Old/New Testament
ดาวิดรบชนะอัมโมนกับอารัม
(2 ซมอ. 10:1-19)
19 ต่อมา กษัตริย์นาหาชของชาวอัมโมนตาย และลูกชายของเขาขึ้นเป็นกษัตริย์แทน 2 ดาวิดพูดว่า “เราจะดีกับฮานูนที่เป็นลูกชายของนาหาช เพราะพ่อของเขาดีกับเรามาก่อน” ดังนั้น ดาวิดจึงส่งคนส่งข่าวหลายคนมาแสดงความเสียใจกับฮานูนที่พ่อของเขาตาย เมื่อบรรดาตัวแทนของดาวิดมาถึงเมืองของพวกอัมโมนและมาพบกับฮานูนเพื่อที่จะแสดงความเสียใจกับเขา
3 พวกเจ้าหน้าที่ชาวอัมโมนพูดกับฮานูนว่า “ท่านคิดว่าดาวิดกำลังให้เกียรติกับพ่อของท่าน เพราะเขาได้ส่งคนเหล่านี้มาปลอบโยนท่านอย่างนั้นหรือ ตัวแทนของเขามาพบกับท่านเพื่อจะมาสำรวจ และสอดแนมแผ่นดินของท่านเพื่อจะได้ทำลายมันต่างหากเล่า” 4 ฮานูนจึงจับบรรดาตัวแทนของดาวิดมาและโกนเครา[a] พวกเขาและฮานูนก็ได้ตัดเสื้อผ้าของพวกเขาออกข้างหนึ่งตั้งแต่สะโพกลงไป และได้ขับไล่พวกเขาออกไป
5 มีคนมาบอกข่าวเกี่ยวกับคนเหล่านี้ให้ดาวิดฟัง และดาวิดก็ได้ส่งผู้ส่งข่าวหลายคนมาพบพวกเขา เพราะพวกเขารู้สึกอับอายมาก กษัตริย์ดาวิดได้พูดว่า “ให้อยู่ในเยริโคต่อไปจนกว่าเคราของพวกท่านจะงอกออกมาใหม่ แล้วค่อยกลับมา”
6 เมื่อพวกอัมโมนรู้ว่าพวกเขาได้ทำให้ดาวิดเกลียด ฮานูนกับพวกอัมโมนจึงได้เอาเงินประมาณสามสิบสี่ตันไปจ้างรถรบกับทหารม้าจากเมโสโปเตเมีย จากอารัม-มาอาคาห์ และจากโศบาห์ 7 พวกเขายังได้จ้างรถรบสามหมื่นสองพันคันและกษัตริย์ของมาอาคาห์ รวมทั้งกองทัพของเขามาด้วย และพวกเขาทั้งหมดก็ได้มาตั้งค่ายอยู่ใกล้กับเมืองเมเดบา พวกอัมโมนได้เรียกชุมนุมคนของพวกเขาทั้งหมดจากเมืองต่างๆเพื่อมาสู้รบด้วย
8 เมื่อดาวิดได้ยินข่าวนี้ เขาก็ได้ส่งโยอาบและกองทัพทั้งหมดไปที่นั่น 9 พวกอัมโมนได้ออกมาตั้งแถวเตรียมสู้รบอยู่ที่ประตูเมือง ส่วนบรรดากษัตริย์ที่เข้าร่วมรบด้วยต่างก็ตั้งทัพอยู่ที่ท้องทุ่ง
10 โยอาบเห็นว่ามีกองทัพตั้งขนาบเขาอยู่ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เขาจึงได้เลือกทหารที่ฝีมือดีที่สุดของอิสราเอลมาจำนวนหนึ่ง และให้พวกเขามาอยู่ในตำแหน่งที่ต้องเผชิญหน้ากับกองทัพของพวกอารัม 11 เขาให้กองทัพที่เหลืออยู่ภายใต้การควบคุมของอาบีชัยน้องชายของเขา และพวกเขาทั้งหมดต่างก็ตั้งทัพเผชิญหน้ากับพวกอัมโมน 12 โยอาบพูดว่า “ถ้าอารัมแข็งแกร่งเกินไปสำหรับเรา ท่านต้องมาช่วยเหลือเรา และถ้าพวกอัมโมนแข็งแกร่งเกินไปสำหรับท่าน เราก็จะไปช่วยท่าน 13 กล้าหาญไว้ ให้เราสู้ให้สมกับชายชาติทหารเพื่อคนของเราและเพื่อเมืองทั้งหลายของพระเจ้าของเรา และขอให้พระยาห์เวห์ทำในสิ่งที่พระองค์เห็นว่าดีเถิด”
14 โยอาบกับกองทัพของเขาบุกเข้าสู้รบกับพวกอารัม และพวกอารัมต่างถอยหนีพวกเขา 15 เมื่อพวกอัมโมนเห็นว่าพวกอารัมวิ่งหนี พวกเขาจึงวิ่งหนีจากอาบีชัยที่เป็นน้องชายของโยอาบด้วย และหนีเข้าเมืองของพวกเขาไป แล้วโยอาบก็กลับเมืองเยรูซาเล็ม
16 เมื่ออารัมเห็นว่าพวกเขาพ่ายแพ้แก่ชาวอิสราเอลแล้ว พวกเขาจึงได้ส่งพวกผู้ส่งข่าวเพื่อไปนำชาวอารัมมาจากอีกฝั่งของแม่น้ำยูเฟรติส โดยมีโชฟัคที่เป็นแม่ทัพของกองทัพฮาดัดเอเซอร์มาเป็นผู้นำทัพ
17 มีคนมารายงานเรื่องนี้ให้กับดาวิด เขาจึงได้รวบรวมชาวอิสราเอลทั้งหมดเดินทางข้ามแม่น้ำจอร์แดนไป และได้มาพบกับกองทัพของชาวอารัมนั้น เขาได้จัดเตรียมกองทัพเผชิญหน้ากับพวกอารัม และได้สู้รบกับพวกเขา 18 พวกอารัมต่างวิ่งหนีชาวอิสราเอล และดาวิดกับกองทัพของเขาได้ฆ่าทหารรถรบตายถึงเจ็ดพันคน ทหารเดินเท้าอีกสี่หมื่นคน และยังได้ฆ่าแม่ทัพโชฟัคตายด้วย
19 เมื่อพวกคนรับใช้ของฮาดัดเอเซอร์เห็นว่าพวกเขาพ่ายแพ้แก่ชาวอิสราเอล จึงได้ขอสงบศึกกับดาวิดและยอมเป็นทาสของเขา ดังนั้นพวกอารัมจึงไม่ยอมช่วยเหลือพวกอัมโมนอีก
โยอาบทำลายพวกอัมโมน
(2 ซมอ. 12:26-31)
20 เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิของปีต่อไป ซึ่งเป็นช่วงที่บรรดากษัตริย์ต่างออกไปทำสงครามกัน โยอาบได้นำกองทัพออกไปทำลายแผ่นดินของพวกอัมโมนและได้ล้อมเมืองรับบาห์ไว้ ส่วนดาวิดยังอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม โยอาบได้เข้าโจมตีเมืองรับบาห์และสามารถทำลายมันได้
2 ดาวิดได้ปลดเอามงกุฎออกจากหัวของกษัตริย์ของพวกเขา[b] ดาวิดพบว่ามงกุฎทองคำนี้หนักเกือบสามสิบห้ากิโลกรัม[c] และมีพลอยมีค่ามากมายประดับอยู่ พวกเขาได้เอามงกุฎนี้มาสวมไว้บนหัวของดาวิด และดาวิดได้ขนเอาของมีค่าจำนวนมากมายมหาศาลไปจากเมืองนั้น 3 ดาวิดได้นำผู้คนที่อยู่ในเมืองรับบาห์ออกไปจากเมือง และบังคับให้ไปทำงานด้วยเลื่อย เหล็กขุด และขวาน ดาวิดทำอย่างเดียวกันนี้กับทุกเมืองของพวกอัมโมน แล้วดาวิดจึงยกทัพกลับเมืองเยรูซาเล็ม
พวกยักษ์ชาวฟีลิสเตียถูกฆ่าตาย
(2 ซมอ. 21:18-22)
4 ต่อมาภายหลัง เกิดสงครามกับชาวฟีลิสเตียในเมืองเกเซอร์ ในเวลานั้นสิบเบคัยชาวหุชาห์ได้ฆ่าสิปปัยซึ่งเป็นลูกหลานของชาวเรฟาอิมร่างยักษ์ตาย และพวกฟีลิสเตียยอมแพ้
5 หลังจากนั้น ก็เกิดสงครามกับชาวฟีลิสเตียขึ้นอีกครั้ง และเอลฮานันลูกชายยาอีร์ได้ฆ่าลามีน้องชายของโกลิอัทที่เป็นชาวกัทตาย ลามีผู้นี้ใช้หอกที่มีด้ามหนักเหมือนกับไม้ฟั่นทอผ้า[d]
6 ในเวลาต่อมา ก็มีสงครามกับชาวกัทเกิดขึ้นอีก และได้มีชายร่างยักษ์คนหนึ่งที่มีนิ้วมือและนิ้วเท้าข้างละหกนิ้วรวมยี่สิบสี่นิ้ว เขาเป็นลูกหลานของเรฟาอิมร่างยักษ์ด้วย 7 เขาได้มาพูดเหน็บแนมชาวอิสราเอล โยนาธานที่เป็นลูกชายของชิเมอาพี่ชายของดาวิดได้ฆ่าเขาตาย
8 คนเหล่านี้ล้วนเป็นลูกหลานของเรฟาอิมร่างยักษ์ในเมืองกัทและพวกเขาก็ถูกฆ่าตายด้วยฝีมือของดาวิดและคนของเขา
ดาวิดบาปเพราะนับชาวอิสราเอล
(2 ซมอ. 24:1-25)
21 ซาตานได้ลุกขึ้นมาต่อสู้กับอิสราเอล และยุให้ดาวิดนับประชาชนชาวอิสราเอล 2 ดาวิดได้พูดกับโยอาบและพวกแม่ทัพว่า “ให้ไปนับประชาชนชาวอิสราเอลตั้งแต่เบเออร์เชบาไปจนถึงดาน แล้วกลับมารายงานเรา เราจะได้รู้จำนวนของพวกเขา”
3 แต่โยอาบพูดว่า “ขอให้พระยาห์เวห์เพิ่มจำนวนของประชาชนของพระองค์ขึ้นอีกร้อยเท่าจากที่พวกเขาเป็นอยู่ขณะนี้เถิด ท่านกษัตริย์ คนอิสราเอลทั้งหมดล้วนเป็นคนรับใช้ของท่านมิใช่หรือ ทำไมท่านถึงต้องการทำอย่างนี้ด้วย ทำไมถึงให้สิ่งนี้ต้องกลายเป็นความบาปของชนชาติอิสราเอลด้วยเล่า”
4 แต่กษัตริย์ยังคงยืนกรานคำสั่งที่ให้กับโยอาบไป ดังนั้นโยอาบจึงได้ออกเดินทางไปทั่วทั้งแผ่นดินอิสราเอล แล้วจึงกลับมาเมืองเยรูซาเล็ม 5 โยอาบได้เสนอรายงานการนับประชาชนให้กับดาวิด ชาวอิสราเอลทั้งหมดมีผู้ชายหนึ่งล้านหนึ่งแสนคนที่สามารถใช้ดาบได้ และผู้ชายชาวยูดาห์ที่ใช้ดาบได้มีจำนวนสี่แสนเจ็ดหมื่นคน 6 โยอาบไม่ได้นับชาวเลวีและชาวเบนยามินรวมไปด้วย เพราะเขาไม่ชอบคำสั่งนี้ของกษัตริย์ 7 พระเจ้าก็ไม่พอใจคำสั่งนี้ด้วย ดังนั้นพระองค์จึงลงโทษชาวอิสราเอล
8 ดาวิดพูดกับพระเจ้าว่า “ข้าพเจ้าได้ทำบาปอย่างใหญ่หลวงที่ได้ทำสิ่งนี้ลงไป แต่ตอนนี้ขอโปรดเอาความผิดของข้าพเจ้าผู้รับใช้พระองค์ไปด้วยเถิด เพราะข้าพเจ้าได้ทำตัวโง่เขลาไป”
9 พระยาห์เวห์ได้พูดกับกาด ผู้ที่เห็นนิมิตของดาวิดว่า 10 “ให้ไปบอกกับดาวิดว่า ‘พระยาห์เวห์พูดว่า เรามีสามทางให้เจ้าเลือก เลือกมาทางหนึ่ง แล้วเราจะทำกับเจ้าตามนั้น’”
11 ดังนั้น กาดจึงไปพบดาวิดและได้พูดกับเขาว่า “นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์พูด เลือกมาอย่างหนึ่ง 12 คือ อดอยากสามปี หรือ วิ่งหนีศัตรูที่เอาดาบไล่ล่าเจ้าสามเดือน หรือสามวันของดาบของพระยาห์เวห์ ซึ่งก็คือโรคระบาดร้ายแรงในแผ่นดินนี้ พร้อมกับทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์ที่จะลงมาทำลายล้างประชาชนที่อยู่ทั่วทั้งเขตแดนของชนชาติอิสราเอล ตอนนี้ ให้ท่านคิดดูว่าจะให้ข้าพเจ้านำคำตอบอันไหนไปให้กับผู้ที่ส่งข้าพเจ้ามา”
13 ดาวิดจึงตอบกาดไปว่า “เรากลุ้มใจมาก เราขอตกอยู่ในกำมือของพระยาห์เวห์ เพราะความเมตตาของพระองค์นั้นยิ่งใหญ่นัก แต่ขออย่าให้เราตกไปอยู่ในกำมือของพวกมนุษย์เลย”
14 ดังนั้นพระยาห์เวห์จึงได้ส่งโรคระบาดร้ายแรงมาสู่ชนชาติอิสราเอลทำให้มีคนตายเจ็ดหมื่นคน 15 และพระเจ้าก็ได้ส่งทูตสวรรค์องค์หนึ่งมาที่เยรูซาเล็มเพื่อทำลายมัน แต่เมื่อทูตสวรรค์ได้เริ่มต้นการทำลาย พระยาห์เวห์มองดูแล้วก็เปลี่ยนใจไม่ทำลายล้างเยรูซาเล็ม พระองค์พูดกับทูตสวรรค์ที่กำลังทำลายเยรูซาเล็มอยู่นั้นว่า “พอเถิด รามือของท่านเถิด” ทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์กำลังยืนอยู่ที่ลานนวดข้าวของโอรนันชาวเยบุส[e]
16 ดาวิดมองขึ้นไปและได้เห็นทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์ยืนอยู่ระหว่างสวรรค์กับพื้นโลก มือของท่านชักดาบออกมาและชี้ไปที่เมืองเยรูซาเล็ม แล้วดาวิดกับพวกผู้ใหญ่ที่แต่งกายด้วยผ้ากระสอบ[f] ก็ก้มหน้าลงถึงพื้นดิน 17 ดาวิดพูดกับพระเจ้าว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนสั่งให้นับประชาชนพวกนี้เอง ข้าพเจ้าเป็นคนที่ได้ทำบาป และได้ทำความผิดลงไป แต่พวกลูกแกะพวกนี้ได้ทำอะไรผิดเล่า ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของข้าพเจ้า โปรดลงโทษข้าพเจ้ากับครอบครัวของข้าพเจ้าเถิด อย่าไปลงโทษประชาชนของพระองค์ด้วยโรคระบาดร้ายแรงอย่างนี้เลย”
18 (ทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์ได้บอกกับกาดให้ไปบอกกับดาวิดให้ไปตั้งแท่นบูชาให้แก่พระยาห์เวห์บนลานนวดข้าวของโอรนันชาวเยบุส 19 ดังนั้น ดาวิดจึงได้ขึ้นไปทำตามคำพูดของกาดซึ่งเขาได้พูดไว้ในนามของพระยาห์เวห์)
20 โอรนันกำลังนวดข้าวสาลีอยู่ เขาได้หันมาเห็นทูตสวรรค์องค์นั้น พวกลูกชายทั้งสี่คนของเขาซึ่งอยู่กับเขาต่างก็วิ่งไปแอบ 21 เมื่อดาวิดมาหาเขา โอรนันเห็นดาวิด เขาก็เดินออกมาจากลานนวดข้าว ก้มลงกราบดาวิดจนหน้าจดพื้น
22 ดาวิดพูดกับโอรนันว่า “ขายลานนวดข้าวแห่งนี้ให้กับเราเถิด ขายให้กับเราเต็มราคาเลย เราจะได้สร้างแท่นบูชาให้แก่พระยาห์เวห์ขึ้นที่นี่ เพื่อที่ว่าโรคระบาดร้ายแรงจะได้หายไปจากประชาชน”
23 แล้วโอรนันก็ตอบดาวิดไปว่า “รับมันไปเถิด ขอให้กษัตริย์ผู้เป็นนายของข้าพเจ้าทำในสิ่งที่ท่านเห็นว่าดีเถิด ข้าพเจ้ายังจะให้วัวผู้อีกหลายตัวเป็นเครื่องเผาบูชา ให้เลื่อนนวดข้าวเป็นฟืน และให้ข้าวสาลีเพื่อเป็นเครื่องบูชาจากเมล็ดพืช ข้าพเจ้าขอมอบทั้งหมดนี้ให้”
24 แต่กษัตริย์ดาวิดได้พูดกับโอรนันว่า “อย่าเลย เราจะขอซื้อของเหล่านี้เต็มราคา เพราะเราจะไม่เอาของๆท่านมาถวายบูชาพระยาห์เวห์ และเราจะไม่ยอมบูชาเครื่องเผาบูชาที่เราได้มาฟรีๆ”
25 ดังนั้น ดาวิดจึงจ่ายโอรนันไปด้วยทองคำหนักเจ็ดกิโลกรัม[g] เป็นค่าสถานที่ 26 แล้วดาวิดก็ได้สร้างแท่นบูชาขึ้นแท่นหนึ่งที่นั่นให้กับพระยาห์เวห์ และได้บูชาเครื่องเผาบูชากับเครื่องบูชาอื่นๆเพื่อคืนดีกับพระเจ้า ดาวิดได้เรียกพระยาห์เวห์ และพระองค์ก็ได้ตอบเขาด้วยไฟจากสวรรค์ที่ลงมาบนแท่นบูชาสำหรับเครื่องเผาบูชานั้น 27 แล้วพระยาห์เวห์ได้สั่งทูตสวรรค์องค์นั้นให้เก็บดาบของท่านเข้าฝัก
28 ในเวลานั้น ดาวิดเห็นว่าพระยาห์เวห์ตอบรับเขาแล้วที่ลานนวดข้าวของโอรนันชาวเยบุส หลังจากที่เขาได้ถวายเครื่องบูชาให้กับพระองค์ที่นั่น 29 (ขณะนั้น เต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ของพระยาห์เวห์ที่โมเสสได้สร้างขึ้นในทะเลทราย และแท่นบูชาสำหรับเครื่องเผาบูชาอยู่ในสถานที่สูงที่กิเบโอน 30 แต่ดาวิดไม่สามารถไปอยู่ต่อหน้าแท่นนั้นเพื่อขอคำปรึกษาจากพระเจ้าได้ เพราะเขาเกรงกลัวดาบของทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์)
หญิงคนหนึ่งถูกจับขณะมีชู้
8 ส่วนพระเยซูก็กลับไปที่ภูเขามะกอกเทศ 2 ตอนเช้าตรู่พระองค์กลับไปที่วิหารอีกครั้งหนึ่ง คนทั้งหลายก็มาหาพระองค์ พระเยซูนั่งลงและเริ่มสั่งสอนผู้คน 3 พวกครูสอนกฎปฏิบัติและพวกฟาริสีได้นำผู้หญิงคนหนึ่งมายืนอยู่ต่อหน้าคนทั้งปวง หญิงคนนี้ถูกจับได้คาหนังคาเขาขณะมีชู้อยู่ 4 พวกเขาบอกพระองค์ว่า “อาจารย์ หญิงคนนี้ถูกจับได้ในขณะที่กำลังมีชู้อยู่ 5 ในกฎปฏิบัตินั้น โมเสสสั่งให้เราเอาหินขว้างคนที่ทำอย่างนี้ให้ตาย แล้วอาจารย์จะว่ายังไง” 6 (ที่พวกเขาถามอย่างนี้เพื่อจะให้พระองค์หลงกลและจะได้หาเรื่องฟ้องร้องพระองค์) พระเยซูได้แต่ก้มลงใช้นิ้วขีดเขียนไปมาบนพื้นดิน 7 แต่พวกนั้นก็ยังคะยั้นคะยอให้พระองค์ตอบ พระองค์จึงยืนขึ้นพูดว่า “พวกคุณคนไหนที่ไม่มีความผิดเลย ก็ให้เอาหินขว้างหญิงคนนี้เป็นคนแรก” 8 แล้วพระองค์ก็ก้มลงใช้นิ้วขีดเขียนบนพื้นดินต่อ
9 เมื่อได้ยินพระเยซูพูดอย่างนั้น พวกนั้นก็หลบไปทีละคนสองคน คนที่มีอายุมากที่สุดเริ่มเดินจากไปก่อนจนเหลือแต่พระเยซูกับหญิงคนนั้นอยู่ที่นั่น 10 พระเยซูลุกขึ้น และถามหญิงคนนั้นว่า “พวกเขาไปไหนกันหมดแล้ว ไม่มีใครลงโทษคุณหรือ”
11 หญิงคนนั้นตอบว่า “ไม่มีค่ะ” แล้วพระเยซูก็พูดว่า “เราก็ไม่ลงโทษคุณเหมือนกัน ไปเถอะแล้วอย่าทำบาปอีก”
พระเยซูเป็นความสว่างของโลก
12 แล้วพระเยซูก็พูดกับพวกที่ชุมนุมอยู่อีกครั้งหนึ่งว่า “เราเป็นความสว่างของโลก คนที่ติดตามเรามาจะไม่เดินอยู่ในความมืด แต่จะมีความสว่างที่นำไปสู่ชีวิต”
13 ดังนั้นพวกฟาริสีจึงพูดกับพระองค์ว่า “แกพูดเองเออเอง คำพยานของแกเชื่อถือไม่ได้หรอก”
14 พระเยซูตอบว่า “ถึงแม้ว่าเราจะเป็นพยานให้กับตัวเอง สิ่งที่เราพูดก็เป็นความจริง เพราะเรารู้ว่าตัวเราเองมาจากไหนและกำลังจะไปไหน แต่พวกคุณไม่รู้ว่าเรามาจากไหนหรือกำลังจะไปไหน 15 คุณตัดสินเราตามวิธีของมนุษย์ เราไม่ได้ตัดสินใครแบบนั้น 16 แต่ถ้าเราจะตัดสิน คำตัดสินของเราก็ถูกต้องเพราะเราไม่ได้ตัดสินคนเดียว แต่เราตัดสินร่วมกับพระบิดาผู้ส่งเรามา 17 ในกฎปฏิบัติของคุณบอกว่า ถ้ามีพยานสองคนพูดตรงกันก็ถือว่าเป็นความจริง 18 เราเป็นพยานให้กับตัวเอง และพระบิดาที่ส่งเรามาก็เป็นพยานให้กับเราอีกผู้หนึ่ง”
19 พวกเขาจึงถามว่า “แล้วไหนล่ะพ่อของแกที่แกพูดถึง”
พระเยซูตอบว่า “พวกคุณไม่รู้จักเราหรือพระบิดาของเราหรอก เพราะถ้าคุณรู้จักเรา คุณก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย” 20 ตอนที่พระเยซูพูดเรื่องนี้ พระองค์กำลังสอนอยู่ในห้องที่เขาใช้ตั้งตู้บริจาคในบริเวณวิหาร ไม่มีใครมาจับกุมพระองค์เพราะยังไม่ถึงกำหนดเวลาของพระองค์
พวกยิวไม่เข้าใจพระเยซู
21 พระเยซูพูดกับพวกประชาชนอีกว่า “พวกคุณจะตามหาเรา แต่จะตายอยู่ในความบาปของตัวเอง ที่ซึ่งเรากำลังจะไปนั้นพวกคุณไปไม่ได้”
22 พวกผู้นำชาวยิวจึงถามกันว่า “มันกำลังจะฆ่าตัวตายหรือยังไงถึงพูดว่า ‘ที่ซึ่งเราจะไปนั้น พวกคุณไปไม่ได้’”
23 พระเยซูพูดว่า “พวกคุณมาจากโลกข้างล่าง แต่เรามาจากข้างบน พวกคุณเป็นของโลกนี้ แต่เราไม่ได้เป็นของโลกนี้ 24 เราถึงได้บอกว่า พวกคุณจะตายอยู่ในความบาปของตัวเอง ใช่แล้ว ถ้าคุณไม่เชื่อว่าเราเป็นคนๆนั้นที่เราบอกว่าเราเป็น[a] คุณก็จะตายอยู่ในความบาป”
25 พวกยิวถามพระองค์ว่า “แล้วแกเป็นใครล่ะ” พระเยซูตอบว่า “เราเป็นคนๆนั้นที่เราได้บอกพวกคุณตั้งแต่แรกแล้วว่าเราเป็น 26 ความจริงแล้วเรามีหลายเรื่องที่จะต่อว่าพวกคุณ แต่เราจะพูดเฉพาะเรื่องที่เราได้ยินมาจากพระองค์ผู้ที่ส่งเรามาเท่านั้น และพระองค์ก็พูดความจริง”
27 (พวกเขาไม่รู้ว่าพระเยซูกำลังพูดถึงพระบิดา)
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International