Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Old/New Testament

Each day includes a passage from both the Old Testament and New Testament.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
กันดารวิถี 17-19

ไม้เท้าอาโรนแตกหน่อ

17 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “ให้พูดกับประชาชนชาวอิสราเอลและให้หัวหน้าของแต่ละเผ่าเอาไม้เท้าของพวกเขามา รวมเป็นสิบสองอัน และให้เขียนชื่อของหัวหน้าเผ่าแต่ละคนลงไปบนไม้เท้าของเขานั้น ให้เขียนชื่อของอาโรนลงบนไม้เท้าของเผ่าเลวี เพราะจะมีไม้เท้าหนึ่งอันสำหรับหัวหน้าเผ่าแต่ละเผ่า ให้เอาไม้เท้าพวกนี้มาวางไว้ในเต็นท์นัดพบ ตรงหน้าหีบเก็บข้อตกลงเป็นสถานที่ที่เราพบกับพวกเจ้า เราเลือกคนไหน ไม้เท้าของคนนั้นก็จะแตกหน่อออกมา ด้วยวิธีนี้ เราจะได้หยุดการบ่นต่อว่าของประชาชนชาวอิสราเอลที่มีต่อพวกเจ้า”

โมเสสจึงพูดกับประชาชนชาวอิสราเอล และพวกผู้นำของเขาทุกคนก็เอาไม้เท้าของตัวเองมาให้กับโมเสส รวมเป็นสิบสองอัน จากเผ่าละอัน ไม้เท้าของอาโรนก็อยู่ท่ามกลางไม้เท้าของพวกเขาด้วย โมเสสวางไม้เท้าพวกนั้นไว้ต่อหน้าพระยาห์เวห์ในเต็นท์ที่เก็บข้อตกลง

วันต่อมา โมเสสได้เข้าไปในเต็นท์ที่เก็บข้อตกลง เขาเห็นไม้เท้าของอาโรนจากเผ่าเลวีแตกใบ แตกหน่อและมีดอกบาน พร้อมกับผลอัลมอนด์ด้วย โมเสสจึงเอาไม้เท้าทั้งหมดจากด้านหน้าของพระยาห์เวห์ ออกมาให้กับ ประชาชนอิสราเอล หัวหน้าแต่ละคนก็หาและหยิบไม้เท้าของตนเอง

10 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “เอาไม้เท้าของอาโรนกลับไปวางไว้ด้านหน้าหีบข้อตกลง เพื่อเก็บไว้ให้เป็นสิ่งคอยเตือนพวกนี้ที่ทรยศเรา เพื่อพวกเขาจะได้หยุดบ่นต่อว่าเรา และพวกเขาจะได้ไม่ตาย” 11 โมเสสจึงทำตามที่พระยาห์เวห์สั่งเขาทุกอย่าง

12 แต่ประชาชนชาวอิสราเอลพูดกับโมเสสว่า “ดูสิ พวกเราจะตาย พวกเราจะถูกทำลาย พวกเราจะถูกทำลายกันหมด 13 ทุกคนที่แค่เข้าไปใกล้เต็นท์ที่เก็บข้อตกลงของพระยาห์เวห์ ก็ต้องตายแล้ว พวกเราจะตายกันหมดหรือเปล่านี่”

งานของนักบวชเลวี

18 พระยาห์เวห์พูดกับอาโรนว่า “ตัวเจ้า ลูกชายของเจ้าและคนในตระกูลของเจ้า จะต้องรับโทษ ถ้ามีใครมาทำให้สถานที่ศักดิ์สิทธิ์เสื่อมเสีย ตัวเจ้าและลูกชายจะต้องรับโทษ ถ้าทำหน้าที่นักบวชบกพร่องทำให้เกิดความเสื่อมเสีย ให้พาพี่น้องชาวเลวีคนอื่นๆที่อยู่เผ่าพันธุ์เดียวกับพ่อของเจ้ามาด้วย พวกเขาจะได้มาร่วมงานและช่วยเหลือเจ้าตอนที่เจ้าและลูกชายของเจ้าอยู่ต่อหน้าเต็นท์เก็บข้อตกลง พวกเขาจะต้องทำหน้าที่เป็นยามคอยเฝ้าระวังให้กับเจ้า คอยดูแลเต็นท์ที่เก็บข้อตกลง แต่พวกเขาต้องไม่เข้าไปใกล้เครื่องใช้ต่างๆที่ศักดิ์สิทธิ์ในเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์หรือแท่นบูชานั้น เพื่อว่าทั้งพวกเขาและเจ้าจะได้ไม่ตาย พวกเขาจะร่วมงานกับเจ้าและทำหน้าที่เป็นยามคอยเฝ้าระวังเต็นท์นัดพบ รวมทั้งงานหนักต่างๆที่เกี่ยวกับเต็นท์ด้วย แต่ห้ามคนที่ไม่มีสิทธิ์เข้ามาใกล้เจ้า

เจ้าต้องทำหน้าที่เป็นยามคอยเฝ้าระวังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และแท่นบูชา เพื่อเราจะได้ไม่โกรธประชาชนชาวอิสราเอล ดูสิ เราได้เลือกพวกพี่น้องชาวเลวีของเจ้า ออกมาจากประชาชนชาวอิสราเอล พวกเขาเป็นของขวัญสำหรับเจ้า ที่มอบให้กับพระยาห์เวห์ เพื่อทำงานหนักในเต็นท์นัดพบ อาโรน มีแต่เจ้าและลูกชายของเจ้าเท่านั้นที่จะทำหน้าที่นักบวช คอยดูแลทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับแท่นบูชาและที่อยู่หลังม่านนั้น และเจ้าก็ต้องทำงานด้วย เราจะให้งานเจ้าให้สมกับฐานะนักบวช แต่คนที่ไม่มีสิทธิ์ แล้วบุกรุกเข้ามาจะต้องถูกฆ่า”

พระยาห์เวห์พูดกับอาโรนว่า “ดูสิ เราเองได้มอบหมายงานให้เจ้าเป็นยามคอยเฝ้าระวังของขวัญต่างๆที่คนเอามาให้กับเรา รวมทั้งของขวัญอันศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดที่ประชาชนชาวอิสราเอลเอามา เราจะแบ่งสิ่งเหล่านั้นให้เจ้าและลูกชายของเจ้า เป็นส่วนแบ่งที่พวกเจ้าจะได้ตลอดไป ผู้คนจะเอาเครื่องบูชาต่างๆมาถวายเรา มีทั้งเครื่องบูชาจากเมล็ดพืช เครื่องบูชาชำระล้าง เครื่องบูชาชดใช้ เครื่องบูชาพวกนี้ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด เจ้าจะได้ส่วนแบ่งจากเครื่องบูชาที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดนี้ จากส่วนที่เก็บไว้ ที่ไม่ได้เอาไปเผาบนแท่นบูชา ส่วนนี้จะเป็นส่วนที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดสำหรับเจ้าและพวกลูกชายของเจ้า 10 เจ้าต้องกินมันในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ผู้ชายในครอบครัวเจ้ากินได้หมดทุกคน มันเป็นของศักดิ์สิทธิ์สำหรับเจ้า

11 และของขวัญพิเศษอื่นๆที่ชาวอิสราเอลนำมายื่นถวายกับเรา ก็จะเป็นของเจ้าด้วย เราจะให้ของพวกนั้นกับเจ้า ลูกชายของเจ้าและลูกสาวของเจ้า นั่นเป็นส่วนแบ่งของเจ้า ในครอบครัวเจ้า ทุกคนที่บริสุทธิ์ตามพิธีกรรมก็กินได้

12 เมื่อชาวอิสราเอลนำผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้เป็นครั้งแรกมาถวายให้กับพระยาห์เวห์ มีน้ำมันมะกอกอย่างดี เหล้าองุ่นใหม่และเมล็ดข้าวทั้งหมด เราจะยกให้กับเจ้า 13 เมื่อพวกเขานำพืชผลที่สุกเป็นครั้งแรกในที่ดินของพวกเขามาถวายพระยาห์เวห์ ของถวายนั้นก็จะเป็นของพวกเจ้า ในครอบครัวเจ้า ทุกคนที่บริสุทธิ์ตามพิธีกรรม ก็กินได้

14 ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขานำมาถวายในอิสราเอล ก็จะเป็นของเจ้า

15 ลูกหัวปีไม่ว่าจะเป็นลูกคนหรือลูกสัตว์ ที่พวกเขาเอามาถวายให้กับพระยาห์เวห์จะเป็นของเจ้า แต่เจ้าจะต้องรับเงินที่เขาจ่ายเป็นค่าไถ่สำหรับลูกหัวปีของคน และลูกหัวปีของสัตว์ที่ไม่บริสุทธิ์[a] 16 เมื่อลูกหัวปีนั้นมีอายุได้หนึ่งเดือน เจ้าจะต้องมาซื้อคืนไปเป็นเงินหนักห้าเชเขล[b] ตายตัวตามมาตรฐานอย่างเป็นทางการ[c] โดยคิดหนึ่งเชเขลเท่ากับยี่สิบเกราห์[d]

17 แต่ลูกวัวหัวปี ลูกแกะหัวปี และลูกแพะหัวปี ห้ามไม่ให้เจ้าซื้อคืนไป พวกมันเป็นของศักดิ์สิทธิ์ เจ้าต้องเอาเลือดของพวกมันมาพรมลงบนแท่นบูชาและต้องเผาไขมันของพวกมัน เป็นของขวัญ ที่มีกลิ่นหอมให้กับพระยาห์เวห์ 18 แต่ส่วนที่เป็นเนื้อจะเป็นของเจ้า รวมทั้งส่วนอกของเครื่องยื่นบูชา และส่วนสะโพกข้างขวา ก็เป็นของเจ้าด้วย 19 พวกของขวัญศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดที่ชาวอิสราเอลเอามายื่นถวายให้กับพระยาห์เวห์ เรามอบให้กับเจ้า ลูกชายและลูกสาวของเจ้า มันเป็นส่วนของเจ้าตลอดไป มันจะเป็นข้อตกลง[e] ของพระยาห์เวห์ สำหรับเจ้าและลูกหลานรุ่นหลังจากเจ้าตลอดไป”

20 พระยาห์เวห์พูดกับอาโรนว่า “เจ้าจะไม่ได้รับส่วนแบ่งอะไรเลยในที่ดินของพวกเขา และเจ้าจะไม่ได้เป็นเจ้าของในส่วนแบ่งที่ดินท่ามกลางพวกเขา เราคือส่วนแบ่งของเจ้าและมรดกของเจ้าในท่ามกลางประชาชนชาวอิสราเอล

21 พวกชาวอิสราเอลจะถวายสิบเปอร์เซ็นต์ของพืชผลและสัตว์ที่เกิดใหม่ เรายกส่วนนี้ให้กับชาวเลวี นี่จะเป็นส่วนแบ่งของพวกเขา เป็นค่าตอบแทน ที่พวกเขาทำงานหนักในเต็นท์นัดพบ 22 ตั้งแต่นี้ไป ชาวอิสราเอลต้องไม่เข้าไปใกล้เต็นท์นัดพบ ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะถูกลงโทษ เพราะบาปของพวกเขาและจะตาย 23 มีแต่ชาวเลวีเท่านั้นที่จะทำงานให้เต็นท์นัดพบ และพวกเขาจะต้องรับผิดชอบต่อความบาปที่เกิดขึ้น นี่จะเป็นกฎของพวกเจ้าตลอดไป และพวกเลวีก็จะไม่ได้ส่วนแบ่งอะไรเลยในที่ดินของชาวอิสราเอล 24 ชาวอิสราเอลจะถวายสิบเปอร์เซ็นต์ของรายได้เป็นของขวัญให้กับพระยาห์เวห์ แล้วเราจะให้ส่วนนี้กับชาวเลวี เป็นส่วนแบ่งแทนที่ดิน เพราะอย่างนี้ เราถึงได้บอกชาวเลวีว่า พวกเขาจะไม่ได้ส่วนแบ่งอะไรเลยในที่ดิน ท่ามกลางประชาชนชาวอิสราเอล”

25 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า 26 “ให้บอกชาวเลวีว่า ‘เมื่อคนอิสราเอลเอาสิบเปอร์เซ็นต์ของรายได้มาถวายให้กับเรา เราก็ได้มอบส่วนนี้ให้เป็นส่วนแบ่งของเจ้า เมื่อเจ้าได้รับส่วนแบ่งนี้แล้ว เจ้าต้องถวายสิบเปอร์เซ็นต์ของส่วนแบ่งนั้นให้กับพระยาห์เวห์ด้วย 27 ของขวัญของเจ้านี้ พระเจ้าก็จะนับให้กับเจ้าเหมือนกับว่ามันเป็นเมล็ดข้าวจากลานนวดข้าวและน้ำองุ่นที่เต็มล้นในบ่อย่ำองุ่น 28 ดังนั้น เมื่อเจ้าได้รับสิบเปอร์เซ็นต์ที่ชาวอิสราเอลเอามาถวายพระยาห์เวห์ เจ้าก็ต้องถวายของขวัญให้กับพระยาห์เวห์เหมือนกัน จากของขวัญที่เจ้าเอามาถวายให้กับพระยาห์เวห์นี้ เจ้าต้องเอาไปให้กับนักบวชอาโรน 29 เจ้าจะต้องแยกส่วนที่ดีที่สุดจากของขวัญแต่ละอย่างทั้งหมดที่เจ้าได้รับมา เอาไว้เป็นของขวัญจากเจ้าที่ให้พระยาห์เวห์’

30 และให้บอกกับพวกเลวีว่า ‘เมื่อเจ้าเอาส่วนที่ดีที่สุดของมันมาถวายแล้ว พระเจ้าก็จะถือว่าส่วนที่เหลือนั้น เป็นของเจ้าชาวเลวี เหมือนกับตอนที่เอาผลผลิตจากลานนวดข้าว และผลผลิตจากบ่อย่ำองุ่น มาถวายนั่นเอง 31 เจ้าและครอบครัวของเจ้าจะกินมันที่ไหนก็ได้ เพราะมันเป็นค่าแรงของเจ้าที่ทำงานในเต็นท์นัดพบ 32 และถ้าเจ้าถวายส่วนที่ดีที่สุดของมันให้กับพระยาห์เวห์ เจ้าจะไม่ต้องรับโทษบาปเพราะมัน เจ้าต้องไม่ทำให้ของขวัญอันศักดิ์สิทธิ์ของประชาชนชาวอิสราเอล เสื่อมเสียไป เพื่อเจ้าจะได้ไม่ตาย’”

ขี้เถ้าของวัวแดง

19 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสและอาโรนว่า “นี่เป็นกฎข้อบังคับที่พระยาห์เวห์ได้สั่งไว้ ให้บอกกับประชาชนชาวอิสราเอลว่า ให้พวกเขาเอาวัวตัวเมียสีแดงหนึ่งตัวที่ไม่มีตำหนิหรือรอยฟกช้ำใดๆมาให้กับเจ้า และต้องเป็นวัวที่ไม่เคยถูกเทียมแอก[f] มาก่อน พวกเจ้าต้องเอาวัวตัวนั้นมาให้กับนักบวชเอเลอาซาร์ เขาจะจูงมันออกไปนอกค่าย และฆ่ามันต่อหน้าเขา แล้วนักบวชเอเลอาซาร์ต้องเอานิ้วมือจุ่มลงไปในเลือดของมัน และพรมเลือดไปที่หน้าเต็นท์นัดพบเจ็ดครั้ง แล้วต้องเผาวัวแดงนั้นต่อหน้าเขา ต้องเผาหนัง เนื้อและเลือด รวมทั้งขี้ของมันไปพร้อมๆกัน นักบวชต้องนำไม้สนซีดาร์ กิ่งหุสบ[g] และด้ายสีแดงเข้ม โยนลงไปในไฟที่กำลังเผาวัวแดงนั้น นักบวชต้องซักเสื้อผ้าของเขา และล้างตัวในน้ำ หลังจากนั้น นักบวชถึงกลับเข้ามาในค่ายได้ แต่เขาจะยังไม่บริสุทธิ์ทางพิธีกรรมจนกว่าจะถึงตอนเย็น คนที่เผาวัวแดงต้องเอาเสื้อผ้าไปซักและล้างตัวในน้ำ และเขาจะไม่บริสุทธิ์ทางพิธีกรรมไปจนถึงตอนเย็นเหมือนกัน

แล้วให้ผู้ชายคนหนึ่งที่ยังบริสุทธิ์ทางพิธีกรรมไปโกยขี้เถ้าของวัวแดง และเอาไปเก็บไว้ในที่ที่สะอาดนอกค่าย ขี้เถ้านั้นจะถูกเก็บไว้ ผสมน้ำสำหรับชำระชุมชนชาวอิสราเอลให้บริสุทธิ์ มันคือเครื่องบูชาที่ทำให้คนบริสุทธิ์

10 คนที่ไปโกยขี้เถ้าวัวแดงนั้น ต้องซักเสื้อผ้าของเขา และจะไม่บริสุทธิ์ทางพิธีกรรมไปจนถึงตอนเย็น นี่จะเป็นกฎข้อบังคับที่จะใช้ตลอดไป ทั้งกับชาวอิสราเอลและชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ร่วมกับพวกเขา 11 คนที่ไปแตะต้องร่างคนตายมา ไม่ว่าจะเป็นร่างของใครก็ตาม คนๆนั้นจะไม่บริสุทธิ์ทางพิธีกรรมไปเป็นเวลาเจ็ดวัน 12 เขาจะต้องล้างตัวเองให้บริสุทธิ์ทางพิธีกรรมด้วยน้ำสำหรับชำระล้างนั้น แล้วเขาจะบริสุทธิ์ แต่ถ้าเขาไม่ล้างตัวเองให้บริสุทธิ์ในวันที่สามและในวันที่เจ็ด เขาจะยังคงไม่บริสุทธิ์ 13 คนที่ไปถูกศพมา และไม่ได้ชำระล้างตัวเองให้บริสุทธิ์ทางพิธีกรรม เขาก็จะทำให้เต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ของพระยาห์เวห์ไม่บริสุทธิ์ไปด้วย คนๆนั้นจะต้องถูกตัดออกจากคนอิสราเอล ถ้าไม่ได้เอาน้ำสำหรับชำระล้างลาดลงบนตัวเขา เขาก็จะยังคงไม่บริสุทธิ์ทางพิธีกรรมต่อไป ความไม่บริสุทธิ์ยังคงติดตัวเขาอยู่

14 นี่เป็นกฎที่ใช้ เมื่อมีคนตายในเต็นท์ คนที่เข้าไปในเต็นท์นั้น หรือคนที่อยู่ในเต็นท์นั้น จะไม่บริสุทธิ์ไปเจ็ดวัน 15 หม้อทุกใบที่เปิดฝาทิ้งไว้หรือไม่มีฝาปิดก็จะไม่บริสุทธิ์ 16 ใครก็ตามที่อยู่ในท้องทุ่ง แล้วเกิดไปแตะต้องถูกคนที่ถูกฟันตาย หรือคนที่ตายตามธรรมชาติ หรือกระดูกคนหรือหลุมศพ คนๆนั้นก็จะไม่บริสุทธิ์ไปเจ็ดวัน

17 ดังนั้นเจ้าต้องเอาขี้เถ้าของวัวแดงจากเครื่องบูชาชำระล้างนั้น มาให้กับคนที่ไม่บริสุทธิ์และเอาน้ำบริสุทธิ์[h] มาเทผสมเข้ากับขี้เถ้านั้นที่อยู่ในชาม 18 ให้คนที่บริสุทธิ์เอากิ่งหุสบจุ่มลงในน้ำและพรมไปที่เต็นท์ และพวกถ้วยชามต่างๆ รวมทั้งคนที่อยู่ในเต็นท์นั้นด้วย และพรมให้กับคนที่ไปแตะต้องถูกของพวกนี้คือกระดูกคนตาย หรือคนที่ถูกฟันตาย หรือคนที่ตายตามธรรมชาติ หรือหลุมฝังศพ

19 คนที่บริสุทธิ์คนนั้น จะต้องพรมน้ำนั้นให้กับคนที่ไม่บริสุทธิ์ในวันที่สามและวันที่เจ็ด ด้วยวิธีนี้ เขาจะทำให้คนๆนั้นบริสุทธิ์ในวันที่เจ็ด แล้วคนที่ไม่บริสุทธิ์นั้นต้องซักล้างเสื้อผ้า และล้างตัวเองในน้ำ และเขาจะบริสุทธิ์ในตอนเย็น

20 คนที่กลายเป็นคนไม่บริสุทธิ์ และไม่ได้ทำให้ตัวเองบริสุทธิ์ คนๆนั้นจะต้องถูกตัดออกจากชุมชน เพราะคนๆนั้นทำให้สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระยาห์เวห์ไม่บริสุทธิ์ เพราะยังไม่ได้เอาน้ำสำหรับการชำระล้างราดบนตัวเขา คนๆนั้นก็ยังไม่บริสุทธิ์อยู่ 21 กฎนี้จะใช้กับพวกเขาตลอดไป คนที่พรมน้ำชำระล้างให้กับคนอื่นนั้น จะต้องซักเสื้อผ้าของเขา และคนที่แตะถูกน้ำสำหรับชำระล้าง จะไม่บริสุทธิ์ไปจนถึงตอนเย็น 22 คนที่ไม่บริสุทธิ์ไปแตะถูกอะไรก็ตาม สิ่งนั้นก็จะไม่บริสุทธิ์ไปด้วย และคนอื่นที่ไปแตะถูกตัวเขาก็จะไม่บริสุทธิ์ไปจนถึงเย็น”

มาระโก 6:30-56

พระเยซูเลี้ยงคนห้าพันคน

(มธ. 14:13-21; ลก. 9:10-17; ยน. 6:1-14)

30 พวกศิษย์ที่พระเยซูส่งออกไป ได้กลับมาหาพระองค์ และเล่าเรื่องทุกอย่างที่ได้ทำและสอนให้พระองค์ฟัง แล้วพระเยซูบอกพวกเขาว่า 31 “พวกเราไปหาที่เงียบๆพักผ่อนกันเถอะ” เพราะมีผู้คนเป็นจำนวนมากมาหาพระองค์ จนไม่มีเวลาแม้แต่จะกินอาหารกัน

32 พวกเขาจึงลงเรือไปยังที่เปลี่ยวเพื่ออยู่กันเฉพาะพวกเขา 33 แต่ก็มีคนจำนวนมากเห็นพวกเขาจากไปและจำเขาได้ จึงมีคนมากมายจากหมู่บ้านต่างๆรีบเดินตามไปที่นั่น และไปถึงก่อนพวกเขา 34 เมื่อพระองค์มาถึงฝั่งก็เห็นฝูงชนเป็นจำนวนมากรออยู่ก่อนแล้ว พระองค์รู้สึกสงสาร เพราะพวกเขาเหมือนฝูงแกะที่ไม่มีผู้เลี้ยง พระองค์จึงเริ่มสั่งสอนพวกเขาหลายเรื่อง

35 เมื่อมันเริ่มเย็นมาก พวกศิษย์มาบอกพระองค์ว่า “ที่นี่เปลี่ยวมาก และนี่ก็เย็นมากแล้ว 36 ส่งพวกนี้กลับไปเถอะ พวกเขาจะได้เข้าไปตามชนบท ตามหมู่บ้านแถวๆนี้ และไปหาซื้ออะไรกินกัน”

37 แต่พระองค์กลับตอบว่า “พวกคุณหาอะไรให้พวกเขากินสิ” พวกเขาก็ตอบว่า “พวกเราต้องใช้ถึงสองร้อยเหรียญเงินทีเดียวนะครับ ถึงจะพอซื้ออาหารมาเลี้ยงคนพวกนี้”

38 พระเยซูพูดกับพวกเขาว่า “ไปดูสิว่าคุณมีขนมปังอยู่กี่ก้อน” เมื่อพวกเขารู้ก็กลับมาบอกว่า “มีขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวครับ”

39 พระองค์จึงสั่งให้พวกเขาไปจัดการให้ชาวบ้านนั่งกันเป็นกลุ่มๆบนพื้นที่มีหญ้าขึ้นเขียวชอุ่มแถวนั้น 40 พวกชาวบ้านนั่งกันเป็นกลุ่มๆ กลุ่มละหนึ่งร้อยบ้าง ห้าสิบบ้าง 41 แล้วพระองค์หยิบขนมปังห้าก้อนและปลาสองตัวขึ้นมา มองขึ้นไปบนสวรรค์ขอบคุณพระเจ้า แล้วหักขนมปังส่งให้กับพวกศิษย์ไปแจกชาวบ้าน และพระองค์แบ่งปลาสองตัวนั้นแจกพวกเขาทุกคนด้วย 42 ทุกคนกินกันจนอิ่ม 43 แล้วพวกศิษย์เก็บเศษขนมปังและปลาที่เหลือได้สิบสองเข่งเต็มๆ 44 นับเฉพาะผู้ชายที่มากินได้ถึงห้าพันคน

พระเยซูเดินบนทะเล

(มธ. 14:22-33; ยน. 6:16-21)

45 ทันทีหลังจากที่กินเสร็จ พระองค์ให้พวกศิษย์ลงเรือข้ามฟากไปก่อนล่วงหน้า ไปยังเมืองเบธไซดา ส่วนพระองค์ยังรอส่งชาวบ้านอยู่ 46 หลังจากชาวบ้านกลับหมดแล้วพระองค์ขึ้นไปอธิษฐานที่บนภูเขา

47 ในคืนนั้นเรือของพวกศิษย์ยังลอยอยู่กลางทะเลสาบ ส่วนพระองค์อยู่บนฝั่งเพียงคนเดียว 48 พระองค์เห็นพวกศิษย์กำลังพายเรืออยู่ด้วยความยากลำบากเพราะมีลมแรงมากต้านเรือไว้ ระหว่างตีสามถึงหกโมงเช้านั้นพระองค์เดินบนน้ำมาหาพวกเขา และทำท่าเหมือนจะเดินผ่านไป 49 เมื่อพวกศิษย์เห็นพระองค์เดินอยู่บนน้ำ ก็คิดว่าเป็นผี เลยร้องตะโกนกันลั่น 50 เพราะตกใจกลัวมาก แต่ในทันใดนั้น พระองค์ก็พูดกับพวกเขาว่า “ไม่ต้องตกใจ เราเอง ไม่ต้องกลัว” 51 จากนั้นพระองค์ก็ขึ้นไปอยู่บนเรือกับพวกเขา แล้วลมก็สงบลง พวกเขาประหลาดใจมาก 52 เพราะพวกเขายังมีใจที่แข็งกระด้างอยู่ จึงยังไม่เข้าใจถึงการอัศจรรย์ที่พระองค์เพิ่งทำไปกับขนมปังห้าก้อนนั้น

พระเยซูรักษาคนไม่สบาย

(มธ. 14:34-36)

53 เมื่อข้ามฟากมาก็มาถึงฝั่งเมืองเยนเนซาเรท พวกศิษย์ก็ผูกเรือไว้ 54 พอลงจากเรือ ชาวบ้านก็จำพระองค์ได้ 55 พวกเขาวิ่งไปบอกคนอื่นๆทั่วบริเวณนั้น และหามคนป่วยใส่แคร่มาหาพระองค์ ไม่ว่าพระองค์จะอยู่ที่ไหนก็ตาม 56 ไม่ว่าพระองค์จะเข้าไปในหมู่บ้าน หรือในเมือง หรือในชนบท ชาวบ้านก็จะนำคนป่วยมาวางไว้ที่ตลาด และพวกคนป่วยต่างอ้อนวอนขอแค่แตะพู่ที่ชายเสื้อคลุมของพระองค์ และทุกคนที่ได้แตะก็หายกันหมด

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International