Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Old/New Testament

Each day includes a passage from both the Old Testament and New Testament.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
1 พงศ์กษัตริย์ 8-9

การอุทิศวิหารให้กับพระยาห์เวห์

(2 พศด. 5:2-6:40)

แล้วกษัตริย์ซาโลมอนก็ได้เรียกพวกผู้อาวุโสของอิสราเอล พวกหัวหน้าเผ่าและพวกหัวหน้าครอบครัวของชาวอิสราเอลทุกคน ให้มาพบที่เมืองเยรูซาเล็ม เพื่อให้มาเป็นพยานในการย้ายหีบแห่งข้อตกลงของพระยาห์เวห์จากเมืองของดาวิด คือเมืองศิโยน ขึ้นไปยังวิหาร แล้วคนเหล่านั้นทั้งหมดของอิสราเอลก็ได้มาอยู่ร่วมกับกษัตริย์ซาโลมอน ในช่วงงานเทศกาล ในเดือนเอธานิม ซึ่งเป็นเดือนที่เจ็ด

เมื่อพวกผู้อาวุโสทั้งหมดของอิสราเอลมาถึง นักบวชทั้งหลายก็ได้ยกหีบแห่งข้อตกลงขึ้น และพวกเขาได้นำหีบของพระยาห์เวห์ออกมา รวมทั้งเต็นท์นัดพบ และเครื่องใช้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดภายในเต็นท์ พวกนักบวชและบรรดาชาวเลวี แบกของเหล่านั้นไว้ และกษัตริย์ซาโลมอนกับผู้ร่วมชุมนุมทั้งหมดของอิสราเอลที่ได้มารวมตัวอยู่กับเขาก็ไปอยู่ต่อหน้าหีบนั้น และได้ถวายแกะและวัวจำนวนมหาศาลจนนับไม่ถ้วนเป็นเครื่องบูชา แล้วพวกนักบวชก็นำหีบแห่งข้อตกลงของพระยาห์เวห์ เข้าไปในที่ของมันในห้องศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ที่อยู่ด้านในสุดของวิหาร และวางหีบนั้นไว้ที่ใต้ปีกของทูตสวรรค์มีปีกสององค์นั้น ทูตสวรรค์มีปีกทั้งสององค์กางปีกออกเหนือที่วางหีบนั้น และเงาของทูตสวรรค์นั้นก็ทอดยาวลงบนหีบและที่คานหามทั้งหมด คานหามเหล่านั้นยาวมาก จนปลายของคานนั้นสามารถมองเห็นได้จากห้องศักดิ์สิทธิ์หน้าห้องศักดิ์สิทธิ์ที่สุดนั้น แต่คนที่อยู่นอกห้องศักดิ์สิทธิ์ ก็จะมองไม่เห็น และคานเหล่านี้ยังคงอยู่ที่นั่นจนถึงทุกวันนี้ ในหีบนั้น ไม่มีสิ่งอื่นใด นอกจากแผ่นหินสองแผ่นที่โมเสสได้ใส่ลงไปตั้งแต่เมื่อครั้งที่เขาอยู่ที่ภูเขาโฮเรบ ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระยาห์เวห์ได้ทำข้อตกลงกับชาวอิสราเอล หลังจากที่พวกเขาได้ออกมาจากประเทศอียิปต์แล้ว

10 หลังจากที่พวกนักบวชออกไปจากห้องโถงศักดิ์สิทธิ์แล้ว ก็เกิดกลุ่มเมฆ[a] ขึ้นในวิหารของพระยาห์เวห์ 11 กลุ่มเมฆนั้น ทำให้พวกนักบวชไม่สามารถทำพิธีใดๆในนั้นได้เลย เพราะรัศมีของพระยาห์เวห์ ได้เข้าครอบคลุมวิหารของพระองค์แล้ว 12 แล้วซาโลมอนก็พูดว่า

“พระยาห์เวห์ได้พูดไว้ว่า
    พระองค์จะอาศัยอยู่ในเมฆดำทะมึนนั้น[b]
13 เราได้สร้างวิหารที่งามสง่าอย่างยิ่งสำหรับพระองค์
    เป็นสถานที่ที่พระองค์จะได้มาอาศัยอยู่ตลอดไป”

14 แล้วกษัตริย์ก็ได้หันไปหาคนอิสราเอลทั้งหมดที่ยืนชุมนุมกันอยู่ที่นั่น และขอให้พระเจ้าอวยพรพวกเขา

15 แล้วซาโลมอนก็พูดว่า

“ขอสรรเสริญองค์พระยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอล มือของพระองค์นั้นได้ทำให้เกิดความสำเร็จลุล่วง ตามที่พระองค์ได้สัญญาไว้ด้วยปากของพระองค์เองกับดาวิดพ่อของข้าพเจ้าว่า 16 ‘ตั้งแต่วันที่เราได้พาอิสราเอลชนชาติของเราออกจากแผ่นดินอียิปต์ เรายังไม่เคยเลือกเมืองหนึ่งเมืองใดจากเผ่าต่างๆของอิสราเอล เพื่อที่จะใช้สร้างวิหารเป็นเกียรติให้กับชื่อของเราเลย[c] แต่ตอนนี้เราได้เลือกดาวิดมา เพื่อให้เขามาปกครองอิสราเอลชนชาติของเรานั้น’

17 ดาวิดพ่อของข้าพเจ้าเคยคิดอยู่ในใจว่า เขาจะสร้างวิหารขึ้นหลังหนึ่งให้เป็นเกียรติกับชื่อของพระยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอล 18 แต่พระยาห์เวห์ได้พูดกับดาวิดพ่อของข้าพเจ้าว่า ‘ที่เจ้าคิดอยู่ในใจว่าจะสร้างวิหารขึ้นหลังหนึ่งสำหรับชื่อของเรานั้น นับเป็นสิ่งที่ดี 19 แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าจะไม่ใช่คนที่จะได้สร้างวิหารนั้น ลูกชายของเจ้าต่างหากจะเป็นคนสร้างวิหารนั้นให้กับชื่อของเรา ลูกชายที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเจ้าเอง’

20 พระยาห์เวห์ได้รักษาสัญญาที่พระองค์ได้ให้ไว้ เราได้สืบทอดบัลลังก์ต่อจากดาวิดพ่อของเรา และตอนนี้ เราก็ได้นั่งอยู่บนบัลลังก์ของอิสราเอลเหมือนกับที่พระยาห์เวห์ได้สัญญาไว้ และเราก็ได้สร้างวิหารหลังนั้นสำหรับชื่อของพระยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอลแล้ว 21 เราได้จัดสถานที่ขึ้นแห่งหนึ่งภายในวิหารนั้นเพื่อใช้วางหีบ ซึ่งในหีบนั้นมีข้อตกลงของพระยาห์เวห์ใส่อยู่ เป็นข้อตกลงที่พระองค์ได้ทำไว้กับบรรพบุรุษของพวกเรา ตอนที่พระองค์ได้นำพวกเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์”

22 แล้วซาโลมอนก็ไปยืนอยู่ต่อหน้าแท่นบูชาของพระยาห์เวห์ ที่อยู่ตรงหน้าที่ชุมนุมอิสราเอลทั้งหมด เขากางแขนออกและชูขึ้นบนฟ้าสวรรค์ 23 และเขาก็พูดว่า

“ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอล ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่จะเหมือนกับพระองค์ ไม่ว่าบนสวรรค์หรือในแผ่นดินโลก พระองค์เป็นผู้ที่รักษาข้อตกลงแห่งความรักอันมั่นคงกับพวกผู้รับใช้ของพระองค์ที่เชื่อฟังพระองค์อย่างสุดจิตสุดใจของเขา 24 พระองค์ได้รักษาข้อตกลงกับดาวิดพ่อของข้าพเจ้าที่เป็นผู้รับใช้ของพระองค์ พระองค์ได้สัญญาไว้ด้วยปากของพระองค์และในวันนี้พระองค์ก็ได้ทำให้คำสัญญานั้นสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีด้วยมือของพระองค์ 25 ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอล ขอรักษาสัญญาอื่นๆที่พระองค์ได้ทำไว้กับดาวิดพ่อของข้าพเจ้าผู้รับใช้พระองค์ด้วยเถิด พระองค์พูดว่า ‘ดาวิด ถ้าลูกหลานของเจ้าระมัดระวังในทุกๆสิ่งที่พวกเขาทำ เพื่อที่จะเดินอยู่ต่อหน้าเราเหมือนกับที่เจ้าได้ทำไว้ เจ้าจะไม่มีวันขาดคนที่จะมานั่งบนบัลลังก์ของอิสราเอลต่อหน้าเราเลย’ 26 ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอล ในตอนนี้ขอให้พระองค์ทำให้คำพูดของพระองค์ที่ได้สัญญาไว้กับดาวิดพ่อของข้าพเจ้า ผู้รับใช้ของพระองค์ เป็นความจริงด้วยเถิด

27 แต่ พระเจ้า พระองค์จะอาศัยอยู่กับพวกเราบนโลกนี้จริงๆหรือ แม้แต่ฟ้าสวรรค์และสวรรค์ชั้นสูงสุดนั้นยังไม่สามารถรองรับพระองค์ได้ แล้วนับประสาอะไรกับวิหารที่เราได้สร้างขึ้นหลังนี้เล่า 28 แต่โปรดฟังคำอธิษฐานและคำอ้อนวอนของผู้รับใช้คนนี้ของพระองค์ด้วยเถิด ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของข้าพเจ้า โปรดฟังเสียงร่ำร้องและคำอธิษฐานที่ผู้รับใช้ของพระองค์ กำลังอธิษฐานอยู่ต่อหน้าพระองค์ในวันนี้ 29 ในอดีต พระองค์พูดว่า ‘ชื่อของเราจะสถิตอยู่ที่นั่น’ ขอให้ดวงตาของพระองค์เฝ้ามองวิหารหลังนี้ทั้งกลางวันและกลางคืน ขอพระองค์ฟังคำอธิษฐานที่ข้าพเจ้าผู้รับใช้ของพระองค์ได้อธิษฐานตอนหันหน้าเข้าหาสถานที่นี้ด้วยเถิด 30 ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอให้พระองค์ฟังคำอธิษฐานของข้าพเจ้า ผู้รับใช้ของพระองค์ และของอิสราเอลชนชาติของพระองค์ เมื่อพวกเขาอธิษฐานหันหน้ามายังสถานที่นี้ด้วยเถิด ขอพระองค์ฟังคำอธิษฐานจากบนฟ้าสวรรค์ ซึ่งเป็นที่อาศัยของพระองค์ และเมื่อพระองค์ได้ยินแล้ว ขอโปรดยกโทษให้กับพวกเราด้วยเถิด

31 เมื่อคนหนึ่งคนใดทำผิดต่อเพื่อนบ้านของเขา และต้องสาบาน เมื่อเขามาสาบานต่อหน้าแท่นบูชาของพระองค์ในวิหารแห่งนี้ 32 ขอโปรดรับฟังจากบนฟ้าสวรรค์และตัดสินพวกผู้รับใช้ของพระองค์ด้วยเถิด ขอพระองค์ตัดสินโทษคนที่ทำผิด โดยให้ความผิดของเขาตกลงบนหัวของเขาเอง และประกาศความบริสุทธิ์ของคนที่บริสุทธิ์ โดยให้รางวัลกับเขาตามความบริสุทธิ์ของเขา

33 เมื่อประชาชนชาวอิสราเอลของพระองค์พ่ายแพ้ต่อศัตรู เพราะทำความผิดบาปต่อพระองค์ และเมื่อพวกเขาหันกลับมาหาพระองค์ และสรรเสริญชื่อของพระองค์ และมาอธิษฐานร้องขอต่อพระองค์ในวิหารแห่งนี้ 34 โปรดฟังพวกเขาจากฟ้าสวรรค์ และอภัยให้กับความบาปของอิสราเอลชนชาติของพระองค์ และนำพวกเขากลับสู่แผ่นดินที่พระองค์ได้ให้ไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขาด้วยเถิด

35 หรือเมื่อพระองค์ปิดสวรรค์ไม่ให้ฝนตกลงมา เพราะประชาชนของพระองค์ได้ทำบาปต่อพระองค์ ถ้าพวกเขาหันหน้ามาทางวิหารอธิษฐาน และสรรเสริญชื่อของพระองค์ และหันจากบาปของพวกเขา เพราะพระองค์ได้ลงโทษพวกเขา 36 ก็ขอโปรดฟังจากสวรรค์และให้อภัยบาปของพวกผู้รับใช้พระองค์คืออิสราเอลชนชาติของพระองค์ โปรดสอนพวกเขาให้ใช้ชีวิตในทางที่ถูกต้อง และขอพระองค์ช่วยส่งฝนให้ตกลงมาบนแผ่นดินที่พระองค์ได้ให้ไว้เป็นมรดกกับประชาชนของพระองค์ด้วยเถิด

37 เมื่อเกิดภาวะอดอยาก หรือมีโรคระบาดบนแผ่นดิน หรือเกิดโรคซีดในพืช หรือเกิดเชื้อราทำลายพืช หรือมีตั๊กแตนวัยบินหรือวัยคลานมาทำลายพืชผล หรือมีศัตรูมาล้อมพวกเขาไว้ในเมืองของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นความหายนะหรือโรคร้ายอะไร ที่เกิดขึ้นก็ตาม 38 แล้วอิสราเอลชนชาติของพระองค์ หรือคนหนึ่งคนใด ได้สำนึกผิด เพราะได้รับความทุกข์ทรมานนั้น และได้ยื่นมือไปยังวิหารแห่งนี้ และอธิษฐานหรืออ้อนวอนต่อพระองค์ 39 ขอพระองค์ได้โปรดฟังจากสวรรค์ซึ่งเป็นที่อาศัยของพระองค์ และโปรดยกโทษและช่วยพวกเขาด้วย มีแต่พระองค์เท่านั้นที่รู้จิตใจของมนุษย์ทุกคน อย่างนั้นได้โปรดตอบแทนพวกเขาตามการกระทำของพวกเขาด้วยเถิด 40 เพื่อว่าพวกเขาจะได้ยำเกรงพระองค์ตลอดวันเวลาที่พวกเขามีชีวิตอยู่ในแผ่นดินที่พระองค์ได้ยกให้กับบรรพบุรุษของพวกเรา

41 ส่วนคนต่างชาติที่ไม่ใช่อิสราเอลชนชาติของพระองค์ เมื่อพวกเขาได้เดินทางมาจากแดนไกล เพราะชื่อเสียงของพระองค์ 42 เพราะพวกเขาได้ยินชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ และมืออันทรงพลัง และแขนที่ยื่นออกมาพร้อมที่จะช่วย เมื่อคนต่างชาตินั้นหันหน้ามาทางวิหารนี้และอธิษฐาน 43 ขอพระองค์ได้โปรดฟังจากสวรรค์ซึ่งเป็นที่อาศัยของพระองค์ และโปรดทำทุกอย่างตามที่คนต่างชาติคนนั้นขอจากพระองค์ด้วยเถิด เพื่อชนทุกชาติบนโลกนี้จะได้รู้จักชื่อเสียงของพระองค์ และยำเกรงพระองค์ เหมือนกับที่อิสราเอลชนชาติของพระองค์ทำ และเพื่อพวกเขาจะได้รู้ว่าวิหารหลังนี้ที่ข้าพเจ้าได้สร้างขึ้นมาเป็นของพระองค์

44 เมื่อประชาชนของพระองค์ไปรบกับศัตรูของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ใดก็ตามที่พระองค์ส่งพวกเขาไป และเมื่อพวกเขาอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์ โดยหันหน้าไปทางเมืองที่พระองค์ได้เลือกไว้และหันไปทางวิหารที่ข้าพเจ้าได้สร้างไว้เพื่อเป็นเกียรติแก่ชื่อของพระองค์ 45 ก็ขอให้พระองค์ฟังคำอธิษฐานและคำอ้อนวอนของพวกเขาจากบนสวรรค์ และช่วยเหลือพวกเขาด้วยเถิด

46 เมื่อพวกเขาทำบาปต่อพระองค์ เพราะไม่มีใครหรอกที่ไม่ทำบาปเลย และพระองค์โกรธพวกเขาและส่งพวกเขาให้ตกไปอยู่ในกำมือของศัตรูที่เข้ามาจับพวกเขาไปเป็นเชลย และพาไปอยู่ในแผ่นดินของศัตรูไม่ว่าจะอยู่ใกล้หรือไกลก็ตาม 47 ถ้าพวกเขาสำนึกผิดตอนอยู่ในแผ่นดินที่พวกเขาถูกจับไปนั้น และพวกเขาได้กลับตัวกลับใจ แล้วได้อ้อนวอนต่อพระองค์ในแผ่นดินของผู้ที่จับพวกเขาไปนั้น และพวกเขาพูดว่า ‘พวกเราได้ทำบาป และทำผิดไปแล้ว พวกเราได้ทำตัวเลวมาก’ 48 และถ้าพวกเขาหันกลับมาหาพระองค์อย่างสุดจิตสุดใจของพวกเขาในแผ่นดินของศัตรูที่ได้จับตัวพวกเขาไป และได้อธิษฐานต่อพระองค์โดยหันหน้ามาทางแผ่นดินของตัวเอง ที่พระองค์ได้ยกให้กับบรรพบุรุษของพวกเขา และได้หันไปทางเมืองที่พระองค์ได้เลือกไว้ และหันไปทางวิหารที่ข้าพเจ้าได้สร้างไว้เพื่อเป็นเกียรติแก่ชื่อของพระองค์ 49 ก็ขอให้พระองค์ฟังคำอธิษฐานและคำอ้อนวอนของพวกเขาจากบนสวรรค์ ซึ่งเป็นที่อาศัยของพระองค์นั้น และช่วยเหลือพวกเขาด้วยเถิด 50 และโปรดยกโทษให้กับชนชาติของพระองค์ ที่ได้ทำบาปต่อพระองค์ไป แล้วโปรดให้อภัยต่อการทรยศทั้งสิ้นที่พวกเขาทำต่อพระองค์ และโปรดทำให้ผู้ที่จับพวกเขาไป สงสารพวกเขาด้วยเถิด 51 เพราะพวกเขาเป็นชนชาติของพระองค์และเป็นสมบัติของพระองค์ เป็นคนที่พระองค์ได้พาออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ ออกมาจากเตาหลอมเหล็กนั้น

52 ขอให้ดวงตาของพระองค์ มองดูการอ้อนวอนของผู้รับใช้ของพระองค์คนนี้ และของอิสราเอลชนชาติของพระองค์ และเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาร้องเรียกหาพระองค์ ขอให้พระองค์ฟังพวกเขา 53 เพราะพระองค์ได้แยกพวกเขาออกมาจากชนชาติทั้งหลายในโลกนี้ เพื่อที่จะให้พวกเขามาเป็นสมบัติของพระองค์เอง เหมือนกับที่พระองค์เคยสัญญาไว้ผ่านโมเสสผู้รับใช้พระองค์ เมื่อครั้งที่พระองค์ พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิต ได้นำบรรพบุรุษของพวกข้าพเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์”

ซาโลมอนอวยพรที่ประชุม

54 เมื่อซาโลมอนอธิษฐานและอ้อนวอนต่อพระยาห์เวห์เสร็จแล้ว เขาก็ลุกไปจากหน้าแท่นบูชาของพระยาห์เวห์ตรงที่เขาได้คุกเข่าลงและยกมือขึ้นสู่ฟ้า 55 เขาได้ยืนขึ้นและอวยพรคนอิสราเอลทั้งหมดที่มาชุมนุมกันอยู่ที่นั่น ด้วยเสียงอันดังว่า

56 “ขอสรรเสริญองค์พระยาห์เวห์ ผู้ที่ได้ให้อิสราเอลชนชาติของพระองค์ได้หยุดพัก ตามที่พระองค์เคยให้สัญญาไว้ ไม่มีคำสัญญาดีๆสักเรื่องของพระองค์ที่ได้ให้ไว้ผ่านทางโมเสสผู้รับใช้พระองค์ ได้ล้มเหลวไป 57 ขอให้พระยาห์เวห์ พระเจ้าของพวกเราอยู่กับพวกเราเหมือนที่พระองค์เคยอยู่กับบรรพบุรุษของพวกเรา ขอให้พระองค์อย่าได้ละทิ้งพวกเราไปเลย 58 ขอให้พระองค์หันเหจิตใจของพวกเราให้มาอยู่กับพระองค์ เพื่อเราจะได้ใช้ชีวิตตามวิถีทางทั้งสิ้นของพระองค์ และเพื่อเราจะได้รักษาพวกคำสั่ง กฎและข้อบังคับทั้งหลายของพระองค์ ที่พระองค์ได้สั่งไว้กับบรรพบุรุษของพวกเรา 59 และขอให้คำพูดเหล่านี้ของข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าได้อ้อนวอนต่อหน้าพระยาห์เวห์ อยู่ใกล้กับพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเราทั้งกลางวันและกลางคืน และขอให้พระองค์ช่วยเหลือผู้รับใช้คนนี้ของพระองค์ และช่วยเหลืออิสราเอลชนชาติของพระองค์ ตามความจำเป็นในแต่ละวัน 60 เพื่อว่าทุกชนชาติบนโลกนี้ จะได้รู้ว่าพระยาห์เวห์คือพระเจ้า ไม่มีพระเจ้าองค์อื่นอีก 61 อย่างนั้น ขอให้ทุ่มเทตัวเองอย่างเต็มที่ให้กับพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเรา และใช้ชีวิตตามกฎทั้งหลายของพระองค์ และรักษาคำสั่งทั้งหลายของพระองค์ อย่างที่ทำในวันนี้”

ซาโลมอนถวายเครื่องบูชา

(2 พศด. 7:4-11)

62 แล้วกษัตริย์และประชาชนอิสราเอลทั้งหมดที่อยู่กับเขาก็ถวายเครื่องสัตวบูชาต่อหน้าพระยาห์เวห์ 63 ซาโลมอนได้ถวายสัตว์เหล่านี้เพื่อเป็นเครื่องสังสรรค์บูชาให้แก่พระยาห์เวห์ คือวัวสองหมื่นสองพันตัว แกะหนึ่งแสนสองหมื่นตัว แล้วกษัตริย์กับชาวอิสราเอลทั้งหมดก็ได้อุทิศวิหารให้กับพระยาห์เวห์

64 ในวันเดียวกันนั้น กษัตริย์ได้ทำการอุทิศส่วนกลางของลานที่อยู่ด้านหน้าวิหารของพระยาห์เวห์นั้นให้เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อว่าเขาจะได้ใช้ที่นั่นเป็นที่ถวายเครื่องเผาบูชา เครื่องบูชาจากเมล็ดพืช และส่วนไขมันสัตว์ของเครื่องสังสรรค์บูชา เพราะแท่นบูชาที่ทำจากทองสัมฤทธิ์ที่ตั้งไว้ตรงหน้าพระยาห์เวห์นั้นเล็กเกินไปสำหรับเครื่องบูชาทั้งหมดนี้

65 แล้วซาโลมอนก็ได้จัดงานเลี้ยงฉลอง[d] ขึ้นในเวลานั้น และชาวอิสราเอลทั้งหมดก็มาร่วมงานกับเขาด้วย เป็นการชุมนุมที่ยิ่งใหญ่มาก มีประชาชนมากันตั้งแต่ทางเข้าเมืองฮามัทไปไกลจนถึงลำธารอียิปต์ พวกเขาได้เฉลิมฉลองกันต่อหน้าพระยาห์เวห์ พระเจ้าของพวกเรา เป็นเวลาเจ็ดวัน[e] 66 แล้วในวันที่แปด ซาโลมอนก็ไปส่งประชาชนกลับบ้าน พวกเขาได้อวยพรให้กับกษัตริย์ และก็กลับบ้านไปด้วยจิตใจร่าเริงยินดี เนื่องจากสิ่งดีๆทั้งหมดที่พระยาห์เวห์ได้ทำให้กับดาวิดผู้รับใช้พระองค์และให้กับอิสราเอลชนชาติของพระองค์

พระเจ้ามาปรากฏกับซาโลมอนอีก

(2 พศด. 7:11-22)

เมื่อซาโลมอนได้สร้างวิหารของพระยาห์เวห์และวังของกษัตริย์เสร็จสิ้นลง และได้ทำทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาต้องการจะทำสำเร็จแล้ว พระยาห์เวห์ได้มาปรากฏตัวกับเขาอีกเป็นครั้งที่สอง เหมือนกับที่พระองค์เคยปรากฏตัวกับเขามาแล้วในเมืองกิเบโอน พระยาห์เวห์พูดกับเขาว่า

“เราได้ยินคำอธิษฐานและคำอ้อนวอนที่เจ้าได้พูดไว้ต่อหน้าเรา เราได้ทำให้วิหารแห่งนี้ ที่เจ้าได้สร้างขึ้นมาศักดิ์สิทธิ์แล้ว และชื่อของเราจะได้รับเกียรติจากที่นั่นตลอดไป เราจะเฝ้าดูและระลึกถึงที่นั่นเสมอ ส่วนตัวเจ้าเอง ถ้าเจ้าใช้ชีวิตอยู่ต่อหน้าเราด้วยใจที่ซื่อตรงและถูกต้องเหมือนกับที่ดาวิดพ่อของเจ้าทำ และทำตามที่เราสั่งทุกอย่าง และรักษากฎและข้อบังคับทุกข้อของเรา

เราจะรักษาบัลลังก์ของตระกูลเจ้าให้มั่นคงอยู่เหนืออิสราเอลตลอดไป เหมือนกับที่เราได้สัญญาไว้กับดาวิด พ่อของเจ้า ตอนที่เราพูดว่า ‘เจ้าจะไม่ขาดผู้สืบเชื้อสายที่จะขึ้นมานั่งบนบัลลังก์ของอิสราเอล’

แต่ถ้าเจ้าหรือลูกหลานของเจ้าหันเหไปจากการติดตามเรา และไม่รักษาคำสั่งและกฎต่างๆที่เราได้ให้พวกเจ้าไว้ และไปรับใช้พวกพระอื่น และไปกราบไหว้พวกมัน เราก็จะตัดอิสราเอลออกจากแผ่นดินที่เราได้ให้พวกเขาไว้ และจะโยนวิหารแห่งนี้ที่เราได้ทำให้ศักดิ์สิทธิ์สำหรับชื่อเสียงของเราให้พ้นสายตาเราไป แล้วอิสราเอลก็จะเป็นที่หัวเราะเยาะและเย้ยหยันของชนชาติทั้งหลาย วิหารนี้จะกลายเป็นซากปรักหักพัง[f] คนที่เดินผ่านไปมาจะตะลึงงัน และผิวปากเย้ย และถามกันว่า ‘ทำไมพระยาห์เวห์ถึงได้ทำอย่างนี้กับแผ่นดินนี้และวิหารหลังนี้เล่า’ ประชาชนก็จะตอบว่า ‘เพราะพวกเขาละทิ้งพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา ผู้ที่ได้นำบรรพบุรุษของพวกเขาออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ และพวกเขาได้อ้าแขนโอบกอดพระอื่นๆและก้มกราบรับใช้พระเหล่านั้น พระยาห์เวห์จึงได้นำความหายนะอย่างนี้มาสู่พวกเขา’”

10 กษัตริย์ซาโลมอนได้ใช้เวลาถึงยี่สิบปีในการสร้างตึกทั้งสองหลังนี้ ซึ่งก็คือวิหารของพระยาห์เวห์และวังของครอบครัวกษัตริย์ และในช่วงปลายปีที่ยี่สิบนี่เอง 11 กษัตริย์ซาโลมอนได้มอบเมืองยี่สิบเมืองในแคว้นกาลิลีให้กับกษัตริย์ฮีรามแห่งเมืองไทระ เพราะว่าฮีรามได้จัดหาไม้สนซีดาร์และไม้สนสามใบและทองคำให้กับเขาเท่าที่เขาอยากได้ 12 แต่เมื่อฮีรามออกจากเมืองไทระเพื่อไปตรวจดูเมืองเหล่านั้นที่ซาโลมอนได้มอบให้กับเขา เขากลับไม่พอใจพวกมัน 13 เขาถามไปว่า “น้องชาย นี่ท่านได้มอบเมืองประเภทไหนให้เรากันนะ” และเขาก็ได้เรียกเมืองเหล่านั้นว่า แผ่นดินคาบูล[g] ซึ่งเป็นชื่อที่เรียกกันอยู่จนถึงทุกวันนี้ 14 ฮีรามได้ส่งทองคำไปให้กับกษัตริย์ซาโลมอนใช้สร้างวิหาร ประมาณสี่ตัน[h]

งานอื่นๆที่ซาโลมอนได้ทำ

(2 พศด. 8:3-18)

15 กษัตริย์ซาโลมอนได้เกณฑ์คนงานมาสร้างวิหารของพระยาห์เวห์ รวมทั้งวังของเขาเอง ตลอดจนเฉลียง[i] ต่างๆและกำแพงของเมืองเยรูซาเล็ม และสร้างเมืองฮาโซร์ เมืองเมกิดโดและเมืองเกเซอร์ขึ้นมาใหม่

16 (ในอดีตกษัตริย์ฟาโรห์แห่งอียิปต์เคยเข้าโจมตีและยึดเอาเมืองเกเซอร์ไว้ เขาได้เผาเมืองนี้และได้ฆ่าชาวคานาอันที่อาศัยอยู่ในเมืองนั้น เมื่อซาโลมอนแต่งงานกับลูกสาวของฟาโรห์ ฟาโรห์ก็ได้ยกเมืองนี้ให้เป็นสินสมรสกับลูกสาวของเขา คือเมียของซาโลมอนนั่นเอง 17 แล้วซาโลมอนก็ได้สร้างเมืองเกเซอร์นี้ขึ้นมาใหม่) ซาโลมอนได้สร้างเมืองเบธโฮโรนล่างขึ้นมา 18 และเขาก็ยังสร้างเมืองบาอาลัทและเมืองทามาร์ขึ้นมาในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งในแผ่นดินของเขาด้วย 19 รวมทั้งสร้างเมืองต่างๆที่ใช้สำหรับเก็บข้าวของและเมืองสำหรับไว้รถรบ และม้าศึกทั้งหลายของเขา และสร้างทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาอยากจะสร้าง ทั้งในเยรูซาเล็ม ในเลบานอนและตลอดทั่วทั้งเขตแดนที่เขาปกครองอยู่

20 มีชนชาติอื่นที่หลงเหลือในแผ่นดินนี้ที่ไม่ใช่ชาวอิสราเอล คือชาวอาโมไรต์ ชาวฮิตไทต์ ชาวเปริสซี ชาวฮีไวต์และชาวเยบุส 21 คนเหล่านี้ เป็นเชื้อสายของคนเหล่านั้นที่ชาวอิสราเอลไม่สามารถฆ่าได้หมด ซาโลมอนได้บังคับคนเหล่านี้ให้มาเป็นทาสใช้แรงงาน อย่างที่พวกเขาเป็นอยู่จนถึงทุกวันนี้ 22 แต่ส่วนชาวอิสราเอลแล้ว ซาโลมอนไม่ได้บังคับให้มาเป็นทาส พวกเขาได้มารับใช้เป็นทหาร เป็นข้าราชการ เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง เป็นผู้บังคับบัญชารถรบ และเป็นทหารขี่รถม้าของเขา

23 มีเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ห้าร้อยห้าสิบคนที่คอยดูแลโครงการต่างๆของกษัตริย์ซาโลมอน พวกเขามีหน้าที่คอยดูแลคนงาน

24 ลูกสาวของกษัตริย์ฟาโรห์ได้ย้ายออกจากเมืองของดาวิดไปสู่วังที่ซาโลมอนได้สร้างไว้ให้กับนาง เขายังสร้างเฉลียงไว้ให้ด้วย

25 ซาโลมอนได้ถวายเครื่องเผาบูชาและเครื่องสังสรรค์บูชาบนแท่นบูชาที่เขาได้สร้างไว้ให้กับพระยาห์เวห์ ปีละสามครั้ง และเขาได้เผาเครื่องหอมบูชาต่อหน้าพระยาห์เวห์ และเขาก็ได้จัดการทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับวิหารจนเสร็จสิ้น

26 กษัตริย์ซาโลมอนยังได้สร้างกองเรือกำปั่นไว้ที่เมืองเอซีโอน-เกเบอร์ ซึ่งอยู่ใกล้กับเอโลทบนฝั่งทะเลแดงในแผ่นดินของเอโดม 27 และฮีรามได้ส่งพวกกะลาสีเรือที่ชำนาญทะเล ซึ่งเป็นคนของเขาให้ไปรับใช้อยู่ในกองเรือกำปั่นกับคนของซาโลมอน 28 พวกเขาได้เดินเรือไปถึงโอฟีร์และได้นำทองคำหนักประมาณสิบสี่ตันครึ่ง[j] กลับมาให้กษัตริย์ซาโลมอน

ลูกา 21:1-19

การให้ที่แท้จริง

(มก. 12:41-44)

21 พระเยซูเงยหน้ามอง เห็นพวกคนรวยเอาเงินมาใส่ในตู้บริจาคของวิหาร แล้วพระองค์ได้เห็นหญิงม่ายจนๆคนหนึ่งเอาเหรียญทองแดง[a] เล็กๆสองเหรียญใส่ลงในกล่องด้วย พระองค์จึงพูดว่า “เราจะบอกให้รู้ว่า หญิงม่ายจนๆคนนี้ได้ใส่เงินมากกว่าทุกๆคน เพราะคนอื่นเอาเงินที่เหลือกินเหลือใช้มาให้ แต่หญิงม่ายจนๆคนนี้เอาเงินเลี้ยงชีพทั้งหมดของเธอมาให้”

วิหารจะถูกทำลาย

(มธ. 24:1-14; มก. 13:1-13)

ศิษย์บางคนได้พูดถึงความสวยงามของวิหาร พูดถึงหินแต่ละก้อนและของถวายแต่ละชิ้น ว่าช่างสวยงามเหลือเกิน พระเยซูจึงพูดขึ้นมาว่า

“ทั้งหมดที่คุณเห็นนี้ วันหนึ่งจะถูกทำลายจนหมดสิ้น ไม่เหลือแม้แต่ซากหินวางซ้อนทับกันเลย”

พวกเขาก็เลยถามว่า “อาจารย์ เรื่องพวกนี้จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แล้วจะมีอะไรบอกเหตุไหมครับว่ามันจะเกิดขึ้นแล้ว”

พระเยซูตอบว่า “ระวังตัวให้ดี อย่าให้ใครมาหลอกเอาได้ เพราะจะมีหลายคนมาแอบอ้างว่าเป็นเรา และยังบอกอีกว่า ‘เวลานั้นมาถึงแล้ว’ อย่าไปหลงเชื่อเขา เมื่อพวกคุณได้ยินว่าเกิดสงคราม และเกิดจลาจลวุ่นวาย ก็ไม่ต้องตกใจกลัว เพราะเรื่องพวกนี้จะต้องเกิดขึ้นก่อน แต่วันสุดท้ายนั้นจะยังไม่มาถึงทันทีหรอก”

10 แล้วพระองค์ก็พูดว่า “ชนชาติต่างๆและแผ่นดินต่างๆจะลุกขึ้นมาต่อสู้กัน 11 จะเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงในที่ต่างๆ เกิดกันดารอาหาร เกิดโรคระบาดร้ายแรงขึ้น จะมีเรื่องที่น่ากลัวและสิ่งแปลกประหลาดมากมายจะเกิดขึ้นบนท้องฟ้า

12 แต่ก่อนที่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้น พวกคุณจะถูกจับไปทรมาน ถูกนำตัวไปในที่ประชุมชาวยิวและถูกจับขังคุก และจะถูกสอบสวนอยู่ต่อหน้ากษัตริย์และเจ้าเมือง เพราะพวกคุณเป็นศิษย์ของเรา 13 นี่จะเป็นโอกาสดีของคุณที่จะได้พูดเรื่องของเราให้พวกเขาฟัง 14 พวกคุณไม่ต้องกังวลล่วงหน้าว่าจะพูดแก้ตัวยังไง 15 เพราะเราจะให้สติปัญญาและคำพูดที่เฉียบคมกับคุณ เมื่อศัตรูของคุณฟังแล้ว จะไม่มีทางคัดค้านหรือโต้แย้งได้เลย 16 แม้แต่คนที่ใกล้ชิดกับคุณ ทั้งพ่อแม่ พี่น้อง ญาติๆและเพื่อนฝูง ก็จะหักหลังคุณ และพวกคุณบางคนก็จะถูกฆ่าด้วย 17 ทุกคนจะเกลียดพวกคุณ เพราะพวกคุณเป็นศิษย์ของเรา 18 แต่ไม่ต้องกลัว เพราะแม้แต่ผมสักเส้นบนหัวของพวกคุณก็จะไม่ถูกทำลาย 19 ให้อดทนไว้จนถึงที่สุด แล้วคุณจะได้รับความรอด”

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International