Previous Prev Day Next DayNext

Revised Common Lectionary (Complementary)

Daily Bible readings that follow the church liturgical year, with thematically matched Old and New Testament readings.
Duration: 1245 days
Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
สดุดี 118:1-2

118 จงขอบพระคุณองค์พระผู้เป็นเจ้าเพราะพระองค์ทรงแสนดี
ความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงนิรันดร์

ให้อิสราเอลกล่าวเถิดว่า
“ความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงนิรันดร์”

สดุดี 118:19-29

19 จงเปิดประตูแห่งความชอบธรรมให้ข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าจะเข้าไปและถวายคำขอบพระคุณองค์พระผู้เป็นเจ้า
20 นี่คือประตูขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ผู้ชอบธรรมจะเข้าไปทางประตูนี้
21 ข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์เพราะพระองค์ทรงตอบข้าพระองค์
พระองค์ทรงมาเป็นความรอดของข้าพระองค์

22 ศิลาซึ่งช่างก่อได้ทิ้งแล้ว
บัดนี้กลับกลายเป็นศิลามุมเอก
23 องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกระทำการนี้
เป็นสิ่งมหัศจรรย์ในสายตาของเรา
24 นี่คือวันที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้าง
ให้เราชื่นชมยินดีและเปรมปรีดิ์

25 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายให้รอด
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าขอโปรดประทาน ความสำเร็จแก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย

26 สรรเสริญพระองค์ผู้เสด็จมาในพระนามของพระยาห์เวห์
ข้าพระองค์ทั้งหลายขอสรรเสริญพระองค์[a] จากพระนิเวศขององค์พระผู้เป็นเจ้า
27 พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้า
พระองค์ทรงให้ความสว่างของพระองค์ส่องเหนือเรา
ให้เราถือกิ่งไม้ร่วมขบวนเฉลิมฉลอง
ไปถึง[b]เชิงงอนของแท่นบูชา

28 พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์
ข้าพระองค์จะขอบพระคุณพระองค์
พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์
ข้าพระองค์จะเทิดทูนพระองค์

29 จงขอบพระคุณองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะพระองค์ทรงแสนดี
ความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงนิรันดร์

มัทธิว 21:1-11

เสด็จเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็มอย่างผู้พิชิต(A)

21 ครั้นพวกเขามาใกล้กรุงเยรูซาเล็มถึงหมู่บ้านเบธฟายีบนภูเขามะกอกเทศ พระเยซูทรงส่งสาวกสองคนไป พร้อมตรัสสั่งว่า “จงเข้าไปในหมู่บ้านข้างหน้านั้น และในทันทีพวกท่านจะพบแม่ลาตัวหนึ่งผูกอยู่กับลูกของมัน จงแก้เชือกจูงมาให้เรา หากมีใครถาม จงบอกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าต้องการลาเหล่านี้ แล้วเขาจะปล่อยให้มาทันที”

ทั้งนี้เป็นจริงตามที่กล่าวไว้ผ่านทางผู้เผยพระวจนะว่า

“จงบอกธิดาแห่งศิโยนว่า
‘ดูเถิด กษัตริย์ของเจ้าเสด็จมาหาเจ้า
ทรงอ่อนโยน ประทับมาบนหลังลา
ทรงลูกลาเสด็จมา’ ”[a]

สาวกทั้งสองก็ไปทำตามที่พระเยซูบัญชา พวกเขานำแม่ลากับลูกลามา เอาเสื้อคลุมของตนปูบนหลังลาเหล่านั้นให้พระเยซูประทับ ฝูงชนเป็นอันมากเอาเสื้อคลุมปูบนทาง บางคนก็ตัดกิ่งไม้มาปูบนถนน ฝูงชนทั้งที่นำเสด็จและตามเสด็จโห่ร้อง

ว่า
“โฮซันนา[b]แด่บุตรดาวิด!

“สรรเสริญพระองค์ผู้เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า!”[c]

“โฮซันนาในที่สูงสุด!”

10 เมื่อพระเยซูเสด็จเข้าสู่เยรูซาเล็ม ทั่วทั้งกรุงแตกตื่นถามกันว่า “คนนี้คือใคร?”

11 ประชาชนตอบว่า “นี่คือพระเยซู ผู้เผยพระวจนะจากนาซาเร็ธในแคว้นกาลิลี”

อิสยาห์ 50:4-9

พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตประทานลิ้นที่ฝึกปรือแล้วแก่ข้าพเจ้า
เพื่อจะรู้จักถ้อยคำซึ่งช่วยค้ำชูผู้อ่อนระโหย
ทุกๆ เช้าพระองค์ทรงปลุกข้าพเจ้า
ทรงปลุกหูของข้าพเจ้าให้รับฟังอย่างผู้ที่พระองค์ทรงสอน
พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตทรงเปิดหูของข้าพเจ้า
และข้าพเจ้าไม่ได้ขัดขืน
หรือถอยหนี
ข้าพเจ้ายอมหันหลังให้แก่ผู้ที่โบยตีข้าพเจ้า
และเอียงแก้มให้แก่ผู้ที่ทึ้งเคราของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าไม่ได้หันหน้าหนี
จากผู้ที่เย้ยหยันและถ่มน้ำลายรด
เพราะพระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตทรงช่วยข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าจะไม่อัปยศอดสู
ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงตั้งหน้าไว้ประหนึ่งหินเหล็กไฟ
และรู้ว่าตัวเองจะไม่ต้องอับอาย
พระองค์ผู้ทรงพิสูจน์ว่าข้าพเจ้าเป็นฝ่ายถูกนั้นอยู่ใกล้
แล้วใครจะมาฟ้องร้องข้าพเจ้า?
ให้เรามาประจันหน้ากัน!
ใครเป็นโจทก์ของข้าพเจ้า?
ให้เขามาเผชิญหน้ากับข้าพเจ้า!
พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตนี่แหละทรงช่วยข้าพเจ้า
ใครที่ไหนจะตัดสินโทษข้าพเจ้า?
พวกเขาจะเปื่อยยุ่ยไปเหมือนเสื้อผ้า
และถูกตัวแมลงกินหมด

สดุดี 31:9-16

ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงเมตตาข้าพระองค์ เพราะข้าพระองค์กำลังทุกข์ใจ
ดวงตาของข้าพระองค์หม่นหมองเพราะความทุกข์โศก
ทั้งกายและวิญญาณบอบช้ำเพราะความทุกข์ระทม
10 ชีวิตของข้าพระองค์สูญไปกับความปวดร้าว
และปีเดือนของข้าพระองค์สูญไปกับการคร่ำครวญ
กำลังวังชาของข้าพระองค์อ่อนลงเพราะความทุกข์ลำเค็ญ[a]ของข้าพระองค์
กระดูกของข้าพระองค์ก็เสื่อมไป
11 เนื่องจากศัตรูทั้งปวงของข้าพระองค์
ข้าพระองค์ตกเป็นขี้ปากให้เพื่อนบ้านเย้ยหยัน
ข้าพระองค์เป็นที่น่าขยาดสำหรับเพื่อนฝูง
คนที่พบเห็นข้าพระองค์บนถนนก็รีบหนีไป
12 ข้าพระองค์ถูกลืมประหนึ่งคนที่ตายแล้ว
ข้าพระองค์กลายเป็นเหมือนภาชนะที่แตก
13 ข้าพระองค์ได้ยินคำนินทาว่าร้ายจากหลายฝ่าย
มีความหวาดผวาอยู่รอบด้าน
พวกเขาคบคิดกันเล่นงานข้าพระองค์
หมายเอาชีวิตของข้าพระองค์

14 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ข้าพระองค์วางใจในพระองค์
ข้าพระองค์กล่าวว่า “พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์”
15 วันเวลาของข้าพระองค์อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์
ขอทรงปลดปล่อยข้าพระองค์จากมือของเหล่าศัตรู
จากบรรดาผู้ที่ตามล่าเอาชีวิตของข้าพระองค์
16 ขอพระพักตร์ของพระองค์ทอแสงเหนือ ผู้รับใช้ของพระองค์
โปรดช่วยข้าพระองค์ให้รอดโดยความรักมั่นคงของพระองค์

ฟีลิปปี 2:5-11

ท่านควรมีท่าทีแบบเดียวกับพระเยซูคริสต์

ผู้ทรงสภาพ[a]พระเจ้า
แต่ไม่ได้ทรงยึดติดในความเท่าเทียมกับพระเจ้า
พระองค์กลับทรงสละทุกสิ่ง
มารับสภาพ[b]ทาส
บังเกิดเป็นมนุษย์
และเมื่อทรงปรากฏเป็นมนุษย์
พระองค์ทรงถ่อมพระองค์ลง
และยอมเชื่อฟังแม้ต้องตายบนไม้กางเขน!

ฉะนั้นพระเจ้าจึงทรงเชิดชูพระองค์ขึ้นสู่ที่สูงสุด
และประทานพระนามเหนือนามทั้งปวงแก่พระองค์
10 เพื่อทุกชีวิต[c]ในสวรรค์ บนแผ่นดินโลก
และใต้แผ่นดินโลก
จะคุกเข่าลงนมัสการพระนามของพระเยซู
11 และทุกลิ้นจะยอมรับว่าพระเยซูคริสต์คือองค์พระผู้เป็นเจ้า
เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติสิริแด่พระเจ้าพระบิดา

มัทธิว 26:14-27:66

ยูดาสตกลงใจจะทรยศพระเยซู(A)

14 แล้วยูดาสอิสคาริโอท หนึ่งในสาวกสิบสองคน ไปพบพวกหัวหน้าปุโรหิต 15 ถามว่า “พวกท่านจะให้อะไรแก่ข้าพเจ้าถ้าข้าพเจ้ามอบพระองค์ให้แก่ท่าน?” พวกเขาจึงนับเหรียญเงินสามสิบเหรียญส่งให้ยูดาส 16 นับตั้งแต่นั้นยูดาสก็จ้องหาโอกาสที่จะมอบพระเยซูให้แก่คนเหล่านั้น

พระเยซูเสวยปัสกากับเหล่าสาวก(B)

17 วันแรกของเทศกาลขนมปังไม่ใส่เชื้อเหล่าสาวกมาทูลถามพระเยซูว่า “พระองค์ทรงประสงค์จะให้เราจัดเตรียมปัสกาให้พระองค์เสวยที่ไหน?”

18 พระองค์ตรัสว่า “จงเข้าไปหาคนหนึ่งในเมือง บอกเขาว่า ‘พระอาจารย์ตรัสดังนี้ว่าใกล้จะถึงกำหนดเวลาของเราแล้ว เราจะฉลองปัสการ่วมกับเหล่าสาวกของเราที่บ้านของท่าน’ ” 19 ดังนั้นเหล่าสาวกจึงไปทำตามที่พระเยซูทรงบัญชาและจัดเตรียมปัสกา

20 พอพลบค่ำพระเยซูทรงนั่งรับประทานอาหารที่โต๊ะอาหารร่วมกับสาวกสิบสองคน 21 ระหว่างรับประทานอาหารกันอยู่นั้นพระองค์ตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าคนหนึ่งในพวกท่านจะทรยศเรา”

22 เหล่าสาวกเสียใจมากต่างทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า ไม่ใช่ข้าพระองค์แน่ใช่ไหม?”

23 พระเยซูตรัสตอบว่า “ผู้ที่หยิบอาหารจุ่มในชามเดียวกับเราคือผู้ที่จะทรยศเรา 24 บุตรมนุษย์จะไปตามที่เขียนไว้ แต่วิบัติแก่ผู้นั้นที่ทรยศบุตรมนุษย์! ถ้าเขาไม่ได้เกิดมาเลยยังจะดีกับตัวเขามากกว่า”

25 แล้วยูดาสผู้ที่จะทรยศต่อพระองค์ทูลว่า “รับบี ไม่ใช่ข้าพระองค์แน่ใช่ไหม?”

พระเยซูตรัสตอบว่า “คือท่านเอง”[a]

พิธีมหาสนิท(C)

26 ขณะรับประทานอาหารพระเยซูทรงหยิบขนมปัง ทรงขอบพระคุณพระเจ้า แล้วหักส่งให้เหล่าสาวกและตรัสว่า “จงรับไปรับประทานเถิด นี่เป็นกายของเรา”

27 แล้วพระองค์ทรงหยิบถ้วย ทรงขอบพระคุณพระเจ้า แล้วยื่นให้กับพวกเขาและตรัสว่า “ท่านทุกคนจงรับไปดื่มเถิด 28 นี่คือโลหิตของเราอันเป็นโลหิตแห่งพันธสัญญา[b]ซึ่งหลั่งรินเพื่ออภัยโทษบาปแก่คนเป็นอันมาก 29 เราบอกท่านว่าเราจะไม่ดื่มน้ำจากผลองุ่นนี้อีกตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนกว่าจะถึงวันนั้นที่เราดื่มร่วมกับท่านใหม่ในอาณาจักรของพระบิดาของเรา”

30 เมื่อร้องเพลงสรรเสริญแล้วพวกเขาก็ออกไปยังภูเขามะกอกเทศ

พระเยซูทรงทำนายว่าเปโตรจะปฏิเสธพระองค์(D)

31 แล้วพระเยซูตรัสแก่เหล่าสาวกว่า “ในคืนวันนี้เองพวกท่านจะทิ้งเราไปกันหมด เพราะมีเขียนไว้ว่า

“ ‘เราจะฟาดฟันคนเลี้ยงแกะ
และฝูงแกะจะกระจัดกระจายไป’[c]

32 แต่หลังจากที่เราเป็นขึ้น เราจะไปยังกาลิลีก่อนหน้าท่าน”

33 เปโตรทูลตอบว่า “ถึงใครๆ ทิ้งพระองค์ไปหมด ข้าพระองค์ก็จะไม่มีวันทิ้งพระองค์”

34 พระเยซูตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าในคืนนี้เองก่อนไก่ขันท่านจะปฏิเสธเราถึงสามครั้ง”

35 แต่เปโตรประกาศว่า “ถึงแม้ข้าพระองค์ต้องตายกับพระองค์ ข้าพระองค์จะไม่มีวันปฏิเสธพระองค์” แล้วสาวกที่เหลือก็พูดแบบเดียวกัน

เกทเสมนี(E)

36 แล้วพระเยซูกับเหล่าสาวกของพระองค์มายังที่แห่งหนึ่งเรียกว่า เกทเสมนี พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “จงนั่งอยู่ที่นี่ขณะที่เราไปอธิษฐานที่นั่น” 37 พระองค์ทรงพาเปโตรกับบุตรชายทั้งสองคนของเศเบดีไปกับพระองค์ด้วย พระองค์ทรงโศกเศร้าและเป็นทุกข์ยิ่งนัก 38 จึงตรัสกับพวกเขาว่า “จิตวิญญาณของเราท่วมท้นด้วยความทุกข์โศกแทบจะตาย จงเฝ้าระวังอยู่กับเราที่นี่”

39 พระองค์ทรงดำเนินไปได้สักหน่อยก็ทรงซบพระพักตร์ลงที่พื้นและทรงอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระบิดา หากเป็นไปได้ขอให้ถ้วยนี้พ้นไปจากข้าพระองค์เถิด อย่างไรก็ตามอย่าให้เป็นไปตามใจของข้าพระองค์ แต่ขอให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์”

40 แล้วพระองค์ทรงกลับมาหาสาวกของพระองค์ และพบว่าพวกเขากำลังนอนหลับอยู่จึงตรัสถามเปโตรว่า “พวกท่านจะคอยเฝ้าอยู่กับเราสักชั่วโมงเดียวก็มิได้หรือ? 41 จงเฝ้าระวังและอธิษฐานเพื่อท่านจะไม่ตกเข้าไปอยู่ในการทดลอง จิตวิญญาณพร้อมแล้วก็จริงแต่กายยังอ่อนกำลัง”

42 พระองค์เสด็จไปอธิษฐานเป็นครั้งที่สองว่า “ข้าแต่พระบิดา หากถ้วยนี้ไม่อาจพ้นไปและข้าพระองค์ต้องดื่ม ก็ขอให้สำเร็จดังพระประสงค์ของพระองค์”

43 เมื่อพระองค์ทรงกลับมาก็ทรงพบว่าพวกเขายังคงหลับอยู่เพราะพวกเขาง่วงมากจนลืมตาไม่ขึ้น 44 พระองค์จึงทรงละพวกเขาไว้ แล้วเสด็จไปอธิษฐานเป็นครั้งที่สามและอธิษฐานเรื่องเดิม

45 จากนั้นพระองค์ทรงกลับมาหาเหล่าสาวกและตรัสว่า “พวกท่านยังนอนหลับพักผ่อนอยู่อีกหรือ? ดูเถิด ใกล้จะถึงเวลาแล้วและบุตรมนุษย์ถูกทรยศให้ตกอยู่ในมือของคนบาป 46 ลุกขึ้นไปกันเถิด! ผู้ทรยศเรามาแล้ว!”

พระเยซูถูกจับกุม(F)

47 พระองค์ตรัสยังไม่ทันขาดคำ ยูดาสหนึ่งในสาวกสิบสองคนก็มาถึงพร้อมกับคนหมู่ใหญ่ซึ่งถือดาบถือกระบอง คนเหล่านี้เป็นพวกที่บรรดาหัวหน้าปุโรหิตและเหล่าผู้อาวุโสของประชาชนส่งมา 48 ผู้ทรยศได้กำหนดอาณัติสัญญาณกับพวกเขาว่า “คนที่เราจูบคือผู้นั้น จงจับกุมเขา” 49 ยูดาสตรงเข้ามาหาพระเยซูและทูลว่า “ขอคำนับรับบี!” แล้วจูบพระองค์

50 พระเยซูตรัสว่า “เพื่อนเอ๋ย จะมาทำอะไรก็ทำเถิด”[d]

แล้วคนเหล่านั้นก็ตรงเข้าจับกุมพระเยซู 51 คนหนึ่งในพวกที่อยู่กับพระองค์เอื้อมมือคว้าดาบชักออกมาฟันหูบ่าวของมหาปุโรหิตขาด

52 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เก็บดาบเสียเถิดเพราะคนทั้งปวงที่ชักดาบจะตายด้วยดาบ 53 ท่านคิดว่าเราไม่อาจทูลขอพระบิดาหรือ? พระองค์จะให้ทูตสวรรค์กว่าสิบสองกองแก่เราทันที 54 แต่ถ้าเช่นนั้นจะเป็นจริงตามที่พระคัมภีร์กล่าวไว้หรือว่าต้องเป็นไปตามนี้?”

55 แล้วพระองค์ตรัสกับคนกลุ่มนั้นว่า “เราก่อการกบฏหรือ? พวกท่านจึงได้ถือดาบถือกระบองมาจับเรา เรานั่งสอนอยู่ในลานพระวิหารทุกวันและท่านก็ไม่ได้จับกุมเรา 56 แต่ทั้งหมดนี้เป็นไปตามที่ผู้เผยพระวจนะได้เขียนไว้” แล้วสาวกทั้งหมดก็ละทิ้งพระองค์แล้วหนีไป

ต่อหน้าสภาแซนเฮดริน(G)

57 ผู้ที่จับพระเยซูนำพระองค์มาพบมหาปุโรหิตคายาฟาสในที่ซึ่งพวกธรรมาจารย์และผู้อาวุโสมาชุมนุมกัน 58 ฝ่ายเปโตรตามพระองค์มาห่างๆ จนถึงลานบ้านของมหาปุโรหิต เขาเข้าไปนั่งกับพวกยามเพื่อคอยดูผลที่จะเกิดขึ้น

59 พวกหัวหน้าปุโรหิตและทั้งสภาแซนเฮดรินค้นหาหลักฐานเท็จมามัดตัวพระเยซูเพื่อจะได้ประหารพระองค์ 60 แต่ก็ไม่พบอะไรเลยแม้จะมีพยานเท็จหลายคนมากล่าวหาพระองค์ ในที่สุดมีสองคนออกมา 61 ให้การว่า “คนนี้พูดว่า ‘ข้าพเจ้าสามารถทำลายพระวิหารของพระเจ้าและสร้างขึ้นใหม่ได้ภายในสามวัน’”

62 แล้วมหาปุโรหิตจึงยืนขึ้นกล่าวกับพระเยซูว่า “ท่านจะไม่ตอบอะไรหรือ? คำให้การที่คนเหล่านี้กล่าวหาท่านเป็นเรื่องอะไรกัน?” 63 แต่พระเยซูทรงนิ่งอยู่

มหาปุโรหิตจึงกล่าวกับพระองค์ว่า “ภายใต้คำสาบานโดยอ้างพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ เราสั่งท่านว่าถ้าท่านคือพระคริสต์[e]พระบุตรของพระเจ้าก็จงบอกเรามา”

64 พระเยซูตรัสว่า “ใช่อย่างที่ท่านพูด เราขอบอกท่านทุกคนว่าในอนาคตท่านจะเห็นบุตรมนุษย์นั่งอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ขององค์ทรงฤทธิ์และเสด็จมาบนหมู่เมฆแห่งฟ้าสวรรค์”

65 มหาปุโรหิตจึงฉีกเสื้อของตนและพูดว่า “เขาได้พูดหมิ่นประมาทพระเจ้า! เราจะต้องหาพยานอีกทำไม? ดูเถิด บัดนี้ท่านทั้งหลายได้ยินคำหมิ่นประมาทแล้ว 66 ท่านคิดเห็นอย่างไร?”

พวกนั้นตอบว่า “เขาสมควรตาย”

67 แล้วพวกเขาถ่มน้ำลายใส่พระพักตร์และต่อยพระองค์ คนอื่นๆ ก็ตบพระองค์ 68 และว่า “เจ้าพระคริสต์ ทำนายให้เราฟังสิ ใครตบเจ้า?”

เปโตรปฏิเสธพระเยซู(H)

69 ฝ่ายเปโตรนั่งอยู่ที่ลานบ้าน สาวใช้คนหนึ่งมาพูดกับเปโตรว่า “เจ้าก็อยู่กับเยซูแห่งกาลิลีด้วย”

70 แต่เปโตรปฏิเสธต่อหน้าคนทั้งปวงว่า “เจ้าพูดอะไร? ข้าไม่รู้เรื่อง”

71 แล้วเปโตรออกไปที่ประตูรั้ว สาวใช้อีกคนหนึ่งเห็นเขาก็พูดกับคนที่นั่นว่า “คนนี้อยู่กับเยซูชาวนาซาเร็ธ”

72 เปโตรปฏิเสธอีกพร้อมทั้งสาบานว่า “ข้าไม่รู้จักคนนั้น!”

73 สักครู่ผู้คนที่อยู่แถวนั้นมาพูดกับเปโตรว่า “ใช่แน่ๆ เจ้าเป็นคนหนึ่งในพวกนั้น ฟังจากสำเนียงของเจ้าก็รู้”

74 แล้วเปโตรจึงสบถสาบานเป็นการใหญ่ว่า “ข้าไม่รู้จักคนนั้น!”

ทันใดนั้นไก่ก็ขัน 75 เปโตรจึงนึกขึ้นได้ถึงสิ่งที่พระเยซูตรัสไว้ว่า “ก่อนไก่ขันท่านจะปฏิเสธเราถึงสามครั้ง” เขาจึงออกไปข้างนอกและร้องไห้อย่างขมขื่น

ยูดาสผูกคอตาย

27 พอรุ่งเช้าบรรดาหัวหน้าปุโรหิตและผู้อาวุโสในหมู่ประชาชนได้ตกลงกันว่าจะประหารพระเยซู พวกเขามัดพระองค์พาไปมอบตัวแก่ผู้ว่าการปีลาต

เมื่อยูดาสผู้ทรยศพระเยซูเห็นว่าพระองค์ถูกตัดสินลงโทษก็รู้สึกผิดจับใจ เขาจึงนำเงินสามสิบเหรียญมาคืนแก่พวกหัวหน้าปุโรหิตและเหล่าผู้อาวุโส และกล่าวว่า “ข้าพเจ้าได้ทำบาปไปแล้วด้วยการทรยศผู้บริสุทธิ์ ทำให้เขาถึงตาย”

พวกนั้นตอบว่า “แล้วเราเกี่ยวอะไรด้วย? นั่นเป็นความรับผิดชอบของเจ้า”

ดังนั้นยูดาสจึงขว้างเงินนั้นเข้าไปในพระวิหาร แล้วออกไปผูกคอตาย

พวกหัวหน้าปุโรหิตเก็บเงินมาแล้วกล่าวว่า “ผิดบทบัญญัติที่จะเก็บเงินนี้เข้าคลังพระวิหารเพราะเป็นเงินค่าโลหิต” เขาจึงตกลงกันว่าจะใช้เงินนั้นซื้อที่ดินซึ่งรู้จักกันว่า ทุ่งช่างปั้นหม้อ ไว้เป็นที่ฝังศพคนต่างด้าว ฉะนั้นทุ่งดังกล่าวจึงได้ชื่อว่า ทุ่งโลหิต มาจนถึงทุกวันนี้ แล้วก็เป็นจริงตามที่ผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์กล่าวไว้ว่า “เขาทั้งหลายนำเงินสามสิบเหรียญซึ่งเป็นค่าตัวของเขาตามที่ชนอิสราเอลตั้งให้ 10 ไปซื้อที่ดินของช่างปั้นหม้อตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาข้าพเจ้าไว้”[f]

พระเยซูต่อหน้าปีลาต(I)

11 ขณะเดียวกันพระเยซูทรงยืนอยู่ต่อหน้าผู้ว่าการและผู้ว่าการถามว่า “ท่านเป็นกษัตริย์ของชาวยิวหรือ?”

พระเยซูตรัสว่า “ใช่อย่างที่ท่านว่า”

12 พระองค์ไม่ได้ทรงตอบข้อกล่าวหาของพวกหัวหน้าปุโรหิตและเหล่าผู้อาวุโสเลย 13 ปีลาตจึงถามว่า “ท่านไม่ได้ยินข้อหาที่พวกเขาฟ้องท่านหรือ?” 14 แต่พระองค์ไม่ตรัสตอบข้อกล่าวหาใดๆ เลยทำให้ผู้ว่าการประหลาดใจยิ่งนัก

15 ในช่วงเทศกาลเป็นธรรมเนียมที่ผู้ว่าการจะปล่อยตัวนักโทษคนหนึ่งตามที่ประชาชนเลือก 16 ครั้งนั้นมีนักโทษอุกฉกรรจ์ชื่อเยซูบารับบัส[g] 17 เมื่อประชาชนมารวมตัวกันแล้วปีลาตจึงถามว่า “พวกท่านต้องการให้เราปล่อยคนไหน เยซูบารับบัสหรือเยซูที่เรียกกันว่าพระคริสต์?” 18 เพราะปีลาตรู้ว่าพวกเขาจับพระเยซูมาด้วยความอิจฉา

19 ขณะปีลาตนั่งอยู่บนบัลลังก์พิพากษา ภรรยาของท่านส่งคนมาเรียนท่านว่า “อย่าไปเกี่ยวข้องกับผู้บริสุทธิ์คนนี้เลยเนื่องจากวันนี้ดิฉันฝันร้ายไม่สบายใจมากเพราะท่านผู้นี้”

20 แต่พวกหัวหน้าปุโรหิตและเหล่าผู้อาวุโสยุยงประชาชนว่าให้พวกเขาขอปีลาตให้ปล่อยบารับบัสและให้ประหารพระเยซู

21 ผู้ว่าการถามว่า “ท่านต้องการให้ปล่อยคนไหนในสองคนนี้?”

พวกเขาตอบว่า “บารับบัส”

22 ปีลาตถามว่า “แล้วจะให้เราทำอย่างไรกับเยซูที่เรียกกันว่าพระคริสต์?”

พวกนั้นทั้งหมดพากันร้องว่า “ตรึงเขาที่ไม้กางเขน!”

23 ปีลาตถามว่า “ทำไม? เขาทำผิดอะไร?”

แต่ทุกคนร้องตะโกนดังขึ้นอีกว่า “ตรึงเขาที่ไม้กางเขน!”

24 เมื่อปีลาตเห็นว่าไม่ได้การมีแต่จะลุกฮือขึ้น เขาจึงเอาน้ำล้างมือต่อหน้าฝูงชนและกล่าวว่า “เราไม่มีความผิดเรื่องการตายของชายผู้นี้ เป็นความรับผิดชอบของพวกท่าน!”

25 คนทั้งปวงตอบว่า “ให้เลือดของเขาตกอยู่กับเราและลูกหลานของเราเถิด!”

26 แล้วปีลาตจึงปล่อยบารับบัสให้พวกเขา แต่ให้คนโบยตีพระเยซูและมอบตัวให้ไปตรึงที่ไม้กางเขน

พวกทหารเยาะเย้ยพระเยซู(J)

27 จากนั้นทหารของผู้ว่าการนำพระเยซูเข้าไปในศาลปรีโทเรียมและระดมทหารทั้งกองมารายล้อมพระองค์ 28 พวกเขาเปลื้องเสื้อผ้าของพระองค์ออก แล้วเอาเสื้อสีแดงเข้มมาสวมให้พระองค์ 29 จากนั้นจึงสานมงกุฎหนามสวมที่พระเศียร หยิบไม้ใส่พระหัตถ์ขวา แล้วคุกเข่าต่อหน้าพระองค์และเยาะเย้ยว่า “ข้าแต่กษัตริย์ของชาวยิว ขอจงทรงพระเจริญ!” 30 เขาถ่มน้ำลายรดพระองค์และเอาไม้นั้นตีพระเศียรครั้งแล้วครั้งเล่า 31 หลังจากเยาะเย้ยพระองค์แล้ว ก็ถอดเสื้อนั้นออก เอาเสื้อผ้าของพระองค์เองมาสวมให้ แล้วนำพระองค์ออกไปเพื่อตรึงที่ไม้กางเขน

การตรึงที่ไม้กางเขน(K)

32 ขณะออกไปก็พบชายคนหนึ่งจากไซรีนชื่อซีโมน พวกทหารจึงเกณฑ์ให้เขาแบกไม้กางเขนนั้น 33 เมื่อพวกเขามาถึงที่ซึ่งเรียกว่า กลโกธา ซึ่งแปลว่า สถานแห่งหัวกะโหลก 34 ก็เอาเหล้าองุ่นผสมน้ำดีมีรสขมมาถวาย พระเยซูทรงชิมแล้วก็ไม่เสวย 35 เมื่อเขาตรึงพระองค์ที่ไม้กางเขนแล้ว ก็นำฉลองพระองค์มาจับฉลากแบ่งกัน[h] 36 และพวกเขานั่งเฝ้าพระองค์อยู่ที่นั่น 37 เหนือพระเศียรมีข้อหาเขียนติดไว้ว่า “นี่คือเยซูกษัตริย์ของชาวยิว” 38 โจรสองคนถูกตรึงที่ไม้กางเขนพร้อมกับพระองค์ คนหนึ่งอยู่ข้างซ้ายและอีกคนหนึ่งอยู่ข้างขวาของพระองค์ 39 ผู้คนที่ผ่านไปมาต่างส่ายหน้าพูดสบประมาทพระองค์ 40 และกล่าวว่า “เจ้าผู้จะทำลายพระวิหารแล้วสร้างขึ้นใหม่ในสามวัน จงช่วยตัวเองให้รอด! ลงมาจากกางเขนสิถ้าเจ้าเป็นพระบุตรของพระเจ้า!”

41 เช่นเดียวกันพวกหัวหน้าปุโรหิต ธรรมาจารย์ และเหล่าผู้อาวุโส ก็เยาะเย้ยพระองค์ว่า 42 “เขาช่วยคนอื่นให้รอด แต่ช่วยตัวเองให้รอดไม่ได้! เขาเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล! ให้เขาลงมาจากกางเขนเดี๋ยวนี้สิแล้วเราจะเชื่อเขา 43 เขาวางใจในพระเจ้าก็ให้พระเจ้าช่วยเขาตอนนี้สิถ้าพระองค์ยังต้องการเขาอยู่ เพราะเขาพูดว่า ‘เราเป็นพระบุตรของพระเจ้า’ ” 44 พวกโจรที่ถูกตรึงพร้อมกับพระองค์ก็พากันพูดดูถูกดูหมิ่นพระองค์ต่างๆ นานาด้วย

พระเยซูสิ้นพระชนม์(L)

45 แล้วเกิดความมืดมัวไปทั่วแผ่นดินตั้งแต่เที่ยงวันจนถึงบ่ายสามโมง 46 ราวบ่ายสามโมงพระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า “เอโลอี เอโลอี[i] ลามา สะบักธานี?” ซึ่งแปลว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ทำไมทรงทอดทิ้งข้าพระองค์?”[j]

47 บางคนซึ่งยืนอยู่ที่นั่นเมื่อได้ยินก็พูดว่า “เขาร้องเรียกเอลียาห์”

48 ทันใดนั้นคนหนึ่งในพวกเขาก็วิ่งไปเอาฟองน้ำจุ่มเหล้าองุ่นเปรี้ยวเสียบไม้ส่งให้พระเยซูเสวย 49 คนอื่นๆ พูดว่า “อย่าไปยุ่งกับเขา ให้เราดูซิว่าเอลียาห์จะมาช่วยเขาหรือไม่”

50 และเมื่อพระเยซูทรงร้องเสียงดังอีกครั้ง พระองค์ก็สิ้นพระชนม์

51 ขณะนั้นเองม่านในพระวิหารก็ขาดเป็นสองส่วนตั้งแต่บนจรดล่าง เกิดแผ่นดินไหว ศิลาแตกออกจากกัน 52 อุโมงค์ฝังศพเปิดออกและร่างของวิสุทธิชนหลายคนที่ตายแล้วก็ฟื้นคืนชีวิต 53 พวกเขาออกมาจากอุโมงค์และหลังจากพระเยซูคืนพระชนม์แล้ว พวกเขาก็เข้าสู่นครบริสุทธิ์และปรากฏแก่คนเป็นอันมาก

54 ส่วนนายร้อยและทหารที่เฝ้าพระเยซูอยู่ด้วยกันเมื่อเห็นแผ่นดินไหวและทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก็ตื่นตกใจร้องว่า “แท้จริงท่านผู้นี้เป็นพระบุตร[k]ของพระเจ้า!”

55 ผู้หญิงหลายคนอยู่ที่นั่นเฝ้าดูอยู่ห่างๆ พวกเขาติดตามพระเยซูมาจากกาลิลีเพื่อคอยปรนนิบัติพระองค์ 56 ในพวกนั้นมีมารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบกับโยเซฟ[l] และมารดาของบุตรเศเบดี

การฝังพระศพพระเยซู(M)

57 เมื่อเวลาเย็นใกล้เข้ามาเศรษฐีคนหนึ่งมาจากอาริมาเธียชื่อโยเซฟ เขาเองก็เป็นสาวกของพระเยซู 58 เขาไปพบปีลาตเพื่อขอพระศพพระเยซูและปีลาตก็สั่งให้มอบพระศพแก่เขา 59 โยเซฟเชิญพระศพมา เอาผ้าลินินสะอาดพันพระศพ 60 แล้วนำไปวางไว้ในอุโมงค์ใหม่ของตนซึ่งสกัดไว้ในศิลาและกลิ้งหินใหญ่ปิดทางเข้าอุโมงค์ แล้วเขาก็ไป 61 มารีย์ชาวมักดาลากับมารีย์อีกคนหนึ่งนั่งอยู่ที่นั่นตรงข้ามอุโมงค์

ทหารยามที่อุโมงค์

62 วันรุ่งขึ้นถัดจากวันเตรียมพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกฟาริสีไปพบปีลาต 63 และเรียนว่า “ใต้เท้าขอรับ พวกข้าพเจ้าจำได้ว่าขณะที่เจ้านักล่อลวงคนนั้นยังมีชีวิตอยู่พูดว่า ‘หลังจากสามวันเราจะเป็นขึ้นมาอีก’ 64 ฉะนั้นขอให้ใต้เท้าสั่งให้คนเฝ้าอุโมงค์อย่างแน่นหนาจนถึงวันที่สาม มิฉะนั้นแล้วสาวกของเขาอาจจะมาลักศพไปและบอกประชาชนว่าเขาเป็นขึ้นจากตายแล้ว การล่อลวงครั้งนี้จะเลวร้ายยิ่งกว่าครั้งแรก”

65 ปีลาตบอกว่า “เอายามไปเถิด คอยเฝ้าอุโมงค์อย่างแน่นหนาตามที่พวกท่านทำได้” 66 ดังนั้นพวกเขาจึงไปดูแลอุโมงค์ให้แน่นหนาโดยการประทับตราที่หินและวางยามประจำอยู่

มัทธิว 27:11-54

พระเยซูต่อหน้าปีลาต(A)

11 ขณะเดียวกันพระเยซูทรงยืนอยู่ต่อหน้าผู้ว่าการและผู้ว่าการถามว่า “ท่านเป็นกษัตริย์ของชาวยิวหรือ?”

พระเยซูตรัสว่า “ใช่อย่างที่ท่านว่า”

12 พระองค์ไม่ได้ทรงตอบข้อกล่าวหาของพวกหัวหน้าปุโรหิตและเหล่าผู้อาวุโสเลย 13 ปีลาตจึงถามว่า “ท่านไม่ได้ยินข้อหาที่พวกเขาฟ้องท่านหรือ?” 14 แต่พระองค์ไม่ตรัสตอบข้อกล่าวหาใดๆ เลยทำให้ผู้ว่าการประหลาดใจยิ่งนัก

15 ในช่วงเทศกาลเป็นธรรมเนียมที่ผู้ว่าการจะปล่อยตัวนักโทษคนหนึ่งตามที่ประชาชนเลือก 16 ครั้งนั้นมีนักโทษอุกฉกรรจ์ชื่อเยซูบารับบัส[a] 17 เมื่อประชาชนมารวมตัวกันแล้วปีลาตจึงถามว่า “พวกท่านต้องการให้เราปล่อยคนไหน เยซูบารับบัสหรือเยซูที่เรียกกันว่าพระคริสต์?” 18 เพราะปีลาตรู้ว่าพวกเขาจับพระเยซูมาด้วยความอิจฉา

19 ขณะปีลาตนั่งอยู่บนบัลลังก์พิพากษา ภรรยาของท่านส่งคนมาเรียนท่านว่า “อย่าไปเกี่ยวข้องกับผู้บริสุทธิ์คนนี้เลยเนื่องจากวันนี้ดิฉันฝันร้ายไม่สบายใจมากเพราะท่านผู้นี้”

20 แต่พวกหัวหน้าปุโรหิตและเหล่าผู้อาวุโสยุยงประชาชนว่าให้พวกเขาขอปีลาตให้ปล่อยบารับบัสและให้ประหารพระเยซู

21 ผู้ว่าการถามว่า “ท่านต้องการให้ปล่อยคนไหนในสองคนนี้?”

พวกเขาตอบว่า “บารับบัส”

22 ปีลาตถามว่า “แล้วจะให้เราทำอย่างไรกับเยซูที่เรียกกันว่าพระคริสต์?”

พวกนั้นทั้งหมดพากันร้องว่า “ตรึงเขาที่ไม้กางเขน!”

23 ปีลาตถามว่า “ทำไม? เขาทำผิดอะไร?”

แต่ทุกคนร้องตะโกนดังขึ้นอีกว่า “ตรึงเขาที่ไม้กางเขน!”

24 เมื่อปีลาตเห็นว่าไม่ได้การมีแต่จะลุกฮือขึ้น เขาจึงเอาน้ำล้างมือต่อหน้าฝูงชนและกล่าวว่า “เราไม่มีความผิดเรื่องการตายของชายผู้นี้ เป็นความรับผิดชอบของพวกท่าน!”

25 คนทั้งปวงตอบว่า “ให้เลือดของเขาตกอยู่กับเราและลูกหลานของเราเถิด!”

26 แล้วปีลาตจึงปล่อยบารับบัสให้พวกเขา แต่ให้คนโบยตีพระเยซูและมอบตัวให้ไปตรึงที่ไม้กางเขน

พวกทหารเยาะเย้ยพระเยซู(B)

27 จากนั้นทหารของผู้ว่าการนำพระเยซูเข้าไปในศาลปรีโทเรียมและระดมทหารทั้งกองมารายล้อมพระองค์ 28 พวกเขาเปลื้องเสื้อผ้าของพระองค์ออก แล้วเอาเสื้อสีแดงเข้มมาสวมให้พระองค์ 29 จากนั้นจึงสานมงกุฎหนามสวมที่พระเศียร หยิบไม้ใส่พระหัตถ์ขวา แล้วคุกเข่าต่อหน้าพระองค์และเยาะเย้ยว่า “ข้าแต่กษัตริย์ของชาวยิว ขอจงทรงพระเจริญ!” 30 เขาถ่มน้ำลายรดพระองค์และเอาไม้นั้นตีพระเศียรครั้งแล้วครั้งเล่า 31 หลังจากเยาะเย้ยพระองค์แล้ว ก็ถอดเสื้อนั้นออก เอาเสื้อผ้าของพระองค์เองมาสวมให้ แล้วนำพระองค์ออกไปเพื่อตรึงที่ไม้กางเขน

การตรึงที่ไม้กางเขน(C)

32 ขณะออกไปก็พบชายคนหนึ่งจากไซรีนชื่อซีโมน พวกทหารจึงเกณฑ์ให้เขาแบกไม้กางเขนนั้น 33 เมื่อพวกเขามาถึงที่ซึ่งเรียกว่า กลโกธา ซึ่งแปลว่า สถานแห่งหัวกะโหลก 34 ก็เอาเหล้าองุ่นผสมน้ำดีมีรสขมมาถวาย พระเยซูทรงชิมแล้วก็ไม่เสวย 35 เมื่อเขาตรึงพระองค์ที่ไม้กางเขนแล้ว ก็นำฉลองพระองค์มาจับฉลากแบ่งกัน[b] 36 และพวกเขานั่งเฝ้าพระองค์อยู่ที่นั่น 37 เหนือพระเศียรมีข้อหาเขียนติดไว้ว่า “นี่คือเยซูกษัตริย์ของชาวยิว” 38 โจรสองคนถูกตรึงที่ไม้กางเขนพร้อมกับพระองค์ คนหนึ่งอยู่ข้างซ้ายและอีกคนหนึ่งอยู่ข้างขวาของพระองค์ 39 ผู้คนที่ผ่านไปมาต่างส่ายหน้าพูดสบประมาทพระองค์ 40 และกล่าวว่า “เจ้าผู้จะทำลายพระวิหารแล้วสร้างขึ้นใหม่ในสามวัน จงช่วยตัวเองให้รอด! ลงมาจากกางเขนสิถ้าเจ้าเป็นพระบุตรของพระเจ้า!”

41 เช่นเดียวกันพวกหัวหน้าปุโรหิต ธรรมาจารย์ และเหล่าผู้อาวุโส ก็เยาะเย้ยพระองค์ว่า 42 “เขาช่วยคนอื่นให้รอด แต่ช่วยตัวเองให้รอดไม่ได้! เขาเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล! ให้เขาลงมาจากกางเขนเดี๋ยวนี้สิแล้วเราจะเชื่อเขา 43 เขาวางใจในพระเจ้าก็ให้พระเจ้าช่วยเขาตอนนี้สิถ้าพระองค์ยังต้องการเขาอยู่ เพราะเขาพูดว่า ‘เราเป็นพระบุตรของพระเจ้า’ ” 44 พวกโจรที่ถูกตรึงพร้อมกับพระองค์ก็พากันพูดดูถูกดูหมิ่นพระองค์ต่างๆ นานาด้วย

พระเยซูสิ้นพระชนม์(D)

45 แล้วเกิดความมืดมัวไปทั่วแผ่นดินตั้งแต่เที่ยงวันจนถึงบ่ายสามโมง 46 ราวบ่ายสามโมงพระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า “เอโลอี เอโลอี[c] ลามา สะบักธานี?” ซึ่งแปลว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ทำไมทรงทอดทิ้งข้าพระองค์?”[d]

47 บางคนซึ่งยืนอยู่ที่นั่นเมื่อได้ยินก็พูดว่า “เขาร้องเรียกเอลียาห์”

48 ทันใดนั้นคนหนึ่งในพวกเขาก็วิ่งไปเอาฟองน้ำจุ่มเหล้าองุ่นเปรี้ยวเสียบไม้ส่งให้พระเยซูเสวย 49 คนอื่นๆ พูดว่า “อย่าไปยุ่งกับเขา ให้เราดูซิว่าเอลียาห์จะมาช่วยเขาหรือไม่”

50 และเมื่อพระเยซูทรงร้องเสียงดังอีกครั้ง พระองค์ก็สิ้นพระชนม์

51 ขณะนั้นเองม่านในพระวิหารก็ขาดเป็นสองส่วนตั้งแต่บนจรดล่าง เกิดแผ่นดินไหว ศิลาแตกออกจากกัน 52 อุโมงค์ฝังศพเปิดออกและร่างของวิสุทธิชนหลายคนที่ตายแล้วก็ฟื้นคืนชีวิต 53 พวกเขาออกมาจากอุโมงค์และหลังจากพระเยซูคืนพระชนม์แล้ว พวกเขาก็เข้าสู่นครบริสุทธิ์และปรากฏแก่คนเป็นอันมาก

54 ส่วนนายร้อยและทหารที่เฝ้าพระเยซูอยู่ด้วยกันเมื่อเห็นแผ่นดินไหวและทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก็ตื่นตกใจร้องว่า “แท้จริงท่านผู้นี้เป็นพระบุตร[e]ของพระเจ้า!”

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.