Read the Gospels in 40 Days
การหย่าร้าง(A)
19 เมื่อพระเยซูตรัสถ้อยคำเหล่านี้จบก็เสด็จจากแคว้นกาลิลีเข้าไปในเขตยูเดียอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน 2 ฝูงชนกลุ่มใหญ่ติดตามพระองค์มาและพระองค์ทรงรักษาพวกเขาที่นั่น
3 พวกฟาริสีบางคนมาทดสอบพระองค์ พวกเขาทูลถามว่า “ผิดบัญญัติหรือไม่ที่ผู้ชายจะขอหย่าภรรยาเพราะเหตุหนึ่งเหตุใดก็ตาม?”
4 พระองค์ทรงตอบว่า “ท่านไม่ได้อ่านหรือที่ว่าในปฐมกาลพระผู้สร้าง ‘ทรงสร้างพวกเขาเป็นผู้ชายและผู้หญิง’[a] 5 และกล่าวว่า ‘เพราะเหตุนี้ผู้ชายจะละจากบิดามารดาของตนไปผูกพันเป็นหนึ่งเดียวกับภรรยาและทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน’?[b] 6 ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เป็นสองอีกต่อไปแต่เป็นหนึ่งเดียว ฉะนั้นที่พระเจ้าทรงผูกพันเข้าด้วยกันแล้วอย่าให้มนุษย์มาพรากจากกันเลย”
7 พวกเขาทูลว่า “ก็แล้วทำไมโมเสสสั่งให้ผู้ชายทำหนังสือหย่าและให้ภรรยาไปได้?”
8 พระเยซูตรัสว่า “โมเสสอนุญาตให้ท่านหย่าภรรยาของท่านเพราะใจของท่านทั้งหลายแข็งกระด้าง แต่ไม่ได้เป็นเช่นนี้ตั้งแต่ต้น 9 เราบอกท่านว่าผู้ใดหย่าภรรยาของตนด้วยเหตุอื่นๆ ยกเว้นการผิดศีลธรรมทางเพศ แล้วไปแต่งงานกับหญิงอื่น ชายผู้นั้นก็ล่วงประเวณี”
10 เหล่าสาวกทูลว่า “ถ้าสภาพระหว่างสามีและภรรยาเป็นอย่างนี้ก็อย่าแต่งงานเลยดีกว่า”
11 พระเยซูทรงตอบว่า “ไม่ใช่ทุกคนที่รับข้อนี้ได้เว้นแต่บรรดาผู้ที่ประทานให้ 12 เพราะบางคนก็เกิดมาเป็นขันที บางคนก็ถูกมนุษย์ทำให้เป็นเช่นนั้น และที่ครองตัวเป็นโสด[c]เพื่ออาณาจักรสวรรค์ก็มี ใครยอมรับเช่นนี้ได้ก็จงรับเถิด”
พระเยซูกับเด็กเล็กๆ(B)
13 แล้วมีผู้พาเด็กเล็กๆ มาหาพระเยซูเพื่อให้วางพระหัตถ์และอธิษฐานเผื่อ แต่เหล่าสาวกตำหนิผู้ที่พาเด็กๆ มา
14 พระเยซูตรัสว่า “จงให้เด็กเล็กๆ มาหาเรา อย่าขัดขวางเขาเลย เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของคนที่เป็นเหมือนเด็กเหล่านี้” 15 เมื่อพระองค์ทรงวางพระหัตถ์บนพวกเขาแล้วก็เสด็จไปจากที่นั่น
เศรษฐีหนุ่ม(C)
16 ชายคนหนึ่งมาทูลถามพระเยซูว่า “ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าจะต้องทำดีอะไรบ้างจึงจะได้ชีวิตนิรันดร์?”
17 พระเยซูทรงตอบว่า “เหตุใดท่านจึงมาถามเราว่าอะไรดี? มีอยู่เพียงผู้เดียวที่ดี หากท่านปรารถนาจะเข้าสู่ชีวิต จงเชื่อฟังบทบัญญัติ”
18 เขาทูลว่า “ข้อไหนบ้าง?”
พระเยซูตรัสว่า “ ‘อย่าฆ่าคน อย่าล่วงประเวณีอย่าลักขโมย อย่าเป็นพยานเท็จ 19 จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า’[d] และ ‘จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง’[e]”
20 ชายหนุ่มคนนั้นทูลว่า “ทุกข้อเหล่านี้ข้าพเจ้าถือรักษามาตลอด ยังขาดอะไรอีกบ้าง?”
21 พระเยซูตรัสตอบว่า “หากท่านปรารถนาจะเป็นคนดีพร้อม จงไปขายทุกสิ่งที่มีและแจกจ่ายให้คนยากจนแล้วท่านจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ จากนั้นจงตามเรามา”
22 เมื่อชายหนุ่มได้ยินเช่นนั้นก็จากไปด้วยความเศร้าเพราะเขาร่ำรวยมาก
23 แล้วพระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าเป็นการยากที่คนรวยจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ 24 เราบอกอีกว่าให้อูฐลอดรูเข็มก็ยังง่ายกว่าที่คนรวยจะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้า”
25 เมื่อเหล่าสาวกได้ยินเช่นนั้นก็ประหลาดใจนักจึงทูลถามว่า “ถ้าเช่นนั้นใครจะรอดได้?”
26 พระเยซูทรงมองดูพวกเขาและตรัสว่า “สำหรับมนุษย์ก็เป็นไปไม่ได้ แต่สำหรับพระเจ้าทุกสิ่งเป็นไปได้”
27 เปโตรทูลตอบพระองค์ว่า “ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ละทิ้งทุกสิ่งมาติดตามพระองค์! แล้วข้าพระองค์ทั้งหลายจะได้อะไรบ้าง?”
28 พระเยซูตรัสแก่พวกเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าขณะที่ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นใหม่เมื่อบุตรมนุษย์ประทับบนบัลลังก์อันรุ่งเรืองของพระองค์ พวกท่านที่ตามเรามาก็จะนั่งบนบัลลังก์ทั้งสิบสองพิพากษาชนอิสราเอลสิบสองเผ่าด้วย 29 และทุกคนที่ละทิ้งบ้าน พี่น้องชายหญิง หรือบิดามารดา[f] หรือลูก หรือไร่นาเพราะเห็นแก่เราจะได้รับการตอบแทนร้อยเท่าและจะได้ชีวิตนิรันดร์ 30 แต่หลายคนที่เป็นคนต้นจะเป็นคนสุดท้ายและหลายคนที่เป็นคนสุดท้ายจะเป็นคนต้น
คำอุปมาเรื่องคนงานในสวนองุ่น
20 “ด้วยว่าอาณาจักรสวรรค์เป็นเช่นเจ้าของสวนซึ่งออกไปแต่เช้าเพื่อจ้างคนมาทำงานในสวนองุ่นของตน 2 เมื่อเขาตกลงว่าจะจ่ายค่าจ้างวันละหนึ่งเดนาริอันแล้วก็ให้พวกเขามาทำงานในสวนองุ่น
3 “ราวสามโมงเช้าเขาออกไปเห็นหลายคนยืนอยู่ว่างๆ ที่ตลาด 4 จึงชวนว่า ‘มาทำงานในสวนองุ่นของเราสิ เราจะให้ค่าจ้างตามสมควร’ 5 พวกเขาก็มา
“ตอนเที่ยงวันและบ่ายสามโมงเจ้าของสวนออกไปทำเช่นเดิมอีก 6 ราวห้าโมงเย็นเขาออกไปพบคนยืนอยู่จึงถามว่า ‘ทำไมมายืนอยู่ว่างๆ ทั้งวันที่นี่?’
7 “พวกนั้นตอบว่า ‘เพราะไม่มีใครจ้างเรา’
“เขาจึงพูดว่า ‘มาทำงานที่สวนของเราสิ’
8 “พอพลบค่ำเจ้าของสวนองุ่นก็สั่งหัวหน้าคนงานว่า ‘ไปเรียกคนงานมารับค่าจ้าง ตั้งแต่คนหลังสุดไปจนถึงคนแรกสุด’
9 “ลูกจ้างที่มาเริ่มทำงานตอนประมาณห้าโมงเย็นรับเงินไปคนละหนึ่งเดนาริอัน 10 ฝ่ายคนที่มาก่อนนึกว่าตนจะได้มากกว่านั้น แต่ก็ได้คนละหนึ่งเดนาริอันเหมือนกัน 11 เมื่อพวกเขารับเงินแล้วจึงบ่นต่อว่าเจ้าของสวน 12 ‘คนมาทีหลังทำงานแค่ชั่วโมงเดียวกลับได้เท่าๆ กับเราที่ตรากตรำกรำแดดมาทั้งวัน’
13 “แต่เจ้าของสวนตอบคนหนึ่งในพวกนั้นว่า ‘เพื่อนเอ๋ย เราไม่ได้โกงนะ ก็ตกลงกันไว้ว่าหนึ่งเดนาริอันไม่ใช่หรือ? 14 รับค่าจ้างและไปเถิด เราพอใจจะให้คนมาทีหลังได้เท่าๆ กันกับท่าน 15 เงินของเรา เราไม่มีสิทธิ์ใช้ตามใจชอบหรือ? หรือว่าท่านอิจฉาเพราะเห็นเราใจกว้าง?’
16 “ดังนั้นคนสุดท้ายจะเป็นคนต้นและคนต้นจะเป็นคนสุดท้าย”
ทรงพยากรณ์อีกว่าจะต้องสิ้นพระชนม์(D)
17 ขณะพระเยซูกำลังเสด็จไปเยรูซาเล็ม พระองค์ทรงพาสาวกสิบสองคนเลี่ยงออกมาและตรัสว่า 18 “พวกเรากำลังขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และบุตรมนุษย์จะถูกทรยศและมอบให้พวกหัวหน้าปุโรหิตกับธรรมาจารย์ พวกเขาจะตัดสินประหารพระองค์ 19 และจะมอบพระองค์ให้คนต่างชาติเยาะเย้ยโบยตีและตรึงตายบนไม้กางเขน แล้วในวันที่สามพระเจ้าจะทรงให้พระองค์คืนพระชนม์!”
คำทูลขอของมารดาคนหนึ่ง(E)
20 แล้วภรรยาของเศเบดีพาบุตรชายทั้งสองของนางมาคุกเข่าทูลขอพระเยซู
21 พระองค์ตรัสว่า “ท่านประสงค์สิ่งใด?”
นางทูลว่า “ขอให้ลูกชายของข้าพระองค์ได้นั่งในราชอาณาจักรของพระองค์ คนหนึ่งอยู่ข้างขวา อีกคนหนึ่งอยู่ข้างซ้าย”
22 พระเยซูตรัสว่า “ท่านไม่รู้ว่ากำลังขออะไร ถ้วยที่เรากำลังจะดื่มท่านดื่มได้หรือ?”
พวกเขาทูลตอบว่า “ได้พระเจ้าข้า”
23 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ท่านจะได้ดื่มจากถ้วยของเราแน่ แต่ที่จะได้นั่งซ้ายมือหรือขวามือของเราไม่ใช่เราจัดให้ แต่ที่นั้นเป็นของผู้ที่พระบิดาของเราทรงเตรียมไว้แล้ว”
24 เมื่อสาวกอีกสิบคนได้ยินเรื่องนี้ก็ไม่พอใจพี่น้องสองคนนั้น 25 พระเยซูทรงเรียกเหล่าสาวกมาพร้อมหน้ากันและตรัสว่า “ท่านทั้งหลายรู้อยู่ว่าผู้ปกครองของคนต่างชาติเป็นเจ้าเหนือเขาและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ก็ใช้อำนาจเหนือพวกเขา 26 แต่สำหรับพวกท่านไม่เป็นเช่นนั้น ตรงกันข้าม ใครอยากเป็นใหญ่ในพวกท่านต้องรับใช้พวกท่าน 27 และผู้ใดปรารถนาที่จะเป็นเอกต้องยอมเป็นทาสของพวกท่าน 28 เหมือนกับที่บุตรมนุษย์ไม่ได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่มาเพื่อปรนนิบัติและประทานชีวิตของพระองค์เป็นค่าไถ่เพื่อคนเป็นอันมาก”
ชายตาบอดสองคนมองเห็นได้(F)
29 ขณะที่พระเยซูกับเหล่าสาวกของพระองค์กำลังจะออกจากเมืองเยรีโค ฝูงชนหมู่ใหญ่ตามพระองค์มา 30 ชายตาบอดสองคนนั่งอยู่ริมทางได้ยินว่าพระเยซูกำลังเสด็จผ่านก็ร้องตะโกนว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า บุตรดาวิดเจ้าข้า เมตตาพวกข้าพระองค์ด้วยเถิด!”
31 ฝูงชนจึงตำหนิและบอกให้เขาเงียบ แต่ทั้งสองยิ่งร้องดังขึ้นว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า บุตรดาวิดเจ้าข้า เมตตาพวกข้าพระองค์ด้วยเถิด!”
32 พระเยซูทรงหยุดและเรียกทั้งสองมาตรัสถามว่า “ท่านต้องการให้เราทำอะไรให้?”
33 เขาทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์อยากมองเห็น”
34 พระเยซูทรงสงสารเขาและทรงแตะตาของเขา ทันใดนั้นทั้งสองก็มองเห็นและตามพระองค์ไป
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.