Revised Common Lectionary (Semicontinuous)
ความรักอันมั่นคงของพระเจ้า
เพลงสดุดีแห่งความฉลาดรอบรู้ของเอธาน ชาวเอศราค
1 ข้าพเจ้าจะร้องเพลงถึงความรักอันมั่นคงของพระผู้เป็นเจ้าไปตลอดกาล
ข้าพเจ้าจะทำให้ความสัตย์จริงของพระองค์เป็นที่รู้จักไปทุกกาลสมัยด้วยปากของข้าพเจ้า
2 เพราะข้าพเจ้าได้ประกาศแล้วว่า ความรักอันมั่นคงของพระองค์จะยืนยงตลอดกาล
พระองค์สร้างความสัตย์จริงอย่างมั่นคงในฟ้าสวรรค์
3 พระองค์กล่าวว่า “เราได้ทำพันธสัญญากับผู้ที่ได้รับเลือกไว้
เราได้ปฏิญาณกับดาวิด ผู้รับใช้ของเรา
4 ‘เราจะทำให้เชื้อสายของเจ้าสืบต่อกันไปจนชั่วนิรันดร์กาล
ทำให้บัลลังก์ของเจ้ามั่นคงทุกชั่วอายุคน’” เซล่าห์
19 นานมาแล้ว พระองค์กล่าวกับผู้ภักดีของพระองค์ในภาพนิมิตว่า
“เราให้ความช่วยเหลือแก่ชายฉกรรจ์ผู้หนึ่ง
เรายกคนหนึ่งที่ได้เลือกไว้ขึ้นจากชนชาติ
20 เราได้พบดาวิดผู้รับใช้ของเรา
เราเจิมเขาด้วยน้ำมันอันบริสุทธิ์
21 มือของเราจะค้ำจุนเขาอย่างมั่นคง
และแขนของเราจะทำให้เขาเก่งกาจ
22 ไม่มีศัตรูใดๆ จะเอาชนะเขาได้
ไม่มีคนชั่วคนไหนที่จะลบหลู่เขาได้
23 เราจะขยี้พวกข้าศึกต่อหน้าเขา
และฆ่าคนที่เกลียดชังเขา
24 ความสัตย์จริงและความรักอันมั่นคงของเราจะอยู่กับเขา
พละกำลังของเขาจะถูกเชิดชูโดยนามของเรา
25 เราจะวางมือข้างหนึ่งของเขาที่ทะเล
และมือขวาของเขาวางที่แม่น้ำ
26 เขาจะส่งเสียงร้องถึงเราว่า ‘พระองค์เป็นบิดาของข้าพเจ้า
พระเจ้าของข้าพเจ้า และศิลาแห่งความรอดพ้นของข้าพเจ้า’
2 มีชายชาวโศราห์คนหนึ่งจากเผ่าชาวดาน ชื่อมาโนอาห์ ภรรยาของเขาเป็นหมันไม่มีบุตร 3 ทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏแก่นาง และกล่าวว่า “ดูเถิด เจ้าเป็นหมันและยังไม่ได้ให้กำเนิดบุตรเลย แต่เจ้าจะตั้งครรภ์และได้บุตรชาย 4 ฉะนั้นจงระวังว่าเจ้าไม่ดื่มเหล้าองุ่นหรือสุรา และอย่ารับประทานสิ่งใดที่มีมลทิน 5 เพราะว่า ดูเถิด เจ้าจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย อย่าให้มีดโกนแตะศีรษะของเขา เพราะเด็กคนนั้นจะเป็นชาวนาศีร์ถวายตัวแด่พระเจ้าตั้งแต่เกิด และเขาจะเป็นผู้เริ่มต้นช่วยชาวอิสราเอลให้รอดปลอดภัยจากมือของชาวฟีลิสเตีย” 6 เมื่อนางไปบอกสามีว่า “คนของพระเจ้ามาเยี่ยมฉัน ลักษณะของท่านที่ปรากฏเหมือนกับลักษณะของทูตสวรรค์ของพระเจ้า และน่าเกรงขามมาก ฉันไม่ได้ถามท่านว่าท่านมาจากไหน และท่านก็ไม่ได้บอกว่าท่านชื่ออะไร 7 แต่ท่านกล่าวกับฉันว่า ‘ดูเถิด เจ้าจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรเป็นชาย ดังนั้นอย่าดื่มเหล้าองุ่นหรือสุรา และอย่ารับประทานสิ่งใดที่มีมลทิน เพราะเด็กคนนั้นจะเป็นชาวนาศีร์ถวายตัวแด่พระเจ้า ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งวันตาย’”
8 แล้วมาโนอาห์ก็อธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้าว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้า โปรดให้คนของพระเจ้า คนที่พระองค์ใช้มา มาปรากฏแก่เราทั้งสองอีก และสอนว่าเราควรจะทำอย่างไรกับเด็กที่จะมาเกิด” 9 พระเจ้าฟังเสียงของมาโนอาห์ และทูตสวรรค์ของพระเจ้าก็มาเยี่ยมนางอีกขณะที่นางนั่งอยู่ในทุ่งนา แต่มาโนอาห์ผู้เป็นสามีไม่ได้อยู่ด้วย 10 ดังนั้นนางจึงรีบวิ่งไปบอกสามีว่า “ดูเถิด คนที่มาเยี่ยมฉันเมื่อวันก่อนได้มาปรากฏแก่ฉันอีก” 11 มาโนอาห์จึงลุกขึ้นตามภรรยาไป และเมื่อพบท่านผู้นั้นแล้วก็พูดว่า “ท่านเป็นคนที่พูดกับหญิงคนนี้หรือ” ท่านกล่าวว่า “เราเป็นผู้นั้น” 12 และมาโนอาห์พูดว่า “เมื่อสิ่งที่ท่านพูดเกิดขึ้นจริง ชีวิตของเด็กคนนี้จะเป็นเช่นไร และเขาได้รับมอบหมายให้ทำสิ่งใด” 13 ทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับมาโนอาห์ว่า “ทุกสิ่งที่เราได้กล่าวกับหญิงคนนี้แล้ว นางจงระมัดระวังให้ดี 14 นางอย่ารับประทานสิ่งใดที่มาจากเถาองุ่น อย่าให้นางดื่มเหล้าองุ่นหรือสุรา หรือรับประทานสิ่งใดที่มีมลทิน ทุกสิ่งที่เราได้สั่งนางแล้ว ก็จงให้นางปฏิบัติตามเถิด”
15 มาโนอาห์พูดกับทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าว่า “ขอให้เราทั้งสองรั้งตัวท่านไว้ จะได้ไปเตรียมแพะหนุ่มตัวหนึ่งให้ท่าน” 16 ทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับมาโนอาห์ “ถ้าท่านรั้งตัวเราไว้ เราก็จะไม่รับประทานอาหารของท่านหรอก แต่ถ้าจะเตรียมสัตว์ที่เผาเป็นของถวาย ก็จงถวายแด่พระผู้เป็นเจ้าเถิด” (ด้วยว่ามาโนอาห์ไม่ทราบว่าท่านเป็นทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้า) 17 แล้วมาโนอาห์พูดกับทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าว่า “ท่านชื่ออะไร เราจะได้ให้เกียรติแก่ท่าน เวลาสิ่งที่ท่านพูดเกิดขึ้นจริง” 18 ทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า “ทำไมท่านจึงถามชื่อของเรา มันเกินกว่าที่ท่านจะเข้าใจ” 19 ดังนั้นมาโนอาห์จึงเอาแพะหนุ่มกับเครื่องธัญญบูชามาและถวายบนศิลาแด่พระผู้เป็นเจ้า และพระองค์กระทำสิ่งมหัศจรรย์ ขณะที่มาโนอาห์กับภรรยาเฝ้ามองอยู่ 20 เมื่อเปลวไฟจากแท่นบูชาพลุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าก็กลับขึ้นไปพร้อมกับเปลวไฟของแท่นบูชา มาโนอาห์และภรรยากำลังมองดูอยู่ แล้วทั้งสองก็ได้ฟุบหน้าลงที่พื้น
21 เมื่อทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ปรากฏแก่มาโนอาห์และภรรยาอีกเลย แล้วมาโนอาห์จึงทราบว่าท่านเป็นทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้า 22 มาโนอาห์พูดกับภรรยาว่า “เราต้องตายแน่ เพราะเราได้เห็นพระเจ้า” 23 แต่ภรรยาของเขาพูดว่า “ถ้าพระผู้เป็นเจ้าตั้งใจจะเอาชีวิตเรา พระองค์คงไม่รับสัตว์ที่เผาเป็นของถวายกับเครื่องธัญญบูชาจากมือของเราหรอก หรือแสดงให้เราเห็นสิ่งเหล่านั้น หรือให้เรารับทราบอะไรหรอก” 24 แล้วหญิงนั้นให้กำเนิดบุตรชาย และตั้งชื่อเขาว่า แซมสัน เด็กนั้นเติบโตขึ้น และพระผู้เป็นเจ้าอวยพรเขา
40 เมื่อฝูงชนได้ยินแล้ว บางคนก็พูดว่า “ผู้นี้เป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าผู้นั้นอย่างแน่นอน” 41 บ้างก็พูดว่า “ผู้นี้เป็นพระคริสต์” คนอื่นๆ พูดว่า “พระคริสต์ไม่ได้มาจากแคว้นกาลิลีแน่ใช่ไหม 42 พระคัมภีร์ได้ระบุไว้แล้วมิใช่หรือว่า พระคริสต์สืบเชื้อสายมาจากดาวิดและจากหมู่บ้านเบธเลเฮมซึ่งดาวิดเคยอยู่” 43 ดังนั้นฝูงชนก็แบ่งพรรคแบ่งพวกกันเพราะเรื่องของพระเยซู 44 บางคนต้องการจะจับกุมพระองค์ แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้ายื่นมือออกไปแตะต้องพระองค์
ความไม่เชื่อของผู้นำชาวยิว
45 บรรดาเจ้าหน้าที่ที่เฝ้าพระวิหารจึงมาหาพวกมหาปุโรหิตและฟาริสี เขาเหล่านั้นถามเจ้าหน้าที่ว่า “ทำไมพวกท่านจึงไม่นำตัวเขามา” 46 บรรดาเจ้าหน้าที่ที่เฝ้าพระวิหารตอบว่า “ชายผู้นี้พูดไม่เหมือนใครเลย” 47 ฉะนั้นพวกฟาริสีตอบพวกเขาว่า “เจ้าถูกหลอกไปด้วยแล้วหรือ 48 มีผู้ใดในระดับปกครองหรือพวกฟาริสีที่เชื่อเขาบ้างไหม 49 แต่ฝูงชนกลุ่มนี้ไม่รู้กฎบัญญัติจึงถูกสาปแช่ง” 50 นิโคเดมัสเป็นผู้หนึ่งในพวกเขา ซึ่งเป็นคนที่มาหาพระเยซูก่อนหน้านี้และได้ถามพวกเขาว่า 51 “กฎบัญญัติของเราไม่ควรกล่าวโทษคน จนกว่าจะฟังเขาก่อนและรู้ว่าเขากระทำอะไรมิใช่หรือ” 52 เขาเหล่านั้นตอบนิโคเดมัสว่า “ท่านก็มาจากแคว้นกาลิลีด้วยหรือ จงค้นหาดูให้ดีเถิด แล้วท่านจะพบว่าไม่มีผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าผู้ใดที่มาจากแคว้นกาลิลี”
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation