Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Revised Common Lectionary (Semicontinuous)

Daily Bible readings that follow the church liturgical year, with sequential stories told across multiple weeks.
Duration: 1245 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
ปฐมกาล 25:19-34

ครอบครัวของอิสอัค

19 ต่อไปนี้คือลูกหลานของอิสอัคลูกชายของอับราฮัม อับราฮัมเป็นพ่อของอิสอัค 20 ตอนที่อิสอัครับเอาเรเบคาห์มาเป็นเมียนั้น เขามีอายุสี่สิบปี เรเบคาห์เป็นลูกสาวของเบธูเอลคนอารัม ชาวปัดดาน อารัม[a] นางเป็นน้องสาวของลาบันคนอารัม 21 อิสอัคอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์ให้กับเมียของเขาเพราะนางเป็นหมัน แล้วพระยาห์เวห์ก็ให้ตามคำอธิษฐานของเขา เรเบคาห์เมียของเขาได้ตั้งท้องขึ้น

เรเบคาห์ไปหาคำตอบจากพระเจ้า

22 เด็กดิ้นเบียดกันอยู่ในท้องของนาง นางจึงพูดว่า “ถ้าฉันจะต้องเป็นอย่างนี้ ฉันจะอยู่ไปทำไมกัน” นางจึงไปหาคำตอบจากพระยาห์เวห์ 23 พระยาห์เวห์ตอบนางว่า

“จะมีสองชาติแยกออกมาจากท้องของเจ้า
    คนหนึ่งจะเข้มแข็งกว่าอีกคนหนึ่ง
    และคนพี่จะรับใช้คนน้อง”

24 และเมื่อถึงวันคลอด ก็มีเด็กแฝดในท้องของนางจริงๆ 25 คนแรกผิวสีแดงเต็มไปด้วยขน เขาจึงมีชื่อว่าเอซาว[b] 26 หลังจากนั้นน้องของเขาได้คลอดออกมา และมือของเขาจับอยู่ที่ส้นเท้าของเอซาว เขาจึงมีชื่อว่ายาโคบ[c] ตอนที่สองคนนี้เกิดนั้น อิสอัคมีอายุหกสิบปี

27 เด็กทั้งสองเติบโตขึ้น เอซาวก็เป็นนักล่าสัตว์ที่เก่งกล้าและชอบใช้ชีวิตตามท้องทุ่ง แต่ยาโคบเป็นผู้ชายเงียบๆและชอบอยู่กับเต็นท์ 28 อิสอัครักเอซาว เพราะเขาชอบกินเนื้อสัตว์ที่เอซาวล่ามาได้ แต่เรเบคาห์รักยาโคบ

29 ครั้งหนึ่ง เมื่อยาโคบต้มซุปอยู่ เอซาวกลับจากท้องทุ่งและอ่อนเพลียเพราะความหิว 30 เอซาวพูดกับยาโคบว่า “ขอพี่กินไอ้แดงๆนั่นหน่อย ไอ้แดงๆที่อยู่ที่นั่นน่ะ พี่หิวจะตายอยู่แล้ว” เพราะอย่างนี้ เอซาวถึงมีอีกชื่อหนึ่งว่าเอโดม[d]

31 แต่ยาโคบพูดว่า “ขายสิทธิพี่ชายคนโตให้น้องก่อน”[e]

32 เอซาวตอบว่า “พี่จะตายอยู่แล้ว สิทธิพี่คนโตจะมีประโยชน์อะไรอีกเล่า”

33 แต่ยาโคบพูดว่า “พี่ต้องสาบานกับน้องก่อน” เอซาวจึงสาบานกับเขา และขายสิทธิพี่ชายคนโตให้กับยาโคบไป 34 ยาโคบจึงเอาขนมปังกับซุปถั่วแดงมาให้เอซาวกิน เขากินและดื่ม แล้วก็ลุกจากไป ด้วยวิธีนี้ เอซาวแสดงให้เห็นว่าเขาแทบจะไม่สนใจสิทธิพี่ชายคนโตของเขาเลย

สดุดี 119:105-112

นุน

105 คำบัญชาของพระองค์เป็นโคมไฟให้กับเท้าของข้าพเจ้า
    เป็นแสงสว่างให้กับทางของข้าพเจ้า
106 ข้าพเจ้าสาบานและยืนยันว่าจะรักษาคำสาบานนั้น
    ที่ว่าข้าพเจ้าจะเชื่อฟังกฎเกณฑ์ต่างๆที่ยุติธรรมของพระองค์
107 ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพเจ้าทนทุกข์ยิ่งนัก
    ช่วยให้ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไปตามที่พระองค์สัญญาไว้ด้วยเถิด
108 ข้าแต่พระยาห์เวห์ โปรดยอมรับพวกเครื่องบูชาแห่งการสรรเสริญที่ออกจากปากของข้าพเจ้าด้วยเถิด
    ช่วยสอนกฎเกณฑ์ต่างๆของพระองค์ให้กับข้าพเจ้าด้วยเถิด
109 ชีวิตของข้าพเจ้าตกอยู่ในอันตรายเสมอ
    แต่ข้าพเจ้าไม่เคยลืมคำสั่งสอนของพระองค์
110 คนชั่ววางกับดักข้าพเจ้า
    แต่ข้าพเจ้าไม่เคยหลงไปจากคำสั่งต่างๆของพระองค์
111 กฎทั้งหลายของพระองค์เป็นมรดกของข้าพเจ้าตลอดไป
    เพราะใจของข้าพเจ้าชื่นชมยินดีในกฎเหล่านั้น
112 ข้าพเจ้าจะมุ่งมั่นในการเชื่อฟังกฎระเบียบของพระองค์อยู่เสมอ
    จนกว่าข้าพเจ้าจะตายไป

โรม 8:1-11

ชีวิตที่นำโดยพระวิญญาณ

แล้วเดี๋ยวนี้คนทั้งหลายที่มีส่วนในพระเยซูคริสต์จะไม่ต้องถูกลงโทษ เพราะในพระเยซูคริสต์ กฎที่มาจากพระวิญญาณที่ให้ชีวิตนั้น ได้ปลดปล่อยให้คุณ[a]เป็นอิสระจากกฎแห่งบาปที่นำไปสู่ความตายแล้ว สิ่งที่กฎของโมเสสช่วยไม่ได้ เพราะสันดานของเราทำให้กฎอ่อนแอไป พระเจ้าก็ได้ทำแล้ว พระองค์ได้ส่งพระบุตรของพระองค์มาเป็นมนุษย์เหมือนกับเราที่เป็นคนบาป และส่งมาเพื่อจัดการกับบาป พระเจ้าได้ตัดสินลงโทษบาปโดยใช้ร่างที่เป็นมนุษย์ของพระเยซู เพื่อสิ่งที่กฎสั่งไว้จะได้สำเร็จในชีวิตของเราผู้ที่ไม่ได้ใช้ชีวิตตามสันดาน แต่ตามพระวิญญาณ

เพราะคนที่ใช้ชีวิตตามสันดานก็มัวแต่คิดถึงความต้องการของกิเลส แต่คนที่ใช้ชีวิตตามพระวิญญาณก็จะคิดถึงแต่เรื่องที่พระวิญญาณต้องการ จิตใจที่สันดานควบคุมอยู่นั้นนำไปสู่ความตาย แต่จิตใจที่พระวิญญาณควบคุมนำไปสู่ชีวิตและสันติสุข จิตใจที่สันดานควบคุมนั้นเป็นศัตรูกับพระเจ้า เพราะจิตใจนั้นไม่ยอมทำตามกฎของพระเจ้า และความจริงแล้วมันก็ไม่สามารถที่จะทำตามกฎนั้นได้ด้วย คนที่มีชีวิตตามสันดานจึงไม่สามารถทำให้พระเจ้าพอใจได้

แต่ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าอยู่ในพวกคุณ คุณก็ไม่ได้ใช้ชีวิตตามสันดาน แต่ใช้ชีวิตตามพระวิญญาณ แต่ถ้าคนไหนไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์ แสดงว่าคนนั้นไม่ได้เป็นของพระคริสต์ 10 แต่ถ้าพระคริสต์อยู่ในตัวพวกคุณ ถึงแม้ร่างของคุณต้องตายไปเพราะบาป แต่พระวิญญาณก็ยังจะนำชีวิตใหม่ให้กับคุณ เพราะพระเจ้ายอมรับคุณแล้ว 11 ถ้าคุณมีพระวิญญาณที่ทำให้พระเยซูฟื้นขึ้นจากความตายอยู่ในพวกคุณ พระเจ้าผู้ทำให้พระคริสต์ฟื้นขึ้นจากความตาย ก็จะใช้พระวิญญาณของพระองค์ที่อยู่ในพวกคุณนั้น ให้ชีวิตกับร่างที่ต้องตายนี้ของคุณ

มัทธิว 13:1-9

พระเยซูเล่าเรื่องการหว่านเมล็ดพืช

(มก. 4:1-9; ลก. 8:4-8)

13 ในวันเดียวกันนั้นเอง พระเยซูออกจากบ้านมานั่งอยู่ที่ริมทะเลสาบ คนจำนวนมากมาห้อมล้อมพระองค์ พระองค์จึงลงไปนั่งอยู่ในเรือโดยมีคนพวกนั้นยืนอยู่ริมฝั่ง แล้วพระองค์ใช้เรื่องเปรียบเทียบต่างๆสอนพวกเขาหลายอย่าง พระองค์เล่าว่า “มีชาวนาคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช ในขณะที่กำลังหว่านอยู่นั้น พืชบางเมล็ดตกบนทางเดิน นกก็มาจิกกินหมด บางเมล็ดตกลงบนดินที่ชั้นล่างเป็นหิน มีดินไม่มากนัก เมล็ดพวกนั้นก็งอกขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากดินไม่ลึก เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น พืชพวกนั้นก็ถูกแดดแผดเผา พวกมันมีรากตื้นๆก็เลยเหี่ยวแห้งตายไป บางเมล็ดตกลงกลางพงหนาม หนามก็งอกขึ้นมาปกคลุมพืชนั้นหมด บางเมล็ดตกลงบนดินดี จึงงอกงามเกิดดอกออกผลมากมาย ร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง และสามสิบเท่าบ้าง ใครมีหู ก็ฟังไว้ให้ดี”

มัทธิว 13:18-23

พระเยซูอธิบายเรื่องเมล็ดพืช

(มก. 4:13-20; ลก. 8:11-15)

18 ฟังให้ดี นี่คือความหมายของเรื่องชาวนาที่หว่านเมล็ดพืช 19 เมล็ดพืชที่ตกตามถนนหนทาง คือคนที่ฟังเรื่องอาณาจักรของพระเจ้าแต่ไม่เข้าใจ มารร้ายก็มาฉกฉวยเอาพืชที่หว่านอยู่ในใจของเขาไป 20 เมล็ดพืชที่ตกบนดินตื้นๆที่มีหินอยู่ข้างล่าง คือคนที่เมื่อได้ยินถ้อยคำแล้ว ก็รีบรับไว้ทันทีและมีความสุขทีเดียว 21 แต่ถ้อยคำไม่ได้ฝังลึกเข้าไปในจิตใจ จึงอยู่ได้ไม่นาน เมื่อเกิดเรื่องทุกข์ร้อนหรือถูกข่มเหงรังแกเพราะถ้อยคำนั้น ก็รีบทิ้งถ้อยคำนั้นทันที 22 เมล็ดพืชที่ตกลงในพงหนามนั้น คือคนที่ฟังถ้อยคำ แต่ยังเป็นห่วงกังวลเกี่ยวกับชีวิตในโลกนี้ และหลงไหลในทรัพย์สมบัติ สิ่งเหล่านี้มาคลุมถ้อยคำไว้ เลยไม่เกิดผล 23 ส่วนเมล็ดพืชที่ตกลงในดินดีนั้น คือคนที่ได้ฟังถ้อยคำแล้วเข้าใจ จึงเกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง”

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International