Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Old/New Testament

Each day includes a passage from both the Old Testament and New Testament.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
กันดารวิถี 9-11

เทศกาลวันปลดปล่อย

พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งซีนาย นี่เป็นเดือนแรกของปีที่สองหลังจากที่ชาวอิสราเอลออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ พระองค์พูดว่า “ชาวอิสราเอลจะต้องฉลองเทศกาลปลดปล่อย ในเวลาที่ได้กำหนดไว้ เจ้าต้องฉลองในเวลาที่ได้กำหนดไว้ คือวันที่สิบสี่ของเดือนนี้ ในช่วงเย็นก่อนค่ำ เจ้าต้องฉลองเทศกาลปลดปล่อยให้เป็นไปตามกฎและระเบียบต่างๆของมัน”

โมเสสจึงบอกชาวอิสราเอลให้ฉลองเทศกาลปลดปล่อย พวกเขาได้ฉลองเทศกาลนี้ในตอนเย็นก่อนค่ำ ของวันที่สิบสี่ของเดือนแรก ตามที่พระยาห์เวห์ได้สั่งโมเสสไว้ทุกอย่าง

แต่มีบางคนที่ไม่บริสุทธิ์ เพราะไปถูกศพมา ไม่สามารถร่วมฉลองกับคนอื่นๆได้ พวกเขาจึงมาพบโมเสสและอาโรนในวันนั้น พวกเขาพูดกับโมเสสว่า “พวกเราไม่บริสุทธิ์เพราะไปถูกศพมา แต่ทำไมถึงห้ามไม่ให้พวกเราถวายเครื่องบูชาต่อพระยาห์เวห์ในเวลาที่กำหนดนี้ พร้อมกับชาวอิสราเอลคนอื่นๆละ”

โมเสสบอกพวกเขาว่า “คอยเดี๋ยวนะ เราจะไปถามพระยาห์เวห์ว่าพระองค์จะเอายังไงกับพวกท่าน”

พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า 10 “ให้บอกชาวอิสราเอลว่า ‘ถ้ามีใครไม่บริสุทธิ์เพราะไปถูกศพมา ไม่ว่าจะเป็นตัวเจ้าเองหรือลูกหลานของเจ้าที่กำลังเดินทางอยู่ คนๆนั้นก็สามารถฉลองเทศกาลปลดปล่อยได้ 11 พวกเขาสามารถฉลองเทศกาลนี้ได้ในตอนเย็นก่อนค่ำ ของวันที่สิบสี่ ของเดือนที่สอง พวกเขาต้องกินแกะของเทศกาลนี้ กับขนมปังไม่ใส่เชื้อฟู และผักที่มีรสขม 12 พวกเขาจะต้องไม่ให้มีอาหารพวกนี้เหลือถึงวันรุ่งขึ้น และพวกเขาต้องไม่หักกระดูกของแกะด้วย พวกเขาต้องฉลองเทศกาลปลดปล่อยให้เป็นไปตามกฎทุกอย่างของเทศกาลนี้ 13 แต่คนที่บริสุทธิ์ และไม่ได้อยู่ในระหว่างการเดินทาง แต่ไม่ยอมฉลองเทศกาลปลดปล่อยนี้ คนๆนั้นจะต้องถูกตัดออกจากประชาชนของเขา เพราะเขาไม่ได้ถวายเครื่องบูชาให้กับพระยาห์เวห์ในเวลาที่ได้กำหนดไว้ คนๆนั้นจะต้องถูกลงโทษสำหรับความผิดของเขา

14 ถ้ามีชาวต่างชาติอาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเจ้า และเขาอยากจะฉลองเทศกาลปลดปล่อยนี้ของพระยาห์เวห์ เขาก็ฉลองได้ แต่ต้องทำตามกฎและระเบียบของเทศกาลนี้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นคนอิสราเอลหรือคนต่างชาติก็ใช้กฎเดียวกัน’”

เมฆและไฟ

(อพย. 40:34-38)

15 ในวันที่ตั้งเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์เสร็จแล้ว ก็มีเมฆมาปกคลุมเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ คือเต็นท์ที่เก็บข้อตกลงนี้ ในตอนเย็นเมฆที่ปกคลุมเต็นท์นั้นดูเหมือนไฟจนถึงตอนเช้า 16 เมฆนั้นได้ปกคลุมเต็นท์อยู่ตลอดเวลา ในเวลากลางคืน เมฆนั้นดูเหมือนไฟ มันจะเป็นอย่างนี้ตลอด 17 เมื่อไหร่ก็ตามที่เมฆลอยขึ้นจากเต็นท์ ชาวอิสราเอลจะเริ่มเคลื่อนย้าย และถ้าเมฆนั้นไปหยุดอยู่ที่ไหน ชาวอิสราเอลก็จะตั้งค่ายอยู่ที่นั่น 18 นี่เป็นสัญญาณที่พระยาห์เวห์ใช้ เพื่อจะบอกกับชาวอิสราเอลว่าเมื่อไหร่จะเคลื่อนย้ายและเมื่อไหร่จะหยุดตั้งค่าย พวกเขาจะตั้งค่ายอยู่นานเท่าที่เมฆยังคงหยุดอยู่เหนือเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ 19 บางครั้งเมฆจะหยุดอยู่เหนือเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์เป็นเวลาหลายวัน ชาวอิสราเอลก็เชื่อฟังคำสั่งของพระยาห์เวห์ พวกเขาจะไม่เคลื่อนย้ายไปไหน 20 บางครั้งเมฆปกคลุมเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์อยู่แค่สองสามวัน พวกเขาก็คอยดูสัญญาณจากพระยาห์เวห์ ว่าจะให้พวกเขาตั้งค่ายต่อหรือจะให้พวกเขาเคลื่อนย้าย 21 บางครั้งเมฆปกคลุมเต็นท์แค่ค่ำคืนเดียวแล้วก็ลอยไปในตอนเช้า พวกเขาก็เคลื่อนย้ายตาม ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน เมื่อเมฆลอยไป พวกเขาก็เคลื่อนย้ายตาม 22 ไม่ว่าจะเป็นแค่วันสองวัน หรือเป็นเดือนหรือเป็นปี เมื่อไหร่ก็ตามที่เมฆยังคงปกคลุมเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ พวกเขาก็จะตั้งค่ายอยู่ ไม่เคลื่อนย้ายไปไหน แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เมฆลอยไป พวกเขาก็เคลื่อนย้ายตาม 23 พวกเขาดูสัญญาณจากพระยาห์เวห์ว่าเมื่อไหร่จะให้ตั้งค่ายและเมื่อไหร่จะให้เคลื่อนย้าย พวกเขารักษาคำสั่งของพระยาห์เวห์ที่สั่งผ่านมาทางโมเสส

แตรเงิน

10 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “ให้ทำแตรเงินสองอันสำหรับตัวเจ้า ให้เอาเงินมาทุบเป็นแตรสองอันนั้น แตรสองอันนี้เอาไว้เป่าเรียกคนมาชุมนุมกัน หรือเป่าบอกให้คนเคลื่อนย้ายเต็นท์ เมื่อเป่าแตรทั้งสองด้วยเสียงยาว ให้คนมาชุมนุมกันต่อหน้าเจ้าที่ทางเข้าเต็นท์นัดพบ แต่ถ้าเป่าแค่อันเดียว ก็ให้พวกผู้นำ ที่เป็นหัวหน้าของตระกูลต่างๆของอิสราเอลมาชุมนุมกันต่อหน้าเจ้า

เมื่อพวกเจ้าเป่าแตรเสียงสั้น ให้ค่ายทางตะวันออกเคลื่อนที่ เมื่อพวกเจ้าเป่าแตรเป็นเสียงสั้นครั้งที่สอง ให้ค่ายทางด้านใต้เคลื่อนที่ พวกเขาต้องเป่าแตรเสียงสั้นเพื่อบอกให้พวกเขาเคลื่อนย้าย แต่เมื่อเจ้าจะเรียกประชุมเจ้าต้องเป่าเสียงยาว ไม่ใช่เสียงสั้น ให้พวกลูกชายของอาโรนที่เป็นนักบวชทั้งหลายนั้นเป็นคนเป่าแตร นี่เป็นกฎสำหรับเจ้าที่จะใช้ตลอดไปชั่วลูกชั่วหลาน

เมื่อเจ้าต้องออกไปทำสงครามกับศัตรูที่มาบุกรุกแผ่นดินของเจ้า เจ้าต้องเป่าแตรทั้งสองด้วยเสียงสั้น และยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าจะได้ยินและจะช่วยให้เจ้าปลอดภัยจากศัตรูของเจ้า 10 ในเวลาที่พวกเจ้ามีงานรื่นเริง งานเทศกาลต่างๆและงานฉลองเริ่มเดือนใหม่ ให้พวกเจ้าเป่าแตร เมื่อพวกเจ้าถวายเครื่องเผาบูชาและเครื่องสังสรรค์บูชาของพวกเจ้า เสียงแตรจะเป็นวิธีที่ทำให้พระเจ้านึกถึงเจ้า[a] เราคือยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า”

ชาวอิสราเอลเคลื่อนย้ายค่าย

11 ในวันที่ยี่สิบของเดือนที่สองของปีที่สอง เมฆได้ลอยขึ้นจากเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ที่เก็บข้อตกลง 12 ชาวอิสราเอลจึงออกเดินทางจากที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งซีนาย เมฆลอยมาหยุดอยู่ที่ที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งปาราน 13 นี่จึงเป็นครั้งแรกที่พวกเขาเคลื่อนย้าย ตามสัญญาณของพระยาห์เวห์ ที่สั่งผ่านมาทางโมเสส

14 ค่ายแรกที่ออกนำหน้าคือค่ายของยูดาห์ มีสามเผ่าจากค่ายนี้ คือเผ่าของยูดาห์ มีนาโชนลูกชายของอัมมีนาดับเป็นผู้นำกอง[b] 15 เผ่าของอิสสาคาร์ มีเนธันเอลลูกชายของศุอาร์เป็นผู้นำกอง 16 เผ่าเศบูลุนมีเอลีอับลูกชายเฮโลนเป็นผู้นำกอง ทั้งหมดเดินอยู่ภายใต้กองของตนเอง

17 แล้วพวกเขาก็ได้รื้อเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ลง ชาวเกอร์โชนและชาวเมรารีได้แบกเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์นั้นออกเดินทางเป็นกองต่อไป

18 ต่อจากนั้นเป็นค่ายของรูเบน มีสามเผ่าจากค่ายนี้ คือเผ่ารูเบน มีเอลีซูร์ลูกชายเชเดเออร์เป็นผู้นำกอง 19 เผ่าสิเมโอนมีเชลูมิเอลลูกชายศูริชัดดัยเป็นผู้นำกอง 20 เผ่ากาด มีเอลียาสาฟลูกชายเดอูเอลเป็นผู้นำกอง

21 ต่อจากนั้น ก็เป็นพวกชาวโคฮาท พวกนี้แบกของศักดิ์สิทธิ์ต่างๆในเต็นท์ตามไป เพื่อจะได้ไปถึงตอนที่เต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ตั้งเสร็จแล้วในที่ใหม่

22 ต่อจากนั้นก็เป็นค่ายของเอฟราอิม ค่ายนี้มีสามเผ่า คือเผ่าเอฟราอิม มีเอลีชามาลูกชายของอัมมีฮูดเป็นผู้นำกอง 23 เผ่ามนัสเสห์ มีกามาลิเอลลูกชายของเปดาซูร์เป็นผู้นำกอง 24 เผ่าเบนยามิน มีอาบีดันลูกชายของกิเดโอนีเป็นผู้นำกอง ทั้งหมดเดินอยู่ภายใต้กองของตน

25 ค่ายที่คอยระวังท้ายให้ คือค่ายของดาน ค่ายนี้มีสามเผ่า คือเผ่าดาน มีอาหิเยเซอร์ลูกชายอัมมีชัดดัยเป็นผู้นำกอง 26 เผ่าอาเชอร์ มีปากีเอลลูกชายของโอครานเป็นผู้นำกอง 27 เผ่านัฟทาลี มีอาหิราลูกชายของเอนันเป็นผู้นำกอง ทั้งหมดก็เดินอยู่ภายใต้กองของตน

28 เวลาที่ชาวอิสราเอลเคลื่อนย้าย พวกเขาก็เคลื่อนขบวน เป็นกองๆตามลำดับอย่างนี้

29 โมเสสพูดกับโฮบับลูกชายเรอูเอลชาวมีเดียน (เรอูเอลเป็นพ่อตาของโมเสส)[c] ว่า “พวกเรากำลังเดินทางไปยังสถานที่ที่พระยาห์เวห์บอกว่าจะยกให้กับพวกเรา ไปกับพวกเราสิ เราจะดีกับท่าน เพราะพระยาห์เวห์สัญญาที่จะให้สิ่งดีๆกับชาวอิสราเอล”

30 แต่โฮบับตอบโมเสสว่า “ผมไม่ไปหรอก ผมจะกลับไปแผ่นดินของผม กลับไปหาครอบครัวของผม”

31 โมเสสจึงพูดว่า “อย่าได้ทิ้งพวกเราไปเลย เพราะท่านรู้ว่าพวกเราควรจะตั้งค่ายที่ไหนในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง ช่วยนำทางพวกเราหน่อย 32 ถ้าท่านไปกับพวกเรา ไม่ว่าพระยาห์เวห์ให้สิ่งที่ดีๆอะไรกับเรา เราก็จะแบ่งสิ่งดีๆนั้นให้กับท่านด้วย”

33 พวกเขาจึงเคลื่อนออกจากภูเขาของพระยาห์เวห์ แล้วเดินทางไปเป็นเวลาสามวัน ตลอดสามวันนั้น นักบวชได้แบกหีบศักดิ์สิทธิ์ที่ใส่ข้อตกลงของพระยาห์เวห์ เดินนำหน้าพวกเขาอยู่ตลอดเวลา เพื่อหาที่ที่จะให้พวกเขาตั้งค่าย 34 เมฆของพระยาห์เวห์ลอยอยู่เหนือพวกเขาทุกวันตั้งแต่ออกจากค่ายมา

35 ทุกครั้งที่หีบศักดิ์สิทธิ์เคลื่อนออกจากค่าย โมเสสจะพูดว่า

“ลุกขึ้นเถิด พระยาห์เวห์
    ให้ศัตรูของพระองค์กระจัดกระจายไป
    ให้คนที่เกลียดชังพระองค์ วิ่งหนีพระองค์ไป”

36 และทุกครั้งที่เขาวางหีบศักดิ์สิทธิ์ลง โมเสสจะพูดว่า

“กลับมาเถิด[d] พระยาห์เวห์
    มาสู่ชาวอิสราเอลหลายหมื่นคนนี้”

ประชาชนเริ่มบ่นอีกครั้ง

11 ชาวอิสราเอลเริ่มบ่นอย่างขมขื่นต่อหน้าพระยาห์เวห์ พระองค์ได้ยินและโกรธ พระองค์จึงส่งไฟลงมาเผาผลาญอยู่ท่ามกลางพวกเขา และไฟนั้นได้เผาบริเวณแถวๆริมค่ายหายไปส่วนหนึ่ง พวกประชาชนต่างร้องขอความช่วยเหลือกับโมเสส โมเสสได้อธิษฐานกับพระยาห์เวห์ และไฟก็ดับลง เขาจึงตั้งชื่อสถานที่นั้นว่า ทาเบราห์[e] เพราะไฟจากพระยาห์เวห์ได้เผาผลาญอยู่ท่ามกลางพวกเขา

พวกผู้นำอาวุโสเจ็ดสิบคน

พวกที่ชอบก่อปัญหา[f] อยากได้อาหารที่ดีกว่านี้ และชาวอิสราเอลเองร้องไห้คร่ำครวญอีกครั้ง พวกเขาพูดว่า “ใครจะให้เนื้อเรากิน เราคิดถึงเนื้อปลาที่เราได้กินในอียิปต์ ไม่ต้องจ่ายอะไรเลย ยังมีแตงกวา แตงโม ต้นหอม หัวหอมและกระเทียม แต่ตอนนี้ชีวิตของเราช่างแห้งแล้งเสียเหลือเกิน ไม่มีอะไรเลย นอกจากมานานี้” (มานามีลักษณะเหมือนเมล็ดผักชี มีสีเหมือนยางไม้ ผู้คนจะไปเก็บรวบรวมมันและนำไปบดด้วยโม่หินหรือตำด้วยครกและต้มในหม้อและทำเป็นแผ่นขนมปัง รสชาติเหมือนกับขนมปังแผ่นที่อบกับน้ำมัน ตอนกลางคืน เมื่อน้ำค้างตกในค่าย มานาจะตกลงมาพร้อมๆกับน้ำค้างนั้น)

10 ผู้คนในแต่ละตระกูล ต่างพากันยืนอยู่หน้าเต็นท์ของตัวเองร้องไห้คร่ำครวญกัน โมเสสได้ยินเสียงนั้น พระยาห์เวห์โกรธ และโมเสสก็ไม่พอใจ 11 โมเสสถามพระยาห์เวห์ว่า “ทำไมพระองค์ถึงทำให้เกิดปัญหาพวกนี้กับข้าพเจ้าผู้รับใช้ของพระองค์ ทำไมพระองค์ไม่ชอบข้าพเจ้า ถึงได้ให้ข้าพเจ้าต้องแบกภาระของคนพวกนี้ทั้งหมด 12 ข้าพเจ้าตั้งท้องพวกนี้มาหรือ ข้าพเจ้าคลอดพวกนี้มาหรือ พระองค์ถึงได้พูดกับข้าพเจ้าว่า ‘อุ้มพวกเขาไว้แนบอกเหมือนคนเลี้ยงที่อุ้มเด็กทารกไว้’ เพื่อนำพวกเขาไปยังดินแดนที่พระองค์ได้สัญญาไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขา 13 เมื่อพวกเขามาร้องคร่ำครวญต่อหน้าข้าพเจ้า พูดว่า ‘ให้เนื้อสัตว์พวกเรากินหน่อย’ แล้วข้าพเจ้าจะไปหาเนื้อสัตว์จากที่ไหนมาให้คนพวกนี้ 14 ลำพังข้าพเจ้าคนเดียว ไม่สามารถแบกคนเหล่านี้ได้ทั้งหมดหรอก มันมากเกินไปสำหรับข้าพเจ้า 15 ถ้าพระองค์จะทำอย่างนี้กับข้าพเจ้า ฆ่าข้าพเจ้าเลยดีกว่า ถ้าพระองค์พอใจข้าพเจ้า ก็ให้ข้าพเจ้าตายไปดีกว่า จะได้ไม่ต้องเจอกับปัญหาพวกนี้อีกต่อไป”

16 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “ไปรวบรวมผู้อาวุโสของอิสราเอลมาให้เราเจ็ดสิบคน เอาคนที่เจ้ารู้ว่าเป็นผู้อาวุโส และผู้นำของประชาชน แล้วพาพวกเขามาที่เต็นท์นัดพบ และให้พวกเขายืนอยู่ที่นั่นกับเจ้า 17 แล้วเราจะลงมาและพูดกับเจ้าที่นั่น พระวิญญาณที่อยู่กับเจ้านี้ เราจะเอาส่วนหนึ่งไปให้กับพวกเขา พวกเขาจะช่วยแบกภาระของประชาชนกับเจ้า เพื่อเจ้าจะได้ไม่ต้องแบกคนเดียว

18 ให้บอกกับประชาชนว่า ‘ชำระตัวของเจ้าให้บริสุทธิ์สำหรับวันพรุ่งนี้ พรุ่งนี้เจ้าจะได้กินเนื้อ เพราะเจ้าได้ร้องคร่ำครวญต่อหน้าพระยาห์เวห์ว่า “ใครจะเอาเนื้อมาให้พวกเรากิน อยู่ที่อียิปต์ดีกว่านี้เยอะเลย” พระยาห์เวห์จะให้เนื้อกับพวกท่าน และพวกท่านจะได้กินมัน 19 ท่านจะไม่ได้กินแค่วันสองวันหรือห้าวัน หรือสิบวันหรือยี่สิบวันเท่านั้น 20 แต่ท่านจะได้กินตลอดทั้งเดือน จนมันทะลักออกมาทางจมูก ท่านจะกินจนขยะแขยงไปเลย มันจะเป็นอย่างนี้ เพราะท่านปฏิเสธพระยาห์เวห์ที่อยู่ท่ามกลางท่าน และมาร้องคร่ำครวญต่อหน้าพระองค์ว่า “ทำไมเราถึงต้องออกมาจากอียิปต์กัน”’”

21 โมเสสพูดว่า “มีทหารเดินเท้าตั้งหกแสนคนอยู่กับข้าพเจ้าที่นี่ แต่พระองค์ยังพูดว่า ‘เราจะให้เนื้อสัตว์กับพวกเขากินกันทั้งเดือน’ 22 ถึงฆ่าแกะและวัวหมดทั้งฝูง ก็ยังไม่พอให้พวกเขากินเลย ถึงจับปลามาหมดทะเล ก็ยังไม่พอเลี้ยงพวกเขาเลย”

23 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “เจ้าคิดว่ามือของพระยาห์เวห์สั้นไปหรือยังไง เดี๋ยวเจ้าจะได้เห็นว่าสิ่งที่เราพูดนั้นจะเกิดขึ้นกับเจ้าไหม”

24 โมเสสออกไปบอกกับประชาชนว่าพระยาห์เวห์พูดอะไร โมเสสได้รวบรวมผู้อาวุโสของอิสราเอลมาเจ็ดสิบคน โมเสสให้พวกเขามายืนอยู่รอบๆเต็นท์ 25 แล้วพระยาห์เวห์ได้ลงมาในเมฆ และพูดกับโมเสส พระองค์เอาวิญญาณบางส่วนที่อยู่กับโมเสส ไปใส่ไว้ในผู้อาวุโสทั้งเจ็ดสิบคนนั้น เมื่อพระวิญญาณเข้าไปอยู่ในตัวพวกเขา พวกเขาก็ตะโกนพระคำออกมาด้วยความยินดี[g] แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่เคยทำอย่างนั้นอีกเลย

26 ยังมีผู้อาวุโสสองคนที่ไม่ได้มา แต่ยังคงอยู่ในค่าย คนหนึ่งชื่อเอลดาด อีกคนชื่อเมดาด พระวิญญาณก็เข้าไปอยู่ในตัวพวกเขา พวกเขาก็อยู่ในกลุ่มของผู้อาวุโสทั้งเจ็ดสิบคนนั้นด้วย แต่พวกเขาไม่ได้ไปที่เต็นท์ ดังนั้น พวกเขาจึงตะโกนพระคำออกมาด้วยความยินดีอยู่ในค่าย 27 ชายหนุ่มคนหนึ่งวิ่งออกมาบอกกับโมเสสว่า “เอลดาดและเมดาดกำลังตะโกนพระคำด้วยความยินดีอยู่ในค่าย”

28 โยชูวาลูกชายของนูน พูดกับโมเสสว่า “โมเสส นายท่าน หยุดพวกเขาเถิด” โยชูวา เป็นผู้ช่วยของโมเสสตั้งแต่โยชูวายังเป็นหนุ่ม[h]

29 แต่โมเสสพูดกับโยชูวาว่า “อิจฉาแทนเราหรือ เราอยากจะให้คนของพระยาห์เวห์ทุกคนตะโกนพระคำออกมาด้วยความยินดี เราอยากให้พระยาห์เวห์ใส่พระวิญญาณลงในตัวพวกเขา” 30 แล้วโมเสสและผู้อาวุโสของอิสราเอลก็กลับเข้าค่าย

นกคุ่มมาถึง

31 มีลมพัดมาจากพระยาห์เวห์ และได้พาเอานกคุ่มมาจากทะเลมาตกกระจัดกระจายอยู่รอบค่าย มีนกคุ่มมากมายทั่วทุกทิศ มีระยะทางยาวเท่ากับคนเดินหนึ่งวัน และมันตกทับถมกันสูงถึงสองศอก[i] 32 ผู้คนต่างออกไปเก็บนกคุ่มพวกนั้นตลอดทั้งวันทั้งคืนไปจนกระทั่งถึงอีกวันหนึ่งเต็มๆ พวกเขาเก็บได้อย่างน้อยคนละสองพันสองร้อยลิตร[j] พวกเขาตากนกคุ่มไปทั่วค่าย

33 ในระหว่างที่เนื้อยังอยู่ระหว่างฟัน ยังไม่ทันกัดกินกันเลย พระยาห์เวห์ก็โกรธพวกเขา พระองค์ทำให้พวกเขาเป็นโรคระบาดอย่างร้ายแรง 34 พวกเขาจึงตั้งชื่อสถานที่นั้นว่า ขิบโรท-หัทธาอาวาห์[k] เพราะที่นั่นพวกเขาได้ฝังศพของคนที่กระหายอยากกินเนื้อสัตว์

35 ประชาชนออกเดินทางจากขิบโรท-หัทธาอาวาห์ไปถึงฮาเซโรท และพวกเขาก็พักอยู่ที่นั่น

มาระโก 5:1-20

พระเยซูรักษาชายที่ถูกผีชั่วสิง

(มธ. 8:28-34; ลก. 8:26-39)

พวกเขามาถึงอีกฝั่งหนึ่งของทะเลสาบ ซึ่งเป็นที่อยู่ของชาวเมืองเกราซา[a] เมื่อพระเยซูลงจากเรือก็มีชายคนหนึ่งที่ถูกผีชั่วสิงอยู่วิ่งจากอุโมงค์ฝังศพตรงเข้ามาหาพระองค์ทันที ชายคนนี้อาศัยอยู่ตามอุโมงค์ฝังศพ ไม่มีใครจับเขาไว้ได้ แม้แต่โซ่ก็ล่ามไม่อยู่ เพราะเขาถูกล่ามโซ่ที่มือและเท้าอยู่บ่อยๆแต่เขาก็กระชากมันขาดทุกครั้ง จนไม่มีใครควบคุมเขาได้อีกแล้ว เขาจะเดินไปเดินมาตามอุโมงค์ฝังศพและตามภูเขาต่างๆทั้งวันทั้งคืน ร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่งและเอาหินกรีดตามเนื้อตัว

เมื่อเขาเห็นพระเยซูแต่ไกลก็วิ่งเข้ามาก้มกราบพระองค์ แล้วร้องตะโกนสุดเสียงว่า “เยซู บุตรของพระเจ้าสูงสุด มายุ่งกับข้าทำไม ช่วยสัญญาต่อพระเจ้าหน่อยว่าจะไม่ทรมานข้า” ผีพูดอย่างนี้เพราะพระเยซูบอกมันว่า “ไอ้ผีชั่ว ออกจากคนนั้นซะ”

พระเยซูถามมันว่า “เอ็งชื่ออะไร” มันตอบว่า “ชื่อกอง[b] เพราะเรามีกันหลายตนอยู่ในร่างนี้” 10 มันได้อ้อนวอนพระองค์ครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ให้พระองค์ไล่มันไปจากบริเวณนั้น

11 มีหมูฝูงใหญ่ถูกปล่อยให้หากินอยู่ตามไหล่เขาแถวๆนั้น 12 พวกผีชั่วขอร้องพระเยซูว่า “ช่วยส่งเราเข้าไปในหมูฝูงนั้นเถอะ ขอให้เราไปสิงพวกมันแทน” 13 พระองค์ก็ยอมให้พวกมันทำอย่างนั้น พวกผีชั่วจึงออกจากร่างชายคนนี้ไปเข้าสิงฝูงหมูแทน หมูทั้งฝูงซึ่งมีประมาณสองพันตัวก็วิ่งกรูกันจากไหล่เขาสูงชันลงสู่ทะเลสาบและจมน้ำตายหมด

14 พวกคนเลี้ยงหมูวิ่งเข้าไปเล่าเรื่องนี้ให้คนในเมืองและในชนบทฟัง พวกเขาออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น 15 เขาพากันมาหาพระเยซู และเห็นชายคนที่เคยถูกผีชั่วสิงนั่งอยู่ที่นั่น ใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยและสงบสติดี พวกเขาก็กลัวมาก 16 คนที่เห็นเหตุการณ์ได้เล่าให้พวกนั้นฟังว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนที่ถูกผีชั่วสิงและกับฝูงหมู 17 พวกนั้นจึงขอร้องให้พระองค์ไปจากเขตเมืองของเขา

18 ในขณะที่พระองค์ลงเรือ ชายคนที่เคยถูกผีชั่วสิงก็ขอตามพระองค์ไปด้วย

19 พระองค์ไม่ยอมให้เขาไปด้วย แต่บอกเขาว่า “กลับบ้านไปหาครอบครัวสิ แล้วเล่าให้พวกเขาฟังว่าองค์เจ้าชีวิตทำอะไรให้คุณบ้าง และพระองค์ดีกับคุณขนาดไหน” 20 ชายคนนั้นจากไป และเริ่มเล่าให้ใครต่อใครในแคว้นเดคาโปลิศ[c] ฟังว่า พระเยซูได้ทำอะไรให้กับเขาบ้าง และคนเหล่านั้นก็ประหลาดใจอย่างมาก

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International