Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Old/New Testament

Each day includes a passage from both the Old Testament and New Testament.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
เนหะมียาห์ 7-9

เมื่อสร้างกำแพงขึ้นมาใหม่แล้ว ผมได้ติดตั้งพวกบานประตูเข้าไปในที่ของมัน และได้มีการแต่งตั้งพวกคนเฝ้าประตู พวกนักร้องและพวกชาวเลวีขึ้น หลังจากนั้น ผมได้ตั้งให้ฮานานี พี่น้องของผมคอยดูแลเมืองเยรูซาเล็มร่วมกับฮานันยาห์ ผู้บังคับบัญชาป้อมปราการของวิหารเพราะฮานานีเป็นคนซื่อสัตย์ และเคารพยำเกรงพระเจ้ามากกว่าคนส่วนใหญ่

ผมพูดกับพวกเขาว่า “ประตูเมืองของเมืองเยรูซาเล็มจะต้องไม่เปิดจนกว่าแดดร้อน และในขณะที่มียามเฝ้าประตูอยู่ ก็ต้องปิดประตูและใส่กลอนไว้ ควรแต่งตั้งประชาชนที่อาศัยอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม ให้ผลัดกันทำหน้าที่ยาม ให้จัดยามไว้ตามจุดต่างๆรวมทั้งหน้าบ้านของพวกเขาด้วย”

รายชื่อพวกเชลยที่กลับมา

(อสร. 2:1-70)

เยรูซาเล็ม เป็นเมืองที่กว้างขวางใหญ่โต แต่มีผู้คนอาศัยอยู่น้อย และยังมีบ้านที่สร้างขึ้นมาใหม่ไม่มากนัก ดังนั้นพระเจ้าจึงดลใจผม ให้รวบรวมพวกบุคคลสำคัญๆ เจ้าหน้าที่ทั้งหลาย และประชาชนทั่วไป ให้มาจดทะเบียนสำมะโนครัวเป็นครอบครัวๆไป ผมพบหนังสือสำมะโนครัวของเชลยพวกแรกที่กลับมา ผมเห็นมันเขียนไว้อย่างนี้ว่า

ต่อไปนี้คือ ประชาชนของมณฑลที่มาจากการเป็นเชลย ในครั้งที่ถูกกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ แห่งบาบิโลนจับตัวไป พวกเขาได้กลับมายังเมืองเยรูซาเล็มและยูดาห์ และต่างก็แยกย้ายกันกลับไปยังบ้านเมืองของตน พวกเขากลับมากับเศรุบบาเบล เยชูอา เนหะมียาห์ อาซาริยาห์ ราอามิยาห์ นาหะมานี โมรเดคัย บิลชาน มิสเปเรท บิกวัย เนฮูม และ บาอานาห์

จำนวนคนอิสราเอลมีดังนี้

ผู้สืบเชื้อสายจากปาโรช รวมสองพันหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสองคน

ผู้สืบเชื้อสายจากเชฟาทิยาห์ รวมสามร้อยเจ็ดสิบสองคน

10 ผู้สืบเชื้อสายจากอาราห์ รวมหกร้อยห้าสิบสองคน

11 ผู้สืบเชื้อสายจากปาหัทโมอับ คือ ผู้สืบเชื้อสายจากเยชูอาและโยอาบ รวมสองพันแปดร้อยสิบแปดคน

12 ผู้สืบเชื้อสายจากเอลาม รวมหนึ่งพันสองร้อยห้าสิบสี่คน

13 ผู้สืบเชื้อสายจากศัทธู รวมแปดร้อยสี่สิบห้าคน

14 ผู้สืบเชื้อสายจากศักคัย รวมเจ็ดร้อยหกสิบคน

15 ผู้สืบเชื้อสายจากบินนุย รวมหกร้อยสี่สิบแปดคน

16 ผู้สืบเชื้อสายจากบาบัย รวมหกร้อยยี่สิบแปดคน

17 ผู้สืบเชื้อสายจากอัสกาด รวมสองพันสามร้อยยี่สิบสองคน

18 ผู้สืบเชื้อสายจากอาโดนีคัม รวมหกร้อยหกสิบเจ็ดคน

19 ผู้สืบเชื้อสายจากบิกวัย รวมสองพันหกสิบเจ็ดคน

20 ผู้สืบเชื้อสายจากอาดีน รวมหกร้อยห้าสิบห้าคน

21 ผู้สืบเชื้อสายจากอาเทอร์ คือเฮเซคียาห์ รวมเก้าสิบแปดคน[a]

22 ผู้สืบเชื้อสายจากฮาชูม รวมสามร้อยยี่สิบแปดคน

23 ผู้สืบเชื้อสายจากเบไซ รวมสามร้อยยี่สิบสี่คน

24 ผู้สืบเชื้อสายจากฮาริฟ รวมหนึ่งร้อยสิบสองคน

25 ผู้สืบเชื้อสายจากกิเบโอน รวมเก้าสิบห้าคน

26 คนจากเมืองเบธเลเฮม และเมืองเนโทฟาห์ รวมหนึ่งร้อยแปดสิบแปดคน

27 คนจากเมืองอานาโธท รวมหนึ่งร้อยยี่สิบแปดคน

28 คนจากเมืองเบธอัสมาเวท รวมสี่สิบสองคน

29 คนจากเมืองคิริยาทเยอาริม เมืองเคฟีราห์ และเมืองเบเอโรท รวมเจ็ดร้อยสี่สิบสามคน

30 คนจากเมืองรามาห์ และเมืองเกบา รวมหกร้อยยี่สิบเอ็ดคน

31 คนจากเมืองมิคมาส รวมหนึ่งร้อยยี่สิบสองคน

32 คนจากเมืองเบธเอล และเมืองอัย รวมหนึ่งร้อยยี่สิบสามคน

33 คนจากเมืองเนโบอีกแห่งหนึ่ง รวมห้าสิบสองคน

34 คนจากเมืองเอลามอีกแห่งหนึ่ง รวมหนึ่งพันสองร้อยห้าสิบสี่คน

35 คนจากเมืองฮาริม รวมสามร้อยยี่สิบคน

36 คนจากเมืองเยริโค รวมสามร้อยสี่สิบห้าคน

37 คนจากเมืองโลด เมืองฮาดิด และเมืองโอโน รวมเจ็ดร้อยยี่สิบเอ็ดคน 38 คนจากเมืองเสนาอาห์ รวมสามพันเก้าร้อยสามสิบคน

39 จำนวนพวกนักบวชมีดังนี้คือ

มีผู้สืบเชื้อสายจากเยดายาห์ ซึ่งก็คือครอบครัวของเยชูอา รวมเก้าร้อยเจ็ดสิบสามคน

40 ผู้สืบเชื้อสายจากอิมเมอร์ รวมหนึ่งพันห้าสิบสองคน

41 ผู้สืบเชื้อสายจากปาชเฮอร์ รวมหนึ่งพันสองร้อยสี่สิบเจ็ดคน

42 ผู้สืบเชื้อสายจากฮาริม รวมหนึ่งพันสิบเจ็ดคน

43 จำนวนชาวเลวีมีดังนี้คือ

ผู้สืบเชื้อสายจากเยชูอา คือ ผ่านมาทางขัดมีเอล ที่มาจากครอบครัวของโฮดีอาห์[b] รวมเจ็ดสิบสี่คน

44 จำนวนพวกนักร้องมีดังนี้คือ

ผู้สืบเชื้อสายจากอาสาฟ รวมหนึ่งร้อยสี่สิบแปดคน

45 จำนวนของคนเฝ้าประตูมีดังนี้คือ

ผู้สืบเชื้อสายจากชัลลูม ผู้สืบเชื้อสายจากอาเทอร์ ผู้สืบเชื้อสายจากทัลโมน ผู้สืบเชื้อสายจากอักขูบ ผู้สืบเชื้อสายจากฮาทิธา ผู้สืบเชื้อสายจากโชบัย รวมหนึ่งร้อยสามสิบแปดคน

46 จำนวนของคนรับใช้ประจำวิหารมีดังนี้คือ

ผู้สืบเชื้อสายจากศีหะ ผู้สืบเชื้อสายจากฮาสูฟา ผู้สืบเชื้อสายจากทับบาโอท 47 ผู้สืบเชื้อสายจาก เคโรส ผู้สืบเชื้อสายจากสีอา ผู้สืบเชื้อสายจากพาโดน 48 ผู้สืบเชื้อสายจาก เลบานา ผู้สืบเชื้อสายจากฮากาบา ผู้สืบเชื้อสายจากชัลมัย

49 ผู้สืบเชื้อสายจาก ฮานัน ผู้สืบเชื้อสายจากกิดเดล ผู้สืบเชื้อสายจากกาฮาร์

50 ผู้สืบเชื้อสายจาก เรอายาห์ ผู้สืบเชื้อสายจากเรซีน ผู้สืบเชื้อสายจากเนโคดา

51 ผู้สืบเชื้อสายจากกัสซาม ผู้สืบเชื้อสายจากอุสซาห์ ผู้สืบเชื้อสายจากปาเสอาห์

52 ผู้สืบเชื้อสายจากเบสัย ผู้สืบเชื้อสายจากเมอูนิม ผู้สืบเชื้อสายจากเนฟิสิม

53 ผู้สืบเชื้อสายจากบัคบูค ผู้สืบเชื้อสายจากฮาคูฟา ผู้สืบเชื้อสายจากฮารฮูร

54 ผู้สืบเชื้อสายจากบัสลีท ผู้สืบเชื้อสายจากเมหิดา ผู้สืบเชื้อสายจากฮารชา

55 ผู้สืบเชื้อสายจากบารโขส ผู้สืบเชื้อสายจากสิเสรา ผู้สืบเชื้อสายจากเทมาห์

56 ผู้สืบเชื้อสายจากเนซิยาห์ ผู้สืบเชื้อสายจากฮาทิฟา

57 จำนวนผู้สืบเชื้อสายของคนรับใช้ของกษัตริย์ซาโลมอนมีดังนี้คือ

ผู้สืบเชื้อสายจากโสทัย ผู้สืบเชื้อสายจากโสเฟเรท ผู้สืบเชื้อสายจากเปรีดา 58 ผู้สืบเชื้อสายจากยาอาลา ผู้สืบเชื้อสายจากดารโคน ผู้สืบเชื้อสายจากกิดเดล

59 ผู้สืบเชื้อสายจากเชฟาทิยาห์ ผู้สืบเชื้อสายจากฮัทธิล ผู้สืบเชื้อสายจาก โปเคเรทหัสซาบาอิม และผู้สืบเชื้อสายจากอาโมน

60 คนรับใช้ประจำวิหาร และผู้สืบเชื้อสายคนรับใช้ของซาโลมอน มีจำนวนรวมสามร้อยเก้าสิบสองคน

61 ต่อไปนี้จะเป็นจำนวนคนที่ขึ้นมาเมืองเยรูซาเล็มจากเมืองเทลเมลาห์ เมืองเทลหารชา เมืองเครูบ เมืองอัดโดน และเมืองอิมเมอร์ แต่พวกเขาไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า พวกเขาสืบเชื้อสายมาจากชาวอิสราเอล

62 ผู้สืบเชื้อสายจากเดไลยาห์ ผู้สืบเชื้อสายจากโทบีอาห์ ผู้สืบเชื้อสายจากเนโคดา รวมหกร้อยสี่สิบสองคน

63 จำนวนนักบวชทั้งหลายมีดังนี้คือ

ผู้สืบเชื้อสายจากโฮบายาห์ ผู้สืบเชื้อสายจากฮักโขส และผู้สืบเชื้อสายจากบารซิลลัย (บารซิลลัยคนนี้ได้แต่งงานกับลูกสาวคนหนึ่งของบารซิลลัย ซึ่งเป็นชาวกิเลอาด ดังนั้นเขาจึงใช้ชื่อเรียกตามชื่อพ่อตาเขา)

64 พวกเขาตรวจดูรายชื่อในทะเบียนสำมะโนครัว แต่ไม่พบชื่อของตัวเอง ดังนั้นพวกเขาจึงถูกตัดชื่อออกจากพวกนักบวช เพราะถือว่าไม่บริสุทธิ์ 65 เจ้าเมืองบอกพวกเขาว่า ในช่วงนี้อย่าเพิ่งกินอาหารที่บริสุทธิ์ที่สุดก่อน จนกว่านักบวชสูงสุด จะใช้อูริมและทูมมิมปรึกษาหาคำตอบจากพระเจ้าเสียก่อน

66 รวมคนทั้งหมดที่พูดมาได้สี่หมื่นสองพันสามร้อยหกสิบคน 67 ไม่นับพวกทาสชายหญิงของพวกเขาอีกเจ็ดพันสามร้อยสามสิบเจ็ดคน นอกจากนั้นแล้วพวกเขายังมีนักร้องชายหญิงอีกสองร้อยคน 68 พวกเขายังมีม้าทั้งหมดเจ็ดร้อยสามสิบหกตัว และล่อสองร้อยสี่สิบห้าตัว[c] 69 อูฐสี่ร้อยสามสิบห้าตัว และมีลารวมหกพันเจ็ดร้อยยี่สิบตัว

70 บรรดาหัวหน้าครอบครัวบางคน ให้สิ่งของต่างๆเพื่อสนับสนุนงานนี้ เจ้าเมืองได้ถวายสิ่งต่างๆเหล่านี้เข้ากองคลัง คือทองคำจำนวนแปดกิโลกรัมครึ่ง[d] ชามประพรมห้าสิบใบ และเสื้อผ้าสำหรับนักบวชห้าร้อยสามสิบชุด 71 หัวหน้าครอบครัวบางคน ถวายทองคำหนึ่งร้อยเจ็ดสิบกิโลกรัม[e] และเงินหนึ่งพันสองร้อยกิโลกรัม[f] เข้ากองคลังสำหรับงาน 72 ประชาชนที่เหลือถวายทองคำหนึ่งร้อยเจ็ดสิบกิโลกรัม เงินหนึ่งพันหนึ่งร้อยกิโลกรัม และเสื้อผ้าหกสิบเจ็ดชุดให้กับพวกนักบวช

73 พวกนักบวช บรรดาชาวเลวี คนเฝ้าประตู พวกนักร้อง และประชาชนบางคน รวมทั้งพวกคนรับใช้ประจำวิหาร และชาวอิสราเอลทั้งหมด ก็อาศัยอยู่ตามบ้านเมืองของตน

เอสราอ่านกฎบัญญัติให้ประชาชนฟัง

เมื่อเดือนที่เจ็ด[g]มาถึง ประชาชนชาวอิสราเอลที่ได้ย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ตามเมืองต่างๆของตน

ทุกคนได้มาประชุมกันที่ลานเมือง ที่อยู่ตรงด้านหน้าของประตูน้ำ พวกเขาบอกเอสราผู้เป็นอาจารย์ ให้เอากฎบัญญัติของโมเสสมาด้วย ซึ่งพระยาห์เวห์ได้มอบไว้ให้กับคนอิสราเอล ดังนั้น วันแรกของเดือนที่เจ็ด นักบวชเอสราได้เอากฎบัญญัตินั้นมาอยู่ต่อหน้ากลุ่มคนที่มาชุมนุมกันทั้งชายและหญิง รวมทั้งเด็กที่โตพอที่จะฟังรู้เรื่อง เอสราอ่านกฎบัญญัตินั้นอยู่หน้าลานเมือง ซึ่งอยู่ตรงด้านหน้าของประตูน้ำ เขาอ่านต่อหน้าชายและหญิง รวมทั้งเด็กที่โตพอที่จะฟังรู้เรื่อง เขาอ่านตั้งแต่เช้าตรู่ไปจนถึงเที่ยงวัน ทุกคนต่างก็ตั้งใจฟังกฎบัญญัติเป็นอย่างดี

เอสราผู้เป็นอาจารย์ยืนอยู่บนเวทีไม้ที่สร้างขึ้นมาสำหรับงานนี้โดยเฉพาะ ทางด้านขวาของเอสรา ก็มีมัททีธิยาห์ เชมา อานายาห์ อุรียาห์ ฮิลคียาห์ และมาอาเสอาห์ยืนอยู่ ส่วนทางด้านซ้าย ก็มีเปดายาห์ มิชาเอล มัลคิยาห์ ฮาชูม อัชบัดดานาห์ เศคาริยาห์ และเมชุลลามยืนอยู่

เอสราเปิดหนังสือกฎบัญญัติออกต่อหน้าต่อตาประชาชนทั้งหลาย เพราะเขายืนอยู่สูงกว่าพวกเขา เมื่อเอสราเปิดหนังสือออก ประชาชนทุกคนต่างก็ยืนขึ้น เมื่อเอสราสรรเสริญพระยาห์เวห์ พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ทุกคนต่างตอบรับว่า “อาเมน อาเมน” พร้อมยกมือทั้งสองขึ้นและก้มกราบลง และนมัสการพระยาห์เวห์ ใบหน้าซบพื้น

ในขณะที่ผู้คนยืนอยู่กับที่นั้น พวกชาวเลวี คือ เยชูอา บานี เชเรบิยาห์ ยามีน อักขูบ ชับเบธัย โฮดียาห์ มาอาเสอาห์ เคลิทา อาซาริยาห์ โยซาบาด ฮานัน และเปไลยาห์ ก็ได้มาสั่งสอนพวกเขาให้เข้าใจถึงกฎบัญญัตินั้น ชาวเลวีเหล่านั้นได้อ่านหนังสือซึ่งเป็นกฎบัญญัติของพระเจ้าเป็นตอนๆและอธิบายให้ผู้คนเข้าใจในข้อความที่อ่านนั้น

เนหะมียาห์ ผู้เป็นเจ้าเมือง และเอสรา ผู้เป็นทั้งนักบวชและอาจารย์ รวมทั้งชาวเลวีทั้งหลายที่ช่วยสั่งสอนประชาชน ต่างพากันพูดกับทุกคนว่า “วันนี้เป็นวันศักดิ์สิทธิ์[h] ของพระยาห์เวห์ พระเจ้าของพวกท่าน ดังนั้นอย่าเศร้าโศกและร้องไห้เลย” เพราะประชาชนทุกคนกำลังร้องไห้ในขณะที่ฟังกฎบัญญัตินั้น

10 เอสราพูดกับพวกเขาว่า “ไปกินอาหารที่เอร็ดอร่อย และดื่มเหล้าองุ่นรสหวาน และส่งบางส่วนไปให้กับคนที่ไม่สามารถเตรียมของพวกนี้ เพราะวันนี้เป็นวันศักดิ์สิทธิ์ของพระยาห์เวห์ของเรา อย่าได้เศร้าโศกเลย เพราะความชื่นชมยินดีที่พวกท่านมีในพระยาห์เวห์นั้น เป็นพละกำลังของพวกท่าน”

11 พวกชาวเลวีทำให้ประชาชนสงบเงียบลง โดยพูดว่า “เลิกร้องไห้เถอะ เพราะวันนี้เป็นวันศักดิ์สิทธิ์ อย่าเศร้าโศกเลย”

12 หลังจากนั้นประชาชนทุกคนก็จากไป ไปกินและดื่มกัน และส่งอาหารบางส่วนไปให้กับคนที่อื่น พวกเขาเฉลิมฉลองกันอย่างสนุกสนาน เพราะพวกเขาเข้าใจในถ้อยคำที่ชาวเลวีได้อ่านให้พวกเขาฟังนั้น

13 ในวันที่สองของเดือน หัวหน้าครอบครัวของประชาชนทั้งหมด พวกนักบวช และพวกชาวเลวี ได้รวมตัวกันมาพบเอสราผู้เป็นอาจารย์ เพื่อศึกษาคำสอนของกฎบัญญัติ

14 พวกเขาได้เจอคำสั่งของพระยาห์เวห์ ที่เขียนไว้ในกฎบัญญัติที่ผ่านมาทางโมเสส ที่ว่าคนอิสราเอลจะต้องอาศัยอยู่ในเพิงชั่วคราว ในช่วงเทศกาลของเดือนเจ็ด[i] 15 และพวกเขาควรจะประกาศและเผยแพร่ถ้อยคำต่อไปนี้ไปทั่วทุกเมือง รวมทั้งในเมืองเยรูซาเล็มด้วย ที่ว่า “ให้ออกไปที่เนินเขาในชนบท และให้เก็บกิ่งมะกอกเทศ กิ่งมะกอกป่า กิ่งต้นน้ำมันเขียว ใบปาล์ม และกิ่งไม้จากต้นอื่นๆที่ให้ร่มเงา เพื่อเอามาสร้างเพิงชั่วคราว เหมือนกับที่ได้เขียนไว้ในกฎบัญญัติ”

16 ดังนั้นประชาชนจึงออกไปเอากิ่งไม้เหล่านั้นกลับมา และสร้างเพิงชั่วคราวให้กับตัวเอง มีทั้งสร้างไว้บนดาดฟ้าบ้าน และที่ลานบ้านของตัวเอง รวมทั้งที่ลานวิหารของพระเจ้า และที่ลานเมืองใกล้ๆประตูน้ำ และสร้างไว้ที่ลานเมืองของประตูเอฟราอิม 17 คนทั้งกลุ่มที่กลับมาจากการเป็นเชลย ได้สร้างเพิงชั่วคราวและอยู่ในเพิงเหล่านั้น คนอิสราเอลไม่ได้ทำอย่างนี้เลย ตั้งแต่สมัยของเยชูอา ลูกชายของนูน จนกระทั่งถึงวันนั้น และพวกเขาก็มีความชื่นชมยินดีอย่างยิ่ง

18 ดังนั้น ตั้งแต่วันแรกของเทศกาลจนถึงวันสุดท้าย เอสราได้อ่านหนังสือกฎบัญญัติของพระเจ้าทุกวัน พวกเขาเฉลิมฉลองเทศกาลเป็นเวลาเจ็ดวัน และในวันที่แปดก็เป็นวันชุมนุมพิเศษตามที่กฎบัญญัติบอกไว้

ประชาชนอิสราเอลสารภาพบาป

ในวันที่ยี่สิบสี่ของเดือนนี้ ประชาชนชาวอิสราเอลมารวมตัวกันเพื่ออดอาหาร พวกเขาใส่ชุดผ้ากระสอบ และเอาดินโรยหัวของพวกเขา บรรดาลูกหลานของอิสราเอล ได้แยกตัวเองออกมาจากคนต่างชาติทั้งปวง พวกเขายืนและสารภาพบาปของพวกเขา รวมทั้งสารภาพความชั่วช้าที่บรรพบุรุษของพวกเขาได้ทำไป พวกเขายืนในที่ของตน และฟังคนอ่านหนังสือกฎบัญญัติของพระเจ้าของพวกเขาเป็นเวลาสามชั่วโมง และอีกสามชั่วโมง พวกเขาใช้สารภาพและนมัสการพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา

แล้วเยชูอา บานี ขัดมีเอล เชบานิยาห์ บุนนี เชเรบิยาห์ บานี และเคนานี ต่างก็ยืนอยู่บนบันไดสำหรับพวกเลวี และ พวกเขาร้องด้วยเสียงดังต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา แล้วเลวีพวกนี้ คือเยชูอา ขัดมีเอล บานี ฮาชับเนยาห์ เชเรบิยาห์ โฮดียาห์ เชบานิยาห์ และเปธาหิยาห์ ได้พูดขึ้นว่า “ลุกขึ้น และสรรเสริญพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านเถิด

ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของพวกเรา
    ขอพระองค์ได้รับการเชิดชูตลอดชั่วนิจนิรันดร์ถึงชั่วนิจนิรันดร์
ขอให้พวกเขาเชิดชูชื่ออันยิ่งใหญ่ของพระองค์
    ซึ่งได้รับการยกย่องเหนือคำเชิดชูและคำสรรเสริญทั้งปวง
พระองค์เป็นพระเจ้า
    ข้าแต่พระยาห์เวห์ มีแต่พระองค์เท่านั้นที่เป็นพระเจ้า
พระองค์เป็นผู้สร้างท้องฟ้า
    สวรรค์ชั้นสูงสุด และดวงดาวทั้งสิ้นในท้องฟ้า
พระองค์สร้างโลกและทุกสิ่งบนโลก
    พระองค์สร้างทะเลและทุกอย่างที่อยู่ในทะเล
พระองค์ให้ชีวิตกับทุกสิ่ง
    และพวกดวงดาวทั้งหลายบนท้องฟ้านมัสการพระองค์
พระองค์คือพระยาห์เวห์
    พระเจ้าผู้เลือกอับราม
และนำตัวเขาออกมาจากเมืองเออร์แห่งประเทศเคลเดีย
    และตั้งชื่อให้เขาว่าอับราฮัม[j]
พระองค์เห็นว่าเขามีจิตใจซื่อสัตย์ต่อพระองค์
    ดังนั้นพระองค์จึงทำข้อตกลงกับเขา
ที่จะยกแผ่นดินของคนเหล่านี้ให้กับลูกหลานของเขา
    คือแผ่นดินของคนคานาอัน คนฮิตไทต์ คนอาโมไรต์ คนเปริสซีคนเยบุส และคนเกอร์กาชี
พระองค์ได้ทำตามคำพูดของพระองค์
    เพราะพระองค์นั้นซื่อสัตย์
พระองค์ได้เห็นถึงความทุกข์ทรมานของบรรพบุรุษของพวกเราในอียิปต์
    และพระองค์ได้ยินเสียงร้องให้ช่วยของพวกเขาที่ทะเลต้นอ้อ[k]
10 พระองค์ได้แสดงปรากฏการณ์ต่างๆและสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ
    เพื่อต่อต้านฟาโรห์ กษัตริย์ของอียิปต์ และต่อต้านพวกข้าราชการทั้งสิ้น และประชาชนบนแผ่นดินของกษัตริย์ฟาโรห์
เพราะพระองค์รู้ว่าพวกเขาได้ข่มเหงบรรพบุรุษของพวกเรา
    พระองค์ก็เลยมีชื่อเสียงโด่งดังมาจนถึงทุกวันนี้
11 พระองค์ได้แยกทะเลออกต่อหน้าพวกเขา
    และพวกเขาเดินผ่านทะเลไปบนพื้นแห้ง
แต่พระองค์ได้โยนพวกที่ไล่ตามพวกเขาลงทะเลลึก
    เหมือนก้อนหินที่ถูกโยนลงไปในทะเลที่ปั่นป่วน
12 พระองค์ได้นำทางพวกเขาด้วยเสาเมฆในตอนกลางวันและด้วยเสาไฟในตอนกลางคืน
    เพื่อส่องทางให้พวกเขาเดินไปในทางที่พวกเขาควรไป
13 พระองค์ลงมาอยู่บนภูเขาซีนาย
    และพูดกับพวกเขาจากสวรรค์
และได้มอบกฎระเบียบที่ถูกต้องและกฎบัญญัติที่แท้จริง
    รวมทั้งพวกบัญญัติและคำสั่งต่างๆที่ดีให้กับพวกเขา
14 และพระองค์ได้บอกให้พวกเขารู้เกี่ยวกับวันหยุดอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์
    และพระองค์ให้คำสั่งต่างๆ กฎระเบียบ และบัญญัติกับพวกเขา ผ่านทางโมเสส ผู้รับใช้ของพระองค์
15 ในยามที่พวกเขาหิว พระองค์ให้อาหารกับพวกเขาจากสวรรค์
    ในยามที่พวกเขากระหาย พระองค์ให้น้ำไหลออกจากหินมาให้พวกเขาดื่ม
พระองค์บอกให้พวกเขาไปยึดเอาแผ่นดินที่พระองค์ได้สัญญาว่าจะมอบให้กับพวกเขา
16 แต่พวกบรรพบุรุษของพวกเราทำตัวเย่อหยิ่งจองหองและหัวแข็งดื้อรั้น
    พวกเขาไม่ยอมฟังคำสั่งต่างๆของพระองค์
17 พวกเขาไม่ยอมเชื่อฟังและพวกเขาไม่ได้จดจำ
    ถึงการอัศจรรย์ต่างๆของพระองค์ที่พระองค์ได้ทำไปท่ามกลางพวกเขา
แต่พวกเขากลับหัวแข็งดื้อรั้นและได้แต่งตั้งหัวหน้าขึ้นมา
    เพื่อนำพวกเขากลับไปเป็นทาสในอียิปต์อีก
แต่พระองค์เป็นพระเจ้าที่ให้อภัย มีใจเมตตาและกรุณา มีความอดทนและมีความรักอันมั่นคง
    ดังนั้นพระองค์จึงไม่ได้ทอดทิ้งพวกเขา
18 ถึงแม้พวกบรรพบุรุษของพวกเราจะหล่อโลหะรูปลูกวัวขึ้นมาสำหรับพวกเขาเอง
    และบอกว่า ‘นี่คือพระเจ้าของเจ้าที่นำเจ้าออกมาจากอียิปต์’
ถึงแม้การกระทำนี้จะดูหมิ่นพระองค์อย่างยิ่ง
19 แต่พระองค์เต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณา
    พระองค์ก็เลยไม่ได้ทอดทิ้งพวกเขาไว้ในทะเลทราย
เสาเมฆไม่ได้หยุดนำทางพวกเขาในการเดินทางตอนกลางวันและเสาไฟในตอนกลางคืน
    ก็ไม่ได้หยุดส่องแสงให้กับพวกเขาในทางที่พวกเขาควรจะไป
20 พระองค์ได้ให้พระวิญญาณอันดีของพระองค์เพื่อสอนพวกเขา
    พระองค์ไม่ได้เอาอาหารทิพย์ ไปจากปากของพวกเขา
และพระองค์ได้ให้น้ำเพื่อดับกระหายกับพวกเขา
21 พระองค์ดูแลพวกเขาเป็นเวลาสี่สิบปีในทะเลทราย
    โดยที่พวกเขาไม่ขาดอะไรเลย
    เสื้อผ้าของพวกเขาก็ไม่ฉีกขาด และเท้าของเขาก็ไม่บวม
22 พระองค์มอบอาณาจักรต่างๆและชนชาติต่างๆให้กับพวกเขา
    พระองค์ได้ให้แผ่นดินเหล่านี้กลายเป็นแนวชายแดนให้กับพวกเขา
พวกเขาได้ยึดครองแผ่นดินของกษัตริย์สิโหนแห่งเมืองเฮชโบน
    และแผ่นดินของกษัตริย์โอกแห่งแคว้นบาชาน
23 พระองค์ทำให้พวกเขามีลูกหลานมากมายมหาศาลเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้า
    พระองค์นำพวกเขามายังแผ่นดินที่พระองค์บอกบรรพบุรุษของพวกเขาให้เข้าไปยึดครอง
24 ดังนั้น พวกลูกหลานของพวกเขาจึงเข้าไปยึดครองแผ่นดินนั้น
    และพระองค์ได้ปราบพวกชาวคานาอันที่อาศัยอยู่เดิมให้พ่ายแพ้ไป
และให้พวกชาวคานาอันตกอยู่ในกำมือของบรรพบุรุษของพวกเรา รวมถึงพวกกษัตริย์ และประชาชนของแผ่นดินนั้น
    พวกบรรพบุรุษของพวกเราสามารถจัดการกับพวกเขาได้ตามใจชอบ
25 พวกเขายึดเมืองที่มีป้อมปราการและแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์
    พวกเขายึดบ้านต่างๆที่เต็มไปด้วยของดีๆที่มีทั้งบ่อน้ำที่ขุดไว้แล้ว ไร่องุ่น ต้นมะกอกและต้นผลไม้มากมาย
พวกเขากินกันจนอิ่มแปล้และอ้วนท้วน
    และพวกเขาต่างก็มีความสุขในความดีงามอันยิ่งใหญ่ของพระองค์
26 แต่พวกเขากลับไม่เชื่อฟัง และกบฏต่อพระองค์ และโยนบัญญัติของพระองค์ทิ้งไป
    นอกจากนั้นพวกเขายังฆ่าพวกผู้พูดแทนพระองค์ที่ได้ตักเตือนพวกเขาให้กลับมาหาพระองค์
พวกเขาได้ดูหมิ่นพระองค์อย่างใหญ่หลวง
27 ดังนั้นพระองค์จึงมอบพวกเขาให้ตกไปอยู่ในกำมือพวกศัตรู
    และศัตรูพวกนั้น ได้ข่มเหงพวกเขาอย่างทารุณโหดร้าย
ในยามที่พวกเขาทุกข์ยาก พวกเขาต่างร้องขอความช่วยเหลือจากพระองค์
    และพระองค์ได้ยินเสียงพวกเขาจากสวรรค์
พระองค์ก็ส่งผู้กู้ชาติมาช่วยพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่าให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของพวกศัตรู
    เพราะพระองค์เต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณา
28 แต่ทันทีที่พวกเขาได้รับการปลดปล่อยจากพวกศัตรู
    พวกเขาก็ได้ทำในสิ่งที่พระองค์ถือว่าเป็นสิ่งชั่วร้ายอีก
ดังนั้นพระองค์จึงปล่อยให้พวกเขาตกไปอยู่ในกำมือของพวกศัตรูอีก
    แล้วพวกศัตรูเหล่านั้นก็ได้ปกครองเหนือพวกเขา
แต่แล้วเมื่อพวกเขาร้องขอความช่วยเหลือจากพระองค์
    พระองค์ก็ได้ยินพวกเขาจากสวรรค์
แล้วช่วยกู้พวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า
    เพราะพระองค์เต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณา
29 พระองค์เตือนพวกเขาเพื่อให้พวกเขากลับมาหาคำสอนของพระองค์
    แต่พวกเขากลับเย่อหยิ่งจองหองและไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่งต่างๆของพระองค์
พวกเขาทำบาปต่อกฎของพระองค์ซึ่งเป็นกฎที่นำชีวิตมาให้กับคนที่รักษากฎเหล่านั้น
    พวกเขายักไหล่อย่างดื้อรั้นและหัวแข็งดื้อดึง และไม่ยอมฟัง
30 พระองค์อดทนกับพวกเขาอยู่หลายปี
    และพระองค์ได้เตือนพวกเขาด้วยพระวิญญาณผ่านทางพวกผู้พูดแทนพระองค์
แต่พวกเขาก็ยังไม่ยอมฟัง
    จนในที่สุดพระองค์ได้มอบพวกเขาให้กับพวกชนชาติต่างๆ
31 แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม พระองค์ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณา
    พระองค์ไม่ได้ทำลายพวกเขาอย่างสิ้นซาก
และไม่ได้ทอดทิ้งพวกเขา
    เพราะพระองค์เป็นพระเจ้าผู้ทรงพระคุณและความเมตตากรุณา
32 ข้าแต่พระเจ้าของพวกเรา พระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ผู้มีฤทธิ์อำนาจและน่าเกรงขาม
    พระองค์รักษาคำมั่นสัญญาด้วยความรักอันสัตย์ซื่อ
ขอพระองค์อย่าได้ถือว่าความทุกข์ยากทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับพวกเราตั้งแต่สมัยของกษัตริย์อัสซีเรียจนถึงตอนนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยเลย
    คือ ความทุกข์ยากที่เกิดขึ้นกับพวกกษัตริย์ของเรา กับพวกผู้นำเรา กับเหล่านักบวชของเรา กับคนเหล่านั้นที่พูดแทนพระองค์ให้กับเรา กับพวกบรรพบุรุษของเรา และกับประชาชนทุกคนของพระองค์
33 ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรานั้น พระองค์ทำอย่างยุติธรรมแล้ว
    พระองค์ทำในสิ่งที่ซื่อสัตย์ ในขณะที่พวกเราทำแต่ความผิด
34 พวกกษัตริย์ พวกผู้นำ พวกนักบวช และพวกบรรพบุรุษของเรา ไม่ได้รักษากฎบัญญัติของพระองค์
    พวกเขาไม่ใส่ใจกับคำสั่งต่างๆและคำตักเตือนที่พระองค์ให้กับพวกเขา
35 แม้แต่ตอนที่พวกเขาอยู่ในอาณาจักรของพวกเขาเอง และมีความสุขกับความเจริญรุ่งเรืองอันยิ่งใหญ่ และแผ่นดินอันกว้างใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์ที่พระองค์มอบให้กับพวกเขา
    พวกเขาก็ไม่ได้รับใช้พระองค์และไม่ได้หันไปจากการกระทำอันชั่วร้ายของพวกเขา
36 ดูสิ วันนี้พวกเราได้ตกเป็นทาส
    พระองค์ได้ยกแผ่นดินนี้ให้กับบรรพบุรุษของพวกเรา
เพื่อพวกเขาจะได้กินผลไม้และสิ่งดีๆจากแผ่นดินนี้
    แต่พวกเรากลับตกเป็นทาสอยู่ในแผ่นดินนี้
37 แล้วผลผลิตมากมายของแผ่นดินนี้
    ตอนนี้ได้ตกไปเป็นของพวกกษัตริย์ที่พระองค์ได้ตั้งไว้เหนือเราเนื่องจากบาปที่เราทำ
พวกเขาใช้อำนาจเหนือเราและฝูงสัตว์ของเราตามความพอใจของพวกเขา
    ในขณะที่เราต้องทนทุกข์อย่างใหญ่หลวง
38 แต่ถึงแม้ว่าเราจะเจอกับเรื่องทั้งหมดนี้ เราก็กำลังทำสัญญาอันมั่นคงกับพระองค์
    และบันทึกไว้แล้วให้พวกผู้นำ พวกชาวเลวีและพวกนักบวชของเราลงชื่อและประทับตรา[l] ของพวกเขาไว้”

กิจการ 3

เปโตรรักษาคนง่อย

วันหนึ่งตอนบ่ายสามโมง ซึ่งเป็นเวลาสำหรับการอธิษฐาน เปโตรและยอห์นเดินไปที่วิหาร มีชายคนหนึ่งเป็นง่อยมาตั้งแต่เกิด ทุกวันจะมีคนอุ้มมาวางไว้ที่ประตูวิหาร ซึ่งประตูนั้นเรียกว่าประตูงาม เพื่อขอทานกับคนที่เดินเข้ามาในวิหารนี้ พอชายคนนี้เห็นเปโตร และยอห์นกำลังเดินมา เขาก็ร้องขอเงิน เปโตรกับยอห์นจ้องไปที่ชายคนนี้แล้วพูดว่า “มองดูพวกเราสิ” ชายขอทานก็มองไปที่คนทั้งสอง เพราะคิดว่าจะได้เงินจากพวกเขา แต่เปโตรพูดว่า “ผมไม่มีเงินทองหรอก แต่ผมมีอย่างอื่นจะให้ ด้วยอำนาจของพระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธ ลุกขึ้นเดินเดี๋ยวนี้” แล้วเปโตรก็จับมือขวาของชายคนนั้นพยุงให้ลุกขึ้นมา เท้าและข้อเท้าของเขาก็มีเรี่ยวแรงขึ้นมาทันที เขาเดินกระโดดโลดเต้นร้องสรรเสริญพระเจ้า และเขาเข้าไปในวิหารพร้อมกับเปโตรและยอห์น คนทั้งหมดมองเห็นเขาเดินร้องสรรเสริญพระเจ้า 10 ทุกคนจำได้ว่าเขาคือชายที่นั่งขอทานอยู่ที่ประตูงามนั้น พวกเขาจึงแปลกใจมากและพากันสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับชายคนนี้

เปโตรพูดกับผู้คน

11 ชายคนนี้ไม่ยอมห่างเปโตรและยอห์นไปไหนเลย คนทั้งหมดต่างก็แปลกใจ และวิ่งตามกันมาดูพวกเขาที่ระเบียงของซาโลมอน 12 เมื่อเปโตรเห็นอย่างนั้น ก็พูดกับพวกเขาว่า “ชาวอิสราเอล พวกคุณแปลกใจกับเรื่องนี้ทำไม แล้วจ้องมองเราทำไม ทำอย่างกับว่าเราทำให้ชายคนนี้เดินได้ด้วยอำนาจหรือความเคร่งศาสนาของเราเองอย่างนั้นแหละ 13 พระเจ้าของอับราฮัม อิสอัคและยาโคบ ซึ่งเป็นพระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกเรา ได้ทำให้คนเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระเยซูผู้รับใช้ของพระองค์ พระเยซูก็คือคนที่พวกคุณได้ส่งไปให้เขาฆ่า และพวกคุณไม่ยอมรับพระองค์ต่อหน้าปีลาต ทั้งๆที่ปีลาตตัดสินใจปล่อยพระองค์ให้เป็นอิสระ 14 คุณไม่ยอมรับองค์พระผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่ทำตามใจพระเจ้า แต่กลับขอให้ปีลาตปล่อยตัวฆาตกรแทน 15 พวกคุณได้ฆ่าผู้ที่ให้ชีวิต แต่พระเจ้าได้ทำให้พระองค์ฟื้นขึ้นมาใหม่ เราเป็นพยานได้ในเรื่องนี้ 16 ชายง่อยคนนี้หายได้ เพราะความเชื่อในฤทธิ์เดชของพระเยซู คุณก็เห็นและรู้จักเขาดีนี่ แต่ความเชื่อของเราในฤทธิ์เดชของพระเยซูทำให้เขาหายเป็นปกติอย่างที่พวกคุณเห็นอยู่ 17 พี่น้องครับ ผมรู้นะว่าที่พวกคุณและพวกผู้นำของคุณได้ทำอย่างนั้นกับพระเยซู พวกคุณเองก็ไม่รู้หรอกว่าได้ทำอะไรลงไป 18 แต่พระเจ้าได้พูดถึงเรื่องนี้ไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว ผ่านทางปากของพวกผู้พูดแทนพระเจ้าว่า กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของพระองค์จะต้องทนทุกข์ทรมาน แล้วตอนนี้พระเจ้าก็ทำให้มันเกิดขึ้นจริง 19 ดังนั้นกลับตัวกลับใจเสียใหม่ หันกลับมาหาพระเจ้า แล้วพระเจ้าจะลบล้างความบาปให้กับคุณ 20 แล้วองค์เจ้าชีวิตก็จะให้ความสดชื่นกับคุณอีกครั้ง และพระองค์จะส่งพระเยซู ผู้ที่พระองค์ได้เลือกไว้ให้เป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ มาให้กับคุณอีกด้วย 21 แต่พระเยซูจะต้องอยู่ในสวรรค์ก่อน จนกว่าพระเจ้าจะทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ใหม่เสียก่อน เหมือนกับที่พระเจ้าได้สัญญาไว้ในสมัยก่อน ผ่านทางคนเหล่านั้นที่ถูกอุทิศไว้ให้เป็นให้พูดแทนพระองค์ 22 โมเสสพูดว่า ‘องค์เจ้าชีวิต พระเจ้าของคุณจะแต่งตั้งผู้พูดแทนพระเจ้าคนหนึ่งที่เหมือนกับผมนี้ให้กับคุณ โดยที่เขาจะเป็นคนหนึ่งในพวกคุณ คุณจะต้องฟังทุกอย่างที่เขาบอก 23 ใครไม่เชื่อฟังผู้พูดแทนพระเจ้าคนนี้ก็จะต้องตาย และถูกตัดออกจากการเป็นคนของพระเจ้า’[a] 24 ซามูเอลและผู้พูดแทนพระเจ้าคนอื่นๆที่มาทีหลังต่างก็พูดถึงเวลานี้กันทั้งนั้น 25 คุณเป็นลูกหลานของผู้พูดแทนพระเจ้าเหล่านั้น และมีส่วนร่วมในคำสัญญาที่พระเจ้าได้ทำไว้กับบรรพบุรุษของคุณด้วย พระองค์พูดกับอับราฮัมว่า ‘ทุกชนชาติในโลกจะได้รับพระพรผ่านทางลูกหลานของเจ้า’[b] 26 เมื่อพระเจ้าได้เลือกพระเยซูผู้รับใช้ของพระองค์ พระองค์ก็ได้ส่งพระเยซูมาให้กับพวกคุณชาวอิสราเอลก่อน เพื่ออวยพรพวกคุณ ให้แต่ละคนหันหลังให้กับความชั่วร้ายของตัวเอง”

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International