Old/New Testament
โยอาบต่อว่าดาวิด
19 มีคนบอกโยอาบว่า “กษัตริย์กำลังร้องไห้และคร่ำครวญถึงอับซาโลม”
2 ดังนั้น ในวันนั้นแทนที่กองทัพจะเฉลิมฉลองชัยชนะ กลับกลายเป็นวันเศร้าโศก เพราะในวันนั้นทั้งกองทัพได้ยินว่า “กษัตริย์เสียใจเรื่องลูกชายของเขา”
3 คนเหล่านั้นเดินเข้าเมืองอย่างเงียบๆเหมือนคนที่แอบเข้าเมืองด้วยความละอายเมื่อหลบหนีจากสนามรบ 4 กษัตริย์ปิดหน้าของเขาและร้องไห้ออกมาดังๆว่า “อับซาโลม ลูกพ่อ อับซาโลม ลูกพ่อ ลูกของพ่อ”
5 โยอาบจึงเข้าไปในวังของกษัตริย์และพูดว่า “วันนี้ ท่านได้ทำให้คนของท่านทั้งหมดอับอาย พวกเขาคือคนที่ได้ช่วยชีวิตท่าน และลูกชายกับลูกสาวอีกหลายๆคนของท่านไว้ รวมทั้งชีวิตของพวกเมียท่านและเมียน้อย[a] ทั้งหลายของท่านด้วย 6 ท่านรักคนเหล่านั้นที่เกลียดท่านและเกลียดคนที่รักท่าน ในวันนี้ท่านทำให้เห็นชัดเจนว่า ผู้นำทัพทั้งหลายของท่านและคนของเขาไม่มีความหมายกับท่านเลย ข้าพเจ้ารู้แล้วว่า ท่านคงจะพอใจถ้าอับซาโลมยังมีชีวิตอยู่ในวันนี้และพวกข้าพเจ้าตายหมด 7 ตอนนี้ ขอท่านออกไปและไปให้กำลังใจกับคนของท่าน ข้าพเจ้าสาบานต่อพระยาห์เวห์ว่า ถ้าท่านไม่ออกไป จะไม่มีใครเหลืออยู่กับท่านอีกภายในคืนนี้ และมันจะเลวร้ายยิ่งกว่าความหายนะใดๆก็ตามที่ท่านเคยพบมาตั้งแต่เด็กจนถึงขณะนี้”
8 ดังนั้นกษัตริย์จึงลุกขึ้นและไปนั่งที่ประตูเมือง เมื่อคนเหล่านั้นได้ยินว่า “กษัตริย์นั่งอยู่บนประตูเมือง[b]แล้ว” พวกเขาก็ออกมาอยู่ต่อหน้าเขา
ดาวิดกลับเข้าเมืองเยรูซาเล็มอีกครั้ง
9 ขณะนั้นชาวอิสราเอลต่างหลบหนีกลับบ้านของพวกเขา ประชาชนอิสราเอลทั่วทุกเผ่าต่างถกเถียงกันว่า “กษัตริย์ได้ช่วยเหลือพวกเราให้พ้นจากมือของพวกศัตรู เขาคือผู้ที่ช่วยพวกเราให้พ้นจากมือของชาวฟีลิสเตีย แต่ตอนนี้เขาได้หลบหนีจากประเทศไปเพราะอับซาโลม 10 และอับซาโลมที่พวกเราได้แต่งตั้งให้ปกครองพวกเราได้ตายแล้วในสนามรบ แล้วทำไมพวกเราไม่พูดถึงการเชิญกษัตริย์กลับมาเล่า”
11 กษัตริย์ดาวิดส่งข้อความไปให้ศาโดกและอาบียาธาร์นักบวชทั้งสองว่า “ให้ไปถามพวกผู้ใหญ่ชาวยูดาห์ว่า ‘ทำไมท่านถึงเป็นคนสุดท้ายที่จะเชิญกษัตริย์กลับวังของเขา ในเมื่อทั่วทั้งอิสราเอลก็ได้พูดกันถึงเรื่องนี้ และมันก็มาถึงหูของเราผู้เป็นกษัตริย์แล้ว 12 พวกท่านเป็นพี่น้องของเรา เป็นเลือดเนื้อของเรา แล้วทำไมท่านจึงเป็นพวกสุดท้ายที่จะนำเราผู้เป็นกษัตริย์กลับมายังวังของเรา’ 13 และให้บอกอามาสาด้วยว่า ‘ท่านไม่ใช่เลือดเนื้อของเราหรือ ขอให้พระเจ้าลงโทษเราอย่างรุนแรงที่สุดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ถ้าจากนี้ไปท่านไม่ได้เป็นแม่ทัพของกองทัพเราแทนโยอาบ’”
14 ดาวิดชนะใจชาวยูดาห์ทั้งหมดราวกับว่าพวกเขาเป็นคนๆเดียว พวกเขาส่งข้อความถึงกษัตริย์ว่า “กลับมาเถิด ทั้งตัวท่านและคนของท่านทั้งหมดด้วย”
15 แล้วกษัตริย์ก็ได้กลับมาและไปถึงแม่น้ำจอร์แดน ขณะนั้นคนยูดาห์ได้มาที่กิลกาลเพื่อออกไปรับเสด็จกษัตริย์และนำเขาข้ามแม่น้ำจอร์แดนมา
ชิเมอีขอให้ดาวิดให้อภัยเขา
16 ชิเมอีลูกชายเกราชาวเบนยามินที่มาจากเมืองบาฮูริม รีบลงมาพร้อมกับคนยูดาห์เพื่อรับเสด็จกษัตริย์ดาวิด 17 เขามาพร้อมกับชาวเผ่าเบนยามินหนึ่งพันคน และกับศิบาคนรับใช้ครอบครัวซาอูล ศิบามาพร้อมกับลูกชายสิบห้าคนและคนรับใช้ยี่สิบคนของเขา พวกเขารีบไปที่แม่น้ำจอร์แดนที่กษัตริย์อยู่
18 พวกเขาข้ามที่ทางข้ามเพื่อไปรับครอบครัวกษัตริย์ข้ามมา และเพื่อทำตามสิ่งที่กษัตริย์ต้องการ เมื่อชิเมอีลูกชายเกราข้ามจอร์แดนไป เขาหมอบคำนับอยู่ต่อหน้ากษัตริย์ 19 และพูดกับกษัตริย์ว่า “ขอให้เจ้านายข้าพเจ้าอย่าเอาผิดกับข้าพเจ้าเลย อย่าได้จดจำสิ่งที่ผิดๆที่คนรับใช้ของท่านได้ทำไป ในวันที่ท่านกษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้าออกจากเยรูซาเล็ม ขอให้กษัตริย์เอามันออกไปจากความคิดด้วยเถิด 20 เพราะข้าพเจ้าผู้รับใช้ท่านรู้ว่าข้าพเจ้าได้ทำบาปไป แต่วันนี้ข้าพเจ้ามาที่นี่เป็นคนแรกในบรรดาครอบครัวโยเซฟ[c] ทั้งหมดเพื่อลงมาพบกับท่านกษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้า”
21 แล้วอาบีชัยลูกชายนางเศรุยาห์ก็พูดว่า “ชิเมอีสมควรตายเพราะเรื่องนี้ไม่ใช่หรือ เขาได้สาปแช่งผู้ที่พระยาห์เวห์ได้เจิมให้เป็นกษัตริย์”
22 ดาวิดตอบว่า “พวกลูกชายนางเศรุยาห์ พวกเจ้ามายุ่งเรื่องของเราทำไม วันนี้เจ้าทำตัวเหมือนศัตรูของเรา วันนี้จะไม่มีใครต้องตายในอิสราเอล คิดว่าเราไม่รู้หรือว่าวันนี้เราได้เป็นกษัตริย์ปกครองเหนืออิสราเอลแล้ว”
23 ดังนั้นกษัตริย์พูดกับชิเมอีว่า “เจ้าจะไม่ต้องตาย”[d] แล้วกษัตริย์ก็สาบานกับเขา
เมฟีโบเชทไปพบดาวิด
24 เมฟีโบเชทหลาน[e] ซาอูลลงไปรับเสด็จกษัตริย์ด้วยเหมือนกัน เขาไม่ได้ดูแลเท้าของเขาหรือแต่งหนวดเคราหรือซักเสื้อผ้าเขาเลยตั้งแต่วันที่กษัตริย์จากไปจนกระทั่งวันที่เขากลับมาอย่างปลอดภัย 25 เมื่อเขามาจากเยรูซาเล็มเพื่อมารับเสด็จกษัตริย์ กษัตริย์ถามเขาว่า “เมฟีโบเชท ทำไมเจ้าถึงไม่ไปกับเรา”
26 เขาพูดว่า “กษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าผู้รับใช้ท่านเป็นง่อย ข้าพเจ้าก็เลยพูดว่า ‘ใส่อานให้กับลาของเราหน่อย เราจะได้ขี่ตามกษัตริย์ไป’ แต่ศิบาคนรับใช้ข้าพเจ้า ทรยศข้าพเจ้า 27 และเขาก็ใส่ร้ายข้าพเจ้าผู้รับใช้ท่านกษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้า กษัตริย์ของข้าพเจ้าเป็นเหมือนทูตสวรรค์ของพระเจ้า ดังนั้นขอท่านทำในสิ่งที่ท่านเห็นควรเถิด 28 อันที่จริง ลูกหลานทุกคนของปู่[f] ข้าพเจ้าไม่สมควรได้รับสิ่งใดเลยนอกจากความตายจากท่านกษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้า แต่ท่านได้ให้ข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่านนั่งร่วมกับคนเหล่านั้นที่นั่งร่วมโต๊ะกับท่าน ดังนั้น ข้าพเจ้ายังมีสิทธิ์เรียกร้องอะไรจากกษัตริย์อีกเล่า”
29 กษัตริย์พูดกับเขาว่า “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เราขอสั่งให้เจ้าและศิบาแบ่งที่นากัน”
30 เมฟีโบเชทพูดกับกษัตริย์ว่า “ให้เขาไปทุกอย่างเถิด เพราะตอนนี้ท่านกษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้าได้กลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว”
ดาวิดขอให้บารซิลลัยมากับเขา
31 บารซิลลัยชาวกิเลอาดลงมาจากโรเกลิมด้วย เพื่อที่จะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปกับกษัตริย์และเพื่อส่งเขาให้เดินทางไปจากที่นั่น 32 ขณะนั้น บารซิลลัยแก่มากแล้ว มีอายุแปดสิบปี เขาเป็นผู้นำเสบียงอาหารมาให้กับกษัตริย์ระหว่างที่พักอยู่ที่เมืองมาหะนาอิม เพราะเขาร่ำรวยมาก 33 กษัตริย์ดาวิดพูดกับบารซิลลัยว่า “ข้ามไปกับเราและอยู่กับเราในเยรูซาเล็มเถิด แล้วเราจะคอยดูแลท่าน”
34 แต่บารซิลลัยตอบกษัตริย์ดาวิดว่า “ข้าพเจ้าจะยังมีชีวิตอยู่ได้อีกสักกี่ปีกัน ที่ข้าพเจ้าจะไปอยู่ในเมืองเยรูซาเล็มกับกษัตริย์ 35 ตอนนี้ข้าพเจ้าก็มีอายุตั้งแปดสิบปีแล้ว ข้าพเจ้าแก่เกินกว่าที่จะสนุกสนานกับอะไรต่ออะไรแล้ว ข้าพเจ้าผู้รับใช้ท่านยังสามารถลิ้มรสอาหารและเครื่องดื่มได้อีกหรือ ข้าพเจ้ายังจะฟังเสียงของนักร้องชายและหญิงได้อีกหรือ ทำไมจะต้องให้ข้าพเจ้าผู้รับใช้ท่านเป็นภาระเพิ่มให้กับกษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้าด้วยเล่า 36 ผู้รับใช้ท่านจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปกับกษัตริย์ไปแค่ช่วงหนึ่งเท่านั้น ทำไมกษัตริย์ต้องตอบแทนข้าพเจ้าด้วยรางวัลขนาดนี้ 37 ปล่อยผู้รับใช้ท่านกลับไปเถิด ข้าพเจ้าจะได้ตายอยู่ในเมืองของข้าพเจ้าเองใกล้หลุมฝังศพพ่อและแม่ข้าพเจ้า แต่คนผู้นี้คือคิมฮามผู้รับใช้ท่าน ให้เขาข้ามไปกับกษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้าเถิด ทำกับเขาตามที่ท่านเห็นสมควรเถิด”
38 กษัตริย์พูดว่า “คิมฮามจะข้ามไปกับเรา เราจะดีกับเขาอย่างที่ท่านขอไว้ ท่านขออะไร เราก็จะทำให้”
ดาวิดกลับบ้าน
39 กษัตริย์จูบบารซิลลัยและให้พรกับเขา และบารซิลลัยก็กลับบ้านเขา หลังจากนั้น กษัตริย์และประชาชนทั้งหมดก็ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไป
40 เมื่อกษัตริย์ข้ามแม่น้ำและเดินทางไปถึงกิลกาล กองทัพทั้งหมดของยูดาห์และครึ่งหนึ่งของกองทัพอิสราเอลนำกษัตริย์ข้ามแม่น้ำมา คิมฮามข้ามไปกับเขาด้วย
ชาวอิสราเอลทะเลาะกับชาวยูดาห์
41 ต่อมาคนอิสราเอลทั้งหมดก็มาหากษัตริย์ และพูดกับเขาว่า “ทำไมชาวยูดาห์พี่น้องของพวกเราถึงได้ขโมยท่านไป ทำไมพวกเขาถึงได้นำตัวท่านและครอบครัวของท่านข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปพร้อมกับคนของเขา”
42 ชาวยูดาห์ทั้งหมดตอบคนอิสราเอลว่า “พวกเราทำไปเพราะกษัตริย์เป็นญาติสนิทกับพวกเรา ทำไมพวกท่านต้องโกรธด้วย พวกเราไปกินของอะไรของกษัตริย์หรือ พวกเราเอาอะไรของเขามาเป็นของพวกเราหรือ”
43 ชาวอิสราเอลจึงตอบคนยูดาห์ไปว่า “พวกเรามีส่วนแบ่งในกษัตริย์สิบส่วน[g] และนอกจากนั้น พวกเรามีสิทธิ์ในดาวิดมากกว่าพวกท่าน แล้วทำไมพวกท่านถึงได้ดูถูกพวกเราอย่างนี้ พวกเราไม่ใช่พวกแรกหรือที่ได้พูดถึงการนำกษัตริย์กลับมา”
แต่คำพูดของคนยูดาห์รุนแรงกว่าคำพูดของคนอิสราเอล
การกบฏของเชบา
20 ตอนนั้น เผอิญมีอันธพาลอยู่คนหนึ่งชื่อเชบาลูกชายบิครีชาวเบนยามินอยู่ที่นั่น เขาเป่าแตรขึ้นและตะโกนว่า
“พวกเราไม่มีส่วนแบ่งในดาวิด
ไม่มีส่วนในลูกชายของเจสซี
อิสราเอลเอ๋ย ขอให้ต่างคนต่างกลับไปยังเต็นท์ของตัวเองเถิด”
2 ดังนั้น คนอิสราเอล[h] ทั้งหมดก็ทิ้งดาวิดไปติดตามเชบาลูกชายบิครี แต่คนยูดาห์ยังคงติดตามกษัตริย์ของพวกเขาไปตลอดทางจากแม่น้ำจอร์แดนถึงเมืองเยรูซาเล็ม
3 เมื่อดาวิดกลับถึงวังของเขาในเยรูซาเล็ม เขาได้นำตัวเมียน้อย[i] สิบคนที่เขาเคยทิ้งไว้ให้ดูแลวังและให้พวกนางไปอยู่ในบ้าน[j] หลังหนึ่งและให้คุมตัวไว้ เขายังดูแลพวกนาง แต่ไม่ได้นอนกับพวกนาง พวกนางถูกกักบริเวณและมีชีวิตอยู่อย่างแม่หม้ายจนตาย
4 แล้วกษัตริย์ก็พูดกับอามาสาว่า “รวบรวมคนยูดาห์มาหาเราภายในสามวัน และตัวท่านก็มาอยู่ด้วย”
5 แต่เมื่ออามาสาไปรวบรวมคนยูดาห์ เขาใช้เวลามากกว่าสามวันที่กษัตริย์ให้เวลาเขาไว้
6 ดาวิดพูดกับอาบีชัยว่า “ตอนนี้ เชบาลูกชายบิครีจะเป็นอันตรายกับเรามากกว่าอับซาโลม เอาคนของเราไปตามล่าเขา ไม่อย่างนั้นเขาจะหลบหนีพวกเราไปอยู่ในเมืองที่เป็นป้อมปราการได้”
7 ดังนั้นคนของโยอาบและชาวเคเรธีกับชาวเปเลท[k] และนักรบที่แกร่งกล้าทั้งหมดได้ออกไปภายใต้การนำของอาบีชัย พวกเขาเดินทัพจากเมืองเยรูซาเล็มเพื่อไปตามล่าเชบาลูกชายบิครี
8 ในขณะที่พวกเขาอยู่ที่ก้อนหินใหญ่ในเมืองกิเบโอน อามาสาออกมาพบพวกเขา โยอาบกำลังสวมชุดทหารและมีดาบอยู่ในฝัก เหน็บอยู่ที่เข็มขัดข้างเอว เมื่อเขาก้าวออกมา ดาบก็หลุดออกจากฝัก 9 โยอาบพูดกับอามาสาว่า “พี่ชาย ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
แล้วโยอาบก็เอามือขวาจับเคราของอามาสามาเพื่อที่จะจูบเขา 10 อามาสาไม่ทันป้องกันตัวจากดาบในมือของโยอาบ โยอาบก็แทงดาบเข้าที่ท้องเขา ไส้ทะลักลงมากองที่พื้น โดยไม่ต้องแทงซ้ำอีก อามาสาก็ตาย แล้วโยอาบและอาบีชัยน้องชายของเขาก็ไล่ตามเชบาลูกชายบิครี 11 คนของโยอาบคนหนึ่งยืนอยู่ข้างอามาสาและพูดว่า “ใครที่อยู่ฝ่ายโยอาบและฝ่ายดาวิด ตามโยอาบไป”
12 อามาสานอนตายจมกองเลือดอยู่กลางถนน และมีชายคนหนึ่งเห็นว่ากองทัพทั้งหมดที่เดินผ่านมาก็จะมาหยุดดูศพของอามาสา เมื่อเขาเห็นอย่างนั้น เขาจึงลากศพของอามาสาออกจากถนนไปทิ้งที่ทุ่งนาและเอาเสื้อปิดเขาไว้ 13 หลังจากที่ศพของอามาสาถูกย้ายออกจากถนนแล้ว คนทั้งหมดก็ไปกับโยอาบเพื่อตามล่าเชบาลูกชายบิครี
14 เชบาผ่านอิสราเอลทุกเผ่าไป จนในที่สุดได้มาถึงอาเบล-เบธ-มาอาคาห์และตระกูลของบิครี[l] ได้มารวมตัวกันติดตามเขาไป
15 กองทัพทั้งหมดที่มากับโยอาบมาถึงที่อาเบล-เบธ-มาอาคาห์ และได้ล้อมเชบาไว้ที่นั่น พวกเขาได้สร้างเนินดินขึ้นติดกำแพงด้านนอก เพื่อปีนขึ้นบนกำแพง ขณะที่พวกเขากำลังทะลายกำแพงเพื่อให้มันพังลงมา
16 หญิงฉลาดผู้หนึ่งร้องเรียกพวกเขาจากในเมืองว่า “ฟังนะ ฟังนะ ช่วยเรียกโยอาบมาที่นี่หน่อย เรามีอะไรจะพูดกับเขา”
17 โยอาบจึงตรงไปหานางและนางก็ถามว่า “ท่านคือโยอาบหรือ”
เขาตอบว่า “ใช่แล้ว เราเอง”
นางพูดว่า “ฟังสิ่งที่ผู้รับใช้ท่านจะบอกกับท่านให้ดีนะ”
เขาพูดว่า “เรากำลังฟังอยู่”
18 นางพูดต่อว่า “นานมาแล้ว เขาพูดกันว่า ‘ใครมีคำถามอะไร ก็ไปหาคำตอบได้ที่เมืองอาเบล’ และปัญหาก็จะถูกแก้ไขเรียบร้อย 19 ฉันเป็นคนหนึ่งในชาวอิสราเอลที่รักสงบและจงรักภักดีต่อชาติ พวกท่านกำลังพยายามจะทำลายเมืองที่เป็นเมืองแม่ของอิสราเอล ทำไมท่านจึงต้องกลืนกินสิ่งซึ่งเป็นของพระยาห์เวห์ด้วย”
20 โยอาบตอบว่า “เราไม่ได้คิดทำอย่างนั้น เราไม่ได้คิดที่จะกลืนหรือทำลายเมือง 21 มันไม่ใช่เรื่องนั้น มีชายคนหนึ่งชื่อเชบาลูกชายของบิครีมาจากเมืองในแถบเทือกเขาเอฟราอิม เขายกมือขึ้นต่อต้านกษัตริย์ คือต่อต้านดาวิด มอบตัวชายผู้นี้มา และเราจะถอนกำลังไปจากเมืองนี้”
หญิงผู้นั้นพูดกับโยอาบว่า “หัวของเขาจะถูกโยนไปให้ท่านจากกำแพง”
22 แล้วหญิงคนนั้นก็ไปหาประชาชนทั้งหมดพร้อมกับคำแนะนำอันเฉลียวฉลาดของนาง และพวกเขาก็ตัดหัวเชบาลูกชายบิครีและโยนมันออกมาให้โยอาบ
ดังนั้นโยอาบจึงเป่าแตรและคนของเขาก็ถอยออกจากเมืองนั้น แต่ละคนกลับบ้านของตนเอง และโยอาบก็กลับไปหากษัตริย์ในเยรูซาเล็ม
เจ้าหน้าที่ของดาวิด
23 โยอาบควบคุมทั้งกองทัพของอิสราเอล เบไนยาห์ลูกชายเยโฮยาดาควบคุมชาวเคเรธีและชาวเปเลท 24 อาโดนีรัม[m] ทำหน้าที่ควบคุมคนงาน เยโฮชาฟัทลูกชายอาหิลูดเป็นผู้จดบันทึก 25 เชวาเป็นเลขา ศาโดกและอาบียาธาร์เป็นนักบวช 26 และอิราชาวยาอีร์เป็นนักบวชของดาวิด[n]
พระเจ้าจะตอบคำอธิษฐาน
18 พระเยซูได้เล่าเรื่องเปรียบเทียบให้ศิษย์ของพระองค์ฟัง เพื่อสอนให้พวกเขาอธิษฐานอยู่เสมอ และไม่สิ้นหวัง 2 พระองค์เล่าว่า “ในเมืองหนึ่ง มีผู้พิพากษาคนหนึ่งที่ไม่เกรงกลัวพระเจ้า และไม่เคยเคารพนับถือใครเลย 3 ในเมืองนี้มีหญิงม่ายคนหนึ่ง ที่เฝ้าวนเวียนมาอ้อนวอนผู้พิพากษาคนนี้ว่า ‘ช่วยตัดสินคดีของฉันอย่างยุติธรรมด้วยเถิด’ 4 ตอนแรกผู้พิพากษาไม่ได้สนใจนางเลย แต่ในที่สุดผู้พิพากษาก็พูดกับตัวเองว่า ‘ถึงแม้เราจะไม่เกรงกลัวพระเจ้า และไม่กลัวมนุษย์หน้าไหนทั้งนั้น 5 แต่เราคงต้องให้ความยุติธรรมกับเธอ เพราะเธอเซ้าซี้กวนใจเหลือเกิน จะได้เลิกมายุ่งวุ่นวายกับเราเสียที ไม่งั้นเราคงจะบ้าตายแน่’”
6 แล้วพระองค์ก็พูดต่อว่า “เห็นหรือเปล่าว่า ผู้พิพากษาขี้โกงคนนี้พูดว่าอะไร 7 แล้วพระเจ้าจะไม่ให้ความยุติธรรมกับคนที่พระองค์ได้เลือกไว้ที่ร้องขอความช่วยเหลือต่อพระองค์ทั้งวันทั้งคืนหรือ พระองค์จะผลัดไปเรื่อยๆหรือ 8 เราจะบอกให้รู้ว่า พระองค์จะรีบให้ความยุติธรรมกับเขา ว่าแต่เมื่อบุตรมนุษย์มาถึง พระองค์จะเจอคนที่มีความเชื่อหลงเหลืออยู่ในโลกนี้หรือเปล่า”
ฟาริสีกับคนเก็บภาษี
9 พระเยซูเล่าเรื่องเปรียบเทียบนี้ เพื่อสอนคนที่เชื่อมั่นในตัวเองเหลือเกินว่าทำตามใจพระเจ้า และชอบดูถูกคนอื่น พระองค์เล่าว่า 10 “มีชายสองคนขึ้นไปอธิษฐานที่วิหาร คนหนึ่งเป็นพวกฟาริสี ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นคนเก็บภาษี 11 ฟาริสีคนนั้นยืนอยู่ตามลำพังและอธิษฐานว่า ‘พระเจ้า ขอบคุณที่ข้าพเจ้าไม่เป็นเหมือนมนุษย์คนอื่นๆเช่นพวกขโมย พวกขี้โกง พวกมีชู้ หรือแม้แต่คนเก็บภาษีคนนี้ 12 ข้าพเจ้าอดอาหารอาทิตย์ละสองครั้ง และถวายหนึ่งในสิบ[a] ของของทุกอย่างที่ได้มา’
13 แต่คนเก็บภาษีนั้น ยืนอยู่แต่ไกลในขณะที่อธิษฐาน ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ได้แต่ทุบอกตัวเองคร่ำครวญว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า ขอโปรดเมตตาข้าพเจ้าที่เป็นคนบาป’ 14 เราจะบอกให้รู้ว่า เมื่อกลับบ้านไป คนที่พระเจ้ายอมรับคือคนเก็บภาษี ไม่ใช่ฟาริสี เพราะทุกคนที่ยกตัวเองขึ้นจะต้องถูกกดลง แต่ทุกคนที่ถ่อมตัวลงจะถูกยกขึ้น”
คนที่เข้าอาณาจักรของพระเจ้าต้องเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ
(มธ. 19:13-15; มก. 10:13-16)
15 มีคนอุ้มลูกเล็กๆมาให้พระเยซูจับตัวและอวยพรให้ เมื่อพวกศิษย์เห็น ก็ต่อว่าพวกเขาไม่ให้ทำอย่างนั้น 16 แต่พระเยซูกลับเรียกเด็กๆพวกนั้นเข้ามาหาแล้วพูดว่า “ปล่อยให้พวกเด็กเล็กๆเข้ามาหาเรา อย่าห้ามพวกเขา เพราะอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของคนที่เป็นเหมือนกับเด็กเล็กๆพวกนี้ 17 เราจะบอกให้รู้ว่า ถ้าใครไม่ยอมรับอาณาจักรของพระเจ้าเหมือนอย่างที่เด็กเล็กๆพวกนี้ยอมรับ คนนั้นจะไม่ได้เข้าในอาณาจักรของพระเจ้าแน่ๆ”
คนรวยคนหนึ่งถามพระเยซู
(มธ. 19:16-30; มก. 10:17-31)
18 มีผู้นำชาวยิวคนหนึ่งถามพระเยซูว่า “อาจารย์ผู้ประเสริฐผมจะต้องทำอย่างไรถึงจะมีชีวิตกับพระเจ้าตลอดไป” 19 พระเยซูจึงถามว่า “คุณเรียกเราว่าผู้ประเสริฐทำไม ไม่มีใครประเสริฐหรอกนอกจากพระเจ้าเท่านั้น 20 คุณก็รู้กฎปฏิบัติแล้วนี่ ที่ว่า ‘อย่ามีชู้ อย่าฆ่าคน อย่าขโมย อย่าเป็นพยานเท็จ และให้เคารพนับถือพ่อแม่’”[b]
21 ผู้นำคนนั้นก็พูดว่า “ผมรักษากฎทั้งหมดนั้นมาตั้งแต่เด็กแล้วครับ”
22 เมื่อพระองค์ได้ยินอย่างนั้น ก็พูดต่อไปว่า “คุณยังขาดอยู่อีกอย่างหนึ่ง คือให้ไปขายทรัพย์สมบัติทุกอย่างที่คุณมี แล้วเอาเงินไปแจกจ่ายให้กับคนยากจน และคุณก็จะมีทรัพย์สมบัติอยู่ในสวรรค์ แล้วมาติดตามเรา” 23 เมื่อเขาได้ยินอย่างนั้น ก็เสียใจอย่างหนักเพราะเขาร่ำรวยมาก
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International