Book of Common Prayer
(มัสคิล[a]ของอาสาฟ)
78 ประชากรของข้าพเจ้าเอ๋ย จงฟังคำสอนของข้าพเจ้าเถิด
จงรับฟังวาจาจากปากของข้าพเจ้า
2 ข้าพเจ้าจะเอื้อนเอ่ยคำอุปมา
ข้าพเจ้าจะเผยสิ่งที่ซ่อนเร้นไว้ตั้งแต่โบราณกาล
3 สิ่งที่เราได้ยินและได้ทราบ
สิ่งที่บรรพบุรุษของเราบอกต่อๆ กันมา
4 เราจะไม่ปิดบังไว้จากลูกหลานของพวกเขา
จะบอกแก่คนรุ่นต่อมา
ถึงบรรดาพระราชกิจอันสมควรแก่การสรรเสริญขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ถึงฤทธานุภาพของพระองค์และการอัศจรรย์ต่างๆ ที่พระองค์ได้ทรงกระทำ
5 พระองค์ทรงวางกฎเกณฑ์สำหรับยาโคบ
และตั้งบทบัญญัติในอิสราเอล
ซึ่งทรงบัญชาบรรพบุรุษของเรา
ให้สอนลูกหลานของพวกเขา
6 เพื่อชนรุ่นหลังจะได้รู้
แม้แต่ลูกหลานที่จะเกิดมา
และถึงคราวที่พวกเขาจะต้องบอกลูกหลานของตนต่อไป
7 เพื่อพวกเขาจะได้วางใจในพระเจ้า
และไม่ลืมสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ
และจะปฏิบัติตามพระบัญชาของพระองค์
8 พวกเขาจะได้ไม่ต้องเป็นเหมือนบรรพบุรุษ
ซึ่งดื้อดึงและชอบกบฏ
จิตใจไม่จงรักภักดีต่อพระเจ้า
จิตวิญญาณไม่ซื่อสัตย์ต่อพระองค์
9 แม้ชนเผ่าเอฟราอิมมีธนูเป็นอาวุธครบครัน
ก็ยังหันหลังวิ่งหนีไปในยามสงคราม
10 เพราะเขาไม่รักษาพันธสัญญาของพระเจ้า
ไม่ยอมดำเนินชีวิตตามบทบัญญัติของพระองค์
11 เขาลืมสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำ
ลืมการอัศจรรย์ต่างๆ ที่ได้ทรงสำแดงแก่เขา
12 พระองค์ทรงทำการอัศจรรย์ต่อหน้าต่อตาบรรพบุรุษของเขา
ในดินแดนอียิปต์ ในเขตแดนโศอัน
13 พระองค์ทรงแยกทะเลและนำพวกเขาเดินข้ามไป
พระองค์ทรงทำให้น้ำตั้งขึ้นเป็นกำแพง
14 พระองค์ทรงนำเขาด้วยเมฆในยามกลางวัน
และด้วยแสงจากไฟในยามกลางคืน
15 พระองค์ทรงแยกศิลาออกในถิ่นกันดาร
ประทานน้ำพุ่งขึ้นมามากมายเหมือนทะเลให้เขาดื่ม
16 พระองค์ทรงทำให้ธารน้ำไหลออกมาจากศิลา
และให้น้ำไหลรินดั่งแม่น้ำ
17 ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังคงทำบาปต่อพระองค์
กบฏต่อองค์ผู้สูงสุดในถิ่นกันดาร
18 พวกเขาจงใจลองดีกับพระเจ้า
โดยเรียกร้องอาหารที่อยากกิน
19 เขาต่อว่าพระเจ้าว่า
“พระเจ้าทรงจัดสำรับ
ในถิ่นกันดารได้หรือ?
20 เมื่อทรงตีหิน น้ำก็พุ่งออกมา
ลำธารไหลล้น
แต่พระองค์จะประทานอาหารให้พวกเราได้ด้วยหรือ?
พระองค์จะประทานเนื้อให้คนของพระองค์ได้ด้วยหรือ?”
21 เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงได้ยิน พระองค์ก็กริ้วยิ่งนัก
เพลิงของพระองค์เผาผลาญยาโคบ
พระพิโรธพลุ่งขึ้นต่อสู้อิสราเอล
22 เพราะพวกเขาไม่ได้เชื่อในพระเจ้า
หรือไว้วางใจว่าพระองค์จะทรงช่วยกู้ได้
23 ถึงกระนั้นพระองค์ยังทรงบัญชาฟ้าเบื้องบน
และทรงเปิดประตูสวรรค์
24 พระองค์ทรงให้มานาโปรยปรายลงมาเป็นอาหารของพวกเขา
พระองค์ประทานธัญญาหารจากฟ้าสวรรค์แก่พวกเขา
25 มนุษย์ได้กินอาหารของทูตสวรรค์
พระองค์ประทานอาหารแก่พวกเขาจนอิ่มหนำ
26 พระองค์ทรงให้ลมตะวันออกมาจากฟ้าสวรรค์
และทรงนำลมใต้มาโดยพระเดชานุภาพ
27 พระองค์ทรงให้เนื้อตกลงมามากมายดั่งฝุ่น
คือฝูงนกคลาคล่ำดั่งเม็ดทรายที่ชายทะเล
28 พระองค์ทรงกระทำให้นกเหล่านั้นลงมาที่ค่ายพักแรม
รอบๆ เต็นท์ของพวกเขา
29 พวกเขาได้รับประทานจนอิ่มหนำ
เพราะพระองค์ประทานให้จนสมอยาก
30 แต่ก่อนที่พวกเขาจะอิ่ม
ขณะที่เนื้อยังคาปากอยู่
31 พระพิโรธของพระเจ้าก็พลุ่งขึ้นต่อพวกเขา
พระองค์ทรงประหารคนกำยำล่ำสันที่สุดของพวกเขา
และทรงสังหารคนหนุ่มของอิสราเอล
32 ทั้งๆ ที่เห็นทั้งหมดนี้แล้ว พวกเขาก็ยังคงทำบาปต่อไป
ทั้งๆที่เห็นการอัศจรรย์ต่างๆ ของพระองค์ พวกเขาก็ยังไม่เชื่อ
33 ดังนั้นพระองค์จึงทรงทำให้วันคืนของเขาจบลงอย่างสูญเปล่า
และทำให้ปีเดือนของเขาจบลงด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึง
34 เมื่อใดก็ตามที่พระเจ้าประหารพวกเขา พวกเขาจะแสวงหาพระองค์
พวกเขาจะกระตือรือร้นหวนกลับมาหาพระองค์อีกครั้ง
35 พวกเขาระลึกได้ว่าพระเจ้าทรงเป็นพระศิลา
ระลึกได้ว่าพระเจ้าผู้สูงสุดทรงเป็นพระผู้ไถ่ของพวกเขา
36 แต่แล้วพวกเขาจะยกยอพระองค์ด้วยลมปาก
มุสาต่อพระองค์ด้วยลิ้นของพวกเขา
37 จิตใจของพวกเขาไม่ได้จงรักภักดีต่อพระองค์
พวกเขาไม่ได้ซื่อสัตย์ต่อพันธสัญญาของพระองค์
38 ถึงกระนั้นพระองค์ยังทรงเมตตากรุณา
พระองค์ทรงอภัยความชั่วช้าของพวกเขา
และไม่ได้ทำลายล้างพวกเขาเสียหมด
หลายต่อหลายครั้งพระองค์ทรงยับยั้งความกริ้ว
ไม่ให้พระพิโรธพลุ่งขึ้นเต็มที่
39 พระองค์ทรงระลึกว่าพวกเขาเป็นเพียงมนุษย์
เป็นแค่ลมวูบหนึ่ง ซึ่งผ่านไปแล้วไม่หวนกลับมา
40 พวกเขากบฏต่อพระองค์ในถิ่นกันดาร
และกระทำให้พระองค์เศร้าพระทัยในดินแดนร้างเปล่าบ่อยเหลือเกิน!
41 พวกเขาลองดีกับพระเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า
พวกยั่วยุองค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล
42 พวกเขาไม่ได้นึกถึงพระเดชานุภาพ
ในวันที่พระองค์ทรงช่วยพวกเขาให้พ้นจากผู้ข่มเหงรังแก
43 ในวันที่พระองค์ทรงสำแดงหมายสำคัญต่างๆ ในอียิปต์
ทรงสำแดงปาฏิหาริย์ต่างๆ ในดินแดนโศอัน
44 พระองค์ทรงเปลี่ยนน้ำให้เป็นเลือด
จนไม่มีใครอาจดื่มน้ำจากธารน้ำได้
45 พระองค์ทรงส่งฝูงเหลือบมาเล่นงานพวกเขา
และทรงส่งฝูงกบมาทำลายล้างพวกเขา
46 พระองค์ทรงยกพืชผลของพวกเขาให้แก่ตั๊กแตน
ทรงยกผลิตผลของพวกเขาให้แก่ฝูงตั๊กแตน
47 พระองค์ทรงให้ลูกเห็บทำลายเถาองุ่นของพวกเขา
และทรงให้น้ำค้างแข็งทำลายต้นมะเดื่อของพวกเขา
48 พระองค์ทรงให้ลูกเห็บจัดการกับฝูงวัวของพวกเขา
ทรงให้ฟ้าผ่าจัดการกับฝูงปศุสัตว์ของพวกเขา
49 พระองค์ทรงระบายความกริ้วอันเกรี้ยวกราด
ทรงระบายพระพิโรธ ความขุ่นเคืองพระทัย และการเป็นปฏิปักษ์ต่อพวกเขา
ทรงส่งเหล่าทูตสวรรค์ผู้ล้างผลาญมาลงโทษพวกเขา
50 พระองค์ทรงเตรียมทางสำหรับพระพิโรธของพระองค์
พระองค์ไม่ได้ทรงไว้ชีวิตพวกเขา
แต่ทรงหยิบยื่นพวกเขาให้แก่โรคระบาด
51 พระองค์ทรงประหารลูกหัวปีทั้งสิ้นในอียิปต์
คือผลแรกแห่งวัยฉกรรจ์ในเต็นท์ของฮาม
52 แต่พระองค์ทรงนำประชากรของพระองค์ออกมาอย่างฝูงแกะ
พระองค์ทรงนำพวกเขาดั่งนำแกะผ่านถิ่นกันดาร
53 พระองค์ทรงนำพวกเขามาอย่างปลอดภัย พวกเขาจึงไม่หวาดหวั่น
แต่น้ำทะเลซัดท่วมศัตรูของพวกเขา
54 ดังนั้นพระองค์ทรงนำพวกเขามาถึงเขตดินแดนบริสุทธิ์ของพระองค์
มายังดินแดนเทือกเขาซึ่งได้มาโดยพระหัตถ์ขวาของพระองค์
55 พระองค์ทรงขับไล่ชนชาติต่างๆ ไปต่อหน้าต่อตาพวกเขา
และแบ่งสรรปันส่วนดินแดนให้พวกเขาเป็นมรดก
พระองค์ทรงให้เผ่าต่างๆ ของอิสราเอลตั้งถิ่นฐานในบ้านของคนเหล่านั้น
56 แต่พวกเขาก็ยังลองดีกับพระเจ้า
และกบฏต่อองค์ผู้สูงสุด
พวกเขาไม่ยอมปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของพระองค์
57 เช่นเดียวกับบรรพบุรุษ พวกเขาไม่มีความจงรักภักดีและไม่มีความซื่อสัตย์
เหมือนคันธนูบิดที่ไว้ใจไม่ได้
58 พวกเขายั่วยุพระพิโรธด้วยสถานบูชาบนที่สูงทั้งหลาย
พวกเขากระตุ้นความหึงหวงของพระองค์ด้วยรูปเคารพต่างๆ
59 เมื่อพระเจ้าทรงได้ยิน พระองค์ก็ทรงพระพิโรธยิ่งนัก
พระองค์ไม่ทรงยอมรับอิสราเอลเลย
60 พระองค์ทรงละทิ้งพลับพลาแห่งชิโลห์
ที่ซึ่งพระองค์ประทับท่ามกลางมนุษย์
61 และทรงยินยอมให้หีบพันธสัญญาของพระองค์ถูกยึดไป
ทรงหยิบยื่นสง่าราศีของพระองค์ให้ตกอยู่ในมือของศัตรู
62 พระองค์ทรงกระทำให้ประชากรของพระองค์ตกเป็นเหยื่อของคมดาบ
พระองค์ทรงพระพิโรธต่อผู้ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์ยิ่งนัก
63 ไฟเผาผลาญหนุ่มฉกรรจ์
ส่วนหญิงสาวไม่มีเพลงสมรส
64 เหล่าปุโรหิตถูกประหารด้วยดาบ
และภรรยาม่ายของพวกเขาก็ไม่สามารถร้องไห้ไว้ทุกข์
65 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงลุกขึ้นดั่งตื่นจากบรรทม
เหมือนนักรบสร่างจากฤทธิ์เหล้าองุ่น
66 พระองค์ทรงรุกไล่ศัตรูของพระองค์ให้ล่าถอยไป
พระองค์ทรงส่งพวกเขาไปสู่ความอัปยศนิรันดร์
67 แล้วพระองค์ทรงปฏิเสธเต็นท์ของโยเซฟ
พระองค์ไม่ได้ทรงเลือกชนเผ่าเอฟราอิม
68 แต่พระองค์ทรงเลือกเผ่ายูดาห์
และภูเขาศิโยนที่พระองค์ทรงรัก
69 พระองค์ทรงสร้างสถานนมัสการของพระองค์ให้สูงตระหง่านและยืนยง
ดั่งพื้นปฐพีที่พระองค์ทรงสถาปนาไว้เป็นนิตย์
70 พระองค์ทรงเลือกดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์
และทรงนำเขาออกมาจากคอกแกะ
71 ทรงนำเขาออกจากการเลี้ยงดูฝูงแกะ
มาเป็นผู้เลี้ยงดูยาโคบประชากรของพระองค์
เลี้ยงดูอิสราเอลผู้เป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์
72 และดาวิดได้เลี้ยงดูพวกเขาด้วยใจซื่อสัตย์สุจริต
นำพวกเขาไปด้วยมืออันเชี่ยวชาญ
ไฟจากองค์พระผู้เป็นเจ้า
11 ครั้งนั้นเหล่าประชากรบ่นถึงความทุกข์ยากลำบากของพวกเขา องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสดับ แล้วก็ทรงพระพิโรธ จึงมีไฟจากองค์พระผู้เป็นเจ้าลงมาเผาผลาญคนเหล่านั้นที่รอบนอกของค่าย 2 พวกเขาร้องขอให้โมเสสช่วย เมื่อเขาอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าไฟก็ดับ 3 ที่แห่งนั้นจึงได้ชื่อว่าทาเบราห์[a] เพราะมีไฟจากองค์พระผู้เป็นเจ้าลงมาเผาผลาญพวกเขา
นกคุ่มจากองค์พระผู้เป็นเจ้า
4 ฝูงชนที่มากับพวกเขาเริ่มร้องหาอาหารอย่างอื่น และชาวอิสราเอลเริ่มคร่ำครวญอีกว่า “อยากกินเนื้อเหลือเกิน! 5 นึกถึงปลาที่เราเคยกินกันในอียิปต์โดยไม่ต้องซื้อ อีกทั้งแตงกวา แตงโม กระเทียมจีน หอมใหญ่ และกระเทียม 6 แต่ขณะนี้เราเบื่ออาหาร เพราะเราไม่เคยเห็นอาหารอย่างอื่นนอกจากมานา!”
7 มานามีลักษณะเหมือนเมล็ดผักชี ดูคล้ายๆ ยางไม้ตะคร้ำ 8 ประชากรเที่ยวเก็บมาตำหรือโม่เป็นแป้ง แล้วต้มและทำเป็นขนม มีรสชาติเหมือนขนมบางอย่างที่ทำจากน้ำมันมะกอก 9 มานานั้นร่วงลงมาพร้อมกับหยาดน้ำค้างในเวลากลางคืน
10 โมเสสได้ยินเสียงคร่ำครวญของผู้คนจากทุกครอบครัว แต่ละคนยืนอยู่หน้าทางเข้าเต็นท์ของเขา องค์พระผู้เป็นเจ้ากริ้วยิ่งนัก โมเสสเองก็ลำบากใจอย่างยิ่ง 11 เขากราบทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ทำไมจึงทรงให้ผู้รับใช้ของพระองค์เดือดร้อนเช่นนี้? ข้าพระองค์ทำสิ่งใดไม่เป็นที่พอพระทัยหรือ จึงทรงให้ข้าพระองค์แบกภาระทั้งหมดของชนชาตินี้? 12 ข้าพระองค์ตั้งครรภ์คนเหล่านี้หรือ? ข้าพระองค์ให้กำเนิดเขาหรือ? จึงทรงให้ข้าพระองค์ประคบประหงมพวกเขาราวกับพี่เลี้ยงอุ้มทารกไว้ในอ้อมแขน กว่าจะไปถึงดินแดนที่พระองค์ทรงสัญญาไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขา 13 ข้าพระองค์จะไปหาเนื้อจากที่ไหนมาให้คนทั้งหมดนี้? พวกเขาคร่ำครวญกับข้าพระองค์ว่า ‘ให้พวกเราได้กินเนื้อเถิด!’ 14 ข้าพระองค์ตัวคนเดียวหอบหิ้วประชากรทั้งหมดนี้ไปไม่ไหว เป็นภาระหนักเกินทน 15 หากพระองค์จะทรงทำกับข้าพระองค์อย่างนี้ ก็โปรดเมตตาประหารข้าพระองค์เดี๋ยวนี้เถิด ถ้าข้าพระองค์เป็นที่โปรดปรานในสายพระเนตรของพระองค์ อย่าให้ข้าพระองค์ต้องเผชิญกับความหายนะเลย”
16 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงนำผู้อาวุโสเจ็ดสิบคนของอิสราเอลซึ่งเจ้ารู้จักในฐานะผู้นำและเจ้าหน้าที่ในหมู่ประชากรนั้นมาพบเรา ให้พวกเขามายืนอยู่กับเจ้าที่เต็นท์นัดพบ 17 เราจะลงมาพูดกับเจ้าที่นั่น และจะเอาพระวิญญาณที่อยู่เหนือเจ้ามอบให้อยู่เหนือคนเหล่านั้นด้วย พวกเขาจะช่วยแบกภาระเรื่องประชากรร่วมกับเจ้า เจ้าจะได้ไม่ต้องรับงานนี้แต่ลำพัง
18 “จงบอกเหล่าประชากรว่า ‘จงชำระตัวให้บริสุทธิ์ เตรียมพร้อมสำหรับพรุ่งนี้ซึ่งพวกเจ้าจะมีเนื้อกิน องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ยินที่พวกเจ้าโอดครวญแล้วว่า “เราอยากกินเนื้อเหลือเกิน! อยู่ที่อียิปต์ยังดีเสียกว่า!” บัดนี้องค์พระผู้เป็นเจ้าจะให้เจ้ากินเนื้อ 19 ไม่ใช่เพียงวันสองวัน ห้าวัน สิบวันหรือยี่สิบวัน 20 แต่พวกเจ้าจะมีเนื้อกินหนึ่งเดือนเต็ม จนล้นออกมาทางจมูกจนเจ้าเอือม เพราะพวกเจ้าปฏิเสธ องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้อยู่ท่ามกลางพวกเจ้า และคร่ำครวญต่อพระองค์ว่า “ทำไมพวกเราต้องจากอียิปต์มา?” ’ ”
21 แต่โมเสสกราบทูลว่า “ข้าพระองค์มีพลเดินเท้าถึงหกแสนคนยืนอยู่ที่นี่ แล้วพระองค์ยังตรัสว่า ‘เราจะให้เนื้อพวกเขากินตลอดหนึ่งเดือนเต็ม!’ 22 ต่อให้เอาฝูงแพะ แกะ และวัวทั้งหมดมาฆ่ากินจะพอหรือ? หากจะจับปลาหมดทะเลมาให้พวกเขากินจะเพียงพอหรือ?”
23 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตอบโมเสสว่า “มีอะไรที่เกินความสามารถขององค์พระผู้เป็นเจ้าหรือ? คราวนี้เจ้าจะได้เห็นว่าที่เราพูดนั้นจะเป็นจริงหรือไม่”
16 ข้าพเจ้าไม่ได้ละอายในข่าวประเสริฐ เพราะข่าวประเสริฐคือฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อได้รับความรอด คนยิวก่อน แล้วคนต่างชาติด้วย 17 เพราะในข่าวประเสริฐนั้น ความ
ชอบธรรมจากพระเจ้าก็ได้รับการเปิดเผย เป็นความชอบธรรมซึ่งเริ่มต้นด้วยความเชื่อและนำไปสู่ความเชื่อ[a] ตามที่มีเขียนไว้แล้วว่า “คนชอบธรรมจะดำรงชีวิตโดยความเชื่อ”[b]
พระพิโรธของพระเจ้าต่อมนุษยชาติ
18 พระเจ้าทรงสำแดงพระพิโรธจากสวรรค์ต่อบรรดาความอธรรมและความชั่วร้ายทั้งปวงของมนุษย์ ผู้ใช้ความชั่วร้ายของตนปิดกั้นความจริง 19 เนื่องจากสิ่งที่อาจจะรู้ได้เกี่ยวกับพระเจ้าก็ปรากฏชัดแก่พวกเขา ด้วยว่าพระเจ้าทรงกระทำให้สิ่งเหล่านี้ปรากฏชัดแก่พวกเขา 20 เพราะตั้งแต่ทรงสร้างโลก เราก็เห็นและเข้าใจสภาวะที่เราไม่อาจมองเห็นได้ของพระเจ้า คือฤทธานุภาพนิรันดร์และเทวสภาพของพระองค์อย่างชัดเจนจากสิ่งที่ทรงสร้าง ดังนั้นมนุษย์จึงไม่มีข้อแก้ตัวเลย
21 เพราะแม้ว่าพวกเขารู้จักพระเจ้า พวกเขาก็ไม่ได้ถวายพระเกียรติสิริแด่พระองค์ให้สมกับที่ทรงเป็นพระเจ้า ทั้งไม่ได้ขอบพระคุณพระองค์ แต่กลับคิดในสิ่งที่ไร้สาระ และจิตใจอันโง่เขลาของพวกเขาก็มืดมัวไป 22 แม้เขาอ้างว่าตนมีปัญญา เขาก็กลับกลายเป็นคนโง่ 23 และเอาพระเกียรติสิริของพระเจ้าผู้เป็นอมตะไปแลกกับรูปเคารพ ซึ่งสร้างขึ้นตามแบบของมนุษย์ที่ต้องตาย สัตว์ปีก สัตว์ เลื้อยคลานและสัตว์ต่างๆ
24 ฉะนั้นพระเจ้าจึงทรงปล่อยเขาให้ทำบาปทางเพศตามตัณหาชั่วในใจของเขา ทำสิ่งที่น่าอัปยศทางกายต่อกัน 25 เขาเอาความจริงของพระเจ้ามาแลกกับความเท็จ นมัสการและปรนนิบัติสิ่งที่ทรงสร้างแทนพระเจ้าผู้ทรงสร้าง ผู้ทรงเป็นที่สรรเสริญตลอดนิรันดร์ อาเมน
22 เมื่อพวกเขาพากันมาถึงกาลิลี พระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกว่า “บุตรมนุษย์จะถูกทรยศให้ตกอยู่ในมือมนุษย์ 23 พวกเขาจะฆ่าพระองค์และในวันที่สามพระองค์จะเป็นขึ้นจากตาย” และเหล่าสาวกพากันทุกข์โศกยิ่งนัก
ค่าบำรุงพระวิหาร
24 เมื่อพระเยซูและเหล่าสาวกของพระองค์มาถึงเมืองคาเปอรนาอุมแล้ว ผู้เก็บค่าบำรุงพระวิหารมาถามเปโตรว่า “อาจารย์ของท่านไม่เสียค่าบำรุงพระวิหาร[a]หรือ?”
25 เปโตรตอบว่า “เสีย”
เมื่อเปโตรเข้าไปในบ้าน พระเยซูตรัสขึ้นก่อนว่า “ซีโมนเอ๋ย ท่านคิดอย่างไร กษัตริย์เก็บภาษีอากรจากใคร จากบรรดาโอรสของพระองค์หรือจากคนอื่น?”
26 เปโตรทูลตอบว่า “จากคนอื่น”
พระเยซูตรัสว่า “ถ้าเช่นนั้นบรรดาโอรสก็ได้รับการยกเว้น 27 แต่เพื่อว่าเราจะไม่ทำให้พวกเขาขุ่นเคืองใจ ท่านจงไปวางเบ็ดที่ทะเลสาบ จงอ้าปากปลาตัวแรกที่ตกได้แล้วจะพบเหรียญสี่แดรกมา จงนำเงินนั้นไปชำระค่าบำรุงพระวิหารสำหรับเราและท่านเถิด”
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.