Revised Common Lectionary (Semicontinuous)
อธิษฐานให้กษัตริย์ในยามสงคราม
ถึงหัวหน้าวงดนตรี เพลงสดุดีของดาวิด
1 ขอให้พระผู้เป็นเจ้าตอบท่านในยามลำบาก
ขอให้พระนามของพระเจ้าของยาโคบ[a]ปกป้องท่าน
2 ขอให้พระองค์ส่งความช่วยเหลือจากสถานที่บริสุทธิ์
และให้การค้ำจุนจากศิโยน
3 ขอให้พระองค์ระลึกถึงเครื่องสักการะบูชาทั้งปวงของท่าน
และรับสัตว์ที่เผาเป็นของถวายของท่านไว้ เซล่าห์
4 สิ่งใดที่ใจท่านปรารถนา ก็ขอให้ได้รับจากพระองค์
และให้แผนการของท่านสำเร็จลุล่วงทุกประการ
5 พวกเราจะส่งเสียงร้องด้วยความยินดีในยามที่ท่านมีชัยชนะ
และจะยกธงชัยของเราขึ้นในพระนามของพระเจ้าของเรา
ทุกสิ่งที่ท่านขอจากพระผู้เป็นเจ้า ก็ขอให้ท่านได้รับ
6 ในบัดนี้ข้าพเจ้าทราบว่า
พระผู้เป็นเจ้าช่วยผู้ได้รับการเจิมของพระองค์
พระองค์จะตอบจากสวรรค์อันบริสุทธิ์ของพระองค์
ด้วยการกระทำอันยิ่งใหญ่ ด้วยมือขวาของพระองค์
7 บางคนโอ้อวดในเรื่องรถศึก บ้างก็อวดเรื่องม้า
แต่เราโอ้อวดพระนามของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา
8 พวกเขาจะทรุดตัวและล้มลง
ส่วนพวกเราจะลุกขึ้นและมั่นคง
9 โอ พระผู้เป็นเจ้า ช่วยกษัตริย์ให้รอดพ้นด้วย
โปรดตอบในยามที่พวกเราร้องเรียกถึงพระองค์
ซาอูลต่อสู้ชาวฟีลิสเตีย
13 เมื่อซาอูลเป็นกษัตริย์ ท่านมีอายุ 30 ปี[a] และท่านปกครองอิสราเอลเป็นเวลา 42 ปี[b]
2 ซาอูลเลือกชายอิสราเอล 3,000 คน 2,000 คนให้อยู่กับท่านที่มิคมาชและในแถบภูเขาเบธเอล 1,000 คนอยู่กับโยนาธานที่กิเบอาห์ของเบนยามิน ส่วนชายอื่นๆ ท่านก็ให้กลับบ้านของตนไป 3 โยนาธานโจมตีด่านทหารชั้นนอกของฟีลิสเตียที่เก-บา และชาวฟีลิสเตียทราบเรื่อง ซาอูลให้คนเป่าแตรงอนทั่วแผ่นดิน[c] และกล่าวว่า “ให้ชาวฮีบรูได้ยิน” 4 อิสราเอลทั้งปวงได้ยินมาว่า ซาอูลได้โจมตีด่านทหารชั้นนอกของฟีลิสเตีย และชื่ออิสราเอลก็เหม็นสำหรับชาวฟีลิสเตีย และประชาชนก็ถูกเรียกให้ไปสมทบกับซาอูลที่กิลกาล
5 ชาวฟีลิสเตียประชุมกันเพื่อต่อสู้กับอิสราเอล มีรถศึก 30,000 คัน สารถี 6,000 คน และกองทัพมีจำนวนมากราวกับเม็ดทรายบนชายฝั่งทะเล พวกเขาขึ้นไปตั้งค่ายที่มิคมาช ทางตะวันออกของเบธอาเวน 6 เมื่อชายชาวอิสราเอลเห็นว่าตนอยู่ในสถานการณ์ไม่สู้ดี (เพราะประชาชนถูกโจมตีอย่างหนัก) จึงได้หลบซ่อนอยู่ในถ้ำและในรู ในซอกหิน ในอุโมงค์ และในบ่อ 7 ชาวฮีบรูบางคนถึงกับข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปยังดินแดนกาดและกิเลอาด ซาอูลยังอยู่ที่กิลกาล และทหารทั้งหมดที่อยู่ด้วยกับท่านก็กลัวจนตัวสั่น
เครื่องสักการะของซาอูลผิดกฎ
8 ซาอูลคอยอยู่ 7 วันตามเวลาที่ซามูเอลกำหนดไว้ แต่ซามูเอลไม่ได้มาที่กิลกาล และทหารของซาอูลเริ่มระส่ำระสาย 9 ท่านจึงกล่าวว่า “เอาสัตว์ที่ใช้เผาเป็นของถวายและของถวายเพื่อสามัคคีธรรมมาให้เรา” และซาอูลก็มอบสัตว์ที่ใช้เผาเป็นของถวาย 10 ทันทีที่ท่านมอบของถวายเสร็จ ซามูเอลก็มาถึง ซาอูลจึงออกไปทักทาย 11 ซามูเอลถามว่า “ท่านกระทำอะไรลงไป” ซาอูลตอบว่า “เมื่อเราเห็นว่าทหารระส่ำระสาย และท่านก็ไม่ได้มาตามเวลาที่กำหนดไว้ และชาวฟีลิสเตียก็ประชุมกันที่มิคมาช 12 เราจึงคิดว่า ‘คราวนี้ชาวฟีลิสเตียจะลงมาโจมตีเราที่กิลกาล และเรายังไม่ได้ขอให้พระผู้เป็นเจ้าช่วย’ เรารู้สึกว่าควรจะมอบสัตว์ที่ใช้เผาเป็นของถวาย” 13 ซามูเอลพูดว่า “ท่านกระทำสิ่งที่โง่เขลา ท่านไม่ได้รักษาคำบัญชาที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านให้ท่านไว้ หากว่าท่านรักษาคำบัญชา พระองค์ก็จะสถาปนาอาณาจักรของท่านให้ปกครองอิสราเอลไปตลอดกาล 14 แต่บัดนี้อาณาจักรของท่านจะไม่มั่นคง พระผู้เป็นเจ้าหาชายคนหนึ่งผู้เป็นที่โปรดปรานของพระองค์ยิ่งนัก และได้แต่งตั้งให้ท่านเป็นผู้นำของชนชาติของพระองค์ เพราะท่านไม่ได้รักษาคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า” 15 จากนั้นซามูเอลก็ไปจากกิลกาล และขึ้นไปยังกิเบอาห์ของเบนยามิน
และซาอูลนับจำนวนทหารที่อยู่กับท่าน มีประมาณ 600 คน
อุปมาเรื่องผู้หว่านเมล็ด
4 พระเยซูเริ่มสั่งสอนที่ริมฝั่งทะเลสาบอีก ผู้คนล้นหลามมาห้อมล้อมพระองค์ พระองค์จึงต้องลงในเรือที่จอดอยู่ในทะเลสาบแล้วก็นั่งลง ผู้คนทั้งหลายก็อยู่ที่ชายฝั่ง 2 พระองค์สั่งสอนเป็นอุปมาให้เขาเหล่านั้นฟังหลายต่อหลายเรื่อง และพระองค์สอนพวกเขาโดยกล่าวว่า 3 “จงฟังเถิด ชาวไร่คนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช 4 ขณะที่เขากำลังหว่านเมล็ด บางเมล็ดตกลงตามทาง พวกนกพากันจิกกินเสียหมด 5 บางเมล็ดตกลงบนหินซึ่งมีผิวดินเพียงเล็กน้อย ไม่ช้าเมล็ดก็งอกขึ้น แต่เนื่องจากดินไม่ลึก 6 ครั้นดวงอาทิตย์ขึ้นแดดส่อง เมล็ดก็ถูกแผดเผาเสีย และเป็นเพราะไม่มีรากจึงเหี่ยวแห้งไป 7 บางเมล็ดตกลงท่ามกลางไม้หนามที่เติบโตขึ้นและแย่งอาหารไปเสีย จึงไม่เกิดผล 8 บางเมล็ดที่ตกบนดินดี เมื่อเติบโตขึ้นก็งอกงามและเกิดผลเป็น 30 60 และ 100 เท่า” 9 พระองค์กล่าวว่า “ผู้ใดมีหูที่จะฟังก็จงฟังเถิด”
10 ครั้นพระเยซูอยู่ตามลำพัง บรรดาผู้ที่ติดตามพร้อมกับสาวกทั้งสิบสองก็ถามพระองค์เกี่ยวกับคำอุปมา 11 พระองค์กล่าวกับเขาเหล่านั้นว่า “ความลับของอาณาจักรของพระเจ้าได้มอบให้แก่ท่านแล้ว แต่ฝ่ายคนนอกรับเอาทุกสิ่งเป็นคำอุปมา 12 เพื่อว่า
‘พวกเขาจะมองดูเรื่อยไป แต่ไม่มีวันที่จะมองเห็น
และจะได้ยินเรื่อยไป แต่ไม่มีวันที่จะเข้าใจ
มิฉะนั้นแล้วพวกเขาจะหันกลับมา
และได้รับการยกโทษ’”[a]
13 พระองค์กล่าวกับเขาเหล่านั้นว่า “ท่านไม่เข้าใจคำอุปมานี้หรือ แล้วท่านจะเข้าใจคำอุปมาทั้งปวงได้อย่างไร 14 ผู้หว่านนั้นหว่านคำกล่าว 15 และคนเหล่านี้อยู่ตามทางซึ่งมีคำกล่าวหว่านไว้ เมื่อพวกเขาได้ยิน ซาตานก็มาชิงคำกล่าวซึ่งได้หว่านไว้ไปทันที 16 บางคนที่เป็นเสมือนเมล็ดที่ถูกหว่านไว้บนหินที่มีผิวดินเพียงเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำกล่าวก็รับไว้ทันทีด้วยความยินดี 17 แต่พวกเขาไม่มีรากฐานอันมั่นคงในตัว จึงคงอยู่ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อเกิดความลำบากหรือการข่มเหงอันเนื่องมาจากคำกล่าว พวกเขาก็ล้มเลิกความเชื่อเสียทันที 18 คนอื่นๆ เป็นเสมือนเมล็ดที่ถูกหว่านไว้ท่ามกลางไม้หนาม พวกนี้เป็นคนที่ได้ยินคำกล่าว 19 แต่ความกังวลต่างๆ ในโลก แรงดึงดูดของความร่ำรวย และความต้องการในสิ่งทั้งปวงเข้าแทรกซ้อนคำกล่าว จึงทำให้ไม่บังเกิดผล 20 คนอื่นๆ เป็นเสมือนเมล็ดที่ถูกหว่านไว้บนดินดี เมื่อพวกเขาได้ยินคำกล่าวและรับไว้ จึงเกิดผลเป็น 30 60 และ 100 เท่า”
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation