเข้าร่วมกับพวกศิษย์ของพระเยซู แต่พวกนั้นต่างหวาดกลัว เพราะไม่เชื่อว่าเซาโลเป็นศิษย์ของพระเยซูจริง 27 แต่บารนาบัสพาเขาไปพบพวกศิษย์เอก และอธิบายให้ฟังว่า ในระหว่างทางเซาโลเจอองค์เจ้าชีวิตได้อย่างไร แล้วพระองค์พูดอะไรกับเซาโลบ้าง บารนาบัสยังเล่าอีกว่า ตอนอยู่ที่เมืองดามัสกัสนั้น เซาโลสอนเรื่องของพระเยซูด้วยความกล้าขนาดไหน 28 พวกศิษย์ก็เลยยอมรับเซาโลมาอยู่ด้วย เขาไปไหนมาไหนอย่างอิสระในเมืองเยรูซาเล็ม และสอนเรื่องขององค์เจ้าชีวิตอย่างกล้าหาญ 29 เขาพูดโต้แย้งกับพวกยิวที่พูดภาษากรีก แต่พวกนั้นกลับพยายามที่จะฆ่าเขา 30 เมื่อพวกพี่น้องรู้เรื่องนี้เข้าก็พาเซาโลลงไปที่เมืองซีซารียา และส่งเขาต่อไปที่เมืองทาร์ซัส

31 จากนั้นหมู่ประชุมของพระเจ้าทั่วทั้งแคว้นยูเดีย กาลิลีและสะมาเรีย ก็อยู่ในช่วงเวลาที่สงบสุข และมีกำลังเข้มแข็งขึ้น เพราะหมู่ประชุมของพระเจ้ามีความเคารพยำเกรงองค์เจ้าชีวิต และได้รับกำลังใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ จึงทำให้มีคนที่เชื่อในพระเยซูเพิ่มมากขึ้น

เปโตรเยี่ยมเมืองลิดดาและยัฟฟา

32 เมื่อเปโตรเดินทางไปทั่วทุกหนทุกแห่งแล้ว เขาได้ไปเยี่ยมคนที่เป็นของพระเจ้าที่อยู่ในเมืองลิดดา 33 ที่นั่นเขาพบชายคนหนึ่งชื่อไอเนอัส ซึ่งเป็นอัมพาตนอนอยู่บนที่นอนมาแปดปีแล้ว 34 เปโตรพูดกับเขาว่า “ไอเนอัส พระเยซูผู้เป็นพระคริสต์ได้รักษาคุณแล้ว ลุกขึ้นมาเก็บที่นอนเถอะ” แล้วไอเนอัสก็ลุกขึ้นมาทันที 35 เมื่อทุกคนที่อาศัยอยู่ในเมืองลิดดาและเมืองชาโรนเห็นไอเนอัส พวกเขาก็หันมาติดตามองค์เจ้าชีวิต

36 ที่เมืองยัฟฟา มีศิษย์คนหนึ่งชื่อทาบิธา ตามภาษากรีกเรียกว่า “โดรคัส”[c] เธอหมั่นทำความดีอยู่เสมอและให้ทานกับคนยากจน 37 ในช่วงนั้น เธอไม่สบายและตายไป พวกเขาจึงอาบน้ำศพ และวางร่างเธอไว้ในห้องชั้นบนเพื่อรอจะเอาไปฝัง 38 เมืองลิดดาอยู่ใกล้กับเมืองยัฟฟา เมื่อพวกศิษย์ของพระเยซูได้ยินว่าเปโตรอยู่ในเมืองลิดดา พวกเขาก็ส่งชายสองคนไปอ้อนวอนเขาว่า “ช่วยมากับเราเร็วๆด้วยเถิด” 39 เปโตรจึงจัดของและเดินทางไปกับพวกเขา เมื่อไปถึง พวกเขาก็พาเปโตรขึ้นไปที่ห้องชั้นบน มีพวกแม่ม่ายยืนร้องไห้รอบๆเปโตรอยู่ และชี้ให้เปโตรดูเสื้อคลุมและเสื้อผ้าต่างๆที่โดรคัสทำไว้ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ 40 เปโตรจึงให้ทุกคนออกไปนอกห้อง แล้วเขาก็คุกเข่าลงอธิษฐาน โดยหันหน้าไปที่ศพแล้วพูดว่า “ทาบิธา ลุกขึ้น” เธอก็ลืมตาขึ้นมาทันที และเมื่อเห็นเปโตรเธอก็ลุกขึ้นนั่ง 41 เปโตรจึงยื่นมือช่วยพยุงเธอลุกขึ้นยืน จากนั้นก็เรียกพวกคนที่เป็นของพระเจ้าและพวกแม่ม่ายเข้ามา และให้พวกเขาเห็นว่าโดรคัสฟื้นจากความตายแล้ว 42 เรื่องนี้รู้กันไปทั่วเมืองยัฟฟาทำให้มีคนมาไว้วางใจในองค์เจ้าชีวิตเป็นจำนวนมาก 43 เปโตรอยู่บ้านของซีโมนช่างฟอกหนังในเมืองยัฟฟาต่อไปอีกหลายวัน

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International