Revised Common Lectionary (Complementary)
เพลงสรรเสริญ เพลงสดุดี
บทเพลงสำหรับวันสะบาโต
1 การขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าเป็นสิ่งดี
รวมทั้งการบรรเลงเพลงแด่พระนามของพระองค์ โอ องค์ผู้สูงสุด
2 นับว่าเป็นสิ่งดีที่จะประกาศความรักอันมั่นคงของพระองค์ในยามรุ่งอรุณ
และความสัตย์จริงของพระองค์ในยามราตรี
3 กับดนตรีจากพิณสิบสาย
และเพลงจากพิณเล็ก
4 โอ พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าดีใจเพราะกิจการของพระองค์
ข้าพเจ้าเปล่งเสียงร้องด้วยความยินดีเพราะฝีมือการทำงานของพระองค์
12 คนมีความชอบธรรมจะงอกงามอย่างต้นอินทผลัม
เติบโตอย่างต้นซีดาร์ในเลบานอน
13 เขาเป็นดั่งต้นที่ปลูกไว้ในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า
จะงอกงามในลานพระตำหนักของพระเจ้าของเรา
14 และยังออกผลในยามชรา
ยังสดและเขียวชอุ่ม
15 เพื่อประกาศว่า “พระผู้เป็นเจ้าเที่ยงธรรม
พระองค์เป็นศิลาของข้าพเจ้า และกอปรด้วยความเป็นธรรมโดยบริบูรณ์”
อามาซิยาห์ครองราชย์ในยูดาห์
14 ในปีที่สองของเยโฮอาชบุตรเยโฮอาหาสกษัตริย์แห่งอิสราเอล อามาซิยาห์บุตรโยอาชกษัตริย์แห่งยูดาห์ก็เริ่มครองราชย์ 2 ท่านมีอายุ 25 ปีเมื่อเริ่มเป็นกษัตริย์ และท่านครองราชย์ 29 ปีในเยรูซาเล็ม มารดาของท่านชื่อเยโฮอัดดีนจากเยรูซาเล็ม 3 ท่านกระทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า แต่ก็ยังไม่เทียบเท่ากับดาวิดบรรพบุรุษของท่าน ท่านกระทำทุกสิ่งเหมือนกับที่โยอาชบิดาของท่านได้กระทำ 4 แต่สถานบูชาบนภูเขาสูงยังไม่ถูกกำจัดไป และประชาชนยังมอบเครื่องสักการะและเผาเครื่องหอมที่สถานบูชาบนภูเขาสูง 5 และทันทีที่อำนาจของกษัตริย์เป็นของท่านอย่างบริบูรณ์แล้ว ท่านก็ได้สั่งฆ่าบรรดาเจ้าหน้าที่ชั้นสูงที่ได้สังหารกษัตริย์ผู้เป็นบิดาของท่าน 6 แต่ท่านไม่ได้ฆ่าพวกลูกๆ ของฆาตกร ตามที่บันทึกไว้ในหนังสือแห่งกฎบัญญัติของโมเสส ที่พระผู้เป็นเจ้าบัญชาว่า “อย่าให้บิดาตายแทนบุตรของเขา และอย่าให้บุตรตายแทนบิดาเช่นกัน แต่ละคนต้องตายเพราะบาปของตนเอง”[a]
7 ท่านฆ่าชาวเอโดม 10,000 คนในหุบเขาเกลือ และยึดเมืองเส-ลาไว้ เรียกชื่อเมืองว่า โยกเธเอล ซึ่งเป็นชื่อมาจนถึงทุกวันนี้
8 ครั้นแล้ว อามาซิยาห์ใช้ผู้ถือสาสน์ไปยังเยโฮอาชบุตรเยโฮอาหาสผู้เป็นบุตรของเยฮู กษัตริย์แห่งอิสราเอล มีใจความว่า “มาเถิด เรามาเผชิญหน้ากัน” 9 เยโฮอาชกษัตริย์แห่งอิสราเอลส่งสาสน์ไปยังอามาซิยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ว่า “พันธุ์ไม้หนามบนภูเขาเลบานอนส่งสาสน์ไปยังไม้ซีดาร์บนภูเขาเลบานอนว่า ‘ยกบุตรหญิงของท่านให้เป็นภรรยาบุตรของเราเถิด’ และสัตว์ป่าแห่งเลบานอนผ่านมา และเหยียบย่ำพันธุ์ไม้หนามเสีย 10 ท่านได้ตีเอโดมจนพ่ายแพ้ไป จิตใจของท่านจึงหยิ่งผยองนัก จงพอใจกับกิตติศัพท์ของท่าน และท่านอยู่กับบ้านจะดีกว่า ทำไมท่านจึงจะก่อเรื่องจนถึงกับทำให้ตัวเองล้มลง ทั้งท่านและยูดาห์ด้วย”
11 แต่อามาซิยาห์ก็ไม่ฟัง ดังนั้นเยโฮอาชกษัตริย์แห่งอิสราเอลจึงขึ้นไป ท่านและอามาซิยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ประจันหน้ากันในสงครามที่เมืองเบธเชเมช ซึ่งเป็นของยูดาห์ 12 และยูดาห์ถูกอิสราเอลตีพ่ายไป ทุกคนเตลิดหนีกลับบ้านของตนไป 13 เยโฮอาชกษัตริย์แห่งอิสราเอลจับตัวอามาซิยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์บุตรโยอาชผู้เป็นบุตรของอาหัสยาห์ ที่เมืองเบธเชเมช และเยโฮอาชไปยังเยรูซาเล็ม และทลายกำแพงเมืองลง 400 ศอก ตั้งแต่ประตูเอฟราอิมไปจนถึงประตูมุม 14 และท่านยึดทองคำและเงินทั้งหมด รวมทั้งภาชนะทุกชิ้นที่พบในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า และคลังของกษัตริย์ และได้จับตัวประกันไปด้วย จากนั้นท่านก็กลับไปยังสะมาเรีย
อุปมาเรื่องผู้หว่านเมล็ด
4 พระเยซูเริ่มสั่งสอนที่ริมฝั่งทะเลสาบอีก ผู้คนล้นหลามมาห้อมล้อมพระองค์ พระองค์จึงต้องลงในเรือที่จอดอยู่ในทะเลสาบแล้วก็นั่งลง ผู้คนทั้งหลายก็อยู่ที่ชายฝั่ง 2 พระองค์สั่งสอนเป็นอุปมาให้เขาเหล่านั้นฟังหลายต่อหลายเรื่อง และพระองค์สอนพวกเขาโดยกล่าวว่า 3 “จงฟังเถิด ชาวไร่คนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช 4 ขณะที่เขากำลังหว่านเมล็ด บางเมล็ดตกลงตามทาง พวกนกพากันจิกกินเสียหมด 5 บางเมล็ดตกลงบนหินซึ่งมีผิวดินเพียงเล็กน้อย ไม่ช้าเมล็ดก็งอกขึ้น แต่เนื่องจากดินไม่ลึก 6 ครั้นดวงอาทิตย์ขึ้นแดดส่อง เมล็ดก็ถูกแผดเผาเสีย และเป็นเพราะไม่มีรากจึงเหี่ยวแห้งไป 7 บางเมล็ดตกลงท่ามกลางไม้หนามที่เติบโตขึ้นและแย่งอาหารไปเสีย จึงไม่เกิดผล 8 บางเมล็ดที่ตกบนดินดี เมื่อเติบโตขึ้นก็งอกงามและเกิดผลเป็น 30 60 และ 100 เท่า” 9 พระองค์กล่าวว่า “ผู้ใดมีหูที่จะฟังก็จงฟังเถิด”
10 ครั้นพระเยซูอยู่ตามลำพัง บรรดาผู้ที่ติดตามพร้อมกับสาวกทั้งสิบสองก็ถามพระองค์เกี่ยวกับคำอุปมา 11 พระองค์กล่าวกับเขาเหล่านั้นว่า “ความลับของอาณาจักรของพระเจ้าได้มอบให้แก่ท่านแล้ว แต่ฝ่ายคนนอกรับเอาทุกสิ่งเป็นคำอุปมา 12 เพื่อว่า
‘พวกเขาจะมองดูเรื่อยไป แต่ไม่มีวันที่จะมองเห็น
และจะได้ยินเรื่อยไป แต่ไม่มีวันที่จะเข้าใจ
มิฉะนั้นแล้วพวกเขาจะหันกลับมา
และได้รับการยกโทษ’”[a]
13 พระองค์กล่าวกับเขาเหล่านั้นว่า “ท่านไม่เข้าใจคำอุปมานี้หรือ แล้วท่านจะเข้าใจคำอุปมาทั้งปวงได้อย่างไร 14 ผู้หว่านนั้นหว่านคำกล่าว 15 และคนเหล่านี้อยู่ตามทางซึ่งมีคำกล่าวหว่านไว้ เมื่อพวกเขาได้ยิน ซาตานก็มาชิงคำกล่าวซึ่งได้หว่านไว้ไปทันที 16 บางคนที่เป็นเสมือนเมล็ดที่ถูกหว่านไว้บนหินที่มีผิวดินเพียงเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำกล่าวก็รับไว้ทันทีด้วยความยินดี 17 แต่พวกเขาไม่มีรากฐานอันมั่นคงในตัว จึงคงอยู่ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อเกิดความลำบากหรือการข่มเหงอันเนื่องมาจากคำกล่าว พวกเขาก็ล้มเลิกความเชื่อเสียทันที 18 คนอื่นๆ เป็นเสมือนเมล็ดที่ถูกหว่านไว้ท่ามกลางไม้หนาม พวกนี้เป็นคนที่ได้ยินคำกล่าว 19 แต่ความกังวลต่างๆ ในโลก แรงดึงดูดของความร่ำรวย และความต้องการในสิ่งทั้งปวงเข้าแทรกซ้อนคำกล่าว จึงทำให้ไม่บังเกิดผล 20 คนอื่นๆ เป็นเสมือนเมล็ดที่ถูกหว่านไว้บนดินดี เมื่อพวกเขาได้ยินคำกล่าวและรับไว้ จึงเกิดผลเป็น 30 60 และ 100 เท่า”
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation