Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Revised Common Lectionary (Semicontinuous)

Daily Bible readings that follow the church liturgical year, with sequential stories told across multiple weeks.
Duration: 1245 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
1 ซามูเอล 17:1

ดาวิดกับโกลิอัท

17 ชาวฟีลิสเตียได้รวบรวมกองทหารเพื่อทำสงคราม และประชุมกันที่โสโคห์ซึ่งอยู่ในเขตยูดาห์ ตั้งค่ายอยู่ระหว่างโสโคห์และอาเซคาห์ที่เอเฟสดัมมิม

1 ซามูเอล 17:4-11

ผู้ต่อสู้ตัวเอกแห่งเมืองกัทคนหนึ่งสูง 6 ศอก ชื่อโกลิอัท ออกมาจากค่ายของชาวฟีลิสเตีย เขามีหมวกทองสัมฤทธิ์สวมศีรษะ สวมเสื้อเกราะป้องกันตัว เสื้อเป็นทองสัมฤทธิ์หนัก 5,000 เชเขล[a] และมีเกราะทองสัมฤทธิ์ป้องกันขา และมีหอกซัดทองสัมฤทธิ์ผูกไว้บนหลังของเขา ด้ามแหลนของเขาเหมือนไม้กระพั่นของคนทอผ้า ปลายแหลนเป็นเหล็กหนัก 600 เชเขล และคนแบกโล่เดินล่วงหน้าเขาไป โกลิอัทยืนตะโกนบอกชาวอิสราเอลที่ยืนแถวในแนวรบว่า “ทำไมพวกเจ้าออกมายืนแถวเตรียมรบเล่า ข้าไม่ใช่ชาวฟีลิสเตียหรือ และเจ้าเป็นคนรับใช้ของซาอูลมิใช่หรือ จงเลือกชายคนใดคนหนึ่งออกมา ให้เขาลงมาหาข้า ถ้าเขาสามารถสู้และฆ่าข้าได้ พวกเราก็จะเป็นคนรับใช้ของพวกเจ้า แต่ถ้าข้าสู้ชนะและฆ่าเขาตาย พวกเจ้าก็จะเป็นคนรับใช้ของพวกเรา และรับใช้พวกเรา” 10 ชาวฟีลิสเตียคนนั้นพูดว่า “วันนี้เราขอท้าแนวรบของอิสราเอล ส่งชายคนใดคนหนึ่งให้ออกมาสู้กับเราตัวต่อตัว” 11 ครั้นซาอูลและชาวอิสราเอลได้ยินชาวฟีลิสเตียพูดเช่นนั้น ก็ตกใจและหวาดกลัวมาก

1 ซามูเอล 17:19-23

19 ขณะนั้นซาอูล พวกพี่ชายของดาวิด และชายอิสราเอลคนอื่นๆ กำลังสู้รบกับพวกชาวฟีลิสเตียในหุบเขาเอลาห์ 20 ดาวิดลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ ปล่อยให้คนเฝ้าแกะดูแลฝูงแกะ และหอบของที่เจสซีสั่งให้เอาไป เขาเดินทางถึงค่ายขณะที่กองทัพกำลังออกไปเผชิญหน้ากันด้วยเสียงโห่ร้องของสนามรบ 21 ชาวอิสราเอลและชาวฟีลิสเตียยืนแถวในแนวรบ กองทัพปะทะกับกองทัพ 22 ดาวิดจึงให้ของที่หอบมาไว้กับคนดูแลสัมภาระ และวิ่งไปยังกองรบที่ยืนแถวอยู่ และไปทักทายพวกพี่ๆ 23 ขณะที่เขากำลังพูดกับพวกพี่ๆ ดูเถิด ผู้ต่อสู้ตัวเอกชื่อโกลิอัทชาวฟีลิสเตียแห่งเมืองกัท ก็ก้าวออกมาจากแนวรบของพวกฟีลิสเตีย และพูดเหมือนกับที่เคยพูดมาแล้ว และดาวิดได้ยินเขาพูด

1 ซามูเอล 17:32-49

32 ดาวิดพูดกับซาอูลว่า “อย่าให้ใครใจเสียเพราะชายคนนั้น ผู้รับใช้ของท่านจะไปต่อสู้กับชาวฟีลิสเตียคนนั้นเอง” 33 ซาอูลพูดกับดาวิดว่า “เจ้าไม่สามารถไปต่อสู้กับชาวฟีลิสเตียคนนั้นได้หรอก เพราะเจ้ายังมีอายุน้อยอยู่ แต่เขาเป็นนักรบมาตั้งแต่เยาว์วัยแล้ว” 34 แต่ดาวิดพูดกับซาอูลว่า “ผู้รับใช้ของท่านเคยเฝ้าดูฝูงแกะให้พ่อ และเมื่อใดที่มีสิงโตหรือหมีมาตะครุบลูกแกะไปจากฝูง 35 ข้าพเจ้าก็ไล่ตามไปสู้ และช่วยลูกแกะรอดจากปากสิงโต แต่ถ้ามันกระโจนใส่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็คว้าขนที่คอ และทุบตีมันจนตาย 36 ผู้รับใช้ของท่านได้ต่อสู้ชนะสิงโตและหมีมาแล้ว และชาวฟีลิสเตียที่ไม่ได้เข้าสุหนัตผู้นี้ก็จะเป็นเหมือนสัตว์เหล่านั้น เพราะเขาท้ากองทัพของพระเจ้าผู้ดำรงอยู่” 37 และดาวิดพูดว่า “พระผู้เป็นเจ้าผู้ช่วยข้าพเจ้าให้รอดจากอุ้งเท้าสิงโตและหมี ก็จะช่วยข้าพเจ้าให้รอดจากเงื้อมมือของชาวฟีลิสเตียผู้นี้” ซาอูลจึงพูดกับดาวิดว่า “ไปเถิด และขอให้พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเจ้า”

38 ครั้นแล้วซาอูลก็ให้ดาวิดสวมชุดออกศึกของท่าน ท่านสวมหมวกทองสัมฤทธิ์บนศีรษะ และให้สวมเสื้อเกราะป้องกันตัวให้เขา 39 ดาวิดสะพายดาบของท่านทับชุดออกศึก แล้วพยายามเดินไป แต่เดินไม่ได้ เพราะไม่เคยสวมมาก่อน ดาวิดจึงพูดกับซาอูลว่า “ข้าพเจ้าสวมชุดแบบนี้ไปต่อสู้ไม่ได้หรอก เพราะไม่เคยใช้” ดาวิดจึงปลดออก 40 แล้วเขาก็ถือไม้เท้าของเขา และเลือกก้อนหิน 5 ก้อนจากธารน้ำ เก็บใส่ถุงที่คนเลี้ยงแกะใช้กัน มือถือสลิง[a] แล้วเขาก็เดินไปหาชาวฟีลิสเตียผู้นั้น

41 ชาวฟีลิสเตียเดินหน้าเข้าหาดาวิด พร้อมกับมีคนถือโล่เดินนำหน้าเขา 42 เมื่อชาวฟีลิสเตียมองเห็นดาวิดก็ดูถูกเขา เพราะเป็นเพียงเด็ก ผิวออกแดงๆ และรูปงาม 43 ชาวฟีลิสเตียพูดกับดาวิดว่า “ข้าเป็นหมาหรือไง เจ้าจึงถือไม้มาด้วย” และชาวฟีลิสเตียผู้นั้นก็แช่งด่าดาวิดในนามเทพเจ้าของเขา 44 ชาวฟีลิสเตียพูดกับดาวิดว่า “มาหาข้าสิ ข้าจะได้เอาเนื้อเจ้าให้นกในอากาศกับสัตว์ป่าในทุ่งกิน” 45 แล้วดาวิดพูดกับชาวฟีลิสเตียว่า “ท่านมีดาบ แหลน และหอกซัดมาหาเรา แต่เรามาหาท่านด้วยพระนามของพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของกองทัพของอิสราเอลที่ท่านท้าทาย 46 วันนี้พระผู้เป็นเจ้าจะมอบท่านไว้ในมือของเรา และเราจะปราบท่าน และตัดหัวท่าน และเราจะเอาศพทหารของชาวฟีลิสเตียให้นกในอากาศกับสัตว์ป่าในโลกกิน เพื่อทั่วทั้งโลกจะได้รู้ว่ามีพระเจ้าในอิสราเอล 47 และทุกคนที่อยู่ที่นี่จะได้รู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ช่วยให้รอดด้วยดาบและแหลน เพราะการสู้รบเป็นของพระผู้เป็นเจ้า และพระองค์จะมอบท่านไว้ในมือของพวกเรา”

48 เมื่อชาวฟีลิสเตียผู้นั้นก้าวเข้าไปหาดาวิดใกล้ยิ่งขึ้น ดาวิดจึงรีบวิ่งสู่สนามรบเพื่อปะทะกับชาวฟีลิสเตียผู้นั้น 49 ดาวิดหยิบก้อนหินที่อยู่ในถุงออกมาก้อนหนึ่ง และเหวี่ยงถูกหน้าผากของชาวฟีลิสเตีย หินก้อนนั้นฝังเข้าไปในหน้าผาก และเขาก็ทรุดตัวลงบนพื้นดิน

1 ซามูเอล 17:57-18:5

57 ขณะที่ดาวิดกลับมาจากการฆ่าฟันชาวฟีลิสเตีย อับเนอร์ก็พาไปหาซาอูลพร้อมกับหัวของชาวฟีลิสเตียยังอยู่ในมือ 58 ซาอูลจึงกล่าวกับเขาว่า “เจ้าหนุ่มน้อย เจ้าเป็นบุตรของใคร” ดาวิดตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นบุตรของเจสซีชาวเบธเลเฮมผู้รับใช้ของท่าน”

มิตรภาพระหว่างดาวิดและโยนาธาน

18 ทันทีที่ซาอูลพูดกับดาวิดจบแล้ว จิตใจของโยนาธานก็ผูกพันกับจิตใจของดาวิด และโยนาธานรักดาวิดเท่าชีวิตของตน ซาอูลรับดาวิดในวันนั้น โดยไม่ปล่อยให้เขากลับไปบ้านของบิดาอีก ครั้นแล้วโยนาธานจึงสาบานตนกับดาวิด เพราะเขารักดาวิดเท่าชีวิตของตน และโยนาธานปลดเสื้อคลุมที่ตนสวมอยู่มอบให้แก่ดาวิด รวมถึงชุดออกศึก ดาบ ชุดธนู และเข็มขัดด้วย ที่ใดก็ตามที่ซาอูลใช้ให้ดาวิดไป เขาประสบความสำเร็จเสมอ ดังนั้นซาอูลจึงแต่งตั้งเขาให้เป็นแม่ทัพ ซึ่งเป็นที่พึงพอใจของคนทั้งปวงและของบริวารของท่านเช่นกัน

1 ซามูเอล 18:10-16

10 ในวันรุ่งขึ้น ซาอูลก็ถูกวิญญาณอันชั่วร้ายจากพระเจ้าควบคุมโดยสิ้นเชิง และท่านก็พูดด้วยความเดือดดาลอยู่ภายในวัง ขณะที่ดาวิดกำลังเล่นพิณเล็กอย่างที่เล่นอยู่เป็นประจำทุกวัน ซาอูลถือหอกของท่านอยู่ 11 และซาอูลพุ่งหอกด้วยนึกอยู่ว่า “เราจะเสียบดาวิดให้ติดกับกำแพง” แต่ดาวิดหลบได้ทั้งสองครั้ง

12 ซาอูลกลัวดาวิด เพราะพระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเขา และพระองค์ไปจากซาอูลแล้ว 13 ซาอูลจึงปลดเขาไปให้พ้นหน้าท่าน และให้เขาไปเป็นผู้บังคับกองพันทหาร เขานำกองทหารออกรบและกลับมาอย่างมีชัย 14 ดาวิดประสบความสำเร็จในทุกสิ่งที่ได้รับมอบหมาย เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเขา 15 เมื่อซาอูลเห็นว่าเขาประสบความสำเร็จมาก ท่านจึงกลัวและยำเกรงเขามาก 16 แต่ชาวอิสราเอลและยูดาห์ทุกคนรักดาวิด เพราะเขาเป็นผู้นำทัพออกไปแล้วกลับมาอย่างมีชัย

สดุดี 9:9-20

พระผู้เป็นเจ้าเป็นหลักยึดอันมั่นคงของผู้ที่ถูกบีบบังคับ
    และเป็นที่หลบภัยในยามทุกข์ยาก
10 และบรรดาผู้รู้จักพระนามของพระองค์ไว้วางใจในพระองค์
    โอ พระผู้เป็นเจ้า ด้วยว่า พระองค์ไม่เคยละทิ้งคนที่แสวงหาพระองค์

11 จงร้องเพลงสรรเสริญถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า ผู้สถิตในศิโยน
    จงประกาศสิ่งที่พระองค์สำแดงในท่ามกลางชนชาติ
12 เพราะว่าองค์ผู้แก้แค้นโดยการประหาร พระองค์ระลึกถึงพวกเขา
    พระองค์ไม่ลืมเสียงร้องของผู้มีทุกข์

13 โอ พระผู้เป็นเจ้า เมตตาข้าพเจ้าด้วย
    ดูเถิดว่า ข้าพเจ้าได้รับทุกข์ทรมานจากบรรดาผู้ที่เกลียดชังข้าพเจ้าอย่างไรบ้าง
    พระองค์เป็นผู้พยุงข้าพเจ้าขึ้นจากประตูแห่งความตาย
14 เพื่อข้าพเจ้าจะได้กล่าวคำสดุดีถึงพระองค์
    และภายในเขตประตูของธิดาแห่งศิโยน[a]
    ข้าพเจ้าจะยินดีที่พระองค์ช่วยให้รอดพ้น

15 บรรดาประชาชาติพากันตกหลุมที่ตนขุดไว้
    เท้าของพวกเขาเกี่ยวเอาตาข่ายที่พรางไว้
16 พระผู้เป็นเจ้าสำแดงพระองค์ให้เห็นจากความเป็นธรรมของพระองค์
    คือคนชั่วตกลงในบ่วงแร้วที่ทำขึ้นมาเอง ฮิกาโยน[b] เซล่าห์
17 คนชั่วจะกลับไปยังแดนคนตาย
    คือประชาชาติทั้งปวงที่ลืมพระเจ้า
18 แต่ผู้ยากไร้จะไม่ถูกลืมเสมอไป
    และผู้มีความทุกข์จะไม่สิ้นหวังไปตลอดกาล

19 โอ พระผู้เป็นเจ้า โปรดลุกขึ้นเถิด อย่าปล่อยให้มนุษย์มีชัย
    โปรดให้บรรดาประชาชาติถูกพิพากษาต่อหน้าพระองค์
20 ทำให้พวกเขาหวาดหวั่นเถิด โอ พระผู้เป็นเจ้า
    โปรดให้บรรดาประชาชาติรู้ว่าพวกเขาเป็นเพียงมนุษย์ เซล่าห์

สดุดี 133

ความรักกันฉันพี่น้อง

บทเพลงบรรเลงในขบวนแห่ขณะเคลื่อนขึ้นสู่เนินเขา ของดาวิด

ดูเถิด เป็นสิ่งดีและน่าเบิกบานใจอะไรเช่นนี้
    เวลาพี่น้องได้มาอยู่ร่วมกันอย่างมีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
เสมือนน้ำมันอันประเสริฐชโลมไว้บนศีรษะ
    ที่ไหลลงอาบบนเครา
บนเคราของอาโรน
    ไหลรินลงสู่คอเสื้อของท่าน
เสมือนน้ำค้าง ณ ภูเขาเฮอร์โมน
    ที่พร่างพรมสู่เทือกเขาของศิโยน
นั่นคือสถานที่ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าได้มอบพระพร
    คือการมีชีวิตอันเป็นนิรันดร์

2 โครินธ์ 6:1-13

ในฐานะที่พวกเราเป็นผู้ร่วมงานของพระเจ้า เราขอร้องท่านด้วยว่า อย่ารับพระคุณของพระเจ้าโดยไร้ประโยชน์ เพราะพระองค์กล่าวว่า

“เมื่อถึงเวลาที่เราจะโปรดปราน
    เราก็ฟังเสียงของเจ้า
และเมื่อถึงวันช่วยให้รอดพ้น
    เราก็ช่วยเจ้า”[a]

เราขอบอกท่านว่า ขณะนี้ถึงเวลาที่จะโปรดปราน ดูเถิด ขณะนี้เป็นวันช่วยให้รอดพ้น

เราไม่วางเครื่องกีดขวางเพื่อขวางทางของผู้ใด เพื่อว่างานรับใช้ของเราจะได้ไม่ถูกตำหนิ ในฐานะผู้รับใช้ของพระเจ้า เราชี้ให้เห็นว่าเราเป็นอย่างไรในทุกๆ ด้าน ด้วยความเพียรอดทนอย่างยิ่ง ในการทนทุกข์ทรมาน ในความยากลำบาก และความเจ็บปวดรวดร้าว ในการถูกโบย ในการถูกจำจอง ท่ามกลางการจลาจล ในการทำงานหนัก อดหลับอดนอน และหิวโหย ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ความรู้ ความอดทน ความกรุณา ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และความรักจริงใจ ด้วยการประกาศความจริง ด้วยอานุภาพของพระเจ้า โดยใช้อาวุธแห่งความชอบธรรมทั้งมือขวาและมือซ้าย ทั้งเวลาที่มีเกียรติและไร้เกียรติ ทั้งเวลาที่ชื่อเสียงดีและเสื่อมเสีย แม้จะจริงใจแต่ก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้หลอกลวง ทั้งในยามที่ไม่มีใครรู้จัก แต่ก็ยังเป็นที่รู้จักดี เป็นเหมือนคนที่สิ้นใจไปแล้ว แต่ดูเถอะเรายังมีชีวิตอยู่ ทั้งถูกลงโทษ แต่ก็ยังไม่ตาย 10 ทั้งโศกเศร้าแต่ยังชื่นชมยินดีเสมอ ทั้งยากไร้แต่ก็ทำให้หลายคนได้มั่งคั่ง ทั้งที่ตัวเปล่าแต่ก็ยังเป็นเจ้าของสารพัดสิ่ง

11 เราได้เปิดใจพูดกับท่าน โอ ชาวโครินธ์เอ๋ย ใจเราเปิดกว้างรับท่าน 12 เราไม่ได้ปิดใจต่อท่าน แต่ท่านต่างหากที่ปิดใจต่อเรา 13 ข้าพเจ้าจึงพูดในฐานะที่ท่านเป็นลูกของข้าพเจ้าว่า จงเปิดใจให้กว้างเถิด

มาระโก 4:35-41

ห้ามคลื่นและลมให้หยุด

35 เมื่อถึงเวลาเย็นวันนั้น พระองค์กล่าวกับพวกเขาว่า “เราข้ามไปอีกฟากกันเถิด” 36 พวกสาวกจึงนำพระองค์ไปทันที พระองค์ก็อยู่ในเรือ และในขณะที่เรือลำอื่นๆ ก็แล่นออกไปด้วยกัน ทิ้งฝูงชนไว้เบื้องหลัง 37 พายุใหญ่เริ่มพัดมา คลื่นก็โถมซัดเข้าไปในเรือ จนน้ำปริ่มเรือ 38 พระเยซูหนุนหมอนนอนหลับอยู่ที่ท้ายเรือ พวกเขาปลุกพระองค์ให้ตื่นขึ้นและบอกว่า “อาจารย์ ท่านไม่ห่วงหรือว่าพวกเรากำลังจะตายอยู่แล้ว” 39 พระองค์ตื่นขึ้นห้ามลมและสั่งทะเลว่า “จงสงบนิ่งเสีย” ลมจึงหยุดพัดและทุกสิ่งก็สงบเงียบลง 40 พระองค์กล่าวกับเขาเหล่านั้นว่า “ทำไมพวกเจ้าจึงกลัวนัก เจ้ายังไม่มีความเชื่ออีกหรือ” 41 พวกสาวกเกรงกลัวนักจึงถามกันและกันว่า “ท่านผู้นี้เป็นใครกันที่แม้แต่ลมและทะเลก็ยังเชื่อฟังท่าน”

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation