Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Old/New Testament

Each day includes a passage from both the Old Testament and New Testament.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
กันดารวิถี 12-14

มิเรียมและอาโรนบ่นเกี่ยวกับโมเสส

12 มิเรียมและอาโรนพูดต่อต้านโมเสส เพราะผู้หญิงชาวเอธิโอเปีย ที่โมเสสแต่งงานด้วย และโมเสสก็แต่งงานกับผู้หญิงชาวเอธิโอเปียนั้นจริง พวกเขาพูดว่า “พระยาห์เวห์พูดผ่านโมเสสคนเดียวหรือยังไง พระองค์พูดผ่านเราด้วยไม่ใช่หรือ” พระยาห์เวห์ได้ยินที่เขาพูด โมเสสเป็นคนที่ถ่อมตัวมาก ถ่อมกว่าใครๆในโลกนี้ ในทันใดนั้นเอง พระยาห์เวห์พูดกับโมเสส อาโรนและมิเรียมว่า “พวกเจ้าทั้งสามคน ออกมาที่เต็นท์นัดพบ”

พวกเขาทั้งสามคนได้ออกมาที่เต็นท์ พระยาห์เวห์ลงมาในเสาเมฆ และมาหยุดอยู่ที่ทางเข้าเต็นท์ แล้วพระองค์ก็ร้องเรียกว่า “อาโรนและมิเรียม” ทั้งสองคนออกมา พระองค์พูดว่า “ฟังเราให้ดี ตอนที่มีผู้พูดแทนพระเจ้าท่ามกลางเจ้า เรา ยาห์เวห์ จะแสดงตัวของเราให้กับเขาเห็นในนิมิต เราจะพูดกับเขาในความฝัน แต่สำหรับโมเสส ผู้รับใช้ของเรา มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น เราฝากทั้งครัวเรือนของเราไว้กับเขา เวลาเราพูดกับเขา เราได้พูดกับเขาต่อหน้า และบอกเขาชัดเจนถึงสิ่งที่เราจะให้เขาทำ ไม่ต้องใช้เรื่องเล่าต่างๆที่มีความหมายแอบแฝงอยู่ และเขาสามารถมองเห็นรูปลักษณ์ของพระยาห์เวห์ได้โดยตรง พวกเจ้ากล้าดียังไงถึงได้มาพูดต่อต้านโมเสสผู้รับใช้ของเรา”

พระยาห์เวห์โกรธพวกเขา และพระองค์ก็จากไป 10 เมื่อเมฆลอยไปจากเต็นท์ ก็มีเกล็ดขาวๆเหมือนหิมะโผล่ขึ้นมาตามผิวหนังของมิเรียม เมื่ออาโรนหันมาที่มิเรียม ก็เห็นเกล็ดสีขาวบนตัวนาง

11 อาโรนจึงพูดกับโมเสสว่า “เจ้านายของเรา อย่าได้ลงโทษพวกเราเลย ที่เราได้ทำบาปโง่ๆลงไป 12 ขออย่าให้นางเป็นเหมือนเด็กที่ตายตอนคลอดแล้วเนื้อแหว่งไปครึ่งหนึ่งเลย”

13 โมเสสร้องขอต่อพระยาห์เวห์ “พระเจ้า ขอได้โปรดช่วยรักษานางด้วยเถิด”

14 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “ถ้าพ่อของนางถุยน้ำลายใส่หน้านาง นางจะรู้สึกอับอายไปถึงเจ็ดวันใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นให้ไล่นางออกไปอยู่นอกค่ายเจ็ดวัน หลังจากนั้น ก็ให้นำนางกลับมาได้”

15 พวกเขาจึงนำตัวมิเรียมออกไปไว้นอกค่ายเป็นเวลาเจ็ดวันและประชาชนก็ไม่ได้เดินทางต่อ รอจนนำมิเรียมกลับมา 16 หลังจากนั้นประชาชนก็ออกจากฮาเซโรท และไปตั้งค่ายที่ที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งปาราน

เหล่าผู้สอดแนมไปคานาอัน

(ฉธบ. 1:19-33)

13 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “ส่งคนของเจ้าออกไปสำรวจแผ่นดินคานาอัน แผ่นดินที่เราจะให้กับประชาชนชาวอิสราเอล พวกเจ้าต้องส่งผู้นำคนหนึ่งของแต่ละเผ่าเข้าไป”

โมเสสจึงส่งพวกนี้ไปจากที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งปาราน ตามคำสั่งของพระยาห์เวห์ ทุกคนล้วนเป็นผู้นำของประชาชนชาวอิสราเอล ต่อไปนี้เป็นรายชื่อของพวกเขา

ชัมมุอาลูกชายศักเกอร์ จากเผ่าของรูเบน

ชาฟัทลูกชายโฮรี จากเผ่าของสิเมโอน

คาเลบลูกชายเยฟุนเนห์ จากเผ่าของยูดาห์

อิกาลลูกชายโยเซฟ จากเผ่าของอิสสาคาร์

โฮเชยาลูกชายนูน จากเผ่าของเอฟราอิม

ปัลทีลูกชายราฟู จากเผ่าของเบนยามิน

10 กัดเดียลลูกชายโสดี จากเผ่าของเศบูลุน

11 กัดดีลูกชายสุสี จากเผ่าของโยเซฟ ซึ่งมาจากเผ่าของมนัสเสห์

12 อัมมีเอลลูกชายเกมัลลี จากเผ่าของดาน

13 เสธูร์ลูกชายมีคาเอล จากเผ่าของอาเชอร์

14 นาบีลูกชายโวฟสี จากเผ่าของนัฟทาลี

15 เกอูเอลลูกชายมาคี จากเผ่าของกาด

16 ทั้งหมดนั้นเป็นรายชื่อของคนที่โมเสสส่งออกไปสอดแนม[a] แผ่นดินนั้น (โมเสสได้เปลี่ยนชื่อโฮเชยาลูกชายของนูนเป็นโยชูวา[b])

17 ตอนที่โมเสสกำลังจะส่งพวกเขาไปสำรวจดินแดนคานาอัน โมเสสพูดว่า “ไปที่เนเกบและขึ้นไปที่แถบเนินเขานั้น 18 ไปดูว่าแผ่นดินนั้นเป็นอย่างไร ให้ดูว่าคนที่อาศัยอยู่ที่นั่นแข็งแรงหรืออ่อนแอ ให้ดูว่าพวกเขามีจำนวนมากหรือน้อย 19 ให้ดูว่าแผ่นดินที่พวกเขาอาศัยอยู่เป็นอย่างไร ดีหรือไม่ดี ให้ดูว่าเมืองที่พวกเขาอยู่นั้นเปิดโล่งหรือมีกำแพงล้อมรอบ 20 ให้ดูว่าแผ่นดินนั้นอุดมสมบูรณ์หรือฝืดเคือง และให้ดูว่ามีต้นไม้หรือเปล่า พยายามเอาผลไม้จากดินแดนนั้นกลับมาด้วย” (ช่วงนี้เป็นหน้าองุ่นสุกพอดี)

21 พวกเขาจึงไปสำรวจดินแดนนั้น จากที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งศินถึงเรโหบและเลโบ ฮามัท 22 พวกเขาขึ้นไปที่เนเกบและมาถึงเมืองเฮโบรน ซึ่งมีตระกูลของอาหิมาน เชชัยและทัลมัย ลูกหลานของอานาคอยู่ที่นั่น (เมืองเฮโบรนสร้างก่อนเมืองโศอันในประเทศอียิปต์อยู่เจ็ดปี) 23 แล้วพวกเขาก็มาถึงหุบเขาเอชโคล์[c] พวกเขาได้ตัดองุ่นพร้อมกิ่งมาพวงหนึ่ง แล้วเอาคานสอดหามกันมาสองคน พวกเขาแบกมะเดื่อและทับทิมมาด้วย 24 พวกเขาเรียกสถานที่นั้นว่า หุบเขาเอชโคล์ เพราะมันเป็นสถานที่ที่ชาวอิสราเอลไปตัดเถาองุ่นนั้นมา

25 หลังจากสำรวจดินแดนนั้นได้สี่สิบวัน พวกเขาก็กลับมาที่ค่าย 26 พวกเขามาหาโมเสส อาโรนและชุมชนชาวอิสราเอลทั้งหมดในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งปาราน ที่เคเดช แล้วพวกเขาได้รายงานให้โมเสส อาโรน รวมทั้งคนในชุมชนฟัง พวกเขาได้เอาผลไม้ที่เก็บมาได้มาให้ดู 27 พวกเขาบอกโมเสสว่า “พวกเราได้เข้าไปในแผ่นดินที่ท่านได้ส่งพวกเราไปมาแล้ว มันเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์[d] และนี่คือผลไม้ของมัน 28 แต่ประชาชนที่อยู่ที่นั่นแข็งแรง เมืองต่างๆก็มีกำแพงขนาดใหญ่ล้อมรอบ พวกเรายังเห็นชาวอานาค[e] ที่นั่นด้วย 29 ชาวอามาเลคอาศัยอยู่ในแผ่นดินเนเกบ ชาวฮิตไทต์ ชาวเยบุสและชาวอาโมไรต์อาศัยอยู่ตามแถบเนินเขา ส่วนชาวคานาอันอาศัยตามชายฝั่งทะเลและริมฝั่งแม่น้ำจอร์แดน”

30 คาเลบบอกให้ประชาชนที่อยู่ใกล้โมเสสเงียบลง และเขาก็พูดว่า “เราควรจะบุกขึ้นไปยึดเอาแผ่นดินนั้นมาเป็นของเรา เพราะเราจะชนะมันแน่”

31 แต่คนอื่นที่ขึ้นไปกับคาเลบด้วยพูดว่า “พวกเราสู้พวกมันไม่ได้แน่ เพราะพวกมันแข็งแรงกว่าเรามาก” 32 พวกนี้เอาแต่ข่าวร้ายมารายงานให้ประชาชนอิสราเอลฟังเกี่ยวกับแผ่นดินที่พวกเขาไปสำรวจมานั้น พวกเขาพูดว่า “แผ่นดินที่พวกเราไปสำรวจมานั้น เป็นแผ่นดินที่กินคนที่อาศัยอยู่ที่นั่น[f] แถมคนที่เราเห็นที่นั่น ก็ตัวใหญ่เท่ายักษ์ 33 พวกเราเห็นชาวเนฟิล[g] ที่นั่นด้วย (ลูกหลานของอานาคก็มาจากเนฟิล) พวกเรารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตั๊กแตน และพวกเขาก็เห็นเราเหมือนตั๊กแตนด้วย”

ประชาชนเริ่มบ่นอีกครั้ง

14 พวกประชาชนต่างโห่ร้องเสียงดังและในคืนนั้นพวกเขาก็ร้องห่มร้องไห้กัน ประชาชนชาวอิสราเอลทั้งหมดบ่นต่อว่าโมเสสและอาโรน พวกเขาทั้งหมดพูดกับโมเสสและอาโรนว่า “น่าจะปล่อยให้พวกเราตายในแผ่นดินอียิปต์หรือไม่ก็ทิ้งให้พวกเราตายในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งนี้ พระยาห์เวห์พาพวกเรามาที่แผ่นดินนี้ เพื่อมาล้มตายด้วยดาบทำไมกัน แล้วเมียและลูกๆของพวกเราก็จะถูกจับไป อย่างนี้พวกเรากลับไปอียิปต์ไม่ดีกว่าหรือ”

พวกเขาพูดกันว่า “ให้พวกเราเลือกหัวหน้าคนใหม่ มานำพวกเรากลับไปอียิปต์กันดีกว่า”

โมเสสและอาโรนก้มลงกับพื้น ต่อหน้าชาวอิสราเอลที่ชุมนุมกันอยู่ที่นั่น โยชูวาลูกชายของนูนและคาเลบลูกชายเยฟุนเนห์ สองคนนี้ที่ได้ไปสำรวจดินแดนแห่งนั้นด้วย ทั้งสองคนก็โกรธฉีกเสื้อผ้า[h] ของตนออก ทั้งสองพูดกับชาวอิสราเอลที่ชุมนุมกันอยู่ว่า “แผ่นดินที่พวกเราเดินทางเข้าไปสำรวจนั้นเป็นแผ่นดินที่ดีมากจริงๆ ถ้าพระยาห์เวห์พอใจพวกเรา พระองค์จะนำพวกเราเข้าในแผ่นดินนั้น และพระองค์จะยกแผ่นดินนั้นให้กับพวกเรา เป็นแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ ดังนั้น อย่าได้กบฏต่อพระยาห์เวห์เลย และไม่ต้องกลัวคนในแผ่นดินนั้นด้วย เพราะพวกมันเป็นเหยื่อของพวกเรา และสิ่งที่ป้องกันพวกมันก็ไม่มีแล้ว แต่พระยาห์เวห์อยู่กับพวกเรา อย่ากลัวพวกมันเลย”

10 คนที่ชุมนุมกันนั้นขู่ว่าจะเอาหินขว้างเขาทั้งสอง แล้วรัศมีของพระยาห์เวห์ ก็ปรากฏขึ้นที่เต็นท์นัดพบ ต่อหน้าชาวอิสราเอลทั้งหมด 11 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “พวกนี้จะดูหมิ่นเราไปอีกนานแค่ไหน พวกเขาจะไม่ไว้ใจเราไปอีกนานแค่ไหน ทั้งๆที่เราได้แสดงการอัศจรรย์มากมายให้พวกเขาเห็นแล้ว 12 เราจะให้เกิดโรคระบาดร้ายแรงกับพวกเขาและเราจะทำลายพวกเขา และเราจะทำให้เจ้าเป็นชนชาติที่ยิ่งใหญ่และเข้มแข็งกว่าคนพวกนี้”

13 โมเสสพูดกับพระยาห์เวห์ว่า “ถ้าพระองค์ทำอย่างนี้ ชาวอียิปต์จะได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะพระองค์ใช้ฤทธิ์อำนาจของพระองค์นำประชาชนเหล่านี้ออกมาจากท่ามกลางพวกเขา 14 ชาวอียิปต์จะบอกกับคนที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินนี้ พวกเขาก็รู้อยู่แล้วว่าพระองค์ พระยาห์เวห์ ได้อยู่ท่ามกลางคนพวกนี้ และรู้อีกว่าพระองค์ พระยาห์เวห์ได้ปรากฏให้คนพวกนี้เห็นด้วยตาเปล่า พวกเขารู้ว่าเมฆของพระองค์อยู่เหนือคนพวกนี้ พวกเขาก็รู้ว่าในเวลากลางวัน พระองค์นำหน้าคนพวกนี้ในเสาเมฆ ส่วนในเวลากลางคืนพระองค์นำหน้าคนพวกนี้ในเสาไฟ 15 ถ้าพระองค์ฆ่าคนพวกนี้ทั้งหมด ชนชาติทั้งหลายที่ได้ยินเกี่ยวกับพระองค์ก็จะพูดกันว่า 16 ‘เป็นเพราะพระยาห์เวห์ไม่สามารถนำคนพวกนี้เข้าไปในแผ่นดินที่พระองค์ได้สัญญาไว้กับพวกเขา พระองค์จึงฆ่าพวกเขาเสียในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง’

17 ตอนนี้ขอให้ฤทธิ์อำนาจของพระยาห์เวห์ยิ่งใหญ่ เหมือนกับที่พระองค์ได้พูดไว้ 18 พระองค์พูดว่า ‘เรา ยาห์เวห์โกรธช้า แต่เรามีความรักยิ่งใหญ่ เราอภัยให้กับคนที่ทำบาปและแหกกฎ แต่เราจะไม่เว้นโทษให้ทั้งหมด เราจะลงโทษคนพวกนั้น รวมทั้งลูก หลาน เหลน ของเขาด้วย สำหรับความผิดบาปที่พวกเขาทำนั้น’ 19 ดังนั้น ได้โปรดให้อภัยบาปของคนพวกนี้ ด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ เหมือนกับที่พระองค์ได้อภัยให้กับพวกเขาตั้งแต่ตอนที่พวกเขาออกจากอียิปต์มาจนถึงเดี๋ยวนี้”

20 พระยาห์เวห์พูดว่า “เราจะอภัยให้ ตามที่เจ้าขอ 21 เรามีชีวิตอยู่แน่ขนาดไหน และโลกทั้งใบนี้ปกคลุมด้วยรัศมีของพระยาห์เวห์อย่างแน่นอนขนาดไหน ก็ให้แน่ใจขนาดนั้นเลยว่า เราสัญญาว่า 22 คนพวกนี้ทั้งหมดที่ได้เห็นรัศมีของเราและเหตุการณ์อันมหัศจรรย์ของเรา ที่เราได้ทำในอียิปต์และในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง และได้ลองดีกับเราถึงสิบครั้งและไม่เชื่อฟังเรา 23 คนพวกนี้ทั้งหมดจะไม่ได้เห็นแผ่นดินที่เราได้สัญญาไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขา รวมทั้งคนพวกนั้นทุกคนที่ไม่เคารพยำเกรงเรา จะไม่ได้เข้าไปในแผ่นดินนั้นด้วย 24 แต่เพราะคาเลบผู้รับใช้เรา คิดแตกต่างจากคนพวกนั้น และติดตามเราทุกอย่าง เราจะนำเขาเข้าไปในแผ่นดินที่เขาเคยเข้าไปแล้ว และลูกหลานของเขาก็จะได้ครอบครองแผ่นดินนั้น 25 ชาวอามาเลคและชาวคานาอันอาศัยอยู่ในหุบเขา ดังนั้นในวันพรุ่งนี้ ให้เดินทางกลับเข้าไปในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง โดยใช้เส้นทางที่มุ่งสู่ทะเลแดง”

พระยาห์เวห์ลงโทษประชาชน

26 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสและอาโรนว่า 27 “ไอ้พวกชั่วช้านี้จะบ่นต่อว่าเราไปอีกนานแค่ไหน เราได้ยินเสียงบ่นของพวกชาวอิสราเอลที่บ่นต่อว่าเรา 28 ให้บอกพวกมันว่า ‘พระยาห์เวห์บอกว่า “เรามีชีวิตอยู่แน่ขนาดไหน ก็ให้แน่ใจขนาดนั้นเลยว่า เราจะทำกับเจ้าเหมือนกับที่เจ้าได้บ่นใส่หูเรา 29 พวกเจ้าจะตายในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งนี้ พวกเจ้าทุกคนที่ได้นับไว้แล้ว ทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไปที่ได้บ่นต่อว่าเรา 30 เจ้าจะไม่ได้เข้าไปในแผ่นดินที่เราได้สัญญาไว้ว่าจะให้เจ้าเข้าไปอยู่ ยกเว้นคาเลบลูกชายของเยฟุนเนห์และโยชูวาลูกชายของนูน 31 และลูกๆของเจ้าที่เจ้าบอกว่าจะถูกจับตัวไป เราจะพาพวกเขาเข้าไปในแผ่นดินนั้น และพวกเขาจะรู้จักแผ่นดินที่พวกเจ้าปฏิเสธ 32 แต่พวกเจ้าจะต้องตายอยู่ในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งนี้

33 ลูกๆของพวกเจ้าจะเป็นคนเลี้ยงแกะในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งเป็นเวลาสี่สิบปี พวกเขาจะต้องทนทุกข์ทรมานเพราะความไม่ซื่อสัตย์ของพวกเจ้า จนกว่าพวกเจ้าจะตายกันหมดในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง 34 พวกเจ้าจะต้องทนทุกข์เพราะบาปของพวกเจ้าเป็นเวลาสี่สิบปี ซึ่งเท่ากับจำนวนสี่สิบวันที่พวกเจ้าเข้าไปสำรวจแผ่นดินนั้น หนึ่งปีต่อหนึ่งวัน แล้วเจ้าจะได้รู้ว่าเมื่อเราขัดขวางเจ้านั้น มันจะเป็นอย่างไร”’[i]

35 เรา ยาห์เวห์ ได้พูดไว้แล้วว่า เราจะทำอย่างนี้กับไอ้พวกชั่วช้านี้ทุกคน ที่ได้มาชุมนุมกันต่อต้านเรา พวกมันทุกคนจะต้องตายในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งนี้”

36 พวกผู้ชายที่โมเสสส่งเข้าไปสำรวจแผ่นดินนั้น ได้กลับมา และรายงานเกี่ยวกับแผ่นดินนั้นอย่างเสียๆหายๆทำให้ผู้คนทั้งหมดบ่นต่อว่าพระยาห์เวห์ 37 พระยาห์เวห์ได้ทำให้ผู้ชายพวกนี้ที่ได้รายงานเกี่ยวกับแผ่นดินนั้นอย่างเสียๆหายๆตายหมดด้วยโรคระบาด 38 ผู้ชายทั้งหมดที่เข้าไปสำรวจแผ่นดินนั้น มีแต่โยชูวาลูกชายของนูนและคาเลบลูกชายเยฟุนเนห์เท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่

ประชาชนพยายามบุกเข้าคานาอัน

(ฉธบ. 1:41-46)

39 เมื่อโมเสสบอกเรื่องนี้กับชาวอิสราเอลทุกคน พวกเขาเศร้าโศกเสียใจมาก 40 วันต่อมา พวกเขาตื่นแต่เช้าตรู่ และเริ่มตรงไปที่ยอดเนินเขานั้น พวกเขาพูดว่า “เราอยู่ที่นี่แล้ว พวกเราจะขึ้นไปยังสถานที่ที่พระยาห์เวห์ได้สัญญาไว้ เพราะพวกเราได้ทำบาปไปแล้ว”

41 โมเสสจึงพูดว่า “ตอนนี้ทำไมพวกท่านถึงขัดคำสั่งของพระยาห์เวห์ มันจะไม่สำเร็จหรอก 42 อย่าขึ้นไปเลย พวกท่านจะได้ไม่ถูกฟาดฟันจนพ่ายแพ้ต่อหน้าศัตรู เพราะพระยาห์เวห์ไม่ได้อยู่ท่ามกลางพวกท่าน 43 เพราะพวกชาวอามาเลคและชาวคานาอันจะต่อสู้กับท่านที่นั่น และพวกท่านจะถูกฆ่าฟันล้มลง เพราะพวกท่านได้หันไปจากพระยาห์เวห์ และพระยาห์เวห์ก็จะไม่อยู่กับพวกท่าน”

44 แต่พวกเขายังคงดื้อดึง ขึ้นไปบนยอดเนินเขานั้น แม้ว่าหีบศักดิ์สิทธิ์ที่ใส่ข้อตกลงของพระยาห์เวห์ และโมเสสยังไม่ได้ออกไปจากค่าย 45 ชาวอามาเลคและชาวคานาอันที่อาศัยอยู่แถบเนินเขานั้นต่างกรูกันลงมา และเข้าโจมตีพวกชาวอิสราเอลจนแตกกระเจิงไปถึงโฮรมาห์

มาระโก 5:21-43

เด็กหญิงที่ตายแล้วกับผู้หญิงที่ป่วย

(มธ. 9:18-26; ลก. 8:40-56)

21 พระเยซูลงเรือข้ามกลับไปอีกฝั่งของทะเลสาบ ฝูงชนจำนวนมากมาห้อมล้อมพระองค์ที่ริมฝั่งทะเลสาบนั้น 22 มีหัวหน้าของที่ประชุมชาวยิวคนหนึ่งชื่อ ไยรัส เข้ามากราบที่เท้าของพระเยซู 23 อ้อนวอนพระองค์อย่างหนักว่า “ลูกสาวเล็กๆของผมกำลังจะตาย ช่วยไปวางมือบนเธอด้วยเถิด เธอจะได้หายและมีชีวิตอยู่ต่อไป”

24 พระองค์จึงตามไยรัสไป แล้วผู้คนก็เดินเบียดเสียดตามพระเยซู

25 ในฝูงชนนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งที่ทนทุกข์เพราะตกเลือดมาสิบสองปีแล้ว 26 เธอทนทุกข์ทรมานมากจากการไปรักษากับหมอหลายคน และจ่ายค่ารักษาจนหมดตัว แต่ก็ยังไม่ดีขึ้น ซ้ำร้ายกลับแย่ลงไปอีก 27 เมื่อเธอได้ยินเรื่องของพระเยซู เธอก็เบียดคนเข้ามาอยู่หลังพระองค์ และแตะเสื้อคลุมของพระองค์ 28 เพราะเธอคิดในใจว่า “ถ้าฉันแค่แตะเสื้อผ้าของเขาเท่านั้น ฉันก็จะหายจากโรค” 29 เลือดที่ไหลอยู่ก็หยุดทันที และเธอก็รู้ตัวว่าหายแล้ว 30 พระเยซูรู้ทันทีว่าฤทธิ์ในตัวของพระองค์ได้แผ่ซ่านออกไป จึงหันไปถามฝูงชนว่า “ใครแตะเสื้อเรา”

31 พวกศิษย์ก็ตอบว่า “อาจารย์ ดูสิ มีคนมากขนาดไหนที่เบียดเสียดอาจารย์อยู่ แล้วอาจารย์ยังจะมาถามอีกว่า ‘ใครแตะตัวเรา’”

32 แต่พระองค์ยังคงมองไปรอบๆเพื่อจะหาคนทำ 33 ฝ่ายหญิงนั้นก็กลัวจนตัวสั่น เพราะเธอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ เธอจึงออกมาก้มลงกราบพระองค์และเล่าความจริงที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้พระองค์ฟัง 34 พระเยซูจึงพูดกับเธอว่า “ลูกเอ๋ย ความเชื่อของเจ้าทำให้เจ้าหายแล้ว ไปเป็นสุขเถิด ไม่ต้องทรมานอีกต่อไป”

35 ขณะที่พระองค์ยังพูดอยู่นั้นมีคนจากบ้านของไยรัสมาบอกเขาว่า “ลูกสาวของท่านตายแล้ว ไม่ต้องรบกวนอาจารย์อีกต่อไปแล้ว”

36 พระเยซูได้ยินที่พวกเขาคุยกันจึงบอกไยรัสว่า “ไม่ต้องกลัวหรอก ขอให้เชื่อเท่านั้น”

37 พระองค์ไม่ให้คนตามพระองค์ไปนอกจากเปโตร ยากอบ และยอห์นน้องชายของยากอบ 38 เมื่อพวกเขามาถึงบ้านของไยรัส พระองค์ก็เห็นความชุลมุนวุ่นวายและผู้คนร้องไห้คร่ำครวญดังลั่นไปหมด 39 พระองค์เข้าไปในบ้านและบอกกับพวกเขาว่า “ทำไมพวกคุณถึงร้องห่มร้องไห้เสียงดังวุ่นวายกันไปหมด เด็กคนนั้นยังไม่ตายแต่กำลังนอนหลับอยู่” 40 แต่พวกเขากลับหัวเราะเยาะพระองค์ พระองค์จึงสั่งให้ทุกคนออกไป แล้วพาพ่อแม่ของเด็กกับศิษย์ตามพระองค์เข้าไปในห้องที่เด็กคนนั้นอยู่ 41 พระองค์จับมือของเด็กแล้วพูดว่า “ทาลิธา คูม” (แปลว่า “หนูจ๋า เราบอกให้หนูลุกขึ้น”) 42 เด็กหญิงก็ลุกขึ้นมาทันที และเดินไปรอบๆห้อง (เด็กหญิงคนนี้อายุสิบสองปี) ทุกคนต่างตกตะลึง 43 พระเยซูสั่งพวกเขาไม่ให้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง และบอกให้หาอะไรมาให้เด็กกินด้วย

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International