Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Old/New Testament

Each day includes a passage from both the Old Testament and New Testament.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
2 พงศ์กษัตริย์ 19-21

พระยาห์เวห์กู้ยูดาห์จากเซนนาเคอริบ

(2 พศด. 32:20-23; อสย. 37:1-7)

19 เมื่อกษัตริย์เฮเซคียาห์[a] ได้ยินอย่างนั้น พระองค์ก็ฉีกเสื้อผ้าด้วยความโศกเศร้า แล้วเอาผ้ากระสอบมาสวมแทน และพระองค์ก็เข้าไปในวิหารของพระยาห์เวห์ พระองค์ได้ให้เอลียาคิมผู้ดูแลวัง เชบนาเลขานุการของพระองค์ และพวกนักบวชอาวุโส สวมผ้ากระสอบไปหาผู้พูดแทนพระเจ้าชื่ออิสยาห์ ลูกชายของอามอส

พวกเขาพูดกับอิสยาห์ว่า “กษัตริย์เฮเซคียาห์ พูดอย่างนี้ว่า ‘นี่เป็นเวลาแห่งความเดือดร้อน การลงโทษ และความอับอาย พวกเราเป็นเหมือนผู้หญิงพร้อมคลอดแล้ว แต่ไม่มีแรงเบ่งลูกออกมา ไม่แน่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านได้ยินคำพูดทั้งหมดของแม่ทัพนั้นแล้ว กษัตริย์อัสซีเรียเจ้านายของเขาได้ส่งเขามาเพื่อเยาะเย้ยพระเจ้าผู้มีชีวิตอยู่ ไม่แน่นะพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านอาจจะลงโทษเขาเมื่อได้ยินอย่างนั้นก็ได้ อย่างนั้นช่วยอธิษฐานสำหรับคนของเราที่ยังเหลือรอดอยู่’”

เมื่อพวกข้าราชการของกษัตริย์เฮเซคียาห์มาหาอิสยาห์ อิสยาห์บอกกับพวกเขาว่า “ให้บอกกับเจ้านายของพวกท่านว่า ‘พระยาห์เวห์ได้พูดไว้ว่า “ไม่ต้องกลัวคำพูดต่างๆที่เจ้าได้ยินมา คือคำพูดที่พวกคนรับใช้ของกษัตริย์อัสซีเรียได้ลบหลู่เรานั้น ตัวเราเองจะใส่วิญญาณแห่งความกังวลเข้าในกษัตริย์อัสซีเรีย เพื่อว่าเมื่อเขาได้ยินข่าวลือ เขาจะได้รีบกลับไปยังแผ่นดินของเขา แล้วเราจะทำให้เขาล้มตายลงด้วยดาบในแผ่นดินของเขาเอง”’”

กองทัพอัสซีเรียถอยทัพจากเยรูซาเล็ม

(อสย. 37:8-13)

กษัตริย์ของอัสซีเรียได้ออกจากเมืองลาคีชไปยังเมืองลิบนาห์ เมื่อแม่ทัพของเขาได้ยินอย่างนั้น เขาก็ตามไปเมืองลิบนาห์ และพบว่ากษัตริย์อัสซีเรียกำลังสู้รบอยู่กับเมืองนั้น และเมื่อกษัตริย์อัสซีเรียได้ยินเรื่องของกษัตริย์ทีระหะคาร์แห่งเอธิโอเปีย[b] ว่า “ดูสิ กษัตริย์ทีระหะคาร์ได้ยกทัพมาทำสงครามกับท่าน”

พระองค์ก็ส่งพวกผู้ถือสารไปหากษัตริย์เฮเซคียาห์อีกครั้งหนึ่ง และสั่งพวกเขาว่า 10 “ให้ไปบอกกับกษัตริย์เฮเซคียาห์ของยูดาห์ด้วยว่า อย่าให้พระเจ้าที่เจ้าไว้วางใจนั้น หลอกลวงพวกเจ้า เมื่อพระองค์พูดว่า

‘เยรูซาเล็มจะไม่มีวันตกไปอยู่ในเงื้อมมือของกษัตริย์อัสซีเรีย’[c] 11 ดูสิ เจ้าก็ได้ยินถึงสิ่งที่พวกกษัตริย์ของอัสซีเรียได้ทำกับแผ่นดินทั้งหมดเหล่านั้นแล้ว พวกเขาได้ทำลายพวกมันจนราบคาบ แล้วเจ้าคิดว่าเจ้าจะหนีรอดพ้นหรือ 12 มีพวกพระของชนชาติไหนบ้าง ที่ช่วยพวกเขาให้รอด ตอนที่ถูกบรรพบุรุษของข้าทำลาย พวกเขาได้ทำลายเมืองโกซาน ฮาราน เรเซฟ และประชาชนของเอเดน[d] ที่อาศัยอยู่ในเทลอัสสาร์ 13 แล้วกษัตริย์ของฮามัท กษัตริย์ของอารปัด กษัตริย์ของเมืองเสฟารวาอิม กษัตริย์ของเฮนา หรือกษัตริย์ของอิฟวาห์ หายหัวไปไหนกันหมดแล้ว”

14 เฮเซคียาห์รับจดหมายจากพวกผู้ถือสารและอ่านมัน แล้วเขาก็ขึ้นไปที่วิหารของพระยาห์เวห์ แล้วเขาก็คลี่จดหมายฉบับนั้นออกต่อหน้าพระยาห์เวห์ 15 แล้วเขาก็อธิษฐานต่อหน้าพระยาห์เวห์ แล้วพูดว่า

“ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอล ผู้นั่งประทับบนบัลลังก์เหนือพวกทูตสวรรค์เครูบ มีแต่พระองค์ผู้เดียวเท่านั้นที่เป็นพระเจ้าของอาณาจักรทั้งหมดในโลก พระองค์เป็นผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก 16 ข้าแต่พระยาห์เวห์ ช่วยเงี่ยหูของพระองค์ฟังด้วยเถิด ข้าแต่พระยาห์เวห์ ช่วยเปิดตาของพระองค์ดูด้วยเถิด ช่วยฟังคำพูดของเซนนาเคอริบที่เขาได้ส่งมา เพื่อเยาะเย้ยพระเจ้าผู้มีชีวิตอยู่ด้วยเถิด

17 ข้าแต่พระยาห์เวห์ ก็จริงอยู่ที่พวกกษัตริย์อัสซีเรียได้ทำลายชนชาติพวกนั้น รวมทั้งดินแดนของพวกเขาด้วย 18 และได้โยนพวกพระของพวกนั้นลงในไฟ แต่พระพวกนั้นไม่ได้เป็นพระเจ้าจริง แต่เป็นฝีมือมนุษย์ที่ทำขึ้นมาจากไม้และหิน พวกมันก็เลยถูกทำลายไป 19 ดังนั้น ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเรา ข้าพเจ้าอ้อนวอนพระองค์ว่า ตอนนี้ช่วยกู้พวกเราให้พ้นจากเงื้อมมือของกษัตริย์อัสซีเรียด้วยเถิด เพื่ออาณาจักรทั้งหมดในโลกนี้จะได้รู้ว่า พระองค์พระยาห์เวห์คือพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว”

20 จากนั้นอิสยาห์ลูกชายของอามอส ได้ส่งคนไปบอกเฮเซคียาห์ว่า “นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลพูด คือ เราได้ยินเรื่องที่เจ้าได้อธิษฐานถึงเราเกี่ยวกับเซนนาเคอริบกษัตริย์ของอัสซีเรีย

21 ดังนั้น ให้รู้ว่านี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์พูดเกี่ยวกับเขาว่า
‘เซนนาเคอริบเอ๋ย
    ศิโยนสาวพรหมจรรย์ได้ดูถูกเจ้า เธอหัวเราะเยาะเจ้า
นางสาวเยรูซาเล็ม
    ส่ายหัวเยาะเจ้าในขณะที่เจ้าวิ่งหนี
22 เจ้าดูถูกใคร หรือพูดหมิ่นประมาทใครอยู่ รู้รึเปล่า
    เจ้าขึ้นเสียงใส่ใครอยู่ รู้รึเปล่า
เจ้าเหยียดตาใส่ใครอยู่ รู้รึเปล่า
    เจ้าได้ทำใส่เราผู้ศักดิ์สิทธิ์แห่งอิสราเอล
23 เจ้าได้เย้ยพระยาห์เวห์ ผ่านทางพวกผู้ส่งข่าวที่เจ้าส่งมา
    เจ้าพูดว่า “ข้าได้ปีนขึ้นไปด้วยรถรบมากมายของข้า
ถึงยอดเขา
    ยอดที่สูงที่สุดในเลบานอน
ข้าได้โค่นพวกต้นสนซีดาร์ที่สูงที่สุดของมัน
    และต้นสนที่ดีที่สุดของมัน
ข้าได้เข้าไปถึงส่วนที่ลึกที่สุดของประเทศนั้น
    ข้าไปถึงป่าไม้ที่ทึบที่สุดของมัน
24 ข้าได้ขุดบ่อน้ำไปทั่วในต่างแดน
    และดื่มจากบ่อน้ำพวกนั้น
ข้าได้เหยียบย่ำน้ำในลำธารทั้งหลายของอียิปต์
    จนมันเหือดแห้งไป”
25 กษัตริย์ของอัสซีเรีย เจ้าไม่เคยได้ยินหรือ
    เรื่องที่เราได้กำหนดไว้นานมาแล้ว
เรื่องที่เราได้วางแผนตั้งแต่สมัยโบราณ
    แล้วตอนนี้เรากำลังทำให้มันเกิดขึ้น
คือเราได้ให้เจ้าทำให้ป้อมปราการของเมืองต่างๆ
    กลายเป็นกองซากปรักหักพัง
26 ในขณะที่พลเมืองที่ขาดกำลังของเมืองเหล่านั้น
    กำลังตกใจกลัวและอับอาย
พวกเขาเป็นเหมือนพืชที่ท้องทุ่ง
    เป็นเหมือนหญ้าอ่อน
เป็นเหมือนหญ้าที่ขึ้นบนดาดฟ้า
    และถูกเผาแห้งไปด้วยลมตะวันออก[e]
27 แต่เราก็รู้แม้กระทั่งเวลาที่เจ้ายืนขึ้นหรือนั่งลง
    เวลาที่เจ้าออกไปหรือเข้ามา
    และเราก็รู้ตอนที่เจ้าเกรี้ยวกราดใส่เรา
28 เพราะเจ้าเกรี้ยวกราดใส่เรา
    เราได้ยินคำพูดที่หยิ่งยโสของเจ้า
อย่างนั้น เราจะเอาขอเกี่ยวจมูกของเจ้า
    เอาบังเหียนของเราใส่ปากเจ้า
และเราจะนำเจ้ากลับไปตามทางที่เจ้ามา’”

29 เฮเซคียาห์ นี่จะเป็นเรื่องที่พิสูจน์ว่าสิ่งที่เราพูดนี้จะเกิดขึ้นจริง คือในปีแรกนี้เจ้าจะปลูกอะไรไม่ได้เลย ให้เจ้ากินข้าวที่งอกขึ้นมาเองก่อน ในปีที่สอง ให้เจ้ากินสิ่งที่เกิดขึ้นเองอีก ในปีที่สาม ให้เจ้าหว่านข้าว และเก็บเกี่ยวมัน และให้เจ้าปลูกสวนองุ่นและกินผลของมัน 30 คนในครอบครัวยูดาห์ที่ยังหลงเหลืออยู่ จะเป็นเหมือนต้นไม้หยั่งรากลงข้างล่างและผลิผลขึ้นข้างบน 31 แล้วคนที่ยังเหลืออยู่ก็จะแผ่ขยายออกไปจากเยรูซาเล็ม คนที่ยังรอดชีวิตบางคน ก็จะออกมาจากภูเขาศิโยน ความรักอันแรงกล้าของพระยาห์เวห์จะทำอย่างนี้

32 แล้วนี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์พูดเกี่ยวกับกษัตริย์อัสซีเรีย

“เขาจะไม่ได้เข้ามาในเมืองเยรูซาเล็ม
เขาจะไม่ได้ยิงธนูใส่เมืองนี้หรอก
เขาจะไม่ได้ถือโล่มาเผชิญหน้ากับเมืองนี้
เขาจะไม่ได้สร้างเนินดินบุกขึ้นกำแพง
33 เขาจะต้องกลับไปทางเดิมที่เขามา
เขาจะไม่ได้เข้าเมืองหรอก
พระยาห์เวห์พูดไว้ว่าอย่างนี้
34 เพราะเราจะป้องกันเมืองนี้ เพื่อให้มันรอด
เราจะทำสิ่งนี้เพื่อเห็นแก่หน้าเรา
และเพื่อเห็นแก่สัญญาที่เราได้ให้ไว้กับดาวิดผู้รับใช้เรา”

35 แล้วในคืนนั้น ทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์ก็ออกไป และฆ่าทหารในค่ายของอัสซีเรียไปหนึ่งแสนแปดหมื่นห้าพันคน เมื่อคนตื่นขึ้นในตอนเช้า ก็เห็นศพเกลื่อนกลาดไปหมด 36 ดังนั้นเซนนาเคอริบ กษัตริย์ของอัสซีเรียก็กลับบ้าน และไปอาศัยอยู่ที่เมืองนีนะเวห์

37 วันหนึ่ง ในขณะที่ท่านกำลังนมัสการอยู่ในวัดของนิสรคพระของท่านอยู่นั้น ลูกชายของท่านคืออัดรัมเมเลค และชาเรเซอร์ ก็ได้ฆ่าท่านด้วยดาบ และพวกเขาก็หนีไปที่แผ่นดินอารารัต แล้วลูกของท่านคือ เอสารฮัดโดน ก็ขึ้นเป็นกษัตริย์ของอัสซีเรียแทนท่าน

เฮเซคียาห์ป่วยใกล้ตาย

(2 พศด. 32:24-26; อสย. 38:1-8, 21-22)

20 ในช่วงนั้นเฮเซคียาห์ป่วยใกล้ตายแล้ว อิสยาห์ผู้พูดแทนพระเจ้าลูกชายของอามอสก็ได้มาหาท่านและพูดว่า “นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์พูด ‘ให้สั่งเสียคนในครัวเรือนของเจ้าให้เรียบร้อย เพราะเจ้ากำลังจะตาย เจ้าจะไม่หายหรอก’”

แล้วเฮเซคียาห์ก็หันหน้าเข้าข้างฝา และอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์ว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอได้โปรดอย่าลืมว่าข้าพเจ้านั้นได้รับใช้พระองค์อย่างสัตย์ซื่อด้วยสุดหัวใจของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าได้ทำในสิ่งที่พระองค์เห็นว่าดี” แล้วเฮเซคียาห์ก็ร้องห่มร้องไห้เสียงดัง

ก่อนที่อิสยาห์จะออกมาจากลานส่วนกลาง พระยาห์เวห์ก็ได้พูดกับเขาว่า “กลับไปบอกกับเฮเซคียาห์ ผู้นำประชาชนของเราว่า พระยาห์เวห์ พระเจ้าของดาวิด ที่เป็นบรรพบุรุษของท่านพูดว่า ‘เราได้ยินคำอธิษฐานของเจ้าแล้ว และได้เห็นน้ำตาของเจ้าด้วย เราจะรักษาเจ้า นับจากวันนี้ไปสามวัน เจ้าจะลุกขึ้นไปที่วิหารของพระยาห์เวห์ได้ เราจะต่อชีวิตให้กับเจ้าอีกสิบห้าปี และเราจะช่วยกู้เจ้าและเมืองนี้ให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของกษัตริย์อัสซีเรีย และเราก็จะป้องกันเมืองนี้ไว้ เพื่อเห็นแก่หน้าเราและเพื่อเห็นแก่สัญญาที่เราได้ให้ไว้กับดาวิดผู้รับใช้เรา’”

แล้วอิสยาห์ก็พูดว่า “ให้เอามะเดื่อมาบี้เข้าด้วยกัน แล้วโปะเข้าไปที่แผลเปื่อยของเขา แล้วเขาก็จะหาย”

แล้วเฮเซคียาห์ได้ถามอิสยาห์ว่า “จะมีเหตุการณ์พิเศษอะไรที่พิสูจน์ว่าพระยาห์เวห์จะรักษาเรา แล้วเราจะได้ลุกขึ้นไปที่วิหารของพระยาห์เวห์ในอีกสามวัน”

อิสยาห์ตอบว่า “ท่านต้องการอย่างไหนละ จะให้เงาทอดไปข้างหน้าสิบขั้น หรืออยากให้มันย้อนกลับไปข้างหลังสิบขั้น เพราะนี่คือเหตุการณ์พิเศษที่พระยาห์เวห์จะทำให้กับท่านดู เพื่อท่านจะได้แน่ใจว่าพระองค์จะทำในสิ่งที่พระองค์ได้สัญญาไว้”

10 เฮเซคียาห์ตอบว่า “จะให้เงาทอดไปข้างหน้าสิบขั้นนั้นง่ายกว่าที่จะให้มันย้อนกลับไปข้างหลังสิบขั้น”

11 แล้วอิสยาห์ผู้พูดแทนพระเจ้าได้ร้องขอต่อพระยาห์เวห์ และพระองค์ก็ทำให้เงาย้อนกลับไปด้านหลังสิบขั้น มันย้อนกลับไปบนขั้นบันไดของอาหัส[f]

เฮเซคียาห์อวดทรัพย์สมบัติ

(อสย. 39:1-8)

12 หลังจากนั้นไม่นาน กษัตริย์เมโรดัค-บาลาดัน ลูกชายของบาลาดันแห่งบาบิโลนได้ส่งพวกทูตถือพวกจดหมายและของขวัญมาให้กับเฮเซคียาห์ เพราะเมโรดัค-บาลาดันได้ยินข่าวว่าเฮเซคียาห์ป่วย 13 เฮเซคียาห์ได้ต้อนรับพวกทูตเหล่านั้น และพาพวกเขาไปดูคลังสมบัติทั้งหมดของเขา ทั้งเงินทองและเครื่องเทศต่างๆรวมทั้งน้ำมันที่มีค่า คลังอาวุธ และทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในพวกคลังเก็บของ เฮเซคียาห์พาพวกเขาไปดูทุกซอกทุกมุมของวังและทั่วราชอาณาจักรของเขา

14 แล้วอิสยาห์ผู้พูดแทนพระเจ้า ก็ได้มาหากษัตริย์เฮเซคียาห์ และพูดกับเขาว่า “คนพวกนี้มาพูดอะไร และพวกเขามาหาท่านจากที่ไหนกัน”

แล้วเฮเซคียาห์ตอบว่า “พวกเขามาหาข้าจากแดนไกลโน้น มาจากบาบิโลน”

15 อิสยาห์ถามอีกว่า “พวกเขาเห็นอะไรบ้างในวังของท่าน”

เฮเซคียาห์ก็ตอบว่า “พวกเขาเห็นทุกสิ่งทุกอย่างในวังของข้า ไม่มีอะไรเลยในพวกคลังเก็บของของข้า ที่ข้าไม่ได้ให้พวกเขาดู”

16 แล้วอิสยาห์ก็บอกกับเฮเซคียาห์ว่า “ฟังให้ดี นี่คือข่าวสารจากพระยาห์เวห์ 17 เวลานั้นกำลังจะมาถึง ที่ทุกสิ่งทุกอย่างในวังของท่าน รวมทั้งทุกสิ่งที่บรรพบุรุษของท่านได้เก็บสะสมมาให้จนถึงทุกวันนี้ จะถูกขนย้ายไปที่บาบิโลน จะไม่มีอะไรเหลือเลย พระยาห์เวห์พูดไว้ว่าอย่างนั้น 18 พวกเขาจะเอาลูกๆของท่านบางคนไป พวกลูกชายของท่านเอง พวกลูกหลานชายของท่าน จะกลายเป็นพวกขันทีในวังของกษัตริย์บาบิโลน”

19 แล้วเฮเซคียาห์ก็พูดกับอิสยาห์ว่า “ข่าวสารของพระยาห์เวห์ที่ท่านพูดมานั้นดี” เพราะเขาคิดว่า “ทำไมจะไม่ดีละ ถ้ามันจะมีสันติสุขและความมั่นคงปลอดภัยในยุคสมัยของข้า”

เฮเซคียาห์ตาย

(2 พศด. 32:32-33)

20 ส่วนเหตุการณ์อื่นๆในยุคสมัยของเฮเซคียาห์ ความสำเร็จทุกอย่างของเขาและวิธีที่เขาได้สร้างสระน้ำและอุโมงค์[g] ที่ทำให้เขาสามารถนำน้ำเข้ามาใช้ในเมือง ได้จดบันทึกไว้แล้วในหนังสือประวัติของบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์ 21 เฮเซคียาห์ตายไปอยู่กับบรรพบุรุษของเขา และมนัสเสห์ลูกชายของเขาก็ขึ้นเป็นกษัตริย์สืบต่อจากเขา

มนัสเสห์ปกครองยูดาห์

(2 พศด. 33:1-20)

21 มนัสเสห์มีอายุสิบสองปีเมื่อเขาได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ และเขาได้ครองราชย์อยู่ในเมืองเยรูซาเล็มเป็นเวลาห้าสิบห้าปี แม่ของเขามีชื่อว่าเฮฟซีบาห์

มนัสเสห์ได้ทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระยาห์เวห์ เขาได้ทำสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนต่างๆเหมือนกับที่ชนชาติเหล่านั้นได้ทำ คือพวกชนชาติที่พระยาห์เวห์ได้ขับไล่ออกไปตอนที่อิสราเอลย้ายเข้ามาในแผ่นดิน มนัสเสห์ได้สร้างสถานนมัสการต่างๆขึ้นมาใหม่ ที่เฮเซคียาห์พ่อของเขาเคยทำลายไปแล้ว เขายังได้ตั้งแท่นบูชาทั้งหลายให้กับพระบาอัลและสร้างเสาเจ้าแม่อาเชราห์ขึ้นเหมือนกับที่กษัตริย์อาหับของอิสราเอลเคยทำไว้ เขากราบไหว้ดวงดาวทั้งหลายบนท้องฟ้า และไปรับใช้พวกมัน เขาได้สร้างพวกแท่นบูชาให้กับพวกพระต่างชาติขึ้นในวิหารของพระยาห์เวห์ ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระยาห์เวห์เคยพูดไว้ว่า “เราจะวางชื่อของเราไว้ในเมืองเยรูซาเล็ม” มนัสเสห์ยังได้สร้างแท่นบูชาขึ้นสองแท่นให้กับดวงดาวทั้งหลายตรงลานทั้งสองในวิหารของพระยาห์เวห์ เขาได้เอาลูกชายของเขามาเผาไฟ[h] เป็นเครื่องบูชา เขาได้ทำเวทมนตร์คาถา และดูหมอ และไปปรึกษากับพวกคนทรงเจ้า และพวกหมอผี[i] เขาได้ทำความชั่วมากมายในสายตาของพระยาห์เวห์ ซึ่งยั่วยุให้พระองค์โกรธ เขาได้ให้คนแกะสลักเสาของเจ้าแม่อาเชราห์[j] ขึ้นมา และนำมันไปวางไว้ในวิหารที่พระยาห์เวห์เคยพูดไว้กับดาวิดและซาโลมอนลูกของดาวิดว่า “ในวิหารแห่งนี้และในเมืองเยรูซาเล็มที่เราได้เลือกออกมาจากเผ่าทั้งหมดของชนชาติอิสราเอล เราจะวางชื่อของเราไว้ที่นี่ตลอดไป แล้วถ้าพวกเขาเพียงแต่ระมัดระวังที่จะทำตามในสิ่งที่เราได้สั่งพวกเขาไว้ และรักษากฎทุกข้อที่โมเสสผู้รับใช้ของเราได้ให้กับพวกเขา เราก็จะไม่ทำให้พวกอิสราเอลต้องเดินเร่ร่อนพเนจรอีกต่อไปจากแผ่นดินที่เราได้ยกให้กับบรรพบุรุษของพวกเขา” แต่ประชาชนไม่ยอมฟังพระเจ้า มนัสเสห์ได้นำพวกเขาให้หลงผิดไปทำชั่วยิ่งกว่าพวกชนชาติที่พระยาห์เวห์ได้ทำลายไปตอนที่ชาวอิสราเอลย้ายเข้ามาในแผ่นดิน

10 พระยาห์เวห์พูดผ่านพวกผู้พูดแทนพระเจ้า ที่เป็นผู้รับใช้ของพระองค์ว่า 11 “กษัตริย์มนัสเสห์แห่งยูดาห์ได้ทำบาปที่น่าสะอิดสะเอียนหลายเรื่อง เขาได้ทำสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าที่พวกอาโมไรต์ที่เคยอยู่ก่อนหน้าเขาได้ทำไว้ เขาทำให้ยูดาห์ทำบาปไปด้วย กับพวกรูปเคารพขี้ๆทั้งหลายของเขา 12 ดังนั้น พระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลจึงพูดว่า ‘เราจะนำเรื่องเลวร้ายมาสู่เยรูซาเล็มและยูดาห์ถึงขนาดที่ว่าถ้าใครได้ยินเข้า หูเขาจะต้องเสียวแปลบ

13 เราจะเอาสายวัดที่เคยใช้กับเมืองสะมาเรีย[k] และลูกตุ้มน้ำหนัก[l] ที่เคยใช้กับครอบครัวของอาหับออกมาใช้กับเยรูซาเล็ม เราจะเช็ดล้างเยรูซาเล็มให้เรียบเหมือนกับเช็ดล้างชามใบหนึ่ง แล้วคว่ำมันลง 14 เราจะโยนผู้รับมรดกของเราที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดทิ้งไป และมอบพวกเขาให้ไปอยู่ในกำมือของพวกศัตรูเขา พวกเขาจะตกเป็นเหยื่อและเป็นของที่ถูกปล้นมาได้โดยศัตรูทั้งสิ้นของพวกเขา 15 เพราะพวกเขาได้ทำสิ่งชั่วร้ายในสายตาของเราและมายั่วให้เราโกรธ ตั้งแต่วันที่พวกบรรพบุรุษของพวกเขาออกมาจากอียิปต์จนถึงทุกวันนี้ 16 นอกจากบาปที่มนัสเสห์เป็นต้นเหตุให้ยูดาห์พลอยทำไปด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระยาห์เวห์ มนัสเสห์ก็ยังทำให้เลือดของผู้บริสุทธิ์ไหลนองไปทั่วเมืองเยรูซาเล็มจากด้านหนึ่งไปจดอีกด้านหนึ่ง’”

17 ส่วนเหตุการณ์อื่นๆในยุคสมัยของมนัสเสห์ และทุกอย่างที่เขาได้ทำ รวมทั้งความบาปของเขา ได้จดบันทึกไว้แล้วในหนังสือประวัติของพวกกษัตริย์แห่งยูดาห์ 18 มนัสเสห์ได้ตายไปอยู่กับบรรพบุรุษของเขาและศพของเขาถูกฝังอยู่ในสวนอุสซาห์ซึ่งเป็นสวนที่อยู่ในวังของเขา และอาโมนลูกชายของเขาก็ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์สืบต่อจากเขา

อาโมนปกครองยูดาห์

(2 พศด. 33:21-25)

19 เมื่ออาโมนขึ้นเป็นกษัตริย์ เขามีอายุยี่สิบสองปี เขาได้ครองราชย์อยู่ในเมืองเยรูซาเล็มเป็นเวลาสองปี แม่ของเขาชื่อว่าเมชุลเลเมท นางเป็นลูกสาวของฮารูสที่มาจากเมืองโยทบาห์

20 อาโมนได้ทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระยาห์เวห์ เหมือนกับที่มนัสเสห์พ่อของเขาทำ 21 เขาได้เลียนแบบพ่อของเขาทุกอย่าง เขานมัสการพวกรูปเคารพที่พ่อของเขานมัสการ และไปกราบไหว้รูปเคารพเหล่านั้น 22 เขาได้ละทิ้งพระยาห์เวห์ พระเจ้าของบรรพบุรุษของเขา และไม่ยอมเดินตามทางของพระยาห์เวห์

23 พวกข้าราชการของอาโมนได้วางแผนกันกบฏต่อเขาและได้ลอบฆ่าเขาในวังของเขา 24 แล้วประชาชนในแผ่นดินนั้นก็ได้ฆ่าพวกที่รวมหัวกันฆ่ากษัตริย์อาโมน และพวกเขาก็ได้ยกโยสิยาห์ลูกชายของอาโมนขึ้นเป็นกษัตริย์แทนพ่อของเขา

25 ส่วนเหตุการณ์อื่นๆในยุคสมัยของอาโมนและสิ่งที่เขาได้ทำไป ได้จดบันทึกไว้แล้วในหนังสือประวัติของบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์ 26 เขาได้ถูกฝังอยู่ในหลุมฝังศพในสวนอุสซาห์ และโยสิยาห์ลูกชายของเขาก็ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์สืบต่อจากเขา

ยอห์น 4:1-30

พระเยซูคุยกับหญิงชาวสะมาเรีย

เมื่อพระเยซูรู้เรื่องที่พวกฟาริสีได้ข่าวว่า พระองค์มีศิษย์มากกว่ายอห์น และทำพิธีจุ่มน้ำให้กับผู้คนอยู่ (ความจริงพระเยซูไม่ได้เป็นคนทำพิธีจุ่มน้ำเอง แต่พวกศิษย์ของพระองค์เป็นคนทำให้) พระเยซูก็เลยออกจากแคว้นยูเดีย กลับไปแคว้นกาลิลีอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งจะต้องผ่านแคว้นสะมาเรีย

ในแคว้นสะมาเรีย พระองค์เดินทางมาถึงเมืองสิคาร์ที่อยู่ใกล้ๆกับที่ดินที่ยาโคบได้ยกให้กับโยเซฟลูกชายของเขา[a] บ่อน้ำของยาโคบตั้งอยู่ที่นั่น พระเยซูนั่งพักเหนื่อยอยู่ข้างๆบ่อน้ำนั้นเพราะเดินทางมาไกล ตอนนั้นเป็นเวลาเที่ยงวัน มีหญิงชาวสะมาเรีย คนหนึ่งมาตักน้ำที่บ่อ พระเยซูพูดกับเธอว่า “ขอน้ำดื่มหน่อย” (พระเยซูอยู่คนเดียว เพราะพวกศิษย์ไปหาซื้ออาหารในเมือง)

หญิงชาวสะมาเรียพูดว่า “คุณมาขอน้ำฉันดื่มได้ยังไงกัน คุณเป็นคนยิว ฉันเป็นหญิงสะมาเรีย” (ปกติแล้วคนยิวจะไม่ยุ่งเกี่ยว[b] กับคนสะมาเรีย)

10 พระเยซูตอบหญิงนั้นว่า “นี่ถ้าคุณรู้ว่าพระเจ้าอยากให้อะไรกับคุณ และรู้ว่าเราที่ขอน้ำคุณดื่มอยู่นี้เป็นใคร คุณก็คงจะขอจากเรา และเราก็จะให้น้ำที่ให้ชีวิต[c] กับคุณ”

11 หญิงคนนั้นพูดว่า “คุณคะ แล้วคุณจะไปเอาน้ำที่ให้ชีวิตนั้นมาจากไหนล่ะ ในเมื่อถังตักน้ำก็ไม่มี แถมบ่อนี้ก็ลึก 12 คุณคงไม่ได้ยิ่งใหญ่ไปกว่ายาโคบ บรรพบุรุษของเราที่ให้บ่อน้ำนี้มาหรอกนะ ตัวยาโคบเองกับลูกๆและฝูงสัตว์เลี้ยงของเขาก็ดื่มน้ำจากบ่อนี้กันทั้งนั้นแหละ”

13 พระองค์ตอบว่า “ทุกคนที่ดื่มน้ำจากบ่อนี้ก็จะหิวน้ำอีก 14 แต่คนที่ดื่มน้ำที่เราให้จะไม่หิวน้ำอีกเลย เพราะน้ำที่เราให้เขาดื่มจะกลายเป็นน้ำพุที่ไหลไม่หยุดอยู่ในตัวเขาและนำชีวิตที่อยู่กับพระเจ้าตลอดไปมาให้”

15 หญิงคนนั้นจึงพูดว่า “คุณคะ ขอน้ำนั้นให้ฉันดื่มบ้างสิคะ จะได้ไม่หิวน้ำอีกและไม่ต้องกลับมาตักน้ำอีก”

16 พระองค์จึงบอกเธอว่า “ไปเรียกสามีของคุณมาที่นี่หน่อย”

17 เธอตอบว่า “ฉันไม่มีสามีค่ะ” พระองค์บอกว่า “เออ ก็จริงของคุณที่บอกว่าไม่มีสามี 18 เพราะคุณมีสามีมาห้าคนแล้ว และคนที่อยู่ด้วยตอนนี้ก็ไม่ใช่สามีของคุณ มันก็จริงอย่างที่คุณบอก”

19 เธอร้องว่า “คุณคะ ฉันเชื่อแล้วว่าคุณเป็นผู้พูดแทนพระเจ้า 20 บรรพบุรุษของเราได้กราบไหว้บูชาพระเจ้าที่ภูเขานี้ แต่พวกคุณชาวยิวกลับพูดว่าจะต้องไปกราบไหว้บูชาพระเจ้าที่เมืองเยรูซาเล็มเท่านั้น”

21 พระองค์ตอบว่า “เชื่อเราสิ ใกล้จะถึงเวลาแล้วที่มันจะไม่สำคัญอีกต่อไปว่าจะกราบไหว้บูชาพระเจ้าพระบิดาที่ภูเขานี้หรือที่เมืองเยรูซาเล็ม 22 จริงๆแล้วพวกคุณชาวสะมาเรียไม่รู้จักพระเจ้าที่พวกคุณกราบไหว้บูชาอยู่ แต่พวกเราชาวยิวรู้จักพระเจ้าที่พวกเรากราบไหว้บูชา เพราะพระเจ้าจะช่วยโลกนี้ให้รอดโดยผ่านทางชาวยิว 23 แต่เวลานั้นใกล้จะมาถึงแล้ว และตอนนี้ก็มาถึงแล้ว ที่ผู้คนกราบไหว้บูชาอย่างแท้จริงจะต้องกราบไหว้บูชาพระบิดาด้วยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยความจริง คนอย่างนี้แหละที่พระบิดาตามหาให้มากราบไหว้บูชาพระองค์อยู่ 24 พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ ดังนั้นคนที่กราบไหว้บูชาพระองค์จะต้องกราบไหว้บูชาด้วยอำนาจของพระวิญญาณและด้วยความจริง”

25 หญิงคนนั้นจึงพูดว่า “ฉันรู้ว่าพระเมสสิยาห์ (ที่เรียกว่า ‘พระคริสต์’) กำลังจะมา และเมื่อพระองค์มาแล้ว พระองค์จะอธิบายทุกอย่างให้เรารู้”

26 พระเยซูบอกเธอว่า “เราเองที่กำลังคุยกับคุณอยู่นี่ คือพระเมสสิยาห์”

27 ขณะนั้นพวกศิษย์ของพระองค์กลับมาถึงพอดี พวกเขาแปลกใจที่เห็นพระองค์กำลังพูดคุยอยู่กับผู้หญิง แต่ก็ไม่มีใครกล้าถามพระองค์ว่า “อาจารย์ต้องการอะไรหรือครับ” หรือ “ไปพูดกับเธอทำไมครับ”

28 ผู้หญิงคนนั้นทิ้งหม้อน้ำเอาไว้ และเข้าไปบอกผู้คนในเมืองว่า 29 “มาดูผู้ชายที่บอกอดีตของฉันได้สิ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเป็นพระเมสสิยาห์ก็ได้” 30 คนก็พากันออกจากเมืองไปหาพระเยซู

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International