Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Old/New Testament

Each day includes a passage from both the Old Testament and New Testament.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
อพยพ 16-18

อาหารจากสวรรค์

16 พวกเขาเดินทางจากเอลิม และที่ชุมนุมทั้งหมดของอิสราเอลได้เดินทางมาถึงที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งสีน ซึ่งอยู่ระหว่างตำบลเอลิมและภูเขาซีนาย ในวันที่สิบห้าของเดือนที่สอง[a] หลังจากที่พวกเขาออกจากประเทศอียิปต์มา ที่ชุมนุมทั้งหมดของอิสราเอล บ่นต่อว่าโมเสสกับอาโรนในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง พวกเขาบอกกับทั้งสองคนว่า “ให้มือของพระยาห์เวห์ฆ่าพวกเราตอนที่นั่งอยู่ข้างหม้อเนื้อ และกินจนอิ่มหนำในแผ่นดินอียิปต์ ยังจะดีกว่าที่พวกท่านนำชุมชนทั้งหมดนี้ออกมาอดตายในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งนี้”

พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “เรากำลังจะทำให้อาหารตกลงมาจากท้องฟ้า ในแต่ละวันให้ประชาชนออกไปเก็บอาหารนี้ได้ เก็บให้พอกินสำหรับวันหนึ่งๆเท่านั้น เพราะเราจะทดสอบดูว่า พวกเขาจะเชื่อฟังกฏของเราหรือไม่ ในวันที่หกเมื่อพวกเขาเตรียมอาหารที่พวกเขาเก็บมา อาหารนั้นจะมีมากขึ้นเป็นสองเท่าของอาหารที่พวกเขาเก็บมาในแต่ละวัน”[b]

โมเสสและอาโรนจึงพูดกับประชาชนชาวอิสราเอลทั้งหมดว่า “เย็นนี้พวกท่านจะได้รู้ว่า พระยาห์เวห์ได้นำพวกท่านออกจากแผ่นดินอียิปต์ และในตอนเช้าพวกท่านจะเห็นรัศมีของพระยาห์เวห์[c] เพราะพระองค์ได้ยินเสียงบ่นของพวกท่าน ที่บ่นต่อว่าพระองค์แล้ว ส่วนเราสองคนเป็นใครกัน พวกท่านถึงได้มาบ่นต่อว่าเรา”

โมเสสพูดว่า “เพราะพระยาห์เวห์ได้ยินเสียงบ่นของพวกท่าน ที่ท่านบ่นต่อว่าพระองค์ ดังนั้นเย็นนี้ พระองค์จะส่งเนื้อมาให้กิน ส่วนพรุ่งนี้ พระองค์จะส่งขนมปังมาให้จนท่านอิ่ม ส่วนเราสองคนเป็นใครกัน พวกท่านถึงได้มาบ่นต่อว่าเรา พวกท่านไม่ได้บ่นต่อว่าเราหรอกนะ แต่บ่นต่อว่าพระยาห์เวห์ต่างหาก”

โมเสสพูดกับอาโรนว่า “ให้บอกกับที่ชุมนุมของชาวอิสราเอลทั้งหมดว่า ให้เข้ามาใกล้พระยาห์เวห์ เพราะพระองค์ได้ยินเสียงบ่นของพวกเจ้าแล้ว”

10 เมื่ออาโรนพูดกับที่ชุมนุมของชาวอิสราเอลทั้งหมด พวกเขาก็หันหลังไปทางที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง และเห็นรัศมีของพระยาห์เวห์ปรากฏอยู่ในเมฆ

11 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า 12 “เราได้ยินเสียงบ่นของประชาชนชาวอิสราเอลแล้ว ให้บอกกับพวกเขาว่า ‘ในตอนเย็น พวกเจ้าจะได้กินเนื้อและในตอนเช้าพวกเจ้าจะได้กินอาหารจนอิ่ม เพื่อเจ้าจะได้รู้ว่า เราคือยาห์เวห์ พระเจ้าของพวกเจ้า’”

13 ในตอนเย็นฝูงนกคุ่มบินมาปกคลุมค่าย ในตอนเช้ามีน้ำค้างเกาะอยู่รอบๆค่าย 14 เมื่อน้ำค้างหายไปก็มีเกล็ดบางๆอยู่บนพื้นผิวที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง มันละเอียดเหมือนเกล็ดน้ำแข็งอยู่บนพื้น 15 เมื่อประชาชนชาวอิสราเอลเห็น พวกเขาก็ถามกันว่า “นี่อะไร”[d] เพราะพวกเขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร โมเสสจึงพูดกับพวกเขาว่า “มันคืออาหารที่พระยาห์เวห์ให้กับพวกท่านกิน” 16 พระยาห์เวห์สั่งไว้อย่างนี้ว่า “ให้แต่ละคนเก็บเท่าที่ตัวเองจะกินได้ และให้เก็บเผื่อคนที่อยู่ในเต็นท์ของเขาด้วย โดยเก็บให้คนละหนึ่งโอเมอร์”[e]

17 ลูกหลานชาวอิสราเอลก็ทำตามนั้น บางคนก็เก็บมาก บางคนก็เก็บน้อย 18 แต่เมื่อพวกเขาใช้โอเมอร์ตวง คนที่เก็บมามาก ก็ไม่ได้เกิน คนที่เก็บมาน้อย ก็ไม่ขาด แต่ละคนก็เก็บเท่าที่ตัวเองจะกินได้หมด

19 โมเสสบอกกับพวกเขาว่า “ห้ามไม่ให้ใครเหลืออาหารไว้จนถึงวันรุ่งขึ้น” 20 แต่พวกเขาไม่ฟังโมเสส บางคนเหลืออาหารไว้จนถึงวันรุ่งขึ้น มันก็เกิดเป็นหนอนเน่าเหม็น โมเสสจึงโกรธพวกเขา

21 ทุกๆเช้าแต่ละคนจะเก็บอาหารตามที่เขาจะกินได้หมด แต่เมื่อแดดจ้าแผดเผา มันก็ละลายไป

22 เมื่อถึงวันที่หก พวกเขาเก็บอาหารมากเป็นสองเท่า คนละสองโอเมอร์[f] พวกหัวหน้าทุกคนของที่ชุมนุมชน ได้มารายงานโมเสสเกี่ยวกับเรื่องนี้

23 โมเสสจึงบอกกับพวกเขาว่า “นี่คือคำสั่งของพระยาห์เวห์ ‘พรุ่งนี้คือวันหยุดทางศาสนา เป็นวันหยุดพักผ่อนอันศักดิ์สิทธิ์ให้กับพระยาห์เวห์ พวกท่านอยากอบอะไรก็ไปอบ อยากต้มอะไรก็ไปต้ม และให้แยกส่วนที่เหลือเก็บไว้จนถึงพรุ่งนี้เช้า’”

24 พวกเขาจึงแยกมันไว้ ตามที่โมเสสสั่งไว้ อาหารนั้นก็ไม่เน่าเหม็นและไม่มีหนอนด้วย

25 โมเสสพูดว่า “ให้กินอาหารนั้นในวันนี้ เพราะวันนี้เป็นวันหยุดทางศาสนาให้กับพระยาห์เวห์ วันนี้พวกท่านจะไม่เจออาหารในท้องทุ่ง 26 พวกท่านจะเก็บอาหารได้หกวัน แต่ในวันที่เจ็ด ซึ่งเป็นวันหยุดทางศาสนา จะไม่มีอาหารให้เก็บ”

27 ในวันที่เจ็ด ก็ยังมีบางคนออกไปเก็บอาหาร แต่ไม่พบอาหาร 28 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “พวกเจ้าจะไม่เชื่อฟังคำสั่งและกฎต่างๆของเราไปอีกนานแค่ไหน 29-30 ดูซิ พระยาห์เวห์ได้ให้วันหยุดทางศาสนากับพวกเจ้า นั่นเป็นเหตุที่ ในวันที่หก พระองค์ถึงได้ให้อาหารกับพวกเจ้า เพียงพอสำหรับสองวัน เพื่อในวันที่เจ็ด พวกเจ้าแต่ละคนจะได้หยุดพักผ่อนอยู่กับบ้าน ไม่ควรมีใครออกจากบ้านในวันที่เจ็ดนั้น”

31 ประชาชนชาวอิสราเอลเรียกอาหารนี้ว่า “มานา” มันเหมือนกับเมล็ดผักชี สีขาว และรสชาติเหมือนกับขนมปังแผ่นที่ทำจากน้ำเชื่อมผลไม้ 32 โมเสสพูดว่า “นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์ได้สั่งไว้ คือ ‘ให้เอามานามาหนึ่งโอเมอร์ เก็บไว้ให้ลูกหลานของเจ้าดูในอนาคต เพื่อพวกเขาจะได้เห็นอาหารที่เราได้ให้พวกเจ้ากินในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง ตอนที่เราพาพวกเจ้าออกมาจากแผ่นดินอียิปต์’”

33 โมเสสพูดกับอาโรนว่า “เอาภาชนะมา และเอามานาหนึ่งโอเมอร์ใส่ไว้ในมัน เอามันมาวางไว้ตรงหน้าพระยาห์เวห์ เพื่อจะเก็บไว้ให้ลูกหลานของพวกท่านดูในอนาคต” 34 อาโรนได้วางภาชนะนั้นลงตรงหน้าแผ่นหิน[g] ตามที่พระยาห์เวห์ได้สั่งโมเสสไว้ 35 ประชาชนชาวอิสราเอลได้กินมานาถึงสี่สิบปี จนพวกเขามาถึงแผ่นดินที่อาศัยอยู่ได้ พวกเขากินมานา มาจนกระทั่งมาถึงเขตแดนของแผ่นดินคานาอัน 36 (หนึ่งโอเมอร์ เท่ากับหนึ่งในสิบเอฟาห์[h])

น้ำจากก้อนหิน

(กดว. 20:1-13)

17 ขบวนอิสราเอลเดินทางจากที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งสีน ตามที่พระยาห์เวห์ได้สั่งไว้ พวกเขามาตั้งค่ายอยู่ที่เรฟีดิม แต่ไม่มีน้ำให้พวกเขาดื่ม พวกเขามาโต้เถียงกับโมเสส และพูดว่า “หาน้ำให้เราดื่มซะ”

โมเสสบอกพวกเขาว่า “พวกท่านมาโต้เถียงกับเราทำไม ทำไมพวกท่านถึงได้ลองดีกับพระเจ้า”

แต่ผู้คนหิวกระหายน้ำมากที่นั่น พวกเขาบ่นต่อว่าโมเสส พวกเขาพูดว่า “ท่านพาเราออกมาจากอียิปต์ทำไมกัน เพื่อฆ่าเรา ลูกหลานของเรา และฝูงสัตว์เลี้ยงของเรา ด้วยการอดน้ำตายอย่างนั้นหรือ”

แล้วโมเสสได้ร้องต่อพระยาห์เวห์ว่า “จะให้ข้าพเจ้าทำยังไงดีกับคนพวกนี้ เดี๋ยวพวกนี้ก็จะเอาหินขว้างข้าพเจ้าแล้ว”

พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “ให้เดินนำหน้าพวกเขาไป ให้พาผู้อาวุโสของอิสราเอลส่วนหนึ่งไปกับเจ้าด้วย และให้ถือไม้เท้าที่เจ้าเคยใช้ตีแม่น้ำไนล์ติดมือไปด้วย เราจะยืนอยู่ต่อหน้าเจ้า บนหินก้อนหนึ่งของภูเขาโฮเรบ เมื่อเจ้าตีหินก้อนนั้น จะมีน้ำไหลออกมา แล้วคนจะได้ดื่มกินกัน”

แล้วโมเสสก็ทำตามนั้นต่อหน้าต่อตาพวกผู้อาวุโสของอิสราเอล เขาตั้งชื่อสถานที่นั้นว่า มัสสาห์[i] และเมรีบาห์[j] เพราะชาวอิสราเอลได้โต้เถียงกับโมเสส และเพราะพวกเขาได้ลองดีกับพระยาห์เวห์ โดยพูดว่า “พระยาห์เวห์ยังอยู่กับพวกเราหรือเปล่า”

สงครามกับพวกอามาเลค

ชาวอามาเลคได้ยกทัพมาต่อสู้กับชาวอิสราเอลในตำบลเรฟีดิม โมเสสพูดกับโยชูวาว่า “ไปเลือกพวกชายหนุ่มมาให้กับพวกเรา เพื่อออกไปสู้รบกับพวกอามาเลค พรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะไปยืนอยู่บนยอดเขา และถือไม้เท้าของพระเจ้าในมือ”

10 โยชูวาจึงทำตามที่โมเสสสั่ง ออกไปสู้รบกับชาวอามาเลค ส่วนโมเสส อาโรน และเฮอร์ ขึ้นไปยืนอยู่บนยอดเขา 11 โมเสสยกแขนขึ้นเมื่อไหร่ เมื่อนั้นอิสราเอลก็มีชัยเหนือกว่า แต่เมื่อไหร่ที่โมเสสเอาแขนลง ชาวอามาเลคก็จะมีชัยเหนือกว่า

12 เมื่อโมเสสเมื่อยแขน พวกเขาก็เอาก้อนหินมาวางให้โมเสสนั่ง แล้วอาโรนกับเฮอร์ก็ช่วยพยุงแขนของโมเสสไว้คนละข้าง แขนของเขาจึงยังคงยกอยู่อย่างนั้นจนตะวันตกดิน 13 โยชูวาทำให้ชาวอามาเลคและกองทัพของมัน พ่ายแพ้ไปด้วยคมดาบของเขา

14 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “ให้จดบันทึกเหตุการณ์นี้ไว้ในสมุด เพื่อเป็นอนุสรณ์เตือนใจ และให้กรอกหูของโยชูวาว่า เราจะลบความทรงจำที่มีต่อพวกอามาเลคให้หมดไปจากทั่วใต้ฟ้า”

15 แล้วโมเสสก็สร้างแท่นบูชาขึ้น เขาตั้งชื่อแท่นบูชานี้ว่า “พระยาห์เวห์คือธงชัยของข้าพเจ้า” 16 เขาพูดว่า “ชูธงชัยของพระยาห์เวห์ไว้[k] พระยาห์เวห์จะทำสงครามกับพวกอามาเลคตลอดไปทุกรุ่น”

คำแนะนำจากพ่อตาของโมเสส

(ฉธบ. 1:9-18)

18 เยโธร นักบวชของมีเดียน ซึ่งเป็นพ่อตาของโมเสส ได้ยินเรื่องทั้งหมดที่พระเจ้าได้ทำให้กับโมเสส และอิสราเอลคนของพระองค์ รวมทั้งเรื่องที่พระยาห์เวห์ได้นำชาวอิสราเอลออกจากอียิปต์ เยโธร พ่อตาของโมเสส ได้พาศิปโปราห์เมียของโมเสสมา หลังจากที่โมเสสได้ส่งเมียของเขากลับไปอยู่กับเยโธร เยโธรได้พาลูกชายทั้งสองของนางมาด้วย คนหนึ่งชื่อ เกอร์โชม[l] เพราะโมเสสพูดว่า “ผมเป็นคนต่างด้าวที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินของคนอื่น” อีกคนหนึ่งชื่อเอลีเยเซอร์[m] เพราะโมเสสพูดว่า “พระเจ้าของพ่อผมคือผู้ที่ช่วยเหลือผม และพระองค์ได้ช่วยชีวิตผมให้พ้นจากคมดาบของฟาโรห์” เยโธรพ่อตาของโมเสส ลูกชายทั้งสองของโมเสส และเมียของโมเสส ไปหาโมเสสที่ค่าย ซึ่งตั้งอยู่ในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง ที่ภูเขาของพระเจ้า[n]

เยโธรส่งคนไปบอกโมเสสว่า “เรา เยโธรพ่อตาของท่าน กำลังจะมาหาท่าน พร้อมกับพาเมียของท่าน และลูกชายสองคนของนางมาด้วย”

โมเสสออกมาพบกับพ่อตาของเขา เขาก้มกราบลงและจูบเยโธร หลังจากที่พวกเขาทักทายกันเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็เข้าไปในเต็นท์ โมเสสได้เล่าให้พ่อตาฟังว่า พระยาห์เวห์ได้ทำอะไรบ้างต่อฟาโรห์และคนอียิปต์ เพื่อช่วยชาวอิสราเอล รวมทั้งความยากลำบากที่ชาวอิสราเอลต้องพบในระหว่างทาง และพระยาห์เวห์ได้ช่วยพวกเขาไว้อย่างไร

เยโธรก็ดีใจกับสิ่งดีๆทั้งหมด ที่พระยาห์เวห์ได้ทำให้กับคนอิสราเอล เมื่อพระองค์ได้ช่วยให้พวกเขาพ้นจากเงื้อมมือของชาวอียิปต์ 10 เยโธรพูดว่า

สรรเสริญพระยาห์เวห์
    ที่ได้ช่วยชีวิตพวกท่านให้พ้นจากเงื้อมมือของชาวอียิปต์
    และจากเงื้อมมือของฟาโรห์
11 ตอนนี้ ข้าพเจ้ารู้แล้วว่าพระยาห์เวห์ยิ่งใหญ่
    กว่าพระอื่นๆทั้งหมด
เพราะพระองค์ได้ช่วยเหลือประชาชนให้พ้นจากการกดขี่ของชาวอียิปต์
    ตอนที่ชาวอียิปต์ได้ทำต่อคนอิสราเอลอย่างเย่อหยิ่งจองหอง

12 เยโธร พ่อตาของโมเสส นำพวกเครื่องเผาบูชาและเครื่องบูชา มาถวายให้กับพระเจ้า อาโรนและพวกผู้อาวุโสของอิสราเอลทั้งหมด ก็ได้มาร่วมกินอาหารกับพ่อตาของโมเสส ต่อหน้าพระเจ้า

13 วันต่อมา โมเสสนั่งตัดสินคดีให้กับผู้คน มีคนยืนห้อมล้อมโมเสสตั้งแต่เช้าจนเย็น

14 พ่อตาโมเสสเห็นทุกอย่างที่โมเสสได้ทำให้กับประชาชน เขาถามโมเสสว่า “ท่านกำลังทำอะไรให้ประชาชนเหล่านี้อยู่หรือ ทำไมท่านถึงนั่งอยู่คนเดียว ในขณะที่คนอื่นๆต่างก็ยืนห้อมล้อมท่านตั้งแต่เช้าจนเย็น”

15 โมเสสตอบพ่อตาไปว่า “คนเหล่านี้มาหาผม เพื่อให้ผมช่วยสอบถามพระเจ้า 16 เมื่อพวกเขาทะเลาะกัน พวกเขาจะมาหาผม ให้ผมช่วยตัดสิน เพราะผมเป็นคนสอนให้ทุกคนรู้เกี่ยวกับกฎและระเบียบของพระเจ้า”

17 พ่อตาโมเสสจึงพูดว่า “ที่ท่านกำลังทำอยู่นี้ มันไม่ดี 18 เพราะทั้งท่านและคนพวกนั้นจะหมดแรงไปก่อนแน่ เพราะงานมันยากเกินไปสำหรับท่าน ท่านทำคนเดียวไม่ได้หรอก 19 ฟังนะ เราจะให้คำแนะนำกับท่าน เพื่อพระเจ้าจะอยู่กับท่าน ท่านคือตัวแทนของประชาชนต่อหน้าพระเจ้า ที่จะเอาเรื่องโต้เถียงของพวกเขาไปบอกกับพระเจ้า 20 ท่านสามารถสอนกฎและระเบียบต่างๆให้กับพวกเขาได้ และบอกให้พวกเขารู้ถึงทางที่พวกเขาควรจะเดินและสิ่งที่พวกเขาควรจะทำ 21 ให้ท่านเลือกคนจากท่ามกลางพวกเขาทั้งหมดมา เลือกคนที่มีความสามารถ ที่นับถือพระเจ้า ซื่อสัตย์ และเกลียดการรับสินบน ให้ท่านแต่งตั้งคนพวกนี้ เป็นเจ้าหน้าที่ดูแลคนเหล่านั้น มีทั้งเจ้าหน้าที่ที่ดูแลคนเป็นพัน คนเป็นร้อย คนเป็นห้าสิบ และคนเป็นสิบ 22 เจ้าหน้าที่พวกนี้ จะตัดสินคดีให้กับคนพวกนั้นตลอดเวลา เรื่องใหญ่ๆพวกเขาถึงค่อยเอามาให้ท่านตัดสิน เรื่องเล็กๆพวกเขาก็ตัดสินเอง มันจะได้ง่ายขึ้นสำหรับตัวท่าน และพวกเขาก็จะช่วยแบ่งเบาภาระให้กับท่าน 23 ถ้าท่านทำอย่างนี้ ตามที่พระเจ้าสั่งให้ท่านทำ ท่านจะได้มีเรี่ยวแรงที่จะทำงานต่อไปได้ และคนพวกนี้ก็จะแยกย้ายกลับบ้านอย่างสงบสุข”

24 โมเสสฟังสิ่งที่พ่อตาพูด และทำตามที่เขาบอกทุกอย่าง 25 โมเสสได้เลือกคนที่มีความสามารถจากชาวอิสราเอล และแต่งตั้งให้พวกเขาเป็นหัวหน้าดูแลประชาชน มีทั้งเจ้าหน้าที่ที่ดูแลคนพันคนบ้าง ร้อยคนบ้าง ห้าสิบคนบ้าง และสิบคนบ้าง 26 พวกเขาตัดสินคดีให้กับประชาชนตลอดเวลา คดียากๆพวกเขาจะเอามาให้โมเสสตัดสิน ส่วนคดีเล็กๆทั้งหลายพวกเขาตัดสินเอง

27 แล้วโมเสสก็ส่งพ่อตาของเขาไป แล้วเขาก็ได้กลับไปยังประเทศของตน

มัทธิว 18:1-20

ใครเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด

(มก. 9:33-37; ลก. 9:46-48)

18 ในเวลานั้นพวกศิษย์ได้มาถามพระเยซูว่า “ใครเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรแห่งสวรรค์ครับ”

พระเยซูเรียกเด็กเล็กๆคนหนึ่งให้มายืนอยู่ท่ามกลางพวกศิษย์ แล้วพระองค์พูดกับพวกเขาว่า “เราจะบอกให้รู้ว่า ถ้าพวกคุณไม่ยอมเปลี่ยนตัวเองให้เป็นเหมือนเด็กเล็กๆ คุณจะไม่มีวันได้เข้าไปในอาณาจักรแห่งสวรรค์เลย ดังนั้นใครก็ตามที่ทำตัวอ่อนน้อมถ่อมตนเหมือนเด็กเล็กๆคนนี้ ก็จะเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรแห่งสวรรค์

ใครก็ตามที่ต้อนรับเด็กเล็กๆอย่างนี้เพราะเห็นแก่เรา คนนั้นก็ได้ต้อนรับเราด้วย

พระเยซูเตือนเรื่องสิ่งต่างๆที่ยั่วยุให้คนทำบาป

(มก. 9:42-48; ลก. 17:1-2)

ระหว่างการทำให้คนที่ต่ำต้อยคนหนึ่งในพวกนี้ที่ไว้วางใจในเราหลงไปทำบาป กับการถูกถ่วงน้ำโดยมีหินโม่แป้ง[a] ผูกคอไว้ อย่างหลังนี้ก็ยังจะดีกว่า โลกนี้มันน่าละอายจริงๆเพราะสิ่งต่างๆที่มายั่วยุให้คนทำบาป เรื่องอย่างนี้หนีไม่พ้นหรอก ต้องเกิดขึ้นแน่ แต่คนที่ก่อเรื่องแบบนี้ขึ้นมาน่าละอายจริงๆ ดังนั้นถ้ามือหรือเท้าของคุณเองทำให้คุณทำบาป ตัดมันทิ้งเลย เพราะมือด้วนหรือเท้าด้วน แล้วมีชีวิตแท้ตลอดไป ยังดีกว่ามีมือหรือเท้าครบทั้งสองข้าง แต่ถูกโยนลงในไฟที่ไม่มีวันดับ ถ้าตาของคุณทำให้คุณทำบาป ควักมันทิ้งเลย เพราะเหลือตาข้างเดียวแล้วมีชีวิตแท้ตลอดไป ก็ยังดีกว่ามีตาครบทั้งสองข้าง แต่ต้องถูกโยนลงในไฟนรก

เรื่องแกะที่หลงหาย

(ลก. 15:3-7)

10 ระวังให้ดี อย่าดูถูกคนที่ต่ำต้อยพวกนี้ของเราแม้แต่คนเดียว เราจะบอกให้รู้ว่า ที่บนสวรรค์นั้น ทูตประจำตัวของพวกเขาเฝ้าอยู่ต่อหน้าพระบิดาของเราเสมอ 11 [b]

12 พวกคุณคิดอย่างไร ถ้าชายคนหนึ่งมีแกะอยู่ร้อยตัว แล้วมีตัวหนึ่งหายไป เขาจะไม่ทิ้งแกะทั้งเก้าสิบเก้าตัวไว้บนภูเขา และออกตามหาแกะที่หายไปหรือ 13 เมื่อเขาพบแกะตัวนั้นแล้ว เราจะบอกให้รู้ว่า เขาจะดีใจที่ได้พบแกะตัวนั้นมากกว่าที่มีแกะเก้าสิบเก้าตัวที่ไม่ได้หายไปไหน 14 พระบิดาของพวกคุณที่อยู่บนสวรรค์ก็เหมือนกัน ไม่อยากให้คนที่ต่ำต้อยพวกนี้ของเราสักคนหลงหายไป

เมื่อมีคนทำผิดต่อเรา

(ลก. 17:3)

15 ถ้าพี่น้องทำบาปต่อคุณ[c] ก็ให้ไปชี้แจงความผิดของเขาตัวต่อตัว ถ้าเขาฟัง คุณก็ได้เขากลับมาเป็นพี่น้องอีก 16 แต่ถ้าเขาไม่ยอมฟัง ก็ให้พาอีกคนหรือสองคนไปหาเขาด้วยกัน เพื่อจะได้มีพยานรู้เห็นสองหรือสามคน 17 ถ้าเขายังไม่ยอมฟังอีก ก็ให้เอาเรื่องนี้ไปบอกหมู่ประชุมของพระเจ้า และถ้าเขายังไม่ฟังแม้แต่หมู่ประชุมของพระเจ้า ก็ให้ทำกับเขาเหมือนกับเป็นคนนอกศาสนาหรือคนเก็บภาษี

18 เราจะบอกให้รู้ว่า อะไรก็ตามที่พวกคุณห้ามในโลกนี้ พระเจ้าที่อยู่บนสวรรค์ก็จะห้ามด้วย และอะไรก็ตามที่พวกคุณยอมในโลกนี้ พระเจ้าที่อยู่บนสวรรค์ก็จะยอมด้วย

19 เราจะบอกให้รู้อีกว่า ถ้าพวกคุณที่อยู่ในโลกนี้สองคนเห็นด้วยกันที่จะขอสิ่งใดสิ่งหนึ่ง พระบิดาของเราที่อยู่บนสวรรค์ก็จะทำให้ 20 เพราะที่ไหนก็ตาม ที่มีสองหรือสามคนมาอยู่รวมกันเพราะเป็นศิษย์ของเรา เราก็จะอยู่กับพวกเขาที่นั่น”

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International