Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Old/New Testament

Each day includes a passage from both the Old Testament and New Testament.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
อิสยาห์ 34-36

พระเจ้าจะลงโทษศัตรูของพระองค์

34 ชนชาติทั้งหลาย เข้ามาฟังใกล้ๆ
    ผู้คนทั้งหลาย ตั้งใจฟังให้ดี
ให้โลกนี้และทุกอย่างในโลกนี้ได้ยิน
    ให้แผ่นดินโลกและทุกอย่างที่เกิดบนมันได้ยินเถิด
เพราะพระยาห์เวห์โกรธชนชาติทั้งหมด
    พระองค์เดือดดาลต่อกองทัพทั้งหมดของพวกเขา
พระองค์กำหนดให้พวกมันถูกทำลายจนหมดสิ้น
    พระองค์ได้มอบพวกมันให้ไปโดนฆ่า
คนของพวกนั้นที่ถูกฆ่าก็จะถูกโยนทิ้ง
    ซากศพนั้นก็จะส่งกลิ่นเหม็นฟุ้งไปหมด
    เลือดของพวกเขาจะไหลนองทั่วภูเขา
พวกดวงดาวทั้งสิ้นจะสลายหายไป
    ท้องฟ้าก็จะม้วนไปเหมือนหนังสือม้วน
พวกดวงดาวนั้นก็จะร่วงหล่นไปเหมือนกับใบไม้แห้งที่ร่วงหล่นจากเถาองุ่น
    หรือเหมือนลูกมะเดื่อเหี่ยวที่ร่วงหล่นจากต้นมะเดื่อ
เมื่อดาบของเราได้สำเร็จภารกิจในฟ้าสวรรค์แล้ว
    มันก็จะฟาดลงมาที่เอโดม[a]
    ลงมาบนผู้คนที่เราได้กำหนดให้ถูกทำลายและถูกลงโทษ
พระยาห์เวห์มีดาบเล่มหนึ่ง
    มันอาบไปด้วยเลือดและไขมัน
    มันเป็นเลือดของพวกลูกแกะและแพะ
    และไขมันจากไตของพวกแกะตัวผู้
เพราะพระยาห์เวห์กำลังฆ่าเครื่องบูชานี้ที่โบสราห์[b]
    มีการฆ่าครั้งยิ่งใหญ่เกิดขึ้นในแผ่นดินเอโดม
วัวป่า[c] จะล้มไปด้วย
    และลูกวัวผู้จะล้มไปกับวัวผู้อันแข็งแรง
แผ่นดินของพวกเขาจะโชกไปด้วยเลือด
    และพื้นดินของเขาก็จะอาบไปด้วยไขมันสัตว์
เพราะพระยาห์เวห์ได้เลือกวันแห่งการลงโทษ
    และปีสำหรับการแก้แค้นให้กับคดีของศิโยน
ลำธารต่างๆของเอโดมจะกลายเป็นยางมะตอย
    และดินของมันก็จะกลายเป็นกำมะถัน
    แผ่นดินของมันจะกลายเป็นเหมือนยางมะตอยที่ลุกไหม้อยู่
10 ไฟของมันจะเผาทั้งวันทั้งคืนไม่มีวันดับ
    ควันก็จะลอยขึ้นมาอยู่ตลอดไป
เอโดมจะกลายเป็นที่ร้างว่างเปล่าตลอดชั่วลูกชั่วหลาน
    และจะไม่มีใครเดินทางผ่านมันอีกตลอดไป
11 แต่พวกเหยี่ยวและพวกเม่นจะมาเป็นเจ้าของ
    พวกนกฮูกและพวกอีกาก็จะมาอยู่กันที่นั่น
พระเจ้าก็จะสำรวจรังวัดแผ่นดินเอโดม
    และทำให้มันว่างเปล่าและมีสภาพยุ่งเหยิงเหมือนกับตอนที่ยังไม่ได้สร้างโลกนี้
12 จะไม่มีอะไรหลงเหลือให้เรียกว่าเป็นอาณาจักรอีกเลย
    พวกเจ้านายของมันก็จะกลายเป็นสิ่งไร้ค่า
13 พวกพงหนามก็จะขึ้นตามป้อมปราการของมัน
    พวกต้นตำแยและพวกต้นไมยราบก็จะขึ้นในเมืองที่มีกำแพง
มันจะกลายเป็นบริเวณที่หมาป่าอยู่กัน
    เป็นที่อยู่ของนกฮูก
14 พวกแมวป่าก็จะมาเจอกับพวกหมาป่า
    พวกแพะป่าก็ส่งเสียงเรียกกัน
พวกสัตว์กลางคืน[d] ก็จะมาอยู่กันที่นั่นด้วย
    เพื่อหาที่พักผ่อน
15 พวกนกฮูก[e] ก็จะมาทำรังและวางไข่และกกไข่ไว้และรวบรวมลูกๆไว้ใต้ปีกของพวกมัน
    อีแร้งก็จะมารวมกันที่นั่น อยู่คู่ใครคู่มัน
16 ให้ค้นหาในหนังสือม้วนของพระยาห์เวห์และอ่านดู
    จะไม่มีสัตว์สักตัวที่ขาดไป
    จะไม่มีสักตัวเลยที่ขาดคู่ของมัน
เพราะพระยาห์เวห์ได้พูดไว้ว่าอย่างนั้น
    และพระวิญญาณของพระองค์ได้รวบรวมพวกมันไว้
17 พระองค์ได้จัดสรรที่ดินให้กับพวกมัน
    และมือของพระองค์ได้ใช้สายวัดแบ่งแผ่นดินให้กับพวกมัน
พวกมันจะเป็นเจ้าของแผ่นดินนั้นตลอดไป
    พวกมันจะอยู่ที่นั่นรุ่นแล้วรุ่นเล่า

พระเจ้าจะปลอบโยนคนของพระองค์

35 1-2 ทะเลทรายและแผ่นดินที่แห้งแล้งจะมีความสุข
    ทะเลทรายจะดีใจและผลิดอก
มันจะออกดอกมากมายเหมือนดอกหญ้า
    มันจะชื่นชมยินดีด้วยความสุขและการร้องเพลง
มันจะมีสง่าราศีเหมือนป่าแห่งเลบานอน
    มันจะสง่างามเหมือนภูเขาคารเมลและที่ราบชาโรน
คนจะเห็นถึงสง่าราศีของพระยาห์เวห์
    จะเห็นความสง่างามของพระเจ้าของเรา
ให้เสริมกำลังให้กับคนที่มีมือเหนื่อยล้า
    และช่วยคนที่หัวเข่าอ่อนแอให้มั่นคง
ให้พูดกับคนที่มีจิตใจที่ขลาดกลัวว่า
    “ให้เข้มแข็งไว้ ไม่ต้องกลัว
นี่ไงพระเจ้าของพวกท่าน
    พวกศัตรูของท่านจะถูกลงโทษ
เป็นการแก้แค้นของพระเจ้า
    พระองค์จะมาและช่วยกู้พวกท่าน”
แล้วตาของคนตาบอดก็จะเปิด
    และหูของคนหูหนวกก็จะไม่ตันอีกแล้ว
แล้วคนง่อยก็จะกระโดดเหมือนกับกวาง
    และลิ้นของคนใบ้ก็จะร้องเพลงอย่างมีความสุข
เพราะน้ำจะทะลักออกมาในทะเลทราย
    และเกิดลำธารขึ้นในทะเลทราย
ทะเลทรายที่ร้อนระอุ[f] จะกลายเป็นทะเลสาบ
    ดินที่กระหายน้ำจะมีตาน้ำเต็มไปหมด
ในบริเวณที่หมาป่าอยู่และนอนพักกัน
    หญ้าจะกลายเป็นต้นอ้อกับต้นกก
จะมีทางหลวงเกิดขึ้นที่นั่น
    และมันจะมีชื่อว่า “ถนนอันศักดิ์สิทธิ์”
คนที่ไม่บริสุทธิ์จะไม่เดินทางบนถนนนั้น
    มันมีไว้สำหรับคนของพระเจ้าเดินเท่านั้น
    พวกคนโง่[g] จะไม่ได้เดินผ่านไปมาบนมัน
จะไม่มีสิงโตที่นั่น
    และจะไม่มีสัตว์ร้ายมาย่างกรายที่นั่น
จะไม่พบพวกมันที่นั่น
    แต่คนที่พระเจ้าได้ไถ่ตัวไว้แล้วจะเดินบนถนนเส้นนั้น
10 คนเหล่านั้นที่พระยาห์เวห์ได้ไถ่ให้เป็นอิสระแล้ว
    จะกลับมาที่ศิโยนด้วยเสียงโห่ร้องดีใจ
ความสุขจะสวมอยู่บนหัวของพวกเขาตลอดไป
    ความชื่นชมยินดีก็จะท่วมท้นพวกเขา
    ความเศร้าโศกและการครวญครางจะวิ่งหนีไปจากพวกเขา

อัสซีเรียบุกยูดาห์

(2 พกษ. 18:13-37; 2 พศด. 32:1-19)

36 ในช่วงปีที่สิบสี่[h] ที่กษัตริย์เฮเซคียาห์[i] ปกครองยูดาห์ กษัตริย์เซนนาเคอริบ[j] ของอัสซีเรียได้ยกทัพขึ้นมาโจมตีเมืองต่างๆที่มีป้อมปราการของยูดาห์ และยึดเมืองเหล่านั้นไว้ได้ กษัตริย์อัสซีเรียได้ส่งแม่ทัพของเขาพร้อมกับกองทัพใหญ่จากเมืองลาคีช ไปหากษัตริย์เฮเซคียาห์ที่เมืองเยรูซาเล็ม แม่ทัพนั้นได้มาหยุดอยู่ข้างๆรางน้ำของสระด้านบน ตรงถนนที่มุ่งไปยังทุ่งของคนซักผ้า มีสามคนออกไปหาแม่ทัพคนนั้นที่นั่น คือเอลียาคิมผู้ดูแลวัง ที่เป็นลูกชายของฮิลคียาห์ เชบนาเลขานุการของกษัตริย์ และโยอาห์ผู้จดบันทึกที่เป็นลูกชายของอาสาฟ

แม่ทัพได้พูดกับพวกเขาว่า “ไปบอกเฮเซคียาห์ว่า กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ คือกษัตริย์อัสซีเรีย พูดอย่างนี้ว่า

‘ทำไมเจ้าถึงได้มีความเชื่อมั่นขนาดนี้ ข้อตกลงกับพันธมิตรที่เจ้าหวังพึ่งนั้นมันก็แค่เพียงคำพูด เจ้าคิดว่ามันจะใช้แทนกลยุทธ์และกำลังทหารในสงครามได้หรือ เดี๋ยวนี้เจ้าไปพึ่งใครหรือ ถึงกล้ามากบฏกับเรา ดูดีๆว่าเจ้ากำลังพึ่งอียิปต์ ซึ่งเป็นเหมือนไม้เท้าต้นอ้อที่เดาะแล้ว ถ้าใครไปค้ำยันมัน มันก็จะแตกและเสียบมือของคนนั้น ฟาโรห์กษัตริย์ของอียิปต์ ก็จะเป็นอย่างนั้นกับคนที่มาพึ่งพิงเขา

แต่ถ้าเจ้าจะบอกเราว่า “เราเชื่อพึ่งในพระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา” อ้าว เฮเซคียาห์ได้รื้อพวกสถานที่นมัสการและแท่นบูชาของพระนั้นทิ้งไปแล้วไม่ใช่หรือ และสั่งคนยูดาห์และคนในเยรูซาเล็มว่า “พวกเจ้าต้องนมัสการที่แท่นบูชานี้ที่อยู่ในเมืองเยรูซาเล็มเท่านั้น”

ตอนนี้ มาทำข้อตกลงกับกษัตริย์ของอัสซีเรีย เจ้านายของข้าดีกว่า ข้าจะให้ม้ากับเจ้าสองพันตัว ถ้าเจ้ามีปัญญาหาคนมาขี่พวกมันได้ ในเมื่อเจ้าและอียิปต์อ่อนแอซะขนาดนี้ เจ้ายังจะปฏิเสธอำนาจของข้าราชการตัวเล็กๆของเจ้านายข้า แล้วไปหวังพึ่งรถรบและทหารม้าของอียิปต์อีกหรือ

10 และตอนนี้ เจ้าคิดว่าที่ข้าขึ้นมาโจมตีแผ่นดินนี้เพื่อทำลายมัน โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพระยาห์เวห์อย่างนั้นหรือ เป็นพระยาห์เวห์เองที่พูดกับข้าว่า “ขึ้นไปโจมตีแผ่นดินนี้และทำลายมันซะ”’”

11 แล้วเอลียาคิม เชบนา และโยอาห์ ตอบกับแม่ทัพไปว่า “ช่วยพูดกับพวกเราผู้รับใช้ของท่านเป็นภาษาอารเมคด้วยเถิด เพราะพวกเราเข้าใจภาษานั้น อย่าพูดกับพวกเราเป็นภาษาฮีบรูเลย เพราะไม่อยากให้พวกนั้นที่อยู่บนกำแพงได้ยิน”

12 แต่แม่ทัพนั้นตอบว่า “เจ้าคิดว่า เจ้านายข้าส่งข้ามาเพื่อพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้านายเจ้า และกับเจ้าเท่านั้นหรือยังไง เขาส่งให้ข้ามาพูดกับไอ้คนพวกนั้นที่นั่งอยู่บนกำแพงด้วย ไอ้พวกนั้นก็จะต้องกินขี้และเยี่ยวของตัวเอง[k]เหมือนกับพวกเจ้านั่นแหละ”

13 แล้วแม่ทัพก็ยืนขึ้นและร้องตะโกนเสียงดังเป็นภาษาฮีบรูว่า

“นี่เป็นคำพูดของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ คือกษัตริย์อัสซีเรีย 14 พระองค์พูดว่าอย่างนี้ ‘อย่าให้เฮเซคียาห์หลอกลวงเจ้า เพราะเขาไม่สามารถช่วยกู้พวกเจ้าได้หรอก 15 และอย่าให้เฮเซคียาห์ทำให้พวกเจ้าคิดจะพึ่งพระยาห์เวห์ เมื่อเขาพูดว่า “พระยาห์เวห์จะช่วยกู้พวกเราอย่างแน่นอน พระยาห์เวห์จะไม่ยอมให้เมืองนี้ตกไปอยู่ในกำมือของกษัตริย์อัสซีเรียเป็นอันขาด”

16 อย่าไปฟังเฮเซคียาห์ เพราะกษัตริย์อัสซีเรียพูดไว้ว่าอย่างนี้ “มาทำสัญญาสงบศึกกับข้าและออกมาจำนนต่อข้า แล้วพวกเจ้าแต่ละคนก็จะได้กินจากต้นองุ่นและต้นมะเดื่อของตัวเอง และดื่มจากบ่อเก็บน้ำของตน 17 จนกว่าเราจะมาและพาพวกเจ้าไปยังแผ่นดินที่เหมือนกับแผ่นดินของเจ้านี้ เป็นแผ่นดินที่มีข้าวและเหล้าองุ่นใหม่ มีขนมปังและสวนองุ่น”

18 ระวังให้ดี อย่าให้เฮเซคียาห์ทำให้เจ้าหลงผิดไป เมื่อเขาพูดว่า “พระยาห์เวห์จะช่วยกู้พวกเรา” เราขอถามเจ้าว่า “มีพระของชาติไหนบ้างที่เคยช่วยแผ่นดินของพวกเขาให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของกษัตริย์อัสซีเรีย” 19 พวกพระของเมืองฮามัท[l]กับเมืองอารปัดไปไหนแล้ว พระของเมืองเสฟารวาอิมไปไหนแล้ว พวกพระของสะมาเรียสามารถช่วยกู้สะมาเรียจากเงื้อมมือของข้าได้หรือ 20 ในพวกพระทั้งหมดของประเทศเหล่านี้ มีพระองค์ไหนบ้างได้ช่วยประเทศของพวกเขาให้พ้นจากเงื้อมมือของข้า แล้วเจ้ายังคิดว่าพระยาห์เวห์จะสามารถช่วยเยรูซาเล็มให้พ้นจากเงื้อมมือข้าได้หรือ’”

21 แต่พวกเขาก็เงียบ ไม่ได้ตอบเขาสักคำ เพราะกษัตริย์เฮเซคียาห์ได้สั่งไว้ว่า “อย่าไปตอบมัน”

22 แล้วเอลียาคิมผู้ดูแลวัง ที่เป็นลูกชายของฮิลคียาห์ เชบนา เลขานุการของกษัตริย์ และโยอาห์ผู้จดบันทึกที่เป็นลูกชายของอาสาฟ ได้ไปหาเฮเซคียาห์ใส่เสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งที่พวกเขาฉีกด้วยความโศกเศร้า และพวกเขาก็รายงานกษัตริย์ถึงสิ่งที่แม่ทัพนั้นพูด

โคโลสี 2

ผมอยากให้คุณรู้ว่าผมต้องดิ้นรนต่อสู้มากขนาดไหนเพื่อพวกคุณ เพื่อคนที่อยู่เมืองเลาดีเซีย และคนอื่นๆที่ยังไม่เคยเจอมาก่อน ที่ผมทำทั้งหมดนี้ ก็เพราะผมอยากให้พวกเขาได้รับกำลังใจ อยากให้เขารักใคร่กลมเกลียวกัน อยากให้เขาได้รับพระพรอย่างเหลือล้น เนื่องจากความมั่นใจอย่างเต็มที่ที่เกิดมาจากความเข้าใจของเขา แล้วก็อยากให้เขามีความรู้ถึงความจริงอันลึกลับของพระเจ้าอย่างลึกซึ้ง ความลับนั้นคือพระคริสต์ สติปัญญาทั้งหมดและความรู้ทุกอย่าง เป็นขุมทรัพย์ที่ถูกเก็บซ่อนไว้ในพระคริสต์

ที่ผมพูดเรื่องนี้ ก็เพื่อจะได้ไม่มีใครมาใช้เหตุผลต่างๆที่น่าฟังเพื่อหลอกลวงคุณ ถึงแม้ตัวผมจะไม่ได้อยู่ แต่ใจของผมก็ยังอยู่กับคุณ และผมก็ดีใจที่ได้เห็นคุณอยู่ด้วยกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย และมีความเชื่อที่มั่นคงในพระคริสต์

ใช้ชีวิตต่อไปในพระคริสต์

พวกคุณได้รับพระเยซูคริสต์เจ้าอย่างไร ก็ขอให้ใช้ชีวิตร่วมกันกับพระองค์ต่อไปอย่างนั้น คือคุณได้หยั่งรากลงไปในพระองค์แล้ว ให้พระองค์เป็นรากฐานของคุณต่อไป ให้ยึดมั่นในความเชื่อต่อไปเหมือนกับที่คุณได้รับคำสั่งสอนมาแล้ว และให้ขอบคุณพระเจ้าอย่างล้นเหลือต่อไป

ระวังให้ดีอย่าให้ใครใช้หลักปรัชญาอันหลอกลวงและไร้ค่า เพื่อจับคุณไปเป็นเชลย เรื่องแบบนี้มนุษย์สอนสืบต่อกันมา คำสอนนั้นมาจากพวกวิญญาณที่ครอบครองโลกนี้ ไม่ได้มาจากพระคริสต์ เพราะความเต็มบริบูรณ์ทั้งหมดของพระเจ้า ได้มาอยู่ในสภาพของร่างมนุษย์คือในร่างของพระคริสต์นั่นเอง 10 แล้วเมื่อคุณอยู่ในพระคริสต์ คุณก็เต็มบริบูรณ์เหมือนกัน พระคริสต์เป็นศีรษะเหนือพวกผู้ครอบครอง และเหนือพวกผู้มีสิทธิอำนาจทั้งสิ้นในจักรวาล

11 ในพระคริสต์พวกคุณก็ได้เข้าพิธีขลิบด้วย แต่ไม่ใช่พิธีขลิบที่มือมนุษย์ทำหรอก แต่คุณได้เข้าร่วมพิธีขลิบของพระคริสต์เอง ที่เกิดขึ้นตอนที่พระองค์สละร่างกายที่เป็นเนื้อหนังทิ้งตอนตาย 12 คุณได้ถูกฝังร่วมกันกับพระคริสต์ในพิธีจุ่มน้ำ และได้ฟื้นขึ้นจากความตายพร้อมกับพระองค์ เพราะคุณไว้วางใจในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ผู้ทำให้พระคริสต์ฟื้นขึ้นมา 13 ตอนที่พวกคุณตายไปแล้วนั้น (เพราะความผิดบาปของคุณ และเพราะคุณไม่ใช่ยิวและไม่ได้เข้าพิธีขลิบ) พระเจ้าทำให้คุณมีชีวิตอยู่ร่วมกับพระคริสต์ พระองค์ได้ยกโทษความผิดบาปทั้งหมดของเรา 14 พระเจ้ายกเลิกข้อกล่าวหาพวกเราที่ได้บันทึกไว้ พระองค์เอามันไปตรึงที่กางเขน 15 พระเจ้าปราบปรามพวกผู้ครอบครองและพวกผู้มีสิทธิอำนาจทั้งหลายจนต้องวางอาวุธลง พระเจ้านำเขาไปเป็นเชลยในขบวนแห่แห่งชัยชนะ[a] ทำให้พวกนี้อับอายขายหน้าในที่สาธารณะ พระเจ้าทำอย่างนี้ได้เพราะความตายของพระคริสต์

กฎที่มนุษย์ตั้งขึ้นเอง

16 ดังนั้นอย่าให้ใครมาประจานพวกคุณเพราะสิ่งที่กินและดื่ม หรือในเรื่องงานเทศกาลทางศาสนา งานฉลองพระจันทร์ข้างขึ้น[b] หรือวันหยุดทางศาสนา 17 สิ่งเหล่านี้เป็นแค่เงาของสิ่งที่จะตามมาภายหลัง แต่แก่นแท้ของสิ่งเหล่านี้คือพระคริสต์ 18 บางคนชอบที่จะขจัดกิเลสของตัวเอง และชอบนมัสการพระเจ้าด้วยกันกับทูตสวรรค์[c] เพราะเขาบอกว่าเขาเห็นสิ่งต่างๆในสวรรค์ผ่านทางนิมิตของเขา อย่าไปสนใจฟังพวกเขาเมื่อพวกเขาพูดว่าคุณจะไม่ได้รับรางวัลจากพระเจ้าเพราะคุณไม่ได้ทำตามพวกเขา ความคิดอย่างนั้นเป็นแค่ความคิดของมนุษย์ที่ทำให้พวกเขาเย่อหยิ่งจองหองไม่เข้าเรื่อง 19 คนพวกนั้นไม่ได้ยึดติดอยู่กับศีรษะซึ่งก็คือพระคริสต์ พระคริสต์นี่เองเป็นแหล่งทำให้ร่างกายทั้งหมดได้รับการบำรุงเลี้ยงดู และยึดส่วนต่างๆของร่างกายเข้าด้วยกันด้วยข้อและเอ็นต่างๆทำให้ทั้งร่างเจริญเติบโตขึ้นตามที่พระเจ้าต้องการ

20 ในเมื่อคุณได้ตายร่วมกับพระคริสต์ และเป็นอิสระจากพวกวิญญาณที่ครอบครองโลกนี้แล้ว ทำไมคุณยังทำตัวเหมือนว่าตัวเองยังเป็นของโลกนี้อยู่ และยังยอมอยู่ใต้กฎต่างๆ 21 เช่น “ห้ามจับ” “ห้ามชิม” หรือ “ห้ามแตะต้อง” 22 กฎพวกนี้มันเกี่ยวกับสิ่งของที่เมื่อเอามาใช้แล้วก็หมดไป กฎพวกนี้ก็เป็นแค่คำสั่งหรือคำสอนจากมนุษย์เท่านั้น 23 กฎพวกนี้ฟังดูฉลาดเข้าท่าทีเดียว พวกเขาเคร่งครัดในศาสนาที่มนุษย์คิดขึ้น ทำให้เขาต้องทำหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อขจัดกิเลสของตัวเอง รวมทั้งทรมานร่างกายด้วย แต่มันไม่ได้ช่วยยับยั้งความอยากของสันดานเลย

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International