Old/New Testament
ซาอูลพยายามฆ่าดาวิด
19 ซาอูลบอกโยนาธานลูกชายของเขาและคนรับใช้ของเขาทุกคนให้ฆ่าดาวิด แต่โยนาธานชอบดาวิดมาก 2 ก็เลยเตือนดาวิดว่า “ซาอูลพ่อของเรากำลังหาโอกาสที่จะฆ่าเจ้า พรุ่งนี้เช้า ให้ระวังตัวให้ดี ให้ไปหาที่หลบซ่อนและให้อยู่ที่นั่น 3 เราจะออกไปยืนอยู่ข้างๆพ่อเราในทุ่งนาที่ท่านซ่อนตัวอยู่ เราจะพูดกับพ่อเรื่องของเจ้า แล้วพอเรารู้อะไรก็จะมาเล่าให้เจ้าฟัง”
4 โยนาธานพูดถึงความดีของดาวิดให้กับซาอูลพ่อของเขาว่า “ขออย่าให้พ่อทำผิดต่อดาวิดคนรับใช้ของพ่อเลย เขาไม่ได้ทำอะไรผิดต่อพ่อ และสิ่งที่เขาทำก็เป็นประโยชน์มากกับพ่อทั้งนั้น 5 เขาได้เสี่ยงชีวิตตอนที่ฆ่าชาวฟีลิสเตียคนนั้น และพระยาห์เวห์ให้ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่กับชาวอิสราเอลทั้งหมด พ่อก็เห็นและชื่นชมไปด้วย แล้วทำไมพ่อถึงจะทำผิดต่อคนบริสุทธิ์อย่างดาวิด และจะไปฆ่าเขาอย่างไร้เหตุผล”
6 เมื่อซาอูลได้ฟังสิ่งที่โยนาธานพูด เขาก็สาบานว่า “พระยาห์เวห์ มีชีวิตอยู่แน่ขนาดไหน ก็ให้แน่ใจขนาดนั้นเลยว่าดาวิดจะไม่ถูกประหารชีวิต”
7 แล้วโยนาธานได้เรียกดาวิดมา และเล่าเรื่องที่เขากับพ่อได้พูดกัน แล้วโยนาธานได้นำดาวิดมาพบซาอูล และดาวิดก็ได้เฝ้าซาอูลอย่างแต่ก่อน
8 แล้วสงครามก็เกิดขึ้นอีก ดาวิดจึงออกไปสู้รบกับคนฟีลิสเตีย ดาวิดได้ฆ่าฟันพวกนั้นตายเกลื่อนกลาด พวกนั้นได้หนีไปต่อหน้าต่อตา 9 แต่วิญญาณชั่วจากพระยาห์เวห์ได้มาเข้าสิงซาอูล ขณะที่เขากำลังนั่งอยู่ในวังของเขาและถือหอกอยู่ในมือ ดาวิดกำลังเล่นพิณอยู่ 10 ซาอูลพยายามพุ่งหอกหมายปักดาวิดให้ติดผนัง แต่ดาวิดหลบได้ หอกของซาอูลเลยพุ่งเข้าใส่ฝาผนัง แล้วคืนนั้นดาวิดก็หนีรอดออกมาได้
11 ซาอูลส่งคนไปเฝ้าดูที่บ้านของดาวิดตลอดคืน เพื่อฆ่าเขาในตอนเช้า แต่มีคาลเมียของดาวิดได้เตือนเขาว่า “ถ้าพี่ไม่หนีไปในคืนนี้ พรุ่งนี้พี่จะต้องถูกฆ่าตาย”
12 ดังนั้นมีคาลจึงได้หย่อนดาวิดลงทางหน้าต่าง และเขาก็หนีรอดไป 13 จากนั้นมีคาลก็เอารูปปั้นพระประจำบ้านมาวางไว้บนเตียง แล้วเอาผ้าคลุมไว้และเอาขนแพะมาวางไว้ที่หัวรูปปั้นนั้น
14 เมื่อซาอูลส่งคนมาจับดาวิด มีคาลก็บอกว่า “เขาไม่สบาย”
15 ซาอูลส่งคนกลับไปดูดาวิด และสั่งพวกเขาว่า “นำเขามาทั้งที่อยู่บนเตียง เพื่อที่เราจะได้ฆ่าเขาเสีย”
16 แต่เมื่อพวกเขาเข้าไปก็พบรูปปั้นอยู่บนเตียง และมีขนแพะอยู่ที่หัวมัน
17 ซาอูลพูดกับมีคาลว่า “ทำไมลูกถึงหลอกลวงพ่ออย่างนี้ และปล่อยศัตรูของพ่อให้รอดพ้นไปได้”
มีคาลตอบว่า “ดาวิดพูดกับลูกว่า ‘ปล่อยพี่ไปเถอะ จะให้พี่ต้องฆ่าน้องทำไม’”
18 เมื่อดาวิดหลบหนีไปได้ เขาได้ไปหาซามูเอลที่เมืองรามาห์ และเล่าเรื่องทั้งหมดที่ซาอูลทำกับเขา จากนั้นเขาและซามูเอลก็ไปอยู่ที่นาโยท
19 มีคนไปแจ้งข่าวกับซาอูลว่า “ดาวิดอยู่ที่นาโยทในเมืองรามาห์” 20 ซาอูลจึงส่งคนมาจับดาวิด แต่เมื่อพวกเขามาเห็นกลุ่มผู้พูดแทนพระเจ้ากำลังพูดแทนพระเจ้ากันอยู่ มีซามูเอลยืนเป็นหัวหน้า พระวิญญาณของพระเจ้าก็เข้าสถิตในคนพวกนั้นที่ซาอูลส่งมา พวกเขาจึงเข้าร่วมพูดแทนพระเจ้าด้วย
21 เมื่อซาอูลรู้เรื่อง เขาก็ส่งคนไปใหม่ และพวกเขาก็ได้พูดแทนพระเจ้าด้วย ซาอูลจึงส่งคนไปเป็นครั้งที่สาม และพวกเขาก็ได้พูดแทนพระเจ้าอีกเหมือนกัน 22 ในที่สุดซาอูลก็ไปรามาห์เอง และเมื่อไปถึงอ่างเก็บน้ำใหญ่ที่เมืองเสคู เขาก็ถามว่า “ซามูเอลและดาวิดอยู่ที่ไหน”
ประชาชนตอบซาอูลว่า “ทั้งสองคนอยู่ที่นาโยทเมืองรามาห์”
23 ซาอูลจึงไปที่นาโยทในเมืองรามาห์ แต่พระวิญญาณของพระเจ้าได้เข้าสถิตในเขา ซาอูลจึงเดินพูดแทนพระเจ้าไปตลอดทางจนมาถึงนาโยท 24 ซาอูลได้ถอดเสื้อผ้าออก และเขาเองก็ได้พูดแทนพระเจ้าต่อหน้าซามูเอลด้วย เขานอนเปลือยกายอยู่ที่นั่นตลอดวันตลอดคืน นี่เป็นเหตุที่คนพูดว่า
“ซาอูลเป็นผู้พูดแทนพระเจ้าด้วยหรือ”
ดาวิดและโยนาธานทำสัญญากัน
20 จากนั้นดาวิดได้หนีจากนาโยทที่รามาห์ไปหาโยนาธาน และถามว่า “ข้าทำอะไรลงไปหรือ ความผิดของข้าคืออะไร ข้าได้ทำผิดอะไรต่อพ่อเจ้าหรือ เขาถึงได้พยายามมาเอาชีวิตของข้า”
2 โยนาธานตอบว่า “เป็นไปไม่ได้ เจ้าจะไม่ตายหรอก ดูสิ พ่อของข้าไม่เคยทำอะไรโดยไม่บอกข้าก่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ แล้วเขาจะมาปิดบังเรื่องนี้จากข้าทำไม คงไม่เป็นอย่างนั้นหรอก”
3 แต่ดาวิดสาบานว่า “พ่อของเจ้ารู้ดีว่า เจ้าชื่นชอบข้า และคิดกับตัวเองว่า ‘ต้องไม่ให้โยนาธานรู้เรื่องนี้ เพราะเขาจะต้องเสียใจอย่างแน่นอน’ แต่พระยาห์เวห์และตัวเจ้ามีชีวิตอยู่แน่ขนาดไหน ก็ให้แน่ใจขนาดนั้นเลยว่า ข้าห่างจากความตายแค่ก้าวเดียวเท่านั้น”
4 โยนาธานพูดกับดาวิดว่า “เจ้าจะให้ข้าทำอะไร ข้าก็จะทำเพื่อเจ้า”
5 ดาวิดจึงพูดว่า “เอาอย่างนี้ พรุ่งนี้จะเป็นวันเทศกาลพระจันทร์ใหม่ และข้าจะต้องไปร่วมกินอาหารกับกษัตริย์ แต่ปล่อยให้ข้าไปซ่อนตัวในท้องทุ่งเถอะ จนถึงเย็นวันที่สาม 6 ถ้าพ่อของเจ้าเห็นข้าหายไป ก็บอกเขาว่า ‘ดาวิดได้มาขออนุญาตกับลูกเพื่อลากลับบ้านอย่างเร่งด่วนที่เบธเลเฮม เพราะครอบครัวของเขาจะถวายสัตว์บูชาประจำปี’ 7 ถ้าเขาพูดว่า ‘ดีมาก’ ผู้รับใช้ของเจ้าคนนี้ก็ปลอดภัย แต่ถ้าเขาโกรธมาก เจ้าก็แน่ใจได้เลยว่า เขาได้ตัดสินใจที่จะทำร้ายข้าแล้ว 8 ถ้าเจ้าจะแสดงความเมตตาต่อผู้รับใช้ของเจ้า เพราะเจ้าได้ทำสัญญากับข้าต่อหน้าพระยาห์เวห์แล้ว ถ้าข้าผิดจริง เจ้าก็ฆ่าข้าเสียเอง ไม่ต้องมอบข้าไปให้กับพ่อของเจ้าหรอก”
9 โยนาธานพูดว่า “ไม่หรอก ถ้าข้ารู้ว่าพ่อของข้าคิดจะทำร้ายเจ้า ข้าจะไม่บอกเจ้าได้หรือ”
10 ดาวิดถามว่า “ใครจะมาบอกข้าละ ถ้าพ่อของเจ้าตอบเจ้าอย่างดุดัน”
11 โยนาธานพูดว่า “มาเถอะ ออกไปที่ท้องทุ่งกัน” เขาทั้งสองก็เดินไปที่นั่นด้วยกัน
12 จากนั้นโยนาธานก็พูดกับดาวิดว่า “ข้าขอสาบานต่อพระยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอล ข้าจะไปดูให้รู้แน่ว่าพ่อของข้าคิดยังไงกับเจ้า วันมะรืนนี้เวลาเดียวกันนี้ ถ้าเขารู้สึกดีกับเจ้า ข้าก็จะส่งข่าวมาให้เจ้ารู้ 13 แต่ถ้าพ่อข้าจะทำร้ายเจ้า ข้าก็จะบอกให้เจ้ารู้ และส่งเจ้าไปอย่างปลอดภัย ถ้าข้าไม่ทำตามที่พูดนี้ ก็ขอให้พระยาห์เวห์ลงโทษข้าอย่างรุนแรง ขอให้พระยาห์เวห์สถิตอยู่กับเจ้าเหมือนที่สถิตอยู่กับพ่อของข้า 14 ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ก็ขอให้เจ้ามีน้ำใจกับข้า เหมือนกับที่พระยาห์เวห์มีต่อข้าตลอดชีวิต เพื่อที่ว่าข้าจะได้ไม่ถูกฆ่าตาย 15 และถ้าหากข้าตายไป ก็ขอให้เจ้าอย่าได้แล้งน้ำใจต่อครอบครัวของข้า แม้เมื่อพระยาห์เวห์ได้กำจัดศัตรูทั้งหมดของเจ้าออกไปจากโลกนี้” 16 ดังนั้น โยนาธานได้ทำสัญญากับดาวิดและครอบครัวของดาวิด โยนาธานพูดว่า “ขอให้พระยาห์เวห์จัดการกับศัตรูของเจ้า”
17 และโยนาธานให้ดาวิดยืนยันสัญญาอีกครั้งด้วยความรักที่เขามีต่อดาวิด เพราะเขารักดาวิดเหมือนรักตัวเอง
18 จากนั้นโยนาธานก็พูดกับดาวิดว่า “พรุ่งนี้จะเป็นวันเทศกาลพระจันทร์ใหม่ พ่อจะเห็นว่าเจ้าหายไป เพราะที่นั่งของเจ้าจะว่าง 19 ในตอนเย็นวันมะรืนนี้ ให้ไปซ่อนตัวในที่ที่เจ้าเคยซ่อนตัวตอนที่เรื่องยุ่งยากนี้เกิดขึ้นครั้งแรก และคอยอยู่ที่ก้อนหินเอเซล 20 ข้าจะยิงธนูสามดอกไปข้างๆเจ้าเหมือนกับว่าข้ากำลังซ้อมยิงเป้า 21 จากนั้นข้าจะสั่งเด็กรับใช้ว่า ‘ไปหาลูกธนูซิ’ ถ้าข้าพูดกับเขาว่า ‘ลองดูซิ ลูกธนูตกอยู่ทางข้างๆเจ้า ไปเอามันกลับมานี่’ ถ้าข้าพูดอย่างนี้ ก็ให้เจ้าออกมาจากที่ซ่อนได้ เพราะพระยาห์เวห์มีชีวิตอยู่แน่ขนาดไหน ก็ให้แน่ใจขนาดนั้นเลยว่า เจ้าจะปลอดภัยและไม่มีอันตรายอะไร 22 แต่ถ้าข้าพูดกับเด็กรับใช้ว่า ‘ดูสิ ลูกธนูตกไกลออกไปข้างหน้าโน้น’ ถ้าข้าพูดอย่างนี้ เจ้าต้องรีบหนีไป เพราะพระยาห์เวห์ได้กำหนดให้เจ้าไปแล้ว 23 และเรื่องที่ได้คุยกันระหว่างเราสองคน จำไว้ว่าพระยาห์เวห์จะเป็นพยานให้กับเราทั้งสองคนตลอดไป”
24 ดังนั้นดาวิดจึงซ่อนตัวอยู่ในท้องทุ่ง
เมื่อถึงเทศกาลพระจันทร์ใหม่ ซาอูลซึ่งเป็นกษัตริย์ก็มานั่งกินอาหาร 25 เขานั่งในที่เคยนั่งเป็นประจำที่อยู่ใกล้กำแพง ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับโยนาธาน ส่วนอับเนอร์ก็นั่งอยู่ข้างๆซาอูล แต่ที่นั่งของดาวิดกลับว่างเปล่า 26 ในวันนั้นซาอูลไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงคิดว่า “ต้องเกิดอะไรขึ้นกับดาวิดที่จะทำให้เขาไม่บริสุทธิ์ในการเข้าร่วมพิธี แน่นอนว่าเขาต้องไม่บริสุทธิ์”
27 แต่วันต่อมา วันที่สองของเดือนนั้น ที่นั่งของดาวิดก็ยังคงว่างอยู่อีก ซาอูลจึงถามโยนาธานว่า “ทำไมดาวิดลูกชายเจสซีไม่มากินข้าวด้วยกัน ทั้งเมื่อวานและวันนี้ด้วย”
28 โยนาธานตอบว่า “ดาวิดได้มาวิงวอนขออนุญาตจากลูกเพื่อลากลับบ้านที่เบธเลเฮม 29 เขาบอกว่า ‘อนุญาตให้ฉันกลับบ้านเถอะ เพราะครอบครัวของฉันจะมีการถวายเครื่องบูชาในเมืองและพี่ชายของฉันก็สั่งให้ฉันกลับไป ถ้าท่านพอใจฉันก็อนุญาตให้ฉันกลับไปหาพี่ชายด้วยเถอะ’ เพราะสาเหตุนี้เขาจึงไม่ได้มาร่วมโต๊ะอาหารกับกษัตริย์”
30 ซาอูลได้ยินอย่างนั้น ความโกรธก็พลุ่งขึ้นต่อโยนาธาน เขาพูดกับโยนาธานว่า “เจ้ามันลูกกบฏของหญิงนอกคอก คิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าเจ้าเข้าข้างไอ้ลูกชายเจสซีนั่น เจ้าสร้างความอับอายให้ตัวเองและแม่ที่คลอดเจ้าออกมา 31 ตราบใดที่ดาวิดยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ เจ้าและอาณาจักรของเจ้าก็จะไม่มีวันตั้งอยู่ได้ ส่งคนไปนำตัวดาวิดมาเดี๋ยวนี้ มันต้องตาย”
32 โยนาธานถามซาอูลพ่อของเขาว่า “ทำไมเขาจะต้องถูกประหาร เขาทำอะไรลงไปหรือ”
33 แต่ซาอูลได้พุ่งหอกในมือใส่โยนาธานเพื่อฆ่าเขาเสีย โยนาธานจึงรู้ว่าพ่อของเขาตั้งใจจะฆ่าดาวิด 34 โยนาธานจึงลุกจากโต๊ะอาหารไปด้วยความโกรธมาก และไม่ได้กินอะไรในวันที่สองนี้ เพราะเขาเสียใจต่อการกระทำที่น่าอับอายของพ่อเขาต่อดาวิด
35 เช้าวันรุ่งขึ้นโยนาธานออกไปที่ทุ่งนาเพื่อพบกับดาวิด เขาเอาเด็กรับใช้ไปด้วยหนึ่งคน 36 แล้วเขาก็สั่งเด็กรับใช้ว่า “ไปหาลูกธนูที่เรายิงไป” เมื่อเด็กรับใช้วิ่งไป โยนาธานก็ยิงธนูลูกหนึ่งนำหน้าเขาไป 37 เมื่อเด็กรับใช้วิ่งไปถึงที่ที่ลูกธนูของโยนาธานตก เขาก็ตะโกนบอกเด็กรับใช้ว่า “ลูกธนูอยู่ข้างหน้าเจ้าไม่ใช่หรือ” 38 เขายังตะโกนสั่งอีกด้วยว่า “รีบไปเถิด อย่าหยุดน่ะ” เด็กรับใช้ก็ไปเก็บลูกธนูกลับมาให้โยนาธานผู้เป็นเจ้านาย 39 (แต่เด็กรับใช้ก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลย มีแต่ดาวิดและโยนาธานเท่านั้นที่เข้าใจ) 40 จากนั้นโยนาธานก็ส่งอาวุธให้เด็กรับใช้และสั่งว่า “เจ้าเอาไปเก็บไว้ในเมืองก่อน”
41 หลังจากเด็กรับใช้ไปแล้ว ดาวิดก็ออกจากที่ซ่อน ทางใต้ของก้อนหิน เขากราบโยนาธานจนหน้าติดพื้นดินสามครั้ง จากนั้นพวกเขาก็จูบซึ่งกันและกัน แล้วทั้งสองก็ร้องไห้ด้วยกัน แต่ดาวิดร้องมากกว่า
42 โยนาธานพูดกับดาวิดว่า “ขอให้ไปเป็นสุขเถิด เพราะเราทั้งสองได้สาบานในนามของพระยาห์เวห์ว่าจะเป็นเพื่อนกัน เราพูดว่า ‘พระยาห์เวห์จะเป็นพยานระหว่างเราสองคน และระหว่างลูกหลานของเราสองคนตลอดไป’” แล้วดาวิดก็จากไป และโยนาธานก็กลับเข้าเมือง
ดาวิดไปหานักบวชอาหิเมเลค
21 ดาวิดไปเมืองโนบเพื่อพบกับนักบวชอาหิเมเลค อาหิเมเลคกลัวจนตัวสั่นเมื่อออกมาพบเขา แล้วพูดว่า “ทำไมท่านถึงมาคนเดียว ทำไมถึงไม่มีใครมากับท่านด้วย”
2 ดาวิดตอบนักบวชอาหิเมเลคว่า “กษัตริย์สั่งให้เรามาทำงานสำคัญและกำชับว่า ‘อย่าให้ใครรู้ถึงงานที่เราส่งเจ้าไปทำ และหน้าที่ที่เราได้มอบหมายให้กับเจ้า’ ส่วนพวกคนหนุ่มๆของเรานั้น เราได้นัดพบกับพวกเขาไว้แล้วในที่แห่งหนึ่ง 3 ตอนนี้ท่านมีอะไรในมือบ้าง ขอขนมปังให้เราสักห้าก้อน หรืออะไรก็ได้ที่ท่านสามารถหาได้” 4 แต่อาหิเมเลคตอบดาวิดว่า “ข้าพเจ้าไม่มีขนมปังธรรมดาอยู่เลย มีแต่ขนมปังศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ซึ่งถ้าหนุ่มๆทั้งหลายไม่ได้ไปมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงมาก็กินได้”
5 ดาวิดตอบว่า “ตามปกติเมื่อเราออกเดินทางพวกผู้หญิงก็จะถูกแยกออกจากพวกเราอยู่แล้ว ขนาดงานที่ธรรมดาๆร่างกายของพวกผู้ชายก็ยังบริสุทธิ์เลย ยิ่งงานพิเศษอย่างนี้ เราก็ต้องรักษาร่างกายให้บริสุทธิ์แน่”
6 นักบวชจึงให้ขนมปังศักดิ์สิทธิ์นั้นกับดาวิด เพราะไม่มีขนมปังอื่นนอกจากขนมปังนี้ที่เคยตั้งถวายอยู่ต่อหน้าพระยาห์เวห์ แต่ถูกเอาออกมาจากหน้าพระยาห์เวห์ ในวันที่เอาขนมปังใหม่ๆร้อนๆมาแทน
7 ในวันนั้นมีหัวหน้าคนเลี้ยงแกะ[a] ของซาอูลชื่อโดเอก ซึ่งเป็นชาวเมืองเอโดม เฝ้าอยู่ต่อหน้าพระยาห์เวห์ด้วย[b]
8 ดาวิดถามอาหิเมเลคว่า “ที่นี่ท่านไม่มีหอกหรือดาบสักเล่มเลยหรือ เราไม่ได้เอาดาบหรืออาวุธอื่นๆติดตัวมาเลย เพราะธุระที่กษัตริย์ให้ทำเป็นเรื่องเร่งด่วน”
9 นักบวชอาหิเมเลคก็ตอบว่า “ดาบของโกลิอัทชาวฟีลิสเตีย ที่ถูกท่านฆ่าตายในหุบเขาเอลาห์อยู่ที่นี่ ดาบนั้นห่อผ้าวางอยู่ด้านหลังเอโฟด ถ้าท่านต้องการก็เอาไปเลย ที่นี่ก็ไม่มีดาบอื่นแล้ว”
ดาวิดตอบว่า “ไม่มีดาบไหนเหมือนดาบนั้นอีกแล้ว เอามาให้เราหน่อย”
ดาวิดหนีไปพึ่งศัตรูที่เมืองกัท
10 ในวันนั้นดาวิดได้หนีจากซาอูลไปหาอาคีชกษัตริย์เมืองกัท 11 แต่พวกข้าราชการของอาคีชพูดกับดาวิดว่า “ท่านไม่ใช่กษัตริย์ดาวิดของอิสราเอลหรอกหรือ คนเดียวกับที่เขาร้องเพลงยกย่องกันว่า
‘ซาอูลฆ่าคนเป็นพันๆ
ส่วนดาวิดฆ่าคนเป็นหมื่นๆ’”
12 ดาวิดได้ยินคำพูดอย่างนั้น เขาก็กลัวกษัตริย์อาคีชเมืองกัทมาก
13 ดาวิดจึงแกล้งทำเป็นบ้าต่อหน้าผู้คน ขณะที่เขาถูกจับไปนั้นเขาก็ทำท่าเหมือนคนบ้าขีดเขียนตามประตูเมือง และปล่อยให้น้ำลายไหลเปรอะเปื้อนเครา 14 อาคีชพูดกับพวกข้าราชการของเขาว่า “ดูชายคนนี้ซิ เป็นคนบ้าชัดๆเจ้าพามาพบเราทำไม 15 เจ้าเห็นว่าเราขาดแคลนคนบ้าหรือ ถึงได้พามันมาทำบ้าๆบอๆให้เราดู สมควรให้ไอ้บ้านี้เข้ามาในบ้านของเราหรือ”
พิสูจน์ให้พวกเราดูสิ
(มธ. 12:38-42; มก. 8:12)
29 เมื่อมีชาวบ้านมามากขึ้น พระเยซูก็พูดว่า “คนสมัยนี้ชั่วร้ายเรียกร้องให้ทำการอัศจรรย์ให้ดู แต่เราจะไม่ทำให้ดู นอกจากการอัศจรรย์ของโยนาห์[a] 30 สิ่งที่เกิดขึ้นกับโยนาห์เป็นเรื่องอัศจรรย์ที่พิสูจน์ให้ชาวนีนะเวห์รู้ว่า พระเจ้าส่งโยนาห์มา และสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับเรา ก็จะเป็นเรื่องอัศจรรย์ที่พิสูจน์ให้คนในสมัยนี้รู้ว่า พระเจ้าส่งบุตรมนุษย์มา 31 ราชินีแห่งทิศใต้[b]ก็เหมือนกัน ในวันตัดสินโทษพระนางจะลุกขึ้นมาพร้อมกับพวกคุณที่อยู่ในสมัยนี้และประณามพวกคุณ เพราะนางอุตส่าห์เดินทางมาจากสุดปลายโลก เพื่อมาฟังคำสอนที่ฉลาดปราดเปรื่องของกษัตริย์ซาโลมอน แต่ตอนนี้ สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่ากษัตริย์ซาโลมอนก็อยู่ที่นี่แล้ว 32 ในวันตัดสินโทษ ชาวเมืองนีนะเวห์ก็จะมาทำให้เห็นว่าคนสมัยนี้ผิดเหมือนกัน เพราะชาวเมืองนีนะเวห์นั้นได้กลับตัวกลับใจเมื่อฟังคำสั่งสอนของโยนาห์ และตอนนี้ สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าโยนาห์ก็อยู่ที่นี่แล้ว
ให้เป็นแสงสว่างของโลก
(มธ. 5:15; 6:22-23)
33 ไม่มีใครหรอกที่จุดตะเกียงแล้วจะเอาไปซ่อนไว้ หรือเอาถังครอบไว้ มีแต่จะเอาไปตั้งไว้บนเชิงตะเกียง เพื่อจะได้ส่องสว่างให้กับคนที่เข้ามาในห้อง 34 ดวงตาของคุณก็คือตะเกียงของร่างกายคุณ ถ้าดวงตาดี ทั้งร่างก็จะเต็มไปด้วยแสงสว่าง แต่ถ้าดวงตาไม่ดี[c] ทั้งร่างกายก็จะมืดมนไป 35 ระวังตัวไว้ให้ดี อย่าให้แสงสว่างในตัวคุณกลับมืดไป 36 ถ้าทั้งร่างของคุณมีความสว่างเต็มไปหมด ก็จะไม่มีส่วนไหนมืดเลย คุณก็จะสว่างจ้าไปทั้งตัว เหมือนกับมีแสงตะเกียงส่องมาที่คุณ”
พระเยซูวิจารณ์พวกผู้นำศาสนา
(มธ. 23:1-36; มก. 12:38-40; ลก. 20:45-47)
37 เมื่อพระเยซูพูดจบแล้ว ฟาริสีคนหนึ่ง ก็ชวนพระองค์ไปกินอาหารที่บ้านของเขา เมื่อไปถึง พระองค์ก็ไปนั่งที่โต๊ะอาหารทันที 38 ส่วนฟาริสีคนนั้นก็แปลกใจที่พระเยซูไม่ได้ล้างมือ[d] ตามพิธีก่อนกินอาหาร 39 พระองค์ก็บอกว่า “พวกคุณฟาริสี ล้างถ้วยชามแต่เพียงภายนอกเท่านั้น แต่ภายในนั้นมีแต่ความโลภ และความชั่วร้ายเต็มไปหมด 40 ช่างโง่เสียจริง พระเจ้าสร้างด้านนอกและด้านในด้วยไม่ใช่หรือ 41 ถ้างั้นก็ให้กับคนจนด้วยใจ แล้วทุกอย่างก็จะสะอาดบริสุทธิ์สำหรับคุณ
42 น่าละอายจริงๆพวกคุณที่เป็นฟาริสี คุณเคร่งครัดมากในเรื่องการถวายหนึ่งในสิบ[e]ให้กับพระเจ้า แม้แต่ใบสะระแหน่ ต้นรู[f] และสมุนไพร ก็ให้จนครบถ้วน แต่พวกคุณกลับไม่มีความยุติธรรม และไม่มีความรักให้กับพระเจ้า คุณควรจะทำสิ่งนี้ไปพร้อมๆกับการถวายด้วย
43 น่าละอายจริงๆพวกคุณที่เป็นฟาริสี คุณชอบนั่งในที่อันมีเกียรติในที่ประชุม และชอบให้คนยกมือไหว้ที่ตลาด
44 น่าละอายจริงๆพวกคุณเป็นเหมือนหลุมศพที่ไม่ได้ทำเครื่องหมายไว้ ที่คนเดินเหยียบย่ำไปมาโดยไม่รู้ตัว”[g]
45 คนที่เก่งกฎปฏิบัติคนหนึ่งพูดว่า “อาจารย์พูดอย่างนี้ ก็เท่ากับดูถูกพวกเราด้วย”
46 พระเยซูจึงตอบว่า “ใช่แล้ว พวกคุณที่เก่งกฎปฏิบัติ ก็น่าละอายจริงๆเพราะพวกคุณออกกฎที่เป็นภาระหนักอึ้งให้คนอื่นแบกไว้ แต่ตัวเองไม่คิดที่จะช่วยแบกแม้แต่นิ้วเดียว
47 น่าละอายจริงๆเพราะคุณสร้างอนุสาวรีย์สำหรับผู้พูดแทนพระเจ้าที่บรรพบุรุษของพวกคุณเป็นคนฆ่า 48 แสดงว่าพวกคุณเห็นดีด้วยกับสิ่งที่บรรพบุรุษของคุณได้ทำไป พวกเขาฆ่า พวกคุณก็สร้างอนุสาวรีย์ให้ 49 เพราะอย่างนี้ จึงมีสติปัญญาของพระเจ้าบอกไว้ว่า ‘เราจะส่งพวกผู้พูดแทนพระเจ้า และพวกทูตพิเศษ ไปให้พวกเขา ซึ่งบางคนก็จะถูกพวกเขาฆ่า และบางคนก็จะถูกข่มเหง’ 50 คนสมัยนี้จะต้องถูกลงโทษสำหรับเลือดของพวกผู้พูดแทนพระเจ้าทุกคน ที่ถูกฆ่าตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมา 51 นับจากเลือดของอาเบล จนถึงเลือดของเศคาริยาห์[h] ที่ถูกฆ่าตายระหว่างแท่นบูชากับวิหารของพระเจ้า ใช่แล้ว เราจะบอกให้รู้ว่า คนในสมัยนี้นี่แหละที่จะต้องถูกลงโทษสำหรับเลือดของคนพวกนั้นทุกคน
52 น่าละอายจริงๆพวกคุณที่เก่งกฎปฏิบัติ เพราะคุณเอากุญแจที่จะไขความรู้ไป แต่ตัวเองไม่ยอมเข้าไป แล้วยังขัดขวางคนอื่นที่กำลังจะเข้าไปอีกด้วย”
53 เมื่อพระเยซูออกไปแล้ว พวกครูสอนกฎปฏิบัติและพวกฟาริสี ก็เริ่มต่อต้านพระองค์อย่างหนัก และซักถามหลายๆเรื่องอย่างไม่หวังดี 54 เพื่อคอยจับผิดคำพูดของพระองค์
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International