Old/New Testament
คนเลวีกับเมียน้อย
19 ในตอนนั้น อิสราเอลยังไม่มีกษัตริย์ มีชายชาวเลวีคนหนึ่งเป็นคนต่างถิ่นอาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลของเทือกเขาเอฟราอิม เขาได้ผู้หญิงคนหนึ่งจากเมืองเบธเลเฮมในยูดาห์มาเป็นเมียน้อย 2 เมียน้อยของเขาโกรธเขาขึ้นมา จึงหนีกลับไปที่บ้านพ่อของเธอ ที่เมืองเบธเลเฮมในยูดาห์ และพักอยู่ที่นั่นสี่เดือน 3 จากนั้นสามีเธอก็ตามไปเพื่อจะง้อให้เธอกลับมาอยู่กับเขาอีก เขาพาคนใช้คนหนึ่งและลาอีกคู่หนึ่งไปด้วย เมื่อเขาไปถึงบ้านพ่อของหญิงสาวนั้น[a] พ่อของหญิงสาวเห็นเขาและออกมาต้อนรับด้วยความดีใจ 4 แล้วพ่อตาของเขาซึ่งเป็นพ่อของหญิงสาวนั้น ได้ชวนให้เขาอยู่ และเขาก็ได้พักค้างคืนอยู่ที่นั่นกับพ่อตาเป็นเวลาสามวัน แล้วพวกเขาได้กินและดื่มกันและพักค้างคืนที่นั่น
5 ในวันที่สี่ พวกเขาตื่นแต่เช้าและเตรียมตัวออกเดินทาง แต่พ่อของหญิงสาวนั้นพูดกับลูกเขยว่า “พวกเจ้ากินอาหารให้มีแรงกันก่อนแล้วหลังจากนั้นค่อยไป” 6 พวกเขาจึงนั่งลงและทั้งสองคนก็กินและดื่มด้วยกัน แล้วพ่อของหญิงสาวก็พูดกับชายนั้นว่า “ได้โปรดค้างอีกสักคืนหนึ่งเถิด ทำใจให้สบาย” 7 เมื่อชายนั้นลุกขึ้นจะไป พ่อตาของเขาก็ชวนให้ค้างต่อ เขาก็ตกลงอยู่และค้างคืนที่นั่น
8 เขาตื่นแต่เช้าในวันที่ห้าเพื่อออกเดินทาง พ่อของหญิงสาวนั้นก็พูดว่า “ท่านพักเอาแรงก่อน” พวกเขาก็ได้เอ้อระเหยอยู่จนบ่ายแก่ๆทั้งสองคนก็ได้กินและดื่ม
9 เมื่อชายคนนั้นลุกขึ้นพร้อมกับเมียน้อยและคนใช้เพื่อออกเดินทาง พ่อตาของเขาซึ่งเป็นพ่อของหญิงสาวนั้นก็พูดกับชายนั้นว่า “ดูสิ นี่ก็ใกล้จะมืดค่ำแล้ว ได้โปรดค้างอีกสักคืนเถิด ทำใจให้สบาย พรุ่งนี้พวกเจ้าก็ตื่นแต่เช้าได้ เพื่อออกเดินทางกลับไปยังบ้านของเจ้า”
10 แต่ชายนั้นไม่ยอมค้างคืนอีก เขาจึงลุกขึ้นและออกเดินทางมาพร้อมกับเมียน้อยและลาเทียมอานคู่หนึ่ง จนเข้าใกล้เมืองเยบุส (หรือเยรูซาเล็ม) ซึ่งก็เกือบจะหมดวันแล้ว 11 คนใช้จึงพูดกับเจ้านายของเขาว่า “ให้พวกเราแวะเข้าไปพักค้างคืนในเมืองเยบุสกันเถอะ”
12 เจ้านายของเขาตอบว่า “พวกเราจะไม่แวะเข้าไปในเมืองของคนต่างชาติ ที่ไม่ใช่คนอิสราเอล ให้พวกเราเลยไปยังเมืองกิเบอาห์[b] กันเถิด” 13 แล้วเขาก็บอกคนใช้ว่า “ไปกันเถอะ ให้พวกเราไปสักที่หนึ่ง ไม่ค้างคืนที่กิเบอาห์ก็ที่รามาห์”
14 พวกเขาก็เลยเดินทางต่อ ดวงอาทิตย์ตกดินแล้วเมื่อใกล้เมืองกิเบอาห์ ซึ่งเป็นของคนเผ่าเบนยามิน 15 พวกเขาแวะเข้าไปค้างคืนในเมืองกิเบอาห์ และนั่งลงที่ลานเมือง[c] แต่ไม่มีใครชวนเขาไปค้างคืนที่บ้าน
16 จนถึงตอนเย็น มีชายแก่คนหนึ่งกลับจากทำงานในท้องทุ่ง เขาเป็นคนจากแถบเทือกเขาเอฟราอิมและพักอยู่ในกิเบอาห์ เป็นคนต่างเผ่า (ชาวเมืองกิเบอาห์มาจากครอบครัวของเบนยามิน) 17 เมื่อชายแก่เงยหน้าขึ้นมาเห็นคนเดินทางอยู่ที่ลานเมือง ท่านก็ถามว่า “พวกท่านมาจากไหน และจะไปที่ไหนกัน”
18 ชายคนนั้นจึงตอบว่า “ผมมาจากเมืองเบธเลเฮมในยูดาห์ จะไปในดินแดนที่ห่างไกลแถบเทือกเขาเอฟราอิม ผมมาจากที่นั่น ผมได้ไปเมืองเบธเลเฮมในยูดาห์มา และกำลังจะกลับไปบ้านของผม[d] แต่ไม่มีใครเชิญผมไปค้างบ้านของเขา 19 ผมมีฟางและอาหารสำหรับลา มีขนมปังและเหล้าองุ่นสำหรับตัวผม ผู้หญิง และเด็กรับใช้ พวกเราไม่ขาดอะไรเลย”
20 ชายแก่พูดว่า “ยินดีต้อนรับ ท่านไปอยู่ที่บ้านของข้า ข้าจะจัดการดูแลทุกอย่างที่ท่านต้องการ ขออย่างเดียวอย่านอนค้างคืนที่ลานเมืองเลย” 21 ชายแก่จึงพาเขาไปที่บ้าน ให้อาหารแก่ลา และพวกเขาต่างก็ล้างเท้าของตนเอง และร่วมกันกินและดื่ม 22 ขณะที่พวกเขากำลังสนุกสนานกันอยู่นั้น กลุ่มอันธพาลเมืองก็มาล้อมบ้านและทุบประตู พวกมันพูดกับชายแก่เจ้าของบ้านว่า “ส่งผู้ชายคนนั้นที่มาพักที่บ้านเจ้าออกมา เราจะได้ร่วมเพศกับมัน”
23 ชายแก่เจ้าของบ้านได้ออกไปหาพวกนั้น และพูดว่า “อย่าเลยพี่น้องของข้า ขออย่าทำสิ่งชั่วร้ายอย่างนั้นเลย เนื่องจากชายคนนี้ได้มาอยู่บ้านของข้า[e] ขออย่าได้ทำสิ่งที่น่าอัปยศอดสูอย่างนี้เลย 24 ดูนี่ซิ นี่คือลูกสาวที่ยังบริสุทธิ์ของข้ากับเมียน้อยของชายคนนั้น ข้าจะเอาพวกเธอออกมาให้พวกเจ้าทารุณและทำกับพวกเธอตามที่พวกเจ้าต้องการ แต่อย่าได้ทำสิ่งที่น่าอัปยศอดสูต่อชายคนนี้เลย”
25 แต่พวกมันไม่ยอมฟังชายแก่คนนั้น ชายคนนั้นจึงจับเมียน้อยของตัวเองและผลักนางออกไปหาพวกมัน พวกมันก็ข่มขืนและทรมานนางอย่างหนักตลอดคืนจนเช้า เมื่อใกล้สว่าง พวกมันก็ปล่อยเธอไป 26 พอใกล้รุ่ง เธอได้มาล้มลงอยู่ที่ทางเข้าบ้านของชายแก่คนนั้นที่นายของเธอพักอยู่จนกระทั่งถึงเช้า
27 ในตอนเช้านายของเธอตื่นขึ้นมา เมื่อเขาเปิดประตูบ้านเพื่อที่จะออกเดินทางต่อ ก็เจอผู้หญิงที่เป็นเมียน้อยของเขานอนอยู่ที่ทางเข้าประตู มือพาดธรณีประตูอยู่ 28 เขาก็พูดกับเธอว่า “ลุกขึ้นไปกันเถอะ” แต่ไม่มีคำตอบ
เขาจึงเอาเธอขึ้นหลังลาและออกเดินทางกลับบ้าน 29 เมื่อมาถึงบ้าน เขาก็เอามีดหั่นศพเมียน้อยออกเป็นท่อนๆสิบสองท่อน และเขาได้ส่งชิ้นส่วนของเธอไปทั่วเขตแดนของอิสราเอลทั้งหมด 30 ทุกคนที่เห็นเธอต่างพูดว่า “ไม่เคยมีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นมาก่อน ไม่เคยพบเห็นเรื่องอย่างนี้เลย ตั้งแต่ชาวอิสราเอลออกมาจากแผ่นดินอียิปต์จนถึงทุกวันนี้ (แล้วเขาก็สั่งพวกผู้ชายที่เขาได้ส่งไปนั้นว่า ‘เจ้าจะต้องพูดอย่างนี้กับชายทุกคนในอิสราเอลว่า ตั้งแต่วันที่ชาวอิสราเอลออกมาจากแผ่นดินอียิปต์จนถึงวันนี้ เคยมีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นหรือ’)[f] ให้คิดเรื่องนางดู ปรึกษากันดูแล้วว่ามา ว่าจะเอายังไงกับเรื่องนี้”
อิสราเอลกับเบนยามินสงครามกัน
20 ประชาชนอิสราเอลทั้งหมดจากเมืองดานถึงเมืองเบเออร์-เชบา รวมทั้งแผ่นดินกิเลอาด ก็มาประชุมเป็นหนึ่งเดียวกันต่อหน้าพระยาห์เวห์ที่เมืองมิสปาห์ 2 ผู้นำของคนทั้งหมดจากทุกเผ่าของอิสราเอลได้มานั่งประจำที่ในที่ประชุมประชาชนของพระเจ้า มีทหารเดินเท้าที่ถือดาบอยู่สี่แสนคน 3 คนเบนยามินได้ยินว่าคนอิสราเอลได้ขึ้นไปที่มิสปาห์ ชาวอิสราเอลพูดว่า “ให้บอกพวกเรามาว่าเรื่องชั่วร้ายนี้เกิดขึ้นได้ยังไง”
4 คนเลวีซึ่งเป็นสามีของหญิงที่ถูกฆ่าตอบว่า “ผมมาถึงเมืองกิเบอาห์ซึ่งเป็นของคนเบนยามิน พร้อมกับเมียน้อยของผมเพื่อพักค้างคืน 5 ในคืนนั้น พวกผู้นำชาวเมืองกิเบอาห์ได้ลุกขึ้นมาล้อมบ้านที่ผมพักอยู่ พวกมันตั้งใจจะมาฆ่าผม และพวกมันได้ข่มขืนทารุณเมียน้อยของผมจนเธอตาย 6 จากนั้นผมได้เอาเมียน้อยของผมกลับมา ตัดเป็นชิ้นๆส่งไปยังเขตแดนทั้งหมดที่เป็นมรดกของคนอิสราเอล เพราะพวกมันทำให้เกิดเรื่องชั่วร้ายและน่าอัปยศอดสูขึ้นในอิสราเอล 7 บัดนี้ พวกท่านประชาชนชาวอิสราเอล ให้ปรึกษากัน และสรุปว่าจะเอายังไงที่นี่แหละ”
8 คนทั้งหมดก็ลุกขึ้นเป็นหนึ่งเดียวกันและพูดว่า “พวกเราจะไม่กลับไปที่เต็นท์ของเรา พวกเราจะไม่กลับไปบ้านของเรา 9 แต่นี่คือสิ่งที่พวกเราจะทำต่อกิเบอาห์ คือพวกเราจะจับสลากกันเพื่อขึ้นไปต่อสู้กับมัน 10 เราจะเลือกคนจากทุกๆเผ่าของอิสราเอล โดยจะคัดออกมาสิบคนจากทุกๆหนึ่งร้อยคน และคัดออกมาหนึ่งร้อยคนจากทุกๆหนึ่งพันคน และคัดออกมาหนึ่งพันคนจากทุกๆหนึ่งหมื่นคน เพื่อให้พวกเขาไปจัดเตรียมเสบียงอาหารให้กับกองทัพที่จะยกไปเมืองกิเบอาห์ของคนเบนยามิน เพื่อที่กองทัพนี้จะได้ไปลงโทษคนเหล่านั้น สำหรับสิ่งที่น่าอัปยศอดสูทั้งสิ้นที่พวกเขาได้ทำไปในอิสราเอล”
11 ดังนั้นประชาชนอิสราเอลทั้งหมดก็พร้อมใจกันเป็นหนึ่งเดียวไปบุกเมืองนั้น 12 เผ่าต่างๆของอิสราเอลก็ได้ส่งคนไปทั่วเผ่าของเบนยามินและถามว่า “ทำไมจึงมีเรื่องชั่วร้ายอย่างนี้เกิดขึ้นในท่ามกลางพวกเจ้า 13 ให้ส่งตัวอันธพาลพวกนั้นที่อยู่ในเมืองกิเบอาห์ออกมาให้พวกเราประหารเดี๋ยวนี้ เพื่อกำจัดสิ่งชั่วร้ายออกไปจากประชาชนอิสราเอล”
แต่คนเบนยามินไม่ยอมทำตามที่พี่น้องอิสราเอลของเขาขอ 14 แล้วพวกเบนยามินได้พากันออกมาจากเมืองต่างๆไปรวมตัวกันที่เมืองกิเบอาห์ เพื่อสู้รบกับประชาชนอิสราเอล 15 ในวันนั้นพวกคนเบนยามินได้รวบรวมทหารที่ถือดาบจากเมืองต่างๆได้สองหมื่นหกพันคน ยังไม่ได้รวมชาวเมืองกิเบอาห์ ซึ่งรวบรวมได้เจ็ดร้อยคนที่ได้รับการฝึกเป็นพิเศษ 16 ในจำนวนทหารทั้งหมดนี้ มีทหารอยู่เจ็ดร้อยคนที่ได้รับการคัดเลือกมาเป็นพิเศษ ซึ่งได้รับการฝึกให้รบด้วยมือซ้าย พวกเขาทุกคนสามารถใช้สลิงเหวี่ยงก้อนหินใส่เส้นผมได้โดยไม่พลาด
17 ส่วนคนอิสราเอลทั้งหมด ที่ไม่ได้นับรวมคนเบนยามิน มีทั้งสิ้นสี่แสนคนที่เป็นทหารถือดาบและเชี่ยวชาญการรบ 18 พวกอิสราเอลได้เตรียมพร้อมและเดินทางไปยังเมืองเบธเอลเพื่อถามพระเจ้าว่า “ใครในพวกเราควรจะขึ้นไปรบกับพวกเบนยามินก่อน”
พระยาห์เวห์ว่า “ให้คนยูดาห์ไปก่อน”
19 ดังนั้นคนอิสราเอลจึงลุกขึ้นในตอนเช้าและไปตั้งค่ายอยู่ใกล้กับเมืองกิเบอาห์ 20 คนอิสราเอลก็ออกไปสู้รบกับคนเบนยามิน โดยคนอิสราเอลได้วางกำลังคนสู้รบกับคนเบนยามินที่เมืองกิเบอาห์ 21 คนเบนยามินได้ออกมาจากเมืองกิเบอาห์ และในวันนั้นพวกเขาได้ฆ่าฟันคนอิสราเอลล้มตายไปสองหมื่นสองพันคน
22-23 คนอิสราเอลได้ขึ้นไปร้องไห้คร่ำครวญต่อพระยาห์เวห์จนกระทั่งเย็น พวกเขาถามพระยาห์เวห์ว่า “พวกเรายังควรจะสู้รบกับคนเบนยามินพี่น้องของเราอีกหรือเปล่า”
พระยาห์เวห์ตอบว่า “ขึ้นไปสู้รบกับพวกเขาเถิด” คนอิสราเอลจึงกลับมาสู้รบอีกครั้ง โดยวางกำลังคนเหมือนกับในวันแรก
24 คนอิสราเอลบุกเข้าไปสู้รบกับคนเบนยามินอีกเป็นวันที่สอง 25 คนเบนยามินได้ออกจากเมืองกิเบอาห์มาปะทะกับพวกเขาในวันที่สอง และได้ฆ่าคนอิสราเอลล้มตายไปอีกหนึ่งหมื่นแปดพันคน ซึ่งเป็นทหารที่มีดาบทั้งสิ้น
26 ดังนั้นคนอิสราเอลทั้งหมดคือทั้งกองทัพก็ได้ขึ้นไปที่เบธเอล และพวกเขาได้อดอาหารนั่งร้องไห้กันต่อหน้าพระยาห์เวห์ตั้งแต่เช้าจนเย็น พวกเขาได้ถวายพวกเครื่องเผาบูชาและเครื่องบูชาอื่นๆเพื่อคืนดีกับพระยาห์เวห์ 27 แล้วพวกอิสราเอลก็ได้ถามพระยาห์เวห์ว่า (ในสมัยนั้นหีบแห่งข้อตกลงของพระเจ้าอยู่ที่นั่น 28 และฟีเนหัสลูกชายของเอเลอาซาร์ หลานชายของอาโรน ก็เป็นนักบวชยืนรับใช้อยู่ต่อหน้าหีบในเวลานั้น) “พวกเราควรจะไปสู้รบกับคนเบนยามินอีกหรือเปล่า หรือว่าพวกเราควรจะหยุดดี”
พระยาห์เวห์ตอบว่า “ยกไปสู้เถอะ พรุ่งนี้เราจะยกพวกเขาให้ตกอยู่ในกำมือของเจ้า”
29 คนอิสราเอลจึงจัดคนแอบซุ่มอยู่รอบเมืองกิเบอาห์ 30 คนอิสราเอลก็บุกไปสู้กับคนเบนยามินเป็นวันที่สาม พวกเขาวางกำลังสู้รบกับเมืองกิเบโอนเหมือนวันก่อน 31 เมื่อคนเบนยามินออกมาปะทะกับกองกำลังอิสราเอล พวกคนเบนยามินก็ถูกดึงให้ออกห่างจากเมือง พวกเขาได้โจมตีและฆ่าทหารอิสราเอลบางคนเหมือนครั้งก่อนๆบนถนนหลักที่จะไปสู่เบธเอล และบนถนนที่จะไปกิเบอาห์ รวมทั้งในที่โล่ง คนอิสราเอลถูกฆ่าตายประมาณสามสิบคน 32 คนเบนยามินคิดว่า “พวกเรากำลังชนะเหมือนวันก่อนๆ”
ส่วนคนอิสราเอลพูดว่า “ให้พวกเราถอย และดึงพวกนั้นให้ห่างออกมาจากเมืองไปตามถนนต่างๆ” 33 แล้วคนอิสราเอลทุกคนก็ออกจากที่ของตน และไปวางกำลังรบที่บาอัล-ทามาร์ ส่วนคนอิสราเอลที่แอบซ่อนอยู่ก็ออกจากที่ซ่อนใกล้เมืองเกบา 34 ทหารอิสราเอลที่ได้รับการคัดเลือกหนึ่งหมื่นคนก็เข้าโจมตีเมืองกิเบอาห์ และการสู้รบก็เป็นไปอย่างดุเดือด แต่คนเบนยามินยังไม่รู้ว่าความหายนะกำลังจะเกิดขึ้นกับพวกเขา
35 พระยาห์เวห์ทำให้คนเบนยามินพ่ายแพ้ต่อคนอิสราเอล พวกอิสราเอลได้ฆ่าคนเบนยามินตายสองหมื่นห้าพันหนึ่งร้อยคนในวันนั้น ทุกคนเป็นทหารที่มีดาบครบมือ 36 คนเบนยามินจึงรู้ตัวว่าพวกเขาแพ้แล้ว คนอิสราเอลแกล้งถอยให้คนเบนยามิน เพราะพวกเขาหวังพึ่งกองทหารที่ซุ่มอยู่รอบเมืองกิเบอาห์ 37 คนที่ซุ่มอยู่ก็รีบบุกเข้าไปในเมืองกิเบอาห์และฆ่าทุกคนที่อยู่ในเมืองนั้นด้วยดาบ 38 พวกอิสราเอลได้ตกลงกับพวกที่ซุ่มโจมตีไว้ว่า พวกซุ่มโจมตีจะส่งสัญญาณเป็นควันไฟจากในเมือง 39 แล้วคนอิสราเอลก็จะหันกลับมารบ เมื่อคนเบนยามินเริ่มโจมตีและฆ่าพวกอิสราเอลตายไปประมาณสามสิบคน คนเบนยามินก็พูดว่า “แน่นอนว่า พวกเราจะชนะพวกเขาอย่างราบคาบเหมือนกับการต่อสู้ครั้งแรก” 40 แต่เมื่อสัญญาณซึ่งเป็นควันพวยพุ่งขึ้นมาจากในเมือง คนเบนยามินหันไปดูข้างหลัง พวกเขาก็เห็นควันไฟลอยอยู่ในท้องฟ้าเหนือเมืองทั้งเมือง 41 แล้วคนอิสราเอลก็หันกลับมารบ คนเบนยามินก็ตกใจกลัว เพราะพวกเขารู้ตัวว่า ความหายนะได้ไล่ตามพวกเขาทันแล้ว 42 พวกเขาจึงหันหลังหนีคนอิสราเอลเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร แต่การรบยังคงไล่ตามพวกเขาไปอย่างติดๆ แล้วคนอิสราเอลที่ออกมาจากในเมืองก็ได้ฆ่าพวกเขาตายอยู่ในระหว่างกลางทางนั้น 43 พวกเขาก็ได้ล้อมคนเบนยามินไว้ และไล่ตามพวกเขาจากเมืองโนฮาห์[g] และบดขยี้พวกเขาไปจนถึงทางตะวันออกของเมืองกิเบอาห์ 44 ทหารชาวเบนยามินถูกฆ่าตายไปเป็นจำนวนหนึ่งหมื่นแปดพันคน ซึ่งล้วนแต่เป็นนักรบผู้กล้าหาญทั้งสิ้น
45 เมื่อพวกเบนยามินหันหนีเข้าไปในถิ่นทุรกันดารจนถึงก้อนหินของริมโมน คนอิสราเอลได้ฆ่าพวกเขาอีกห้าพันคนบนถนนหลัก และตามไล่ฆ่าพวกเขาไปถึงกิโดม[h]ได้อีกสองพันคน
46 วันนั้นทหารเบนยามินที่มีดาบอยู่ในมือสองหมื่นห้าพันคนถูกฆ่าตาย ซึ่งเป็นนักรบผู้กล้าทั้งสิ้น 47 แต่มีผู้ชายหกร้อยคนที่หันหนีไปถึงถิ่นทุรกันดารจนถึงก้อนหินของริมโมน และอาศัยอยู่ที่นั่นถึงสี่เดือน 48 คนอิสราเอลจึงกลับไปสู้รบกับคนเบนยามินและฆ่าชาวเมือง ฝูงสัตว์ และทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาเจอ แล้วเผาเมืองทุกเมืองที่พวกเขาพบทิ้งเสีย
หาเมียให้กับคนเบนยามิน
21 คนอิสราเอลได้สาบานกันที่มิสปาห์ว่า “พวกเราทุกคนสาบานว่าจะไม่ยกลูกสาวให้เป็นเมียของคนเบนยามิน”
2 เมื่อประชาชนมาที่เบธเอล พวกเขาได้นั่งลงร้องไห้เสียงดัง และร้องไห้ด้วยความขมขื่นต่อหน้าพระเจ้าจนถึงเย็น 3 พวกเขาพูดว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอล ทำไมถึงได้เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นในอิสราเอล จนทำให้วันนี้คนเผ่าหนึ่งต้องถูกตัดขาดไปจากอิสราเอล”
4 ในวันต่อมา ประชาชนก็ลุกขึ้นแต่เช้า และพวกเขาได้สร้างแท่นบูชาขึ้นที่นั่น แล้วพวกเขาก็ได้ถวายพวกเครื่องเผาบูชาและเครื่องบูชาอื่นๆเพื่อคืนดีกับพระเจ้า 5 คนอิสราเอลพูดว่า “มีเผ่าไหนบ้างของอิสราเอล ที่ไม่ได้ขึ้นมาประชุมต่อหน้าพระยาห์เวห์” เพราะพวกเขาได้สาบานกันอย่างแข็งขันว่าใครก็ตามที่ไม่ได้ขึ้นมาอยู่ต่อหน้าพระยาห์เวห์ที่มิสปาห์ คนผู้นั้นจะต้องถูกฆ่า
6 แต่คนอิสราเอลก็สงสารคนเบนยามินพี่น้องของเขา พวกเขาจึงพูดว่า “วันนี้คนเผ่าหนึ่งถูกตัดออกจากอิสราเอลเสียแล้ว 7 เราจะทำยังไงดีที่จะหาเมียให้กับคนเบนยามินที่เหลือ เพราะพวกเราได้สาบานไว้กับพระยาห์เวห์ว่า เราจะไม่ยกลูกสาวของพวกเราให้เป็นเมียของพวกเขา”
8 แล้วชาวอิสราเอลก็ถามกันว่า “มีคนในเผ่าไหนบ้างของอิสราเอล ที่ไม่ได้ขึ้นมาเฝ้าพระยาห์เวห์ที่มิสปาห์” จริงๆแล้วไม่มีคนจากเมืองยาเบช-กิเลอาดมาประชุมที่ค่ายเลยสักคนเดียว 9 เมื่อประชาชนขานชื่อกัน ไม่มีชาวเมืองยาเบช-กิเลอาดอยู่ที่นั่นเลยสักคนเดียว 10 ที่ชุมนุมชนจึงได้ส่งทหารหนึ่งหมื่นสองพันคนไปที่นั่น และสั่งพวกทหารว่า “ไปฆ่าชาวเมืองยาเบช-กิเลอาดด้วยดาบให้หมด รวมทั้งผู้หญิงและเด็ก 11 ให้พวกเจ้าทำอย่างนี้ คือ พวกเจ้าจะต้องฆ่าผู้ชายทุกคน และผู้หญิงทุกคนที่เคยร่วมหลับนอนกับผู้ชายมาแล้ว เหลือไว้แต่หญิงสาวบริสุทธิ์เท่านั้น” และพวกเขาก็ได้ทำตามนั้น[i] 12 พวกเขาได้พบหญิงสาวชาวเมืองยาเบช-กิเลอาดสี่ร้อยคนที่ยังบริสุทธิ์ไม่เคยร่วมหลับนอนกับผู้ชายมาก่อน พวกเขาจึงพาพวกเธอมาที่ค่ายในชิโลห์ ซึ่งตั้งอยู่ในแผ่นดินคานาอัน
13 แล้วที่ชุมนุมชนทั้งหมดก็ได้ส่งข่าวไปให้กับคนเบนยามินที่อยู่ที่ก้อนหินริมโมน และประกาศสงบศึกกับพวกเขา 14 แล้วคนเบนยามินก็ได้กลับมา ชาวอิสราเอลก็ได้ยกผู้หญิงที่พวกเขาได้ไว้ชีวิตจากพวกผู้หญิงที่ยาเบช-กิเลอาด ให้กับคนเบนยาบิน แต่ก็มีผู้หญิงไม่พอ
15 ประชาชนสงสารคนเบนยามิน เพราะพระยาห์เวห์ได้ทำให้เผ่าหนึ่งโหว่หายไปท่ามกลางเผ่าต่างๆของอิสราเอล 16 พวกผู้นำอาวุโสของชุมนุมชนได้พูดว่า “เราจะทำยังไงดีเพื่อหาเมียให้กับพวกผู้ชายที่เหลืออยู่ เพราะพวกผู้หญิงของเบนยามินถูกฆ่าตายหมดแล้ว” 17 พวกเขาทั้งหลายพูดว่า “ขอให้ชาวเบนยามินที่รอดตายพวกนี้ได้สืบเชื้อสายต่อไป เพื่อเผ่านี้จะได้ไม่ถูกลบล้างไปจากอิสราเอล 18 แต่เราก็ไม่สามารถยกลูกสาวให้เป็นเมียพวกเขาได้” เพราะคนอิสราเอลได้สาบานไว้แล้วว่า “ใครก็ตามที่ให้ผู้หญิงไปเป็นเมียกับคนเบนยามินจะต้องถูกสาปแช่ง” 19 แล้วพวกเขาก็พูดว่า “ดูสิ จะมีเทศกาลประจำปี เพื่อถวายเกียรติให้กับพระยาห์เวห์ที่ชิโลห์ ซึ่งอยู่ทางเหนือของเมืองเบธเอล ไปทางตะวันออกของถนนสายหลักจากเบธเอลถึงเชเคม และอยู่ทางตอนใต้ของเลโบนาห์”
20 เขาจึงแนะนำคนเบนยามินว่า “ให้ไปซุ่มคอยอยู่ตามสวนองุ่น 21 เมื่อลูกสาวชาวชิโลห์ออกมาเต้นรำในงานเต้นรำ พวกเจ้าก็ออกมาจากสวนองุ่น และเข้าไปฉุดลูกสาวของชาวชิโลห์ไปเป็นเมียของพวกเจ้าแต่ละคน แล้วให้กลับไปที่แผ่นดินเบนยามินซะ” 22 เมื่อพ่อและพี่น้องของพวกเขามาบ่นต่อพวกเรา พวกเราจะตอบว่า “สงสารคนเบนยามินด้วยเถอะ คิดว่าเห็นแก่พวกเราก็แล้วกัน ในช่วงสงครามนั้น พวกเราได้ผู้หญิงมาไม่พอให้กับพวกเขา และพวกท่านเองก็ไม่ได้ยกลูกสาวให้กับพวกเขาซะหน่อย เพราะถ้าทำอย่างนั้นพวกท่านก็จะมีความผิด”
23 แล้วคนเบนยามินก็ทำตามนั้น พวกเขาก็หาเมียของแต่ละคนจากพวกนางเต้นรำที่พวกเขาฉุดมา แล้วพวกเขาก็จากไปและกลับไปยังแผ่นดินที่เป็นมรดกของพวกเขา และพวกเขาก็ได้สร้างเมืองขึ้นใหม่และตั้งรกรากอยู่ที่นั่น 24 หลังจากนั้น คนอิสราเอลก็ได้แยกย้ายกันจากที่นั่นกลับไปยังเผ่าและตระกูลของตัวเอง ต่างก็จากที่นั่นกลับไปยังที่ดินที่เป็นมรดกของตน
25 ในสมัยนั้น คนอิสราเอลยังไม่มีกษัตริย์ ทุกคนก็เลยทำตามอำเภอใจของตน
31 พระเยซูพูดต่อ ว่า “เราจะเปรียบเทียบคนในสมัยนี้กับอะไรดี 32 พวกเขาเป็นเหมือนเด็กๆที่นั่งอยู่ที่ตลาดร้องตะโกนใส่กันว่า
‘พวกเราเป่าปี่ให้ฟัง
แต่พวกเธอก็ไม่ยอมเต้นตาม
พวกเราร้องเพลงเศร้า
แต่พวกเธอก็ไม่ยอมร้องไห้’
33 เมื่อยอห์นคนทำพิธีจุ่มน้ำมา เขาไม่ได้กินขนมปังหรือดื่มเหล้าองุ่น พวกคุณก็ว่า ‘เขามีผีชั่วสิงอยู่’ 34 แต่พอบุตรมนุษย์มา ทั้งกินและดื่ม พวกคุณก็หาว่า ‘ดูไอ้หมอนั่นสิ ทั้งตะกละและขี้เมา แถมยังเป็นเพื่อนกับคนเก็บภาษีและคนบาปอีกด้วย’ 35 แต่อย่างไรก็ตามสติปัญญานั้นถูกหรือผิด ก็ดูได้จากผลทั้งหลายของมัน”
ฟาริสีคนหนึ่งชื่อซีโมน
36 มีฟาริสีคนหนึ่งเชิญพระเยซูมากินอาหารกับเขา พระองค์ก็เลยมาที่บ้านของเขาและนั่งเอนกายอยู่ที่โต๊ะอาหาร 37 มีผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นที่รู้กันไปทั่วในเมืองนั้นว่าเป็นคนบาป นางได้ยินว่าพระเยซูกำลังกินอาหารอยู่ที่บ้านของฟาริสีคนนั้น นางก็ถือน้ำหอมในขวดสวยหรูมาด้วย 38 นางเข้าไปยืนอยู่ข้างหลังใกล้เท้าของพระเยซู แล้วร้องไห้จนเท้าของพระองค์เปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา แล้วเอาผมของนางเช็ด และก้มลงจูบเท้าของพระองค์ พร้อมทั้งเทน้ำหอมลงบนเท้าทั้งสองข้างของพระองค์ 39 เมื่อฟาริสีคนที่เชิญพระเยซูเห็นก็คิดในใจว่า “ถ้าชายคนนี้เป็นผู้พูดแทนพระเจ้าจริง เขาจะต้องรู้ว่า หญิงที่แตะต้องตัวเขานี้เป็นใคร และเป็นหญิงประเภทไหน เขาจะต้องรู้ว่านางเป็นคนบาป”
40 พระเยซูพูดว่า “ซีโมน เราจะบอกอะไรให้นะ”
และซีโมนก็ตอบว่า “ว่ามาเลยครับ อาจารย์”
41 พระเยซูพูดว่า “มีคนปล่อยเงินกู้คนหนึ่ง มีลูกหนี้อยู่สองคน คนหนึ่งเป็นหนี้อยู่ห้าร้อยเหรียญเงิน[a] และอีกคนหนึ่งเป็นหนี้อยู่ห้าสิบเหรียญเงิน 42 แต่ทั้งสองไม่มีเงินใช้หนี้ เจ้าหนี้ก็เลยยกหนี้ให้ทั้งสองคน คุณคิดว่าคนไหนจะรักเจ้าหนี้คนนี้มากกว่ากัน”
43 ซีโมนตอบว่า “คนแรกที่มีหนี้มากกว่าครับ”
พระองค์ก็ตอบว่า “ถูกต้อง”
44 แล้วพระเยซูหันไปมองหญิงคนนั้น และพูดกับซีโมนว่า “เห็นหญิงคนนี้ไหม เรามาบ้านคุณ คุณก็ไม่ได้เอาน้ำมาล้างเท้าเรา แต่เธอกลับใช้น้ำตาล้างเท้าเรา และเอาผมของเธอเช็ดจนแห้ง 45 คุณไม่ได้จูบต้อนรับเรา แต่เธอไม่ได้หยุดจูบเท้าเราเลยตั้งแต่เข้ามา 46 คุณไม่ได้เอาน้ำมันใส่หัวของเรา แต่เธอเอาน้ำหอมเทใส่เท้าของเรา 47 เราจะบอกให้รู้ว่า ที่เธอแสดงความรักมากขนาดนี้ ก็เพราะเธอได้รับการยกโทษจากบาปมากมายนั่นเอง ส่วนคนอื่นที่ได้รับการยกโทษน้อย ก็มีความรักน้อย”
48 พระเยซูพูดกับนางว่า “บาปของคุณได้รับการยกโทษแล้ว” คนที่นั่งดื่มกินกับพระองค์ก็พูดกันว่า
49 “คนนี้คิดว่าเขาเป็นใครกัน ถึงได้เที่ยวยกโทษบาปให้ใครต่อใคร”
50 พระเยซูพูดกับหญิงคนนี้ว่า “ความเชื่อของคุณทำให้คุณรอดแล้ว ไปเป็นสุขเถิด”
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International