Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Old/New Testament

Each day includes a passage from both the Old Testament and New Testament.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
1 พงศ์กษัตริย์ 3-5

ซาโลมอนขอสติปัญญา

(2 พศด. 1:2-13)

ซาโลมอนได้ไปผูกมิตรกับกษัตริย์ฟาโรห์แห่งอียิปต์ ด้วยการแต่งงานกับลูกสาวของฟาโรห์ ซาโลมอนได้พานางไปอยู่ที่เมืองของดาวิด จนกว่าเขาจะสร้างวังของตัวเอง พร้อมกับวิหารของพระยาห์เวห์และกำแพงรอบๆเมืองเยรูซาเล็มเสร็จ ประชาชนก็ยังคงถวายเครื่องบูชาตามสถานที่สูงต่างๆ[a] เพราะวิหารที่สร้างในนามของพระยาห์เวห์ยังไม่เสร็จ ซาโลมอนแสดงความรักที่เขามีต่อพระยาห์เวห์ ด้วยการใช้ชีวิตตามกฎต่างๆของดาวิดผู้เป็นพ่อของเขา เว้นแต่เขาได้ถวายเครื่องสัตวบูชาและเผาเครื่องหอม ตามสถานนมัสการ

กษัตริย์ซาโลมอนได้ไปที่กิเบโอนเพื่อถวายเครื่องสัตวบูชา เพราะที่นั่นเป็นสถานที่สูงที่สำคัญที่สุด และซาโลมอนได้ถวายเครื่องเผาบูชาหนึ่งพันตัวบนแท่นบูชาที่นั่น ที่กิเบโอนนั่นเอง พระยาห์เวห์ได้ปรากฏในความฝันของซาโลมอนตอนกลางคืน พระเจ้าพูดว่า “เจ้าอยากได้อะไรจากเรา ก็ขอมาได้เลย”

ซาโลมอนตอบว่า “พระองค์มีความรักมั่นคงอันยิ่งใหญ่ต่อผู้รับใช้ของพระองค์คือดาวิดพ่อของข้าพเจ้า ท่านเป็นคนดีและมีจิตใจซื่อตรง พระองค์ได้แสดงความรักมั่นคงอันยิ่งใหญ่นี้ต่อท่าน ด้วยการให้ลูกชายคนหนึ่งของท่านได้นั่งอยู่บนบัลลังก์ของท่านในวันนี้ ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของข้าพเจ้า พระองค์ได้ทำให้ข้าพเจ้าผู้รับใช้พระองค์ ได้มาเป็นกษัตริย์แทนที่ดาวิดพ่อของข้าพเจ้า ทั้งๆที่ข้าพเจ้าเป็นเหมือนเด็กเล็กๆและยังไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แล้วข้าพเจ้าผู้รับใช้ของพระองค์ได้มาอยู่ท่ามกลางชนชาติของพระองค์ ที่พระองค์ได้เลือกไว้ เป็นชนชาติใหญ่ ที่มีประชากรมากมายมหาศาลนับไม่ถ้วน อย่างนั้น ขอโปรดมอบสติปัญญาให้กับผู้รับใช้ของพระองค์ เพื่อจะได้ใช้ปกครองชนชาติของพระองค์ และเพื่อจะได้แยกแยะว่าอะไรดีอะไรชั่ว เพราะจะมีใครเล่าที่สามารถปกครองประชากรอันมหาศาลนี้ของพระองค์ได้”

10 องค์เจ้าชีวิตรู้สึกพอใจที่ซาโลมอนขอสิ่งนี้ 11 พระเจ้าจึงพูดกับเขาว่า “เป็นเพราะเจ้าขอสิ่งนี้ และไม่ได้ขอให้มีอายุยืนยาว หรือขอความร่ำรวย หรือขอให้ฆ่าพวกศัตรูของเจ้า แต่เจ้ากลับขอสติปัญญาสำหรับตัวเจ้าเอง เพื่อจะได้รู้จักปกครองอย่างยุติธรรม 12 อย่างนั้น เราจะให้สิ่งที่เจ้าขอ เราจะทำให้เจ้าเฉลียวฉลาดและมองทุกอย่างได้อย่างทะลุปรุโปร่ง จนไม่มีใครฉลาดเหมือนเจ้าทั้งในอดีตและในอนาคตด้วย 13 แล้วเราจะแถมสิ่งที่เจ้าไม่ได้ขอให้ด้วย นั่นคือความร่ำรวยและเกียรติยศตลอดชีวิตของเจ้า แล้วจะไม่มีกษัตริย์องค์ไหนมาเปรียบเทียบกับเจ้าได้เลย 14 ถ้าเจ้าเดินตามทางทั้งหลายของเรา เชื่อฟังกฎและคำสั่งต่างๆของเราเหมือนที่ดาวิดพ่อของเจ้าเคยทำมา เราก็จะให้เจ้ามีชีวิตที่ยืนยาวด้วย”

15 แล้วซาโลมอนก็ตื่นขึ้น และเขาก็รู้ว่าเขาได้ฝันไป เขากลับมาที่เมืองเยรูซาเล็ม ไปยืนอยู่ต่อหน้าหีบข้อตกลงของพระยาห์เวห์[b] และได้ถวายเครื่องเผาบูชาและเครื่องสังสรรค์บูชา แล้วเขาก็จัดงานเลี้ยงให้กับข้าราชการทั้งหมดของเขา

ซาโลมอนตัดสินคดีอย่างเฉลียวฉลาด

16 ต่อมา มีโสเภณีสองคนมาหากษัตริย์และได้มายืนอยู่ต่อหน้าเขา 17 หญิงคนหนึ่งพูดว่า “เจ้านายของข้าพเจ้า หญิงคนนี้อาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้คลอดลูกออกมาคนหนึ่ง ตอนนั้นนางก็อยู่ที่นั่นด้วย 18 หลังจากที่ลูกของข้าพเจ้าคลอดออกมาได้สามวัน หญิงคนนี้ก็คลอดลูกออกมาคนหนึ่งด้วย ในบ้านหลังนั้น มีเราอยู่กันแค่สองคน ไม่มีคนอื่นอีก 19 ในตอนกลางคืน ลูกชายของหญิงคนนี้ตายไป เพราะนางนอนทับเขา 20 แล้วนางก็ตื่นขึ้นมาตอนดึก และมาเอาลูกชายของข้าพเจ้าไปจากด้านข้างของข้าพเจ้า ในขณะที่ข้าพเจ้าผู้รับใช้ท่านยังหลับอยู่ นางเอาเด็กไปวางไว้ที่อกของนางและเอาตัวลูกชายของนางที่ตายแล้วมาไว้ที่อกของข้าพเจ้า 21 เช้าวันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าตื่นขึ้นมาเพื่อจะให้นมลูก แต่เขากลับตายเสียแล้ว แต่เมื่อข้าพเจ้ามองดูเขาใกล้ๆในตอนฟ้าสาง ข้าพเจ้าก็เห็นว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกที่ข้าพเจ้าคลอดออกมา”

22 แต่หญิงอีกคนได้พูดว่า “ไม่จริง เด็กที่ยังมีชีวิตอยู่เป็นลูกชายของฉันเอง คนที่ตายไปเป็นลูกของเธอต่างหาก”

แต่หญิงคนแรกก็ยืนยันว่า “ไม่ใช่ คนที่ตายเป็นลูกของเธอ คนที่ยังอยู่เป็นลูกของฉัน” และพวกเขาก็โต้เถียงกันอยู่ต่อหน้ากษัตริย์

23 กษัตริย์จึงพูดว่า “คนนี้ก็บอกว่า ‘ลูกชายของฉันยังมีชีวิตอยู่ ลูกชายของเธอตายแล้ว’ ส่วนอีกคนก็พูดว่า ‘ไม่จริง ลูกชายของเธอตายแล้ว ลูกของฉันต่างหากที่ยังมีชีวิตอยู่’”

24 แล้วกษัตริย์ก็พูดว่า “เอาดาบมาให้เราเล่มหนึ่งสิ” พวกเขาจึงนำดาบเล่มหนึ่งมาให้กษัตริย์ 25 แล้วกษัตริย์ก็ออกคำสั่งว่า “ตัดเด็กที่มีชีวิตนี้ออกเป็นสองท่อนซะ และแบ่งให้พวกนางไปคนละครึ่ง”

26 หญิงคนที่ลูกชายยังมีชีวิตอยู่ ก็สงสารลูกของนางอย่างจับใจ จึงพูดกับกษัตริย์ว่า “ได้โปรดเถิด นายของข้าพเจ้า ให้เด็กที่ยังมีชีวิตกับนางไปเถิด อย่าฆ่าเขาเลย”

แต่หญิงอีกคนหนึ่งพูดว่า “แบ่งเลย ทั้งเธอและฉันจะได้ไม่มีใครได้ไป”

27 แล้วกษัตริย์ก็ตัดสินว่า “คืนเด็กที่ยังมีชีวิตให้กับหญิงคนแรกไป อย่าฆ่าเขาเลย เพราะนางคือแม่ที่แท้จริง”

28 เมื่อชนชาติอิสราเอลทั้งหมดได้ยินเรื่องการตัดสินครั้งนี้ พวกเขาต่างเคารพยำเกรงกษัตริย์ เพราะพวกเขาเห็นแล้วว่ากษัตริย์ได้รับความเฉลียวฉลาดมาจากพระเจ้า[c] เพื่อปกครองบ้านเมืองอย่างยุติธรรม

อาณาจักรของซาโลมอน

กษัตริย์ซาโลมอนได้ปกครองชนชาติอิสราเอลทั้งหมด และต่อไปนี้คือข้าราชการระดับสูงทั้งหมดของเขา

อาซาริยาห์ลูกชายของศาโดกเป็นนักบวช

เอลีโฮเรฟและอาหิยาห์ลูกชายของชิชา เป็นเลขานุการ

เยโฮชาฟัทลูกชายของอาหิลูดเป็นผู้จดบันทึก

เบไนยาห์ลูกชายเยโฮยาดา เป็นแม่ทัพ

ศาโดกและอาบียาธาร์เป็นนักบวช

อาซาริยาห์ลูกชายของนาธัน เป็นหัวหน้าดูแลพวกผู้ว่าการเขตต่างๆ

ศบุดลูกชายของนาธันเป็นนักบวชและเป็นที่ปรึกษาของกษัตริย์

อาหิชาร์ทำหน้าที่ดูแลภายในวัง

อาโดนีรัมลูกชายของอับดาทำหน้าที่ควบคุมคนงานที่ถูกเกณฑ์มา

ซาโลมอนยังมีผู้ว่าการเขตต่างๆอีกสิบสองคน ทำหน้าที่ดูแลชนชาติอิสราเอลทั้งหมด ซึ่งพวกเขาจะช่วยเหลือในการจัดหาเสบียงอาหารให้กับกษัตริย์และครอบครัวกษัตริย์ทั้งหมด ผู้ว่าการแต่ละคนจะต้องจัดส่งเสบียงอาหารมาให้หนึ่งเดือนในหนึ่งปี และต่อไปนี้คือชื่อของพวกเขา

เบนเฮอร์ เป็นผู้ว่าอยู่ในแถบเนินเขาเอฟราอิม

เบนเดเคอร์ เป็นผู้ว่าสำหรับ มาคาส ชาอัลบิม เบธเชเมชและเอโลน-เบธฮานัน

10 เบนเฮเสด เป็นผู้ว่าใน อารุบโบท (โสโคห์และแผ่นดินเฮเฟอร์ทั้งหมดอยู่ใต้อำนาจเขา)

11 เบนอาบีนาดับ เป็นผู้ว่าใน นาฟาทโดร์ (เขาแต่งงานกับทาฟัทลูกสาวของซาโลมอน)

12 บาอานาลูกชายของอาหิลูด เป็นผู้ว่าในทาอานาคเมกิดโดและเบธชานทั้งหมดซึ่งอยู่ถัดจากศาเรธานและอยู่ทางด้านใต้ของยิสเรเอล และตั้งแต่เบธชานถึงอาเบลเมโฮลาห์เลยไปถึงอีกฝากหนึ่งของโยกเมอัม

13 เบนเกเบอร์ เป็นผู้ว่าใน ราโมทกิเลอาด (ยาอีร์ลูกชายของมนัสเสห์ที่ได้ตั้งรกรากอยู่ในกิเลอาดอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา รวมทั้งเขตอารโกบในบาชานและเมืองอีกหกสิบเมืองในนั้นที่มีกำแพงสูงใหญ่และมีดานประตูที่ทำจากทองสัมฤทธิ์ด้วย)

14 อาหินาดับลูกชายของอิดโด เป็นผู้ว่าในมาหะนาอิม

15 อาหิมาอัส เป็นผู้ว่าในนัฟทาลี (เขาได้แต่งงานกับบาเสมัทลูกสาวของซาโลมอน)

16 บาอานาลูกชายของหุชัย เป็นผู้ว่าในอาเชอร์และเบอาโลท

17 เยโฮชาฟัทลูกชายของปารูอาห์ เป็นผู้ว่าในอิสสาคาร์

18 ชิเมอีลูกชายของเอลา เป็นผู้ว่าในเบนยามิน

19 เกเบอร์ลูกชายของอุรี เป็นผู้ว่าในแผ่นดินกิเลอาด (ซึ่งเคยเป็นของกษัตริย์สิโหนของชาวอาโมไรต์และกษัตริย์โอกของบาชาน) เขาเป็นผู้ว่าการเพียงคนเดียวที่ปกครองเขตนั้น

20 ชาวยูดาห์และชาวอิสราเอลมีจำนวนมากมายมหาศาลเหมือนเม็ดทรายบนหาดทราย พวกเขาอยู่กันอย่างมีความสุข และมีกินมีดื่มกันอย่างเหลือเฟือ

21 ซาโลมอนได้ปกครองเหนือพวกอาณาจักรทั้งสิ้น ตั้งแต่แม่น้ำยูเฟรติสไปจนถึงแผ่นดินของชาวฟีลิสเตียและไปจนสุดเขตแดนของประเทศอียิปต์ ประเทศเหล่านี้ได้ส่งส่วย[d] และอยู่ภายใต้อำนาจของซาโลมอนตลอดชีวิตของซาโลมอน[e]

22 เสบียงอาหารที่ซาโลมอนกับทุกคนในวังจะต้องใช้กินกันในแต่ละวัน คือ

แป้งอย่างดีสามสิบโคเร[f]

แป้งหยาบหกสิบโคเร[g]

23 วัวที่เลี้ยงในคอกสัตว์จนอ้วนพีสิบตัว

วัวที่เลี้ยงในทุ่งหญ้ายี่สิบตัว

แกะหนึ่งร้อยตัว

รวมทั้งกวาง เนื้อทรายและละมั่งตัวผู้[h] อีกหลายตัว และสัตว์ปีกที่ขุนไว้แล้ว

24 ซาโลมอนปกครองอยู่เหนือแผ่นดินทั้งหมดและเหนือกษัตริย์ทั้งหลายที่อยู่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส จากทิฟสาห์ไปจนถึงกาซา และมีสันติภาพอยู่รอบด้าน 25 ตลอดช่วงชีวิตของซาโลมอน ชาวยูดาห์และชาวอิสราเอลตั้งแต่ดานจนถึงเบเออร์เชบา ทุกคนต่างมีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัย นั่งอยู่ใต้เถาองุ่นและต้นมะเดื่อของตน

26 ซาโลมอนมีคอกขังม้าแต่ละตัวอยู่สี่พัน[i] คอก เป็นม้าสำหรับลากรถรบ และมีทหารบนรถม้าอยู่หนึ่งหมื่นสองพันคน 27 ผู้ว่าของแต่ละเขต เมื่อถึงเวลาที่จะต้องจัดส่งเสบียงอาหารให้กษัตริย์และคนทั้งหมดที่นั่งกินร่วมโต๊ะกับกษัตริย์ พวกเขาต่างก็ส่งเสบียงมาตามเดือนของตน และไม่ให้มีสิ่งใดขาดตกบกพร่องเลย 28 พวกเขายังได้นำข้าวบาร์เลย์และฟางสำหรับพวกม้าลากรถรบและพวกม้าอื่นๆไปเก็บไว้ตามสถานที่ของมัน

ความเฉลียวฉลาดของซาโลมอน

29 พระเจ้าได้ให้ซาโลมอนมีความเฉลียวฉลาดและการมองที่ทะลุปรุโปร่งและมีความเข้าใจมากมายเหมือนกับเม็ดทรายบนชายหาด 30 ความเฉลียวฉลาดของซาโลมอนนั้นเหนือกว่าความฉลาดของทุกคนในฝั่งตะวันออก และเหนือกว่าความเฉลียวฉลาดทั้งสิ้นของคนในประเทศอียิปต์ 31 เขาฉลาดกว่าใครๆทั้งหมด แม้แต่เอธานชาวเอสราห์ หรือพวกลูกชายของมาโฮล คือเฮมาน คาลโคล์ และดารดา ชื่อเสียงของซาโลมอนได้เลื่องลือไปทั่วทุกชาติที่อยู่ล้อมรอบ 32 เขาได้พูด คำสุภาษิต ไว้ถึงสามพันข้อ และบทเพลงต่างๆของเขาก็มีจำนวนถึงหนึ่งพันกับห้าเพลง

33 ซาโลมอนได้บรรยายถึงชีวิตของพืช ตั้งแต่ต้นสนซีดาร์ของเลบานอนไปจนถึงต้นหุสบที่งอกออกมาจากกำแพงต่างๆ เขายังสอนเกี่ยวกับพวกสัตว์และนก สัตว์เลื้อยคลาน[j] และปลา 34 คนจากทุกชาติต่างก็มาฟังความเฉลียวฉลาดของซาโลมอน ซึ่งคนเหล่านี้ถูกส่งมาจากกษัตริย์ทั่วโลกที่ได้ข่าวเกี่ยวกับความเฉลียวฉลาดของเขา

ซาโลมอนเตรียมวัตถุสร้างวิหาร

(2 พศด. 2:1-18)

เมื่อฮีรามกษัตริย์ของเมืองไทระได้ยินว่าซาโลมอนได้รับการเจิมขึ้นเป็นกษัตริย์สืบต่อจากดาวิดพ่อของเขา กษัตริย์ฮีรามจึงได้ส่งทูตของเขาไปหาซาโลมอน เพราะเขาเป็นเพื่อนที่ดีของดาวิดตลอดมา ซาโลมอนจึงได้ส่งข้อความนี้มาถึงฮีรามว่า

“ท่านก็รู้ว่าดาวิดพ่อของข้าพเจ้าไม่สามารถที่จะสร้างวิหารเพื่อเป็นเกียรติให้กับชื่อของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเขาได้ เพราะต้องคอยสู้รบกับพวกศัตรูที่อยู่ล้อมรอบเขา จนกระทั่งพระยาห์เวห์ได้ปราบพวกศัตรูให้อยู่ใต้เท้าของเขา แต่ตอนนี้พระยาห์เวห์ พระเจ้าของข้าพเจ้าได้ให้ข้าพเจ้าหยุดพักจากสงครามแล้วในทุกๆด้าน และไม่มีการต่อสู้หรือความหายนะใดๆอีก

ข้าพเจ้าจึงตั้งใจว่าจะสร้างวิหารขึ้นหลังหนึ่ง เพื่อเป็นเกียรติให้กับชื่อของพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพเจ้า ตามที่พระยาห์เวห์ได้เคยบอกไว้กับดาวิดพ่อของข้าพเจ้า เมื่อพระองค์พูดว่า ‘ลูกชายของเจ้าคนที่เราจะให้ขึ้นนั่งบนบัลลังก์แทนเจ้านั้น จะเป็นผู้สร้างวิหารเพื่อเป็นเกียรติให้กับชื่อของเรา’ อย่างนั้น ช่วยสั่งคนให้ตัดต้นสนซีดาร์ของเลบานอนไว้ให้กับข้าพเจ้าด้วย คนของข้าพเจ้าจะทำงานร่วมกับคนของท่าน และข้าพเจ้าจะจ่ายเงินให้กับท่านสำหรับคนของท่าน ตามจำนวนค่าจ้างที่ท่านกำหนดมา ท่านก็รู้ว่าข้าพเจ้าไม่มีคนที่มีความชำนาญในการตัดไม้[k] เหมือนกับชาวซีโดน”

เมื่อฮีรามได้ยินข้อความของซาโลมอน ก็รู้สึกพอใจอย่างมากและพูดว่า “วันนี้ เราขอสรรเสริญองค์พระยาห์เวห์ เพราะพระองค์ได้ให้ลูกชายที่เฉลียวฉลาดคนหนึ่งกับดาวิดเพื่อที่จะปกครองชนชาติที่ยิ่งใหญ่นี้” ฮีรามได้ส่งข้อความไปถึงซาโลมอนว่า

“เราได้รับข้อความที่ท่านส่งถึงเราแล้ว และจะทำตามทุกอย่างที่ท่านต้องการ เราจะจัดหาไม้สนซีดาร์และไม้สนสามใบให้กับท่าน บรรดาคนของเราจะชักลากไม้เหล่านี้ลงมาจากเลบานอนไปที่ทะเล และเราจะเอาไม้เหล่านี้ผูกรวมกันล่องเป็นแพไปตามทะเลจนถึงสถานที่ที่ท่านกำหนดไว้ และที่นั่นเราจะแยกพวกมันออก และท่านก็สามารถเอามันไปได้ ท่านสามารถตอบแทนเราได้ ด้วยการส่งเสบียงอาหารให้กับคนในวังของเรากินกัน”

10 ฮีรามจึงได้จัดส่งไม้สนซีดาร์และไม้สนสามใบให้กับซาโลมอนตามที่เขาต้องการทุกอย่าง 11 ซาโลมอนก็ได้ให้แป้งสาลีสี่ล้านสี่แสนลิตร[l] เป็นอาหารให้กับคนในวังของฮีราม และน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์สี่แสนสี่หมื่นลิตร[m] ซาโลมอนทำอย่างนี้ให้กับฮีรามปีแล้วปีเล่า

12 พระยาห์เวห์ให้ความเฉลียวฉลาดกับซาโลมอน ตามที่พระองค์ได้สัญญาไว้กับเขา ฮีรามและซาโลมอนก็ได้ทำสัญญาเป็นพันธมิตรต่อกันและอยู่กันอย่างสันติ

13 กษัตริย์ซาโลมอนได้เกณฑ์พวกแรงงานมาจากทั่วทั้งอิสราเอลรวมสามหมื่นคน 14 เขาได้ส่งคนเหล่านั้นออกไปที่เลบานอนโดยแบ่งเวรกันไป เวรละหนึ่งหมื่นคนต่อเดือน เพื่อพวกเขาจะได้อยู่ในเลบานอนหนึ่งเดือนและได้อยู่ที่บ้านของพวกเขาสองเดือน อาโดนีรัมทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมคนงาน 15 ซาโลมอนมีคนแบกหามอยู่เจ็ดหมื่นคนและมีคนตัดหินแปดหมื่นคนที่ทำงานอยู่ในแถบเนินเขา 16 มีหัวหน้าคนงานอีกสามพันสามร้อยคนที่ทำหน้าที่ดูแลงานในโครงการและคอยสั่งงานคนงาน 17 กษัตริย์ซาโลมอนได้สั่งให้พวกเขาตัดหินก้อนใหญ่ๆที่มีราคาแพงออกมาจากเหมืองหิน เพื่อใช้หินที่ตกแต่งแล้วนี้วางเป็นฐานรากของวิหาร 18 ช่างแกะสลักของซาโลมอนและฮีรามและคนจากเกบาล[n] ต่างตัดแต่งไม้และหินเพื่อนำมาสร้างเป็นวิหาร

ลูกา 20:1-26

พวกผู้นำชาวยิวตั้งคำถามกับพระเยซู

(มธ. 21:23-27; มก. 11:27-33)

20 วันหนึ่งเมื่อพระเยซูกำลังสั่งสอนและประกาศเรื่องข่าวดีอยู่ในบริเวณวิหาร พวกหัวหน้านักบวช พวกครูสอนกฎปฏิบัติ และพวกผู้นำอาวุโสมาหาพระองค์ พวกเขาถามว่า “ช่วยบอกหน่อยว่าแกมีสิทธิ์อะไรไปขับไล่พวกคนขายของนั้น ใครให้สิทธิ์นี้กับแก”

พระเยซูตอบไปว่า “ตอบเรามาก่อนว่า พิธีจุ่มน้ำของยอห์น มาจากสวรรค์หรือมาจากมนุษย์”

พวกเขาปรึกษากันว่า “ถ้าเราตอบว่า ‘มาจากสวรรค์’ เขาก็จะถามว่า ‘แล้วทำไมพวกคุณถึงไม่เชื่อยอห์นล่ะ’ แต่ถ้าเราตอบว่า ‘มาจากมนุษย์’ คนก็จะเอาหินขว้างเรา เพราะชาวบ้านพวกนี้เชื่อว่า ยอห์นเป็นผู้พูดแทนพระเจ้า”

พวกเขาก็เลยตอบพระองค์ว่า “เราไม่รู้ว่ามาจากไหน”

พระเยซูก็เลยตอบพวกเขาว่า “ถ้าอย่างนั้น เราก็จะไม่บอกเหมือนกันว่าเราใช้สิทธิ์ของใครทำสิ่งเหล่านี้”

พระเจ้าส่งลูกชายของพระองค์มา

(มธ. 21:33-46; มก. 12:1-12)

พระเยซูเล่าเรื่องเปรียบเทียบให้คนฟังว่า “มีชายคนหนึ่งทำสวนองุ่น แล้วให้ชาวสวนเช่า แล้วเขาก็ไปอยู่ต่างประเทศเป็นเวลานาน 10 เมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยว เขาส่งทาสคนหนึ่งมารับส่วนแบ่งจากผลองุ่น แต่พวกคนเช่ากลับทำร้ายทุบตีทาสคนนั้น และไล่กลับไปมือเปล่า 11 เจ้าของสวนองุ่นก็เลยส่งทาสอีกคนหนึ่งไป พวกคนเช่าก็ทำร้ายทุบตีเขาและทำให้เขาอับอายขายหน้า แล้วไล่กลับไปมือเปล่าอีก 12 เจ้าของสวนก็ส่งคนที่สามไปอีก พวกคนเช่าก็ทำเหมือนเดิม ทำเขาจนบาดเจ็บสาหัสแล้วโยนออกไปนอกสวน 13 เจ้าของสวนองุ่นพูดกับตัวเองว่า ‘จะทำยังไงดี รู้แล้ว เราจะส่งลูกชายสุดที่รักของเราไป พวกนั้นจะต้องเคารพยำเกรงลูกชายเราแน่ๆ’ 14 แต่พอพวกคนเช่าเห็นลูกชายของเขา ก็ปรึกษากันว่า ‘นี่ไงผู้รับมรดก ให้พวกเราฆ่ามันเลย สวนนี้จะได้ตกเป็นของพวกเรา’ 15 พวกเขาก็เลยจับลูกชายเจ้าของสวนโยนออกไปนอกสวนและฆ่าเขา พวกคุณคิดว่า เจ้าของสวนจะทำยังไงกับพวกคนเช่าเหล่านั้น 16 เขาจะกลับไปฆ่าพวกคนเช่าสวนเหล่านั้น และยกสวนองุ่นให้กับคนอื่นๆ” เมื่อผู้คนได้ยินอย่างนั้น ก็พูดขึ้นว่า “อย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย”

17 แต่พระเยซูก็จ้องมองเขาและพูดว่า “ถ้างั้น ข้อความนี้ในพระคัมภีร์หมายถึงอะไร

‘หินก้อนนี้ที่ช่างก่อสร้างทิ้งแล้ว
    กลับกลายมาเป็นหินก้อนที่สำคัญที่สุด’[a]

18 คนที่ล้มทับหินก้อนนั้น ร่างกายก็จะหักเป็นท่อนๆ แต่ถ้าถูกหินนี้ล้มทับ คนนั้นก็จะแหลกละเอียด”

19 เมื่อพวกครูสอนกฎปฏิบัติ และพวกหัวหน้านักบวชรู้ตัวว่าพระเยซูกำลังเปรียบพวกเขาว่าเป็นคนเช่าสวนพวกนั้น พวกเขาก็เลยหาทางที่จะจับพระเยซูตอนนั้นเลย แต่ก็ไม่กล้าเพราะกลัวประชาชน

พวกผู้นำชาวยิวพยายามใช้กลอุบายลวงพระเยซู

(มธ. 22:15-22; มก. 12:13-17)

20 พวกเขาจึงเฝ้าดูพระเยซูอย่างใกล้ชิด และส่งพวกสอดแนมที่แกล้งทำเป็นคนดีเพื่อไปจับผิดคำพูดของพระองค์ เพื่อจะได้จับตัวพระองค์ส่งไปให้ผู้พิพากษาและเจ้าเมืองโรม 21 พวกสอดแนมถามพระเยซูว่า “อาจารย์ครับ พวกเรารู้ว่าคำพูดและคำสอนของท่านนั้นถูกต้องและท่านก็ไม่กลัวว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร และสอนความจริงในสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้ทำ 22 อาจารย์ช่วยบอกหน่อยว่า มันถูกต้องตามกฎหรือเปล่าที่จ่ายภาษีให้กับซีซาร์”

23 พระเยซูรู้ถึงอุบายของพวกเขา จึงบอกพวกเขาว่า 24 “ไหน ส่งเหรียญอันหนึ่งมาให้ดูสิ นี่รูปใคร แล้วมีชื่อใครสลักอยู่”

พวกเขาก็ตอบว่า “ซีซาร์”

25 พระองค์จึงพูดกับพวกเขาว่า “ของๆซีซาร์ก็ให้ซีซาร์ ของๆพระเจ้าก็ให้พระเจ้า”

26 พวกเขาไม่สามารถจะจับผิดคำพูดของพระองค์ต่อหน้าผู้คนได้ ได้แต่ตะลึงในคำตอบจนถึงกับพูดไม่ออก

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International