Chronological
พระเยซูเตือนให้รู้เกี่ยวกับผู้นำศาสนา
(มก. 12:38-40; ลก. 11:37-52; 20:45-47)
23 พระเยซูพูดกับฝูงชน และพวกศิษย์ของพระองค์ว่า 2 “พวกครูสอนกฎปฏิบัติและพวกฟาริสีมีอำนาจในการสอนพวกคุณเรื่องกฎของโมเสส 3 ให้เชื่อฟังและทำตามสิ่งที่เขาสอนนั้น แต่อย่าไปทำตามสิ่งที่เขาทำเลย เพราะเขาสอนอย่างหนึ่งแต่ทำอีกอย่างหนึ่ง 4 เขาสร้างกฎที่เป็นภาระหนักอึ้งให้คนอื่นแบกไว้ แต่ตัวเขาเองไม่ช่วยยกแม้แต่นิ้วเดียว
5 เขาทำทุกอย่างเพื่ออวดคนเท่านั้น เขาทำกล่องใส่ข้อพระคัมภีร์[a] อันใหญ่กว่าธรรมดามาผูกที่หน้าผากและข้อมือ และเอาพวกพู่ห้อยที่ยาวกว่าธรรมดามาแขวนที่ชายเสื้อคลุม 6 เขาชอบนั่งอยู่หัวโต๊ะในงานเลี้ยง และนั่งในที่สำคัญที่สุดในที่ประชุม 7 พวกเขาชอบให้คนทำความเคารพเขาที่กลางตลาด และชอบให้คนเรียกว่า ‘อาจารย์’
8 อย่ายอมให้ใครเรียกคุณว่า ‘อาจารย์’ เพราะคุณมีอาจารย์เพียงคนเดียว และพวกคุณก็เป็นพี่น้องกันหมด 9 อย่าเรียกใครบนโลกนี้ว่า ‘บิดา’ เพราะคุณมีพระบิดาเพียงองค์เดียวอยู่บนสวรรค์ 10 และอย่าให้ใครมาเรียกคุณว่า ‘ครู’ เพราะคุณมีครูเพียงคนเดียวคือพระคริสต์ 11 คนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในหมู่พวกคุณต้องเป็นผู้รับใช้ 12 คนที่ยกตัวเองให้ใหญ่กว่าคนอื่น จะถูกกดให้ต่ำต้อยลง คนที่ถ่อมตัวลง จะถูกเชิดชูให้ยิ่งใหญ่ขึ้น
13 น่าละอายจริงๆพวกเจ้าที่เป็นครูสอนกฎปฏิบัติและพวกฟาริสีหน้าซื่อใจคด[b] เจ้าปิดหนทางคนอื่นไม่ให้ไปถึงอาณาจักรแห่งสวรรค์ ตัวเจ้าเองไม่ยอมเข้าไป แล้วยังไปขัดขวางไม่ให้คนอื่นที่เขาพยายามเข้าไปอีกด้วย 14 [c]
15 น่าละอายจริงๆพวกเจ้าที่เป็นครูสอนกฎปฏิบัติและพวกฟาริสีหน้าซื่อใจคด พวกเจ้าอุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเล เพื่อจะหาคนมานับถือศาสนาอย่างเจ้า แต่พอเจ้าได้เขามาแล้ว เจ้ากลับทำให้เขาสมควรที่จะตกนรกมากกว่าเจ้าเองถึงสองเท่า
16 น่าละอายจริงๆพวกเจ้าที่เป็นคนนำทางตาบอด พวกเจ้าสอนว่า ‘ถ้าใครสาบานต่อวิหาร ก็ไม่มีผลอะไรเลย แต่ถ้าใครสาบานต่อทองคำในวิหารนั้น เขาจะต้องทำตามคำสาบานนั้น’ 17 เจ้าคนโง่ตาบอด อันไหนสำคัญกว่ากัน ระหว่างทองคำกับวิหารที่ทำให้ทองคำนั้นศักดิ์สิทธิ์ 18 พวกเจ้ายังพูดอีกว่า ‘ถ้าใครสาบานต่อแท่นบูชา มันไม่มีผลอะไรเลย แต่ถ้าใครสาบานต่อเครื่องเซ่นไหว้บนแท่นบูชานั้น เขาต้องทำตามคำสาบานนั้น’ 19 เจ้ามันตาบอดจริงๆ อะไรสำคัญกว่ากัน ระหว่างของเซ่นไหว้กับแท่นบูชาที่ทำให้ของนั้นศักดิ์สิทธิ์ 20 ด้วยเหตุนี้ คนที่สาบานต่อแท่นบูชา ก็สาบานต่อแท่นบูชารวมถึงทุกสิ่งที่อยู่บนแท่นบูชานั้นด้วย 21 คนที่สาบานต่อวิหาร ก็สาบานต่อวิหารรวมถึงพระองค์ผู้ที่อยู่ในวิหารนั้นด้วย 22 คนที่ได้สาบานต่อสวรรค์ ก็สาบานต่อบัลลังก์ของพระเจ้ารวมถึงพระองค์ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์นั้นด้วย
23 น่าละอายจริงๆพวกเจ้าที่เป็นครูสอนกฎปฏิบัติและพวกฟาริสีหน้าซื่อใจคด พวกเจ้าได้ให้หนึ่งในสิบส่วนของทุกอย่างที่เจ้ามีกับพระเจ้า แม้แต่สะระแหน่ ลูกผักชี และยี่หร่า เจ้าก็ให้ แต่พวกเจ้ากลับมองข้ามเรื่องที่สำคัญกว่าในกฎปฏิบัตินั้น คือความยุติธรรม ความเมตตา และความซื่อสัตย์ การให้หนึ่งในสิบส่วนนั้นก็ดีอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ควรทิ้งคำสอนที่สำคัญกว่านี้ด้วยเหมือนกัน 24 เจ้าคนนำทางตาบอด พวกเจ้ากรองแมลงออกจากน้ำดื่ม แต่กลับกลืนอูฐเข้าไปทั้งตัว[d]
25 น่าละอายจริงๆพวกเจ้าที่เป็นครูสอนกฎปฏิบัติและพวกฟาริสีหน้าซื่อใจคด พวกเจ้าได้ล้างถ้วยล้างจานแต่เพียงภายนอก แต่ภายในมีแต่ความโลภและกิเลสเต็มไปหมด 26 เจ้าฟาริสีตาบอด ทำความสะอาดภายในถ้วยชามเสียก่อน แล้วภายนอกก็จะสะอาดไปเอง
27 น่าละอายจริงๆพวกเจ้าที่เป็นครูสอนกฎปฏิบัติและพวกฟาริสีหน้าซื่อใจคด พวกเจ้าเหมือนกับอุโมงค์ฝังศพที่ทาสีขาว ข้างนอกดูสวยงาม แต่ข้างในเต็มไปด้วยกระดูกคนตายและสิ่งสกปรกสารพัด 28 เหมือนกับพวกเจ้า ที่ภายนอกคนเห็นว่าเป็นคนที่ทำตามใจพระเจ้า แต่ภายในเต็มไปด้วยความหน้าซื่อใจคดและความชั่วร้าย
29 น่าละอายจริงๆพวกเจ้าที่เป็นครูสอนกฎปฏิบัติและพวกฟาริสีหน้าซื่อใจคด พวกเจ้าได้สร้างอุโมงค์ฝังศพให้กับพวกผู้พูดแทนพระเจ้า และตกแต่งอนุสาวรีย์ให้กับคนเหล่านั้นที่ทำตามใจพระเจ้า 30 แล้วเจ้าก็พูดว่า ‘ถ้าเราอยู่ในสมัยบรรพบุรุษของเรานั้น เราจะไม่ยอมร่วมมือกับเขาในการฆ่าพวกผู้พูดแทนพระเจ้าพวกนี้แน่’ 31 นี่แสดงให้เห็นว่า พวกเจ้ายอมรับว่า ตัวเองเป็นลูกหลานของคนพวกนั้นที่ฆ่าผู้พูดแทนพระเจ้า 32 ดังนั้นไปทำความบาปที่บรรพบุรุษเจ้าได้เริ่มไว้ให้เสร็จเสียสิ
33 เจ้าพวกงูร้าย พวกอสรพิษ พวกเจ้าจะหนีนรกไปพ้นได้อย่างไร 34 เราส่งพวกผู้พูดแทนพระเจ้า คนที่มีปัญญา และครูมาหาเจ้า แล้วพวกเจ้าก็จับพวกเขาไปฆ่าบ้าง ไปตรึงบนไม้กางเขนบ้าง ไปเฆี่ยนในที่ประชุมบ้าง และไล่ล่าพวกเขาหนีจากเมืองหนึ่งไปยังอีกเมืองหนึ่งบ้าง 35 ดังนั้นเลือดของคนที่ทำตามใจพระเจ้าที่หลั่งไหลลงบนโลกนี้จะตกลงบนพวกเจ้า ตั้งแต่เลือดของอาเบลจนถึงเลือดของเศคาริยาห์[e] ลูกของเบเรคิยาห์ที่โดนพวกเจ้าฆ่าตายระหว่างวิหารกับแท่นบูชา 36 เราจะบอกให้รู้ว่า ผลกรรมเหล่านั้นจะตกอยู่กับคนในสมัยนี้อย่างแน่นอน
พระเยซูเตือนคนในเมืองเยรูซาเล็ม
(ลก. 13:34-35)
37 เยรูซาเล็ม เยรูซาเล็มเอ๋ย เจ้าได้ฆ่าพวกผู้พูดแทนพระเจ้า และเอาหินขว้างคนที่พระเจ้าส่งมาหาเจ้าจนตาย มีหลายครั้งที่เราอยากจะโอบลูกๆของเจ้าเข้ามาเหมือนแม่ไก่กกลูกอยู่ใต้ปีกของมัน แต่เจ้าก็ไม่ยอม 38 ตอนนี้บ้านของพวกเจ้าจะถูกทิ้งให้รกร้าง 39 จากนี้ไป พวกเจ้าจะไม่ได้เห็นเราอีกจนกว่าพวกเจ้าจะพูดว่า ‘ขอให้พระเจ้าอวยพรผู้ที่มาในนามขององค์เจ้าชีวิต’[f]”
พวกผู้นำชาวยิวตั้งคำถามกับพระเยซู
(มธ. 21:23-27; มก. 11:27-33)
20 วันหนึ่งเมื่อพระเยซูกำลังสั่งสอนและประกาศเรื่องข่าวดีอยู่ในบริเวณวิหาร พวกหัวหน้านักบวช พวกครูสอนกฎปฏิบัติ และพวกผู้นำอาวุโสมาหาพระองค์ 2 พวกเขาถามว่า “ช่วยบอกหน่อยว่าแกมีสิทธิ์อะไรไปขับไล่พวกคนขายของนั้น ใครให้สิทธิ์นี้กับแก”
3 พระเยซูตอบไปว่า “ตอบเรามาก่อนว่า 4 พิธีจุ่มน้ำของยอห์น มาจากสวรรค์หรือมาจากมนุษย์”
5 พวกเขาปรึกษากันว่า “ถ้าเราตอบว่า ‘มาจากสวรรค์’ เขาก็จะถามว่า ‘แล้วทำไมพวกคุณถึงไม่เชื่อยอห์นล่ะ’ 6 แต่ถ้าเราตอบว่า ‘มาจากมนุษย์’ คนก็จะเอาหินขว้างเรา เพราะชาวบ้านพวกนี้เชื่อว่า ยอห์นเป็นผู้พูดแทนพระเจ้า”
7 พวกเขาก็เลยตอบพระองค์ว่า “เราไม่รู้ว่ามาจากไหน”
8 พระเยซูก็เลยตอบพวกเขาว่า “ถ้าอย่างนั้น เราก็จะไม่บอกเหมือนกันว่าเราใช้สิทธิ์ของใครทำสิ่งเหล่านี้”
พระเจ้าส่งลูกชายของพระองค์มา
(มธ. 21:33-46; มก. 12:1-12)
9 พระเยซูเล่าเรื่องเปรียบเทียบให้คนฟังว่า “มีชายคนหนึ่งทำสวนองุ่น แล้วให้ชาวสวนเช่า แล้วเขาก็ไปอยู่ต่างประเทศเป็นเวลานาน 10 เมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยว เขาส่งทาสคนหนึ่งมารับส่วนแบ่งจากผลองุ่น แต่พวกคนเช่ากลับทำร้ายทุบตีทาสคนนั้น และไล่กลับไปมือเปล่า 11 เจ้าของสวนองุ่นก็เลยส่งทาสอีกคนหนึ่งไป พวกคนเช่าก็ทำร้ายทุบตีเขาและทำให้เขาอับอายขายหน้า แล้วไล่กลับไปมือเปล่าอีก 12 เจ้าของสวนก็ส่งคนที่สามไปอีก พวกคนเช่าก็ทำเหมือนเดิม ทำเขาจนบาดเจ็บสาหัสแล้วโยนออกไปนอกสวน 13 เจ้าของสวนองุ่นพูดกับตัวเองว่า ‘จะทำยังไงดี รู้แล้ว เราจะส่งลูกชายสุดที่รักของเราไป พวกนั้นจะต้องเคารพยำเกรงลูกชายเราแน่ๆ’ 14 แต่พอพวกคนเช่าเห็นลูกชายของเขา ก็ปรึกษากันว่า ‘นี่ไงผู้รับมรดก ให้พวกเราฆ่ามันเลย สวนนี้จะได้ตกเป็นของพวกเรา’ 15 พวกเขาก็เลยจับลูกชายเจ้าของสวนโยนออกไปนอกสวนและฆ่าเขา พวกคุณคิดว่า เจ้าของสวนจะทำยังไงกับพวกคนเช่าเหล่านั้น 16 เขาจะกลับไปฆ่าพวกคนเช่าสวนเหล่านั้น และยกสวนองุ่นให้กับคนอื่นๆ” เมื่อผู้คนได้ยินอย่างนั้น ก็พูดขึ้นว่า “อย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย”
17 แต่พระเยซูก็จ้องมองเขาและพูดว่า “ถ้างั้น ข้อความนี้ในพระคัมภีร์หมายถึงอะไร
‘หินก้อนนี้ที่ช่างก่อสร้างทิ้งแล้ว
กลับกลายมาเป็นหินก้อนที่สำคัญที่สุด’[a]
18 คนที่ล้มทับหินก้อนนั้น ร่างกายก็จะหักเป็นท่อนๆ แต่ถ้าถูกหินนี้ล้มทับ คนนั้นก็จะแหลกละเอียด”
19 เมื่อพวกครูสอนกฎปฏิบัติ และพวกหัวหน้านักบวชรู้ตัวว่าพระเยซูกำลังเปรียบพวกเขาว่าเป็นคนเช่าสวนพวกนั้น พวกเขาก็เลยหาทางที่จะจับพระเยซูตอนนั้นเลย แต่ก็ไม่กล้าเพราะกลัวประชาชน
พวกผู้นำชาวยิวพยายามใช้กลอุบายลวงพระเยซู
(มธ. 22:15-22; มก. 12:13-17)
20 พวกเขาจึงเฝ้าดูพระเยซูอย่างใกล้ชิด และส่งพวกสอดแนมที่แกล้งทำเป็นคนดีเพื่อไปจับผิดคำพูดของพระองค์ เพื่อจะได้จับตัวพระองค์ส่งไปให้ผู้พิพากษาและเจ้าเมืองโรม 21 พวกสอดแนมถามพระเยซูว่า “อาจารย์ครับ พวกเรารู้ว่าคำพูดและคำสอนของท่านนั้นถูกต้องและท่านก็ไม่กลัวว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร และสอนความจริงในสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้ทำ 22 อาจารย์ช่วยบอกหน่อยว่า มันถูกต้องตามกฎหรือเปล่าที่จ่ายภาษีให้กับซีซาร์”
23 พระเยซูรู้ถึงอุบายของพวกเขา จึงบอกพวกเขาว่า 24 “ไหน ส่งเหรียญอันหนึ่งมาให้ดูสิ นี่รูปใคร แล้วมีชื่อใครสลักอยู่”
พวกเขาก็ตอบว่า “ซีซาร์”
25 พระองค์จึงพูดกับพวกเขาว่า “ของๆซีซาร์ก็ให้ซีซาร์ ของๆพระเจ้าก็ให้พระเจ้า”
26 พวกเขาไม่สามารถจะจับผิดคำพูดของพระองค์ต่อหน้าผู้คนได้ ได้แต่ตะลึงในคำตอบจนถึงกับพูดไม่ออก
ชาวสะดูสีพยายามจับผิดพระเยซู
(มธ. 22:23-33; มก. 12:18-27)
27 มีพวกสะดูสีบางคนมาหาพระเยซู พวกนี้ไม่เชื่อว่าคนตายแล้วจะฟื้นขึ้นจากความตาย เขาถามพระองค์ว่า 28 “อาจารย์ครับ โมเสสเขียนสั่งไว้ว่า ถ้าชายคนไหนตายและทิ้งเมียไว้โดยยังไม่มีลูก ก็ให้น้องชายของคนตายแต่งกับหญิงม่ายคนนั้น จะได้มีลูกไว้สืบสกุลให้กับพี่ชายของเขา 29 ครั้งหนึ่งมีพี่น้องอยู่เจ็ดคน พี่ชายคนโตแต่งงาน แล้วตายไปแต่ยังไม่มีลูก 30 น้องคนที่สองก็ได้แต่งกับหญิงม่ายนั้น แต่เขาก็ตายไปและยังไม่มีลูกเหมือนกัน 31 น้องคนที่สามก็ทำแบบเดียวกัน และในที่สุด พี่น้องทั้งเจ็ดคนนี้ก็ได้แต่งงานกับหญิงนั้น แล้วพวกเขาก็ตายโดยไม่มีลูกสักคน 32 ต่อมาหญิงคนนั้นก็ตายด้วย 33 ช่วยบอกหน่อยสิว่า ในวันที่ทุกคนฟื้นขึ้นจากความตายนั้น ผู้หญิงคนนี้จะเป็นภรรยาของใคร ในเมื่อทั้งเจ็ดคนนั้นก็เคยเป็นสามีของเธอ”
34 พระเยซูจึงตอบว่า “คนในโลกนี้เท่านั้นที่แต่งงานกัน และยกให้เป็นผัวเมียกัน 35 ส่วนในโลกหน้า คนที่เหมาะสมที่จะได้อยู่ที่นั่นและฟื้นขึ้นจากความตายแล้ว จะไม่แต่งงานกัน หรือยกให้เป็นผัวเมียกันอีกต่อไปแล้ว 36 เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะตายอีกครั้ง แต่เขาจะเป็นเหมือนทูตสวรรค์และจะเป็นลูกของพระเจ้า เพราะพระเจ้าจะทำให้เขาฟื้นขึ้นจากความตาย
37 เรื่องการฟื้นขึ้นจากความตายนี้ ขนาดโมเสสก็ยังพูดถึงเลย ตอนที่เขาเขียนเรื่องพุ่มไม้ที่ลุกเป็นไฟ[b] เขาได้เรียกองค์เจ้าชีวิตว่า ‘พระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ’[c] 38 พระเจ้าเป็นพระเจ้าของคนมีชีวิต ไม่ใช่ของคนตาย เพราะสำหรับพระเจ้าแล้วทุกคนยังมีชีวิตอยู่”
39 พวกครูสอนกฎปฏิบัติบางคนชมพระเยซูว่า “อาจารย์ พูดได้เยี่ยมมากเลยครับ” 40 แล้วก็ไม่มีใครกล้าถามอะไรพระเยซูอีกเลย
พระคริสต์เป็นลูกของดาวิดหรือ
(มธ. 22:41-46; มก. 12:35-37)
41 พระเยซูถามว่า “คุณพูดได้ยังไงว่า พระคริสต์เป็นลูกของดาวิด 42 ทั้งๆที่ตัวดาวิดเองพูดในหนังสือสดุดีว่า
‘พระเจ้าได้พูดกับองค์เจ้าชีวิตของผมผู้เป็นพระคริสต์ว่า
นั่งลงทางขวามือของเรา
43 จนกว่าเราจะทำให้ศัตรูของท่านเป็นที่วางเท้าของท่าน’[d]
44 แม้แต่ดาวิดยังเรียกพระคริสต์ว่าเป็นองค์เจ้าชีวิตเลย แล้วพระคริสต์จะเป็นลูกของดาวิดได้ยังไง”
พระเยซูต่อว่าพวกครูสอนกฎปฏิบัติ
(มธ. 23:1-36; มก. 12:38-40; ลก. 11:37-54)
45 ขณะที่ฝูงชนกำลังฟังอยู่นั้น พระเยซูก็หันไปพูดกับพวกศิษย์ว่า 46 “ระวังพวกครูสอนกฎปฏิบัติให้ดี พวกนี้ชอบใส่เสื้อคลุมยาวๆเดินไปมาให้คนคำนับตามท้องตลาด และชอบนั่งในที่สำคัญๆในที่ประชุม และชอบนั่งที่หัวโต๊ะในงานเลี้ยงต่างๆ 47 พวกเขามักจะโกงเอาบ้านของหญิงม่าย และแกล้งอธิษฐานซะยืดยาวเพื่ออวดคน คนพวกนี้จะต้องถูกลงโทษหนักกว่าคนที่ไม่ได้ทำอย่างนั้น”
การให้ที่แท้จริง
(มก. 12:41-44)
21 พระเยซูเงยหน้ามอง เห็นพวกคนรวยเอาเงินมาใส่ในตู้บริจาคของวิหาร 2 แล้วพระองค์ได้เห็นหญิงม่ายจนๆคนหนึ่งเอาเหรียญทองแดง[e] เล็กๆสองเหรียญใส่ลงในกล่องด้วย 3 พระองค์จึงพูดว่า “เราจะบอกให้รู้ว่า หญิงม่ายจนๆคนนี้ได้ใส่เงินมากกว่าทุกๆคน 4 เพราะคนอื่นเอาเงินที่เหลือกินเหลือใช้มาให้ แต่หญิงม่ายจนๆคนนี้เอาเงินเลี้ยงชีพทั้งหมดของเธอมาให้”
วิหารจะถูกทำลาย
(มธ. 24:1-14; มก. 13:1-13)
5 ศิษย์บางคนได้พูดถึงความสวยงามของวิหาร พูดถึงหินแต่ละก้อนและของถวายแต่ละชิ้น ว่าช่างสวยงามเหลือเกิน พระเยซูจึงพูดขึ้นมาว่า
6 “ทั้งหมดที่คุณเห็นนี้ วันหนึ่งจะถูกทำลายจนหมดสิ้น ไม่เหลือแม้แต่ซากหินวางซ้อนทับกันเลย”
7 พวกเขาก็เลยถามว่า “อาจารย์ เรื่องพวกนี้จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แล้วจะมีอะไรบอกเหตุไหมครับว่ามันจะเกิดขึ้นแล้ว”
8 พระเยซูตอบว่า “ระวังตัวให้ดี อย่าให้ใครมาหลอกเอาได้ เพราะจะมีหลายคนมาแอบอ้างว่าเป็นเรา และยังบอกอีกว่า ‘เวลานั้นมาถึงแล้ว’ อย่าไปหลงเชื่อเขา 9 เมื่อพวกคุณได้ยินว่าเกิดสงคราม และเกิดจลาจลวุ่นวาย ก็ไม่ต้องตกใจกลัว เพราะเรื่องพวกนี้จะต้องเกิดขึ้นก่อน แต่วันสุดท้ายนั้นจะยังไม่มาถึงทันทีหรอก”
10 แล้วพระองค์ก็พูดว่า “ชนชาติต่างๆและแผ่นดินต่างๆจะลุกขึ้นมาต่อสู้กัน 11 จะเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงในที่ต่างๆ เกิดกันดารอาหาร เกิดโรคระบาดร้ายแรงขึ้น จะมีเรื่องที่น่ากลัวและสิ่งแปลกประหลาดมากมายจะเกิดขึ้นบนท้องฟ้า
12 แต่ก่อนที่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้น พวกคุณจะถูกจับไปทรมาน ถูกนำตัวไปในที่ประชุมชาวยิวและถูกจับขังคุก และจะถูกสอบสวนอยู่ต่อหน้ากษัตริย์และเจ้าเมือง เพราะพวกคุณเป็นศิษย์ของเรา 13 นี่จะเป็นโอกาสดีของคุณที่จะได้พูดเรื่องของเราให้พวกเขาฟัง 14 พวกคุณไม่ต้องกังวลล่วงหน้าว่าจะพูดแก้ตัวยังไง 15 เพราะเราจะให้สติปัญญาและคำพูดที่เฉียบคมกับคุณ เมื่อศัตรูของคุณฟังแล้ว จะไม่มีทางคัดค้านหรือโต้แย้งได้เลย 16 แม้แต่คนที่ใกล้ชิดกับคุณ ทั้งพ่อแม่ พี่น้อง ญาติๆและเพื่อนฝูง ก็จะหักหลังคุณ และพวกคุณบางคนก็จะถูกฆ่าด้วย 17 ทุกคนจะเกลียดพวกคุณ เพราะพวกคุณเป็นศิษย์ของเรา 18 แต่ไม่ต้องกลัว เพราะแม้แต่ผมสักเส้นบนหัวของพวกคุณก็จะไม่ถูกทำลาย 19 ให้อดทนไว้จนถึงที่สุด แล้วคุณจะได้รับความรอด”
เมืองเยรูซาเล็มจะพินาศ
(มธ. 24:15-21; มก. 13:14-19)
20 “เมื่อพวกคุณเห็นกองทัพมาล้อมเมืองเยรูซาเล็ม ก็ให้รู้ว่าเมืองนี้ใกล้จะถูกทำลายแล้ว 21 ถ้าตอนนั้นคุณอยู่ในแคว้นยูเดีย ก็ให้รีบหนีขึ้นไปบนภูเขา ถ้าคุณอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม ก็ให้รีบหนีออกไปนอกเมือง คนที่อยู่นอกเมือง ก็อย่าได้เข้ามาในเมือง 22 เพราะวันนั้นจะเป็นวันของการลงโทษเมืองเยรูซาเล็ม เพื่อทุกอย่างจะได้เป็นจริงตามที่ได้เขียนไว้แล้ว 23 ในวันนั้นจะน่ากลัวมากสำหรับคนท้องและแม่ลูกอ่อนที่ให้นมลูก เพราะจะเกิดภัยพิบัติในแผ่นดินยูเดีย และพระเจ้าจะลงโทษชนชาติอิสราเอลเหล่านี้ 24 พวกเขาจะถูกฆ่าฟัน และจะถูกจับไปเป็นเชลยของชนชาติอื่นๆ คนต่างชาติจะบุกรุกย่ำยีเมืองเยรูซาเล็ม ไปจนกว่าจะถึงเวลาที่พระเจ้ากำหนดไว้”
อย่ากลัวเลย
(มธ. 24:29-31; มก. 13:24-27)
25 “จะมีสิ่งแปลกประหลาดเกิดขึ้นกับดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวต่างๆ ส่วนในโลกนี้ ชนชาติต่างๆก็จะหวาดกลัว และสับสนวุ่นวายกับเสียงร้องกึกก้องของคลื่นในทะเล 26 คนจะเป็นลมล้มพับไปเพราะกลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับโลกนี้ พวกผู้มีอำนาจในฟ้าสวรรค์ก็จะถูกสั่นคลอน 27 แล้วพวกเขาจะเห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาในหมู่เมฆ เต็มไปด้วยฤทธิ์อำนาจและสง่าราศีอันยิ่งใหญ่ 28 เมื่อสิ่งเหล่านี้เริ่มเกิดขึ้น ขอให้ลุกขึ้นด้วยความมั่นใจ เพราะใกล้ถึงเวลาที่พระเจ้าจะทำให้พวกคุณเป็นอิสระแล้ว”
ถ้อยคำของเราจะคงอยู่ตลอดไป
(มธ. 24:32-35; มก. 13:28-31)
29 แล้วพระองค์ก็เล่าเรื่องเปรียบเทียบให้ฟังว่า “เมื่อพวกคุณเห็นต้นมะเดื่อหรือต้นไม้อื่นๆ 30 แตกใบอ่อนออกมา คุณก็รู้ว่าใกล้ถึงฤดูร้อนแล้ว 31 ก็เหมือนกัน เมื่อคุณเห็นสิ่งเหล่านี้ที่เราพูดไว้เกิดขึ้น คุณบอกได้เลยว่าอาณาจักรของพระเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว
32 เราจะบอกให้รู้ว่า สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดจะเกิดขึ้นก่อนที่คนรุ่นนี้จะตายไป 33 สวรรค์และโลกจะสูญสิ้นไป แต่ถ้อยคำของเราจะไม่มีวันสูญหายไป
ควรเตรียมพร้อมอยู่เสมอ
34 ระวังตัวให้ดี อย่าให้ใจหมกมุ่นอยู่แต่เรื่องการดื่มกินกันหรือเมาเหล้ากัน หรือมัวแต่ห่วงกังวลเกี่ยวกับชีวิตนี้ เพราะถ้าทำอย่างนั้น วันนั้นจะมาถึงโดยไม่ทันตั้งตัวเหมือนกับดัก 35 เพราะวันนั้นจะมาถึงทุกคนที่อยู่บนโลกนี้ 36 คุณต้องระวังตัวทุกเวลา และอธิษฐานให้ผ่านพ้นไปอย่างปลอดภัยจากสิ่งต่างๆเหล่านี้ที่จะเกิดขึ้น และจะได้สามารถมายืนอยู่ต่อหน้าบุตรมนุษย์”
37 พระเยซู สั่งสอนอยู่ในวิหารทุกวัน และกลับไปนอนที่ภูเขามะกอกเทศทุกคืน 38 ทุกคนจะตื่นแต่เช้ามาฟังพระองค์สอนที่วิหาร
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International