Old/New Testament
โมเสสพูดกับชาวอิสราเอล
1 นี่คือคำพูดที่โมเสสพูดกับประชาชนชาวอิสราเอลทั้งหมด ตอนที่พวกเขาอยู่ที่หุบเขาจอร์แดน ในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งที่อยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน[a] ตรงข้ามกับเมืองสูฟ และอยู่ระหว่างที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งปารานกับเมืองพวกนี้คือโทเฟล ลาบัน ฮาเซโรทและดีซาหับ
2 การเดินทางจากภูเขาซีนาย[b] ไปถึงคาเดช-บารเนีย ผ่านทางภูเขาเสอีร์ ใช้เวลาเพียงแค่สิบเอ็ดวันเท่านั้น 3 ในวันที่หนึ่งของเดือนที่สิบเอ็ด ในปีที่สี่สิบ โมเสสได้บอกกับชาวอิสราเอลทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับพวกเขาตามที่พระยาห์เวห์สั่ง 4 เรื่องนี้เกิดขึ้นหลังจากที่โมเสสได้รบชนะกษัตริย์สิโหนของชาวอาโมไรต์ซึ่งปกครองเมืองเฮชโบน และกษัตริย์โอกของเมืองบาชานซึ่งปกครองอัชทาโรทในเอเดรอี 5 โมเสสเริ่มอธิบายกฎ[c] นี้ให้กับชาวอิสราเอล ตอนที่พวกเขาอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนในดินแดนของชาวโมอับ โมเสสพูดว่า
6 “ที่ภูเขาซีนาย พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเราบอกพวกเราว่า ‘พวกเจ้าอยู่ที่ภูเขานี้มานานพอแล้ว 7 ให้เตรียมตัวและมุ่งหน้าเดินไปยังเนินเขาที่พวกอาโมไรต์[d] อยู่ และดินแดนแถบนั้นทั้งหมดที่เป็นเพื่อนบ้านของเขา ทั้งในหุบเขาจอร์แดน[e] แถบเนินเขา แถบที่ลุ่มเชิงเขาด้านตะวันตก[f] และในเนเกบ รวมทั้งชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เข้าไปยังดินแดนของชาวคานาอัน แคว้นเลบานอน[g] ตลอดไปจนถึงแม่น้ำใหญ่คือแม่น้ำยูเฟรติส 8 ดูสิ เราได้ยกดินแดนนั้นให้กับพวกเจ้าแล้ว เข้าไปยึดเอาซะ เป็นดินแดนที่พระยาห์เวห์ได้สาบานไว้ว่าจะยกให้กับบรรพบุรุษของพวกเจ้า คืออับราฮัม อิสอัคและยาโคบ รวมทั้งลูกหลานของพวกเขาด้วย’
โมเสสแต่งตั้งผู้นำ
(อพย. 18:13-27)
9 แล้วโมเสสก็พูดว่า ในเวลานั้น เราได้บอกกับพวกท่านว่า ‘ลำพังตัวเราคนเดียวไม่สามารถดูแลพวกท่านได้ทั้งหมดหรอก 10 พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้เพิ่มจำนวนพวกท่านขึ้นอย่างมากมายมหาศาล ตอนนี้พวกท่านก็มีจำนวนมากพอๆกับดวงดาวบนท้องฟ้าแล้ว 11 ขอให้พระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษพวกท่าน เพิ่มจำนวนพวกท่านขึ้นอีกพันเท่า และขอให้พระองค์อวยพรพวกท่านเหมือนกับที่พระองค์ได้สัญญาไว้ 12 ลำพังตัวเราคนเดียวจะไปแบกรับภาระต่างๆที่หนักอึ้ง และคดีความต่างๆของพวกท่านไหวได้ยังไง 13 ให้พวกท่านแต่ละเผ่าไปเลือกคนของท่านขึ้นมาเอง เลือกคนที่เฉลียวฉลาด เต็มไปด้วยความรู้ความเข้าใจ และประสบการณ์ แล้วเราจะแต่งตั้งพวกเขาให้เป็นหัวหน้าพวกท่าน’
14 และพวกท่านก็ได้บอกเราว่า ‘สิ่งที่ท่านบอกให้ทำนั้นดีมากเลย’
15 แล้วเราได้เอาพวกผู้นำจากเผ่าต่างๆของท่าน ที่เต็มไปด้วยความเฉลียวฉลาด และมีประสบการณ์มา และแต่งตั้งพวกเขาให้เป็นผู้นำของพวกท่าน มีตั้งแต่ผู้นำ[h] คนพันคน ร้อยคน ห้าสิบคน และ สิบคน รวมทั้งแต่งตั้งพวกเจ้าหน้าที่ด้วยในแต่ละเผ่าของท่าน
16 และเราได้สั่งกำชับพวกผู้พิพากษาของท่านด้วยว่า ‘ให้ฟังความของทั้งสองฝ่ายก่อน แล้วให้ตัดสินอย่างยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็นคนอิสราเอลด้วยกัน หรือคนอิสราเอลกับคนต่างชาติ 17 เวลาพวกท่านตัดสิน ห้ามลำเอียง ให้ฟังทั้งคนรวยและคนจนเหมือนกัน ไม่ต้องกลัวใครเลย เพราะการตัดสินนั้นมาจากพระเจ้า และถ้าเรื่องไหนยากเกินไปสำหรับท่าน ให้เอามาบอกเรา เราจะตัดสินเอง’ 18 และในตอนนั้นเราก็ได้สั่งพวกท่านไปแล้วทุกเรื่องที่พวกท่านควรทำ
คนสอดแนมไปคานาอัน
(กดว. 13:1-33)
19 พวกเราได้ทำตามคำสั่งของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเรา พวกเราจึงออกเดินทางจากภูเขาซีนาย ผ่านที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งที่ยิ่งใหญ่และน่ากลัว อย่างที่พวกท่านก็เห็นมาแล้ว ในระหว่างทางมุ่งเดินไปตามแถบเนินเขาที่ชาวอาโมไรต์อยู่ แล้วเราก็มาถึงคาเดช-บารเนีย 20 เราได้บอกกับพวกท่านว่า ‘พวกท่านมาถึงแถบเนินเขาที่ชาวอาโมไรต์อยู่แล้ว เป็นแผ่นดินที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเรายกให้กับพวกเรา 21 ดูสิ พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้ตั้งแผ่นดินนี้ไว้ตรงหน้าพวกท่านแล้ว พวกท่านขึ้นไปยึดเอาไว้เลย เหมือนกับที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษพวกท่านได้บอกไว้ ไม่ต้องกลัว อย่าท้อถอย’
22 แล้วพวกท่านทั้งหลายได้มาหาเรา พูดว่า ‘ให้พวกเราส่งคนกลุ่มหนึ่งไปก่อน ให้เข้าไปสำรวจแผ่นดินนั้น แล้วค่อยกลับออกมาบอกพวกเราว่า ควรจะไปทางไหน และเมืองที่พวกเราจะเข้าไปนั้นเป็นอย่างไรบ้าง’
23 เราเห็นด้วยกับความคิดนั้น เราจึงเลือกสิบสองคนมาจากพวกท่าน เผ่าละหนึ่งคน 24 พวกเขาได้ออกเดินทางไปที่เนินเขาแห่งนั้น และเข้าไปที่หุบเขาเอชโคล์แล้วทำการสำรวจ[i] ดินแดนแห่งนั้น 25 พวกเขาได้นำผลไม้ติดมือลงมาให้พวกเรา และมารายงานให้ฟังว่า ‘แผ่นดินที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราจะให้กับพวกเรานั้นดีมาก’
26 แต่พวกท่านไม่ยอมขึ้นไปที่นั่น พวกท่านจึงขัดคำสั่งของยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน 27 และเข้าไปบ่นกันในเต็นท์ของท่านว่า ‘เพราะพระยาห์เวห์เกลียดพวกเรา พระองค์ถึงได้นำพวกเราออกจากแผ่นดินอียิปต์ เพื่อให้ตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกอาโมไรต์ และถูกพวกมันทำลาย 28 แล้วทีนี้พวกเราจะหันหน้าไปทางไหน พวกพี่น้องที่เข้าไปสอดแนมทำให้พวกเราท้อถอยเสียแล้ว พวกเขาบอกว่า “พวกนั้นมีจำนวนมากกว่า และตัวสูงใหญ่กว่าพวกเรามาก เมืองเหล่านั้นก็ใหญ่โตและมีกำแพงสูงเสียดฟ้า พวกเรายังเห็นพวกยักษ์[j] ที่นั่นด้วย”’
29 เราได้บอกกับพวกท่านว่า ‘ไม่ต้องขวัญหนีดีฟ่อ ไม่ต้องกลัวพวกมันหรอก 30 พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะนำหน้าท่าน และต่อสู้แทนท่าน เหมือนกับสิ่งต่างๆที่พระองค์ได้ทำต่อหน้าท่านในแผ่นดินอียิปต์ 31 ในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งก็เหมือนกัน ท่านก็ได้เห็นแล้วว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ได้อุ้มท่านไว้เหมือนพ่ออุ้มลูก ตลอดทางที่ท่านเดินมาจนถึงที่นี่’
32 แต่ถึงอย่างนั้น พวกท่านก็ไม่ได้ไว้วางใจพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน 33 พระองค์นำหน้าท่านในการเดินทาง เพื่อหาที่ตั้งเต็นท์ให้ท่าน และพระองค์ก็นำหน้าท่านในไฟในตอนกลางคืน และในเมฆในตอนกลางวัน เพื่อให้พวกท่านรู้ว่าจะไปทางไหน
คนอิสราเอลอดเข้าแผ่นดินคานาอัน
34 แล้วพระยาห์เวห์ก็ได้ยินเสียงบ่นของพวกท่าน พระองค์โกรธ และสาบานว่า 35 ‘จะไม่มีใครสักคนในรุ่นที่ชั่วร้ายนี้ ที่จะได้เห็นแผ่นดินดีนั้น ที่เราได้สัญญาไว้ว่าจะให้กับบรรพบุรุษของเจ้า 36 นอกจากคาเลบลูกชายของเยฟุนเนห์จะได้เห็น เราจะยกแผ่นดินที่เขาเดินอยู่นั้นให้กับเขาและลูกหลานของเขา เพราะเขาซื่อสัตย์ต่อพระยาห์เวห์อย่างแท้จริง’
37 แม้แต่เรา พระยาห์เวห์ยังโกรธเลย ก็เพราะพวกท่านนี่แหละ พระองค์พูดกับเราว่า ‘แม้แต่เจ้าก็จะไม่ได้เข้าไปที่แผ่นดินนั้น 38 โยชูวาลูกชายของนูน ผู้ช่วยของเจ้าจะได้เข้าไปที่นั่น ให้กำลังใจกับเขา เพราะเขาจะเป็นคนแบ่งแผ่นดินนั้นแจกจ่ายให้กับชาวอิสราเอล
39 ส่วนลูกๆของพวกเจ้า ที่พวกเจ้าพูดว่า จะถูกจับไปเป็นเชลยนั้น พวกนี้แหละจะได้เข้าไปในแผ่นดินนั้น เพราะในวันนี้พวกลูกๆของเจ้าที่ยังไร้เดียงสา[k] และยังพึ่งตัวเองไม่ได้ เราจะให้แผ่นดินนั้นกับพวกเขาและพวกเขาก็จะได้เป็นเจ้าของมัน 40 ส่วนพวกเจ้าจะต้องหวนกลับไปในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง ตามเส้นทางที่มุ่งไปทะเลแดง’
41 และพวกท่านก็ตอบว่า ‘พวกเราได้ทำบาปต่อพระยาห์เวห์แล้ว พวกเราจะขึ้นไปสู้รบตามที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราสั่งพวกเราไว้’ แล้วพวกท่านก็เตรียมตัวไปรบ พวกท่านคิดว่ามันเป็นเรื่องง่ายๆที่จะขึ้นไปบนเนินเขานั้น
42 แล้วพระยาห์เวห์ได้พูดกับเราว่า ‘บอกพวกเขาว่า ห้ามขึ้นไปบนนั้นและห้ามไปรบ เพราะเราไม่ได้อยู่กับพวกเจ้า ถ้าพวกเจ้าฟังคำเตือนของเรา พวกเจ้าจะไม่ถูกฆ่าต่อหน้าศัตรูของพวกเจ้า’
43 และเราก็ได้บอกพวกท่านแล้วว่าพระยาห์เวห์พูดอะไร แต่พวกท่านก็ไม่ยอมฟัง ขัดขืนคำเตือนของพระยาห์เวห์และบุ่มบ่ามขึ้นไปบนเนินเขานั้น 44 ชาวอาโมไรต์ที่อาศัยอยู่บนเขานั้น ก็ออกมาเผชิญหน้ากับพวกท่าน และขับไล่พวกท่านเหมือนฝูงผึ้งขับไล่ศัตรู พวกเขาได้ไล่บี้พวกท่านที่เสอีร์ ไปจนถึงโฮรมาห์ 45 แล้วพวกท่านก็ซมซานกลับมาร้องห่มร้องไห้ต่อหน้าพระยาห์เวห์ แต่พระองค์ก็ไม่สนใจที่จะฟังเสียงร้องของพวกท่าน 46 แล้วพวกท่านก็อยู่ที่เคเดชเป็นเวลานานหลายวัน
ชาวอิสราเอลร่อนเร่ไปในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง
2 พวกเราได้ทำตามที่พระยาห์เวห์ได้สั่งเราไว้ คือเราได้หวนกลับไปยังที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง โดยใช้เส้นทางที่มุ่งหน้าไปยังทะเลแดง และพวกเราได้เดินเวียนไปตามแนวชายแดนของภูเขาเสอีร์เป็นเวลานานหลายวัน 2 แล้วพระยาห์เวห์ก็พูดกับเราว่า 3 ‘พวกเจ้าได้เดินเวียนอยู่รอบๆเทือกเขานี้นานพอแล้ว ให้เดินทางต่อไปทางทิศเหนือ 4 แล้วให้สั่งประชาชนว่า พวกเจ้ากำลังจะผ่านเขตแดนของญาติเจ้า พวกเขาเป็นลูกหลานของเอซาว ที่อยู่ในเสอีร์ พวกเขาจะกลัวเจ้า พวกเจ้าจะต้องระวังตัวไว้ให้ดี 5 อย่าไปต่อสู้กับพวกเขา เพราะเราจะไม่ยกดินแดนของพวกเขาให้กับเจ้าแม้แต่ฝ่าเท้าเดียว เพราะเราได้ยกดินแดนบนภูเขาเสอีร์ให้กับเอซาวเป็นเจ้าของไปแล้ว 6 อาหารที่เจ้าจะกินกัน ก็ต้องเอาเงินมาซื้อจากพวกเขา แม้แต่น้ำที่เจ้าจะดื่มก็ต้องเอาเงินมาซื้อด้วยเหมือนกัน 7 แน่นอน พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านได้อวยพรท่านในทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านได้ทำมา พระองค์ดูแลท่านทุกย่างก้าวในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งอันกว้างใหญ่ ในช่วงสี่สิบปีที่ผ่านมานี้ พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านอยู่กับท่านตลอด ท่านไม่เคยขาดแคลนอะไรเลย’
8 พวกเราได้เดินทางต่อ ผ่านพวกญาติของเรา ที่เป็นลูกหลานของเอซาว ที่อาศัยอยู่ในเสอีร์ พวกเราไปจากถนนที่วิ่งตรงมาจากหุบเขาจอร์แดน ไปถึงเมืองเอลัทและเอซีโอน-เกเบอร์ พวกเราได้หันมาใช้ถนนที่มุ่งไปสู่ที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งโมอับ
อิสราเอลที่เมืองอาร์
9 พระยาห์เวห์ได้พูดกับเราว่า ‘อย่าไปรังควานพวกโมอับและอย่าทำสงครามกับพวกเขา เพราะเราจะไม่ยกแผ่นดินของพวกโมอับให้เจ้าครอบครอง เพราะเราได้ยกเมืองอาร์ให้ลูกหลานของโลท[l] ครอบครองไปแล้ว’”
10 (ชาวเอมิมเคยอยู่ที่เมืองอาร์มาก่อน พวกเขาเข้มแข็ง มีจำนวนมาก และรูปร่างสูงใหญ่เหมือนชาวอานาค[m] 11 ชาวอานาคเป็นส่วนหนึ่งของชาวเรฟาอิม คนก็เลยคิดว่าชาวเอมิมเป็นส่วนหนึ่งของชาวเรฟาอิมด้วย แต่ชาวโมอับเรียกพวกเขาว่าชาวเอมิม 12 พวกชาวโฮรีก็เคยอยู่ที่เสอีร์มาก่อนเหมือนกัน แต่ลูกหลานของเอซาวได้ขับไล่พวกเขาออกไป พวกลูกหลานของเอซาวได้ทำลายพวกโฮรีที่เคยอยู่ที่นั่น และเข้าไปอยู่แทน เหมือนกับที่ชาวอิสราเอลได้ทำกับประชาชนที่เคยเป็นเจ้าของดินแดนที่พระยาห์เวห์ได้ให้กับชาวอิสราเอล)
13 “พระยาห์เวห์พูดว่า ‘ตอนนี้ ลุกขึ้น ข้ามไปอีกฝากหนึ่งของหุบเขาเศเรด’ พวกเราจึงข้ามหุบเขาเศเรดไป 14 นับตั้งแต่วันที่จากคาเดช-บารเนียมาจนข้ามหุบเขาเศเรดนี้ พวกเราใช้เวลาในการเดินทางสามสิบแปดปี ในช่วงเวลานั้น พวกนักรบรุ่นนั้นทั้งหมดในค่ายของเราที่ไม่ไว้วางใจพระเจ้าตอนอยู่ที่คาเดช-บารเนีย ต่างก็ล้มตายกันไปหมดเหมือนกับที่พระยาห์เวห์ได้สาบานไว้กับพวกเขา 15 ความจริงแล้ว เป็นฝีมือของพระยาห์เวห์เองที่ทำลายพวกนั้นจนหมดสิ้นไปจากค่าย
16 เมื่อพวกนักรบเหล่านั้นตายจากไปหมดแล้ว 17 พระยาห์เวห์พูดกับเราว่า 18 วันนี้เจ้าจะข้ามเขตแดนของโมอับที่เมืองอาร์ 19 เจ้าจะเข้าไปใกล้กับลูกหลานของอัมโมน ‘อย่าไปยุ่งกับพวกเขาและอย่าต่อสู้กับพวกเขา เพราะเราจะไม่ยกแผ่นดินของลูกหลานอัมโมนให้เจ้าครอบครอง เพราะเราได้ยกแผ่นดินนั้นให้ลูกหลานของโลทครอบครองแล้ว’”
20 (แผ่นดินนี้ถือว่าเป็นของชาวเรฟาอิมเหมือนกัน เพราะพวกเขาเคยอยู่ที่นี่มาก่อน และชาวอัมโมนก็เรียกพวกเขาว่าศัมซุมมิม 21 ชาวเรฟาอิมมีจำนวนมาก เป็นคนกลุ่มใหญ่และมีรูปร่างสูงใหญ่เหมือนชาวอานาค แต่พระยาห์เวห์ได้ทำลายพวกเขาต่อหน้าชาวอัมโมน ชาวอัมโมนจึงได้ยึดเอาดินแดนของชาวเรฟาอิม และเข้าไปอยู่แทน 22 พระยาห์เวห์ก็ทำอย่างเดียวกันนี้ให้กับลูกหลานของเอซาวที่อยู่ในเสอีร์ ตอนที่พระองค์ทำลายชาวโฮรีต่อหน้าพวกเขา พวกชาวเอโดมจึงยึดเอาดินแดนของชาวโฮรีและเข้าไปอยู่ที่นั่นแทนจนถึงทุกวันนี้ 23 ส่วนชาวอัฟวิมที่อยู่ตามหมู่บ้านใกล้กาซา ชาวคัฟโทร์ที่มาจากคัฟโทร์ได้มาทำลายพวกเขาและชาวคัฟโทร์เหล่านั้นก็เข้าตั้งบ้านเรือนอยู่ที่นั่นแทน)
การต่อสู้กับประชาชนชาวอาโมไรต์
24 “พระยาห์เวห์พูดว่า ‘ลุกขึ้น เตรียมตัว และข้ามหุบเขาอารโนนไป เห็นแล้วหรือยังว่าเราได้ให้สิโหนชาวอาโมไรต์ กษัตริย์ของเมืองเฮชโบน ไว้ในกำมือเจ้าแล้ว เข้าไปยึดดินแดนของมัน และทำสงครามกับมันเลย 25 วันนี้เราจะทำให้ทุกคนทั่วใต้ฟ้านี้เกรงกลัวเจ้า เมื่อพวกเขาได้ยินข่าวเกี่ยวกับเจ้า พวกเขาจะกลัวจนตัวสั่นต่อหน้าเจ้า’
26 ในระหว่างที่พวกเราอยู่ที่ที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งเคเดโมท เราได้ส่งพวกผู้ถือสารไปหากษัตริย์สิโหนของเมืองเฮชโบน พร้อมกับคำพูดที่เป็นมิตรว่า 27 ‘ขออนุญาตให้เราใช้เส้นทางในดินแดนของท่านด้วยเถิด เราจะเดินอยู่แต่บนถนน จะไม่เลี้ยวขวาเลี้ยวซ้าย 28 เราจะจ่ายเงินซื้ออาหารและน้ำจากท่าน ขอแค่ให้เราใช้เส้นทางเดินผ่านไปเท่านั้น 29 เหมือนกับที่ลูกหลานของเอซาวที่อยู่ในเสอีร์และชาวโมอับที่อยู่ในอาร์ได้ทำกับเรามาแล้ว เราจะต้องข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปยังดินแดนที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเราได้ให้กับพวกเราไว้’
30 แต่กษัตริย์สิโหนของเฮชโบนไม่ยอมให้พวกเราผ่านทางนั้น เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทำให้เขาดื้อดึงและต่อต้าน เพื่อพระองค์จะได้ทำให้สิโหนตกอยู่ในกำมือของท่านอย่างที่ทำอยู่ตอนนี้
31 แล้วพระยาห์เวห์ก็พูดกับผมว่า ‘เห็นแล้วหรือยังว่า เราได้ยกสิโหนและดินแดนของเขาให้กับเจ้าแล้ว เข้าไปยึดเอามาเป็นของเจ้าสิ’
32 สิโหนกับคนของเขาได้ออกมาทำสงครามกับพวกเราที่ยาฮาส 33 พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเราให้เขาตกอยู่ในกำมือของเรา เราจึงฆ่าสิโหนและลูกๆของเขา รวมทั้งกองทัพของเขาทั้งหมด 34 และเราได้เข้ายึดเมืองของเขาไว้ทั้งหมดในตอนนั้น เราได้ทำลายทุกคนทั้งผู้ชาย ผู้หญิงและเด็กๆในทุกๆเมืองโดยไม่เหลือใครเลย 35 พวกเราเอาแต่วัวควายและของมีค่ามาจากเมืองที่ยึดมาได้นั้น 36 เรายึดได้ทุกๆเมืองจากอาโรเออร์ที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำของหุบเขาอารโนน รวมทั้งเมืองที่อยู่ในหุบเขาจนถึงแคว้นกิเลอาด ไม่มีกำแพงเมืองไหนที่สูงเกินเงื้อมมือเรา พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราให้ทุกๆเมืองกับเรา 37 เพียงแต่ท่านไม่ได้เข้าไปใกล้ดินแดนของชาวอัมโมน รวมทั้งบริเวณริมฝั่งแม่น้ำยับบอกและเมืองต่างๆตามเนินเขา เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราได้สั่งไว้ไม่ให้ทำอย่างนั้น
การต่อสู้กับชนชาวบาชาน
(กดว. 21:31-35)
3 พวกเราจึงออกเดินทางไปตามถนนที่ตรงไปบาชาน กษัตริย์โอกของเมืองบาชานและกองทัพของเขาออกมาต่อสู้กับพวกเราที่เอเดรอี 2 พระยาห์เวห์พูดกับเราว่า ‘ไม่ต้องกลัวมัน เพราะเราได้มอบมันและกองทัพของมัน รวมทั้งแผ่นดินของมันไว้ในกำมือของเจ้าแล้ว เจ้าจะทำกับมันเหมือนกับที่เจ้าได้ทำกับกษัตริย์สิโหนชาวอาโมไรต์ที่เคยปกครองเฮชโบน’
3 แล้วพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเราได้ทำให้กษัตริย์โอกแห่งบาชานและกองทัพทั้งหมดของเขาตกอยู่ในกำมือของพวกเรา พวกเราได้ฆ่าเขาและคนอื่นๆจนไม่เหลือใครเลย 4 พวกเรายึดเมืองต่างๆไว้จนหมดเกลี้ยง ไม่เหลือแม้แต่เมืองเดียว เรายึดได้ทั้งหกสิบเมืองในแคว้นอารโกบทั้งหมดที่เป็นอาณาจักรของโอกในบาชาน 5 เมืองพวกนี้ล้วนมีกำแพงที่สูงใหญ่ล้อมรอบ มีทั้งประตูและกลอนเหล็ก นอกจากนี้ยังมีเมืองอื่นๆอีกมากมายที่ไม่มีกำแพงเมือง 6 พวกเราได้ทำลายพวกเขาเหมือนกับที่ได้ทำลายกษัตริย์สิโหนแห่งเฮชโบน พวกเราทำลายทั้งผู้ชาย ผู้หญิงและเด็กในทุกๆเมืองจนหมดสิ้น 7 แต่พวกวัวควายและของมีค่าในเมืองต่างๆที่ริบมานั้น พวกเราได้ยึดเอาไว้เอง
8 ดังนั้น ในตอนนั้นพวกเราได้ยึดเอาดินแดนจากมือของกษัตริย์ชาวอาโมไรต์ทั้งสอง เป็นดินแดนที่อยู่ทางทิศตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน จากหุบเขาอารโนนไปจนถึงภูเขาเฮอร์โมน 9 (ชาวไซดอนเรียกเฮอร์โมนว่า ‘สีรีออน’ แต่ชาวอาโมไรต์เรียกเฮอร์โมนว่า ‘เสนีร์’) 10 พวกเรายึดเมืองต่างๆบนที่ราบตอนบน กิเลอาดทั้งหมดและบาชานทั้งหมด ขึ้นไปจนถึงสาเลคาห์และเอเดรอี เมืองพวกนี้เป็นของอาณาจักรโอกแห่งบาชาน”
11 (มีชาวเรฟาอิมหลงเหลืออยู่น้อยมาก กษัตริย์โอกแห่งบาชานก็เป็นชาวเรฟาอิมคนหนึ่งที่ยังหลงเหลืออยู่ เตียง[n]ของเขามีขนาดยาวเก้าศอก กว้างสี่ศอก ตอนนี้มันยังตั้งอยู่ที่เมืองรับบาห์ของชาวอัมโมนอยู่เลย)
ที่ดินของกาด รูเบนและมนัสเสห์ครึ่งเผ่า
(กดว. 32:1-42)
12 “ในตอนนั้นพวกเราได้ยึดเอาแผ่นดินนี้เป็นของพวกเรา เริ่มจากอาโรเออร์ซึ่งอยู่ในหุบเขาอารโนน เราได้มอบดินแดนครึ่งหนึ่งบนเขากิเลอาดและเมืองต่างๆของมัน ให้กับชาวรูเบนและชาวกาด 13 ส่วนอีกครึ่งหนึ่งของกิเลอาดและบาชานทั้งหมดในอาณาจักรโอก เราได้มอบให้กับเผ่ามนัสเสห์ครึ่งเผ่า”
(แคว้นอารโกบทั้งหมด ทั้งส่วนของเมืองบาชานรวมเรียกว่าแผ่นดินของชาวเรฟาอิม 14 ยาอีร์จากเผ่ามนัสเสห์ได้ยึดแคว้นอารโกบทั้งหมดไปจนถึงริมเขตแดนของชาวเกชูร์และชาวมาอาคาห์ แล้วยาอีร์ก็ได้ตั้งชื่อเมืองต่างๆเหล่านั้นตามชื่อของเขามาจนถึงทุกวันนี้)
15 “เราได้มอบกิเลอาดให้มาคีร์ 16 ส่วนชาวรูเบนและชาวกาด เราได้ให้ดินแดนตั้งแต่กิเลอาดลงไปถึงหุบเขาอารโนน ตรงกลางหุบเขาคือเส้นแบ่งแดน ขึ้นไปถึงแม่น้ำยับบอกซึ่งเป็นเส้นเขตแดนของชาวอัมโมน 17 หุบเขาจอร์แดนและแม่น้ำจอร์แดนเองเป็นเส้นแบ่งเขตแดนทางตะวันตก เริ่มจากทะเลสาบกาลิลี[o] ลงไปจนถึงฝั่งตะวันออกของทะเลตาย[p] ตรงก้นของหน้าผาปิสกาห์
18 ในตอนนั้นเราได้สั่งพวกท่านว่า ‘พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้ยกแผ่นดินฝั่งนี้ให้พวกท่านเป็นเจ้าของ แต่ตอนนี้ให้พวกท่านนักรบผู้กล้าที่ถืออาวุธพร้อมมือ นำหน้าญาติพี่น้องชาวอิสราเอลข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปฝั่งโน้น 19 เว้นแต่พวกเมียๆและลูกๆ รวมทั้งฝูงสัตว์ของพวกท่าน (เรารู้ว่าพวกท่านมีฝูงสัตว์มากมาย) ให้ยังคงอยู่ในเมืองต่างๆที่เราได้ยกให้กับพวกท่าน 20 พวกท่านต้องช่วยญาติพี่น้องของพวกท่าน จนกว่าพวกเขาจะได้เป็นเจ้าของดินแดนที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน ได้ยกให้กับพวกเขา คือดินแดนที่อยู่ฝั่งโน้นของแม่น้ำจอร์แดน และให้ช่วยพวกเขาจนกว่าพระยาห์เวห์จะให้สันติสุขกับพวกเขา เหมือนกับที่พระองค์ให้กับพวกท่าน เมื่อถึงตอนนั้น พวกท่านจึงค่อยกลับมาดินแดนฝั่งนี้ที่เราได้ยกให้กับพวกท่าน’
21 ในตอนนั้นเราได้สั่งโยชูวาว่า ‘ท่านก็ได้เห็นกับตาแล้วว่า พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้ทำยังไงกับกษัตริย์สององค์นั้น พระองค์ก็จะทำอย่างนั้นกับอาณาจักรต่างๆที่ท่านกำลังจะบุกเข้าไปด้วย 22 ไม่ต้องกลัวพวกมัน เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านจะต่อสู้แทนท่าน’
โมเสสอดเข้าแผ่นดินคานาอัน
23 ในตอนนั้นเราได้อ้อนวอนต่อพระยาห์เวห์ว่า 24 ‘ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิต พระองค์เริ่มแสดงให้ข้าพเจ้าผู้รับใช้ของพระองค์ เห็นถึงความยิ่งใหญ่ และมือที่เต็มไปด้วยฤทธิ์อำนาจของพระองค์ ไม่มีพระเจ้าอื่นอีกแล้วไม่ว่าในสวรรค์หรือบนโลก ที่จะทำในสิ่งที่พระองค์ทำหรือแสดงฤทธิ์อำนาจได้เหมือนกับที่พระองค์แสดง 25 ขอให้ข้าพเจ้าได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไป เพื่อจะได้เห็นดินแดนที่ดีซึ่งอยู่ฝั่งโน้น ขอให้ข้าพเจ้าได้เห็นเนินเขาที่สวยงามและแคว้นเลบานอนด้วยเถิด’
26 แต่พระยาห์เวห์โกรธเรามาก ก็เพราะพวกท่านนี่แหละ และพระองค์ก็ไม่ฟังคำขอร้องของเรา พระองค์พูดกับเราว่า ‘พอแล้ว อย่าพูดเรื่องนี้ให้ได้ยินอีก 27 ขึ้นไปบนยอดเขาปิสกาห์และมองไปรอบๆทั้งทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้ และทิศตะวันออก แต่เจ้าจะไม่ได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนนี้ไป 28 ให้คำแนะนำกับโยชูวา ทำให้เขากล้าหาญและเข้มแข็ง เพราะเขาจะเป็นคนนำประชาชนพวกนี้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไป และเขาจะพาพวกนั้นไปยึดเอาแผ่นดินที่เจ้าเห็นนั้น’ 29 ดังนั้นพวกเราจึงอยู่ในหุบเขาตรงข้ามกับเบธเปโอร์
พระเยซูพูดถึงความตายของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง
(มธ. 20:17-19; ลก. 18:31-34)
32 พวกเขามุ่งหน้าไปเมืองเยรูซาเล็ม พระเยซูเดินนำหน้า พวกศิษย์ต่างก็แปลกใจ ส่วนพวกที่ติดตามมาก็หวาดกลัว พระองค์พาศิษย์ทั้งสิบสองคนปลีกตัวออกมาข้างๆและเริ่มเล่าเรื่องที่จะเกิดขึ้นกับพระองค์ให้พวกเขาฟังอีกครั้ง 33 พระองค์บอกว่า “ฟังนะ พวกเรากำลังจะขึ้นไปเมืองเยรูซาเล็ม และบุตรมนุษย์จะถูกจับส่งตัวไปให้พวกผู้นำนักบวช และพวกครูสอนกฎปฏิบัติ พวกเขาจะตัดสินประหารชีวิตเขา และพวกนั้นจะจับเขาส่งไปให้กับคนที่ไม่ใช่ชาวยิว 34 แล้วพวกนั้นก็จะหัวเราะเยาะ ถ่มน้ำลายใส่ เฆี่ยนตี และในที่สุดก็จะฆ่าเขา แต่เขาก็จะฟื้นขึ้นจากความตายในวันที่สาม”
คำขอของยากอบกับยอห์น
(มธ. 20:20-28)
35 ยากอบและยอห์น ลูกของเศเบดีเข้ามาพูดกับพระเยซูว่า “อาจารย์ครับ ช่วยพวกเราสักเรื่องได้ไหมครับ”
36 พระเยซูถามว่า “จะให้ทำอะไรล่ะ”
37 พวกเขาตอบว่า “พออาจารย์ได้รับเกียรติยศอันสูงส่งอย่างกษัตริย์แล้ว ขอให้เราได้นั่งข้างขวาอาจารย์คนหนึ่งและข้างซ้ายอีกคนหนึ่งนะครับ”
38 พระเยซูตอบว่า “พวกคุณไม่รู้หรอกว่ากำลังขออะไรอยู่ พวกคุณจะดื่มจากจอก[a]ที่เราต้องดื่มนี้ได้หรือ ความทรมานนี้[b]ที่เราต้องรับ คุณจะรับได้หรือ”
39 พวกเขาตอบว่า “ได้ครับ” พระเยซูจึงพูดว่า “จริงอยู่ที่คุณจะดื่มจากจอกที่เราจะต้องดื่ม และคุณจะทนทุกข์ทรมานแบบเดียวกับที่เราจะต้องทน 40 แต่จะให้ใครนั่งทางขวาหรือทางซ้ายของเรานั้น เราไม่ได้เป็นคนเลือก พระเจ้าจะเป็นผู้เลือกเอง”
41 เมื่อศิษย์อีกสิบคนรู้เรื่องนี้ ก็โกรธยากอบและยอห์น 42 พระเยซูเลยเรียกพวกเขาเข้ามาหาและพูดว่า “พวกคุณก็รู้ว่ากษัตริย์ของพวกคนต่างชาติทำตัวเป็นเจ้าเป็นนายเหนือประชาชน และพวกข้าราชการระดับสูงก็ชอบใช้อำนาจต่อประชาชน 43 แต่ในพวกคุณมันจะไม่เป็นอย่างนั้น คนไหนที่อยากจะเป็นใหญ่ ก็ให้เขาเป็นผู้รับใช้พวกคุณ 44 และคนไหนอยากเป็นคนสำคัญที่สุด ก็ให้เขาเป็นทาสรับใช้ทุกคน 45 เพราะแม้แต่บุตรมนุษย์ ก็ยังไม่ได้มาเพื่อจะให้คนอื่นรับใช้ แต่มาเพื่อจะรับใช้คนอื่น และยอมสละชีวิตเพื่อปลดปล่อยให้คนมากมายเป็นอิสระ”
พระเยซูรักษาบารทิเมอัส
(มธ. 20:29-34; ลก. 18:35-43)
46 พระเยซูและพวกศิษย์เดินทางมาถึงเมืองเยริโค และในระหว่างที่พระองค์และพวกศิษย์กำลังเดินทางออกจากเมืองเยริโคพร้อมกับชาวบ้านนั้น ก็มีคนตาบอดคนหนึ่งชื่อบารทิเมอัสซึ่งเป็นลูกชายของทิเมอัส นั่งขอทานอยู่ริมถนน 47 เมื่อเขารู้ว่าเป็นพระเยซูชาวนาซาเร็ธ เขาก็ร้องตะโกนว่า “เยซู บุตรดาวิด สงสารผมด้วยครับ”
48 หลายคนตวาดให้เขาเงียบ แต่เขายิ่งตะโกนดังขึ้น “เยซูบุตรดาวิดสงสารผมด้วยครับ”
49 พระเยซูจึงหยุด และพูดว่า “เรียกเขามาสิ” พวกเขาก็เลยเรียกคนตาบอดนั้น และบอกเขาว่า “ดีใจได้แล้ว ลุกขึ้นสิ อาจารย์เรียกแกไปหาแล้ว” 50 คนตาบอดนั้นก็โยนเสื้อคลุมทิ้งไปข้างๆแล้วกระโดดลุกขึ้นมาหาพระเยซู
51 พระองค์ถามเขาว่า “อยากให้เราช่วยอะไร” คนตาบอดตอบว่า “ผมอยากมองเห็นครับอาจารย์”
52 พระเยซูจึงพูดว่า “ไปเถอะ ความเชื่อของคุณทำให้คุณหายแล้ว” เขาก็มองเห็นทันที และติดตามพระองค์ไป
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International