Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Old/New Testament

Each day includes a passage from both the Old Testament and New Testament.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
อพยพ 9-11

พระเจ้าให้เกิดโรคระบาดกับสัตว์

พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “ไปหาฟาโรห์และบอกกับเขาว่ายาห์เวห์พระเจ้าของชาวฮีบรู พูดอย่างนี้ว่า ‘ปล่อยประชาชนของเรา เพื่อพวกเขาจะได้มารับใช้เรา’ เพราะถ้าเจ้ายังไม่ยอมปล่อยพวกเขา และยังคงกักตัวพวกเขาไว้ มือของพระยาห์เวห์จะทำให้ฝูงสัตว์เลี้ยงที่อยู่ในท้องทุ่งของเจ้า เกิดโรคระบาดอย่างร้ายแรง ทั้งฝูงม้า ฝูงลา ฝูงอูฐ ฝูงวัวควาย และฝูงแพะแกะ แต่พระยาห์เวห์จะแยกระหว่างฝูงสัตว์ของคนอิสราเอลกับฝูงสัตว์ของคนอียิปต์ ฝูงสัตว์ของลูกหลานอิสราเอลจะไม่ตายแม้แต่ตัวเดียว พระยาห์เวห์ได้กำหนดเวลาไว้ว่าพรุ่งนี้พระยาห์เวห์จะลงมือทำสิ่งนี้ในแผ่นดินนี้”

วันต่อมา พระยาห์เวห์ได้ทำสิ่งที่ได้พูดไว้ ฝูงสัตว์ทั้งหมดของคนอียิปต์ล้มตาย แต่ฝูงสัตว์ของคนอิสราเอลไม่ตายแม้แต่ตัวเดียว ฟาโรห์ส่งคนออกไปดูและพบว่าฝูงสัตว์ของคนอิสราเอลไม่ตายแม้แต่ตัวเดียว แต่จิตใจของฟาโรห์ยังแข็งกระด้าง และเขาก็ไม่ยอมปล่อยชาวอิสราเอลไป

โรคฝีพุพอง

พระยาห์เวห์บอกโมเสสและอาโรนว่า ให้เอาเขม่าจากเตาหลอมมาหนึ่งกำมือ และโยนขึ้นไปบนท้องฟ้า ต่อหน้าฟาโรห์ มันจะกลายเป็นฝุ่นฟุ้งตลบไปทั่วแผ่นดินอียิปต์ มันจะทำให้เกิดฝีพุพองบนผิวหนังคนและสัตว์ไปทั่วแผ่นดินอียิปต์

10 พวกเขาจึงไปหยิบเขม่าจากเตาหลอม และไปยืนต่อหน้าฟาโรห์ โมเสสโยนเขม่านั้นขึ้นไปบนท้องฟ้า มันกลายเป็นฝีพุพองไปทั่วตัวคนและสัตว์ทั้งหลาย 11 แม้แต่พวกพระที่มีเวทมนตร์คาถา ก็ไม่สามารถที่จะยืนอยู่ต่อหน้าโมเสสได้ เพราะเกิดฝีพุพองตามตัวพวกเขาและคนอียิปต์ทุกคน 12 แต่พระยาห์เวห์ยังคงทำให้ฟาโรห์ใจแข็งกระด้าง และฟาโรห์ก็ไม่ยอมฟังพวกเขา เหมือนกับที่พระยาห์เวห์บอกไว้

ฝนลูกเห็บ

13 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “เช้าตรู่วันพรุ่งนี้ ให้ไปยืนอยู่ต่อหน้าฟาโรห์ และบอกกับเขาว่า ยาห์เวห์พระเจ้าของชาวฮีบรู พูดอย่างนี้ว่า ‘ปล่อยประชาชนของเรา เพื่อพวกเขาจะได้มารับใช้เรา 14 เพราะในครั้งนี้เราจะให้ภัยพิบัติต่างๆเกิดขึ้นกับเจ้า พวกข้าราชการของเจ้าและประชาชนของเจ้า เพื่อเจ้าจะได้รู้ว่าไม่มีใครเหมือนเราอีกแล้วบนโลกนี้ 15 เพราะความจริงแล้ว เราสามารถที่จะยื่นมือของเราออกมาจัดการให้เจ้าและประชาชนของเจ้าเป็นโรคระบาดได้ เพื่อเจ้าจะได้ถูกทำลายไปจากโลกนี้ 16 แต่เรายังปล่อยให้เจ้าอยู่ต่อไป เพื่อเราจะได้แสดงความแข็งแกร่งของเราให้เจ้าเห็น และจะได้ป่าวประกาศชื่อของเราไปทั่วโลก 17 ถ้าเจ้ายังถือดีที่จะไม่ยอมปล่อยประชาชนของเรา 18 พรุ่งนี้ เวลานี้ เราจะทำให้เกิดลูกเห็บขนาดใหญ่ตกลงมา จะเป็นฝนลูกเห็บชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในอียิปต์ ตั้งแต่ก่อตั้งอียิปต์มาจนถึงเดี๋ยวนี้ 19 ตอนนี้ ให้เอาฝูงสัตว์ของเจ้าและทุกอย่างที่เจ้ามีในท้องทุ่งเข้ามาใต้ที่กำบัง คนหรือสัตว์ที่อยู่ในท้องทุ่งที่ไม่เข้ามาหลบข้างในจะตายกันหมด เมื่อลูกเห็บตกลงมา’”

20 พวกข้าราชการของฟาโรห์ ที่เชื่อคำพูดของพระยาห์เวห์ ต่างรีบพาพวกคนรับใช้และฝูงสัตว์ของเขา เข้ามาข้างใน 21 แต่พวกที่ไม่ใส่ใจกับคำพูดของพระยาห์เวห์ ยังคงปล่อยให้พวกคนรับใช้และฝูงสัตว์ของเขาอยู่ในท้องทุ่ง

22 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “ให้ยื่นแขนของเจ้าออกไปในท้องฟ้าเพื่อลูกเห็บจะได้ตกลงมาในแผ่นดินอียิปต์ จะได้ตกลงมาบนคนอียิปต์ ฝูงสัตว์และพืชทั้งหมดในท้องทุ่งของแผ่นดินอียิปต์”

23 โมเสสจึงยื่นไม้เท้าของเขาออกไปในท้องฟ้า พระยาห์เวห์ทำให้เกิดฟ้าร้อง ลูกเห็บตก พร้อมกับสายฟ้าแลบ พระยาห์เวห์ทำให้ลูกเห็บ ตกแบบห่าฝนลงบนแผ่นดินอียิปต์ 24 มีทั้งลูกเห็บตกพร้อมกับสายฟ้าแลบตลอดเวลา มันรุนแรงมากแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในแผ่นดินอียิปต์ ตั้งแต่มีชาติอียิปต์มา 25 ลูกเห็บได้ทำลายแผ่นดินอียิปต์ไปทั่ว ทุกอย่างที่อยู่ในท้องทุ่ง ตั้งแต่คนไปจนถึงสัตว์ ลูกเห็บได้ทำลายพืชผลและต้นไม้ทุกต้นในท้องทุ่ง 26 ยกเว้นในโกเชน ที่ลูกหลานของคนอิสราเอลอยู่ ไม่มีลูกเห็บตกเลย

27 ฟาโรห์เรียกตัวโมเสสและอาโรนมาพบและพูดกับพวกเขาว่า “เราได้ทำบาปไปแล้วครั้งนี้ พระยาห์เวห์คือฝ่ายถูก เราและประชาชนของเราเป็นฝ่ายผิด 28 อธิษฐานต่อพระยาห์เวห์ ขอให้หยุดฟ้าร้องกับลูกเห็บได้แล้ว พอแล้ว เรายอมปล่อยพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้าไม่ต้องอยู่อีกต่อไปแล้ว”

29 โมเสสกล่าวว่า “เมื่อข้าพเจ้าออกจากเมืองนี้ ข้าพเจ้าจึงจะกางแขนออกต่อหน้าพระยาห์เวห์ ฟ้าจะหยุดร้องและจะไม่มีลูกเห็บอีกต่อไป แล้วท่านจะได้รู้ว่า โลกนี้เป็นของพระยาห์เวห์ 30 แต่ข้าพเจ้ารู้ว่าทั้งท่านและข้าราชการของท่านยังคงไม่ได้เกรงกลัวพระเจ้ายาห์เวห์หรอก”

31 ต้นป่านและข้าวบาร์เลย์ถูกทำลายเสียหาย เพราะต้นป่านยังเป็นต้นอ่อนอยู่ และต้นข้าวบาร์เลย์กำลังออกรวง 32 แต่ข้าวสาลีและข้าวสแปลต์ไม่ได้ถูกทำลายเพราะงอกช้า

33 เมื่อโมเสสจากฟาโรห์และออกจากเมืองนั้น เขากางแขนออกต่อพระยาห์เวห์ ทันใดนั้นฟ้าหยุดร้อง ลูกเห็บหยุดตก และฝนก็ไม่ได้ตกลงสู่พื้นดินอีก

34 แต่เมื่อฟาโรห์เห็นฝน ลูกเห็บ และฟ้าร้องหยุดหมดแล้ว เขาก็บาปอีก ใจแข็งกระด้างอีก ทั้งเขาและข้าราชการของเขา 35 ในที่สุดหัวใจของฟาโรห์ได้แข็งกระด้าง และไม่ยอมปล่อยลูกหลานอิสราเอลไป เหมือนกับที่พระยาห์เวห์ได้บอกโมเสสไว้

ฝูงตั๊กแตน

10 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “ไปหาฟาโรห์ เพราะเราได้ทำให้เขาและพวกข้าราชการของเขามีจิตใจแข็งกระด้าง เพื่อเราจะได้แสดงสิ่งอัศจรรย์พวกนี้ท่ามกลางพวกเขา เจ้าจะได้เล่าให้ลูกหลานของเจ้าฟังว่า เราได้ทำอะไรไว้กับชาวอียิปต์บ้าง และเล่าถึงสิ่งอัศจรรย์ต่างๆที่เราได้ทำท่ามกลางพวกเขา เพื่อพวกเจ้าจะได้รู้ว่าเราคือยาห์เวห์”

โมเสสกับอาโรนจึงไปพบฟาโรห์ และพูดกับพระองค์ว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าของชาวฮีบรูพูดไว้อย่างนี้ว่า ‘เจ้าจะไม่ยอมถ่อมตัวลงต่อหน้าเราไปอีกนานแค่ไหน ปล่อยคนของเราไปเพื่อเขาจะได้มารับใช้เรา ถ้าเจ้ายังไม่ยอมปล่อยคนของเรา เราจะส่งฝูงตั๊กแตนมาในประเทศของเจ้าพรุ่งนี้ พวกมันจะปกคลุมไปทั่วพื้นดิน จนไม่มีใครสามารถมองเห็นพื้นดินได้ พวกตั๊กแตนจะกินทุกสิ่งทุกอย่างที่ยังหลงเหลือให้กับพวกเจ้าหลังจากลูกเห็บตก มันจะกินต้นไม้ทุกต้นของพวกเจ้าที่กำลังเติบโตอยู่ในท้องทุ่ง บ้านเรือนของเจ้า ของพวกข้าราชการของเจ้า และของชาวอียิปต์ จะมีตั๊กแตนเต็มไปหมด พวกพ่อและพวกปู่ของพวกเจ้า จะยังไม่เคยเห็นอะไรอย่างนี้มาก่อนเลย ตั้งแต่มีชีวิตอยู่บนแผ่นดินนี้มาจนถึงเดี๋ยวนี้’” แล้วโมเสสได้หันออกมาจากฟาโรห์

พวกข้าราชการของฟาโรห์พูดกับฟาโรห์ว่า “ชายคนนี้จะเป็นกับดักสำหรับเราไปอีกนานแค่ไหน ขอให้ท่านปล่อยพวกเขาไปเถอะ เพื่อพวกเขาจะได้ไปรับใช้ยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา นี่ท่านยังไม่เข้าใจอีกหรือว่าอียิปต์กำลังถูกทำลาย”

โมเสสและอาโรนจึงถูกนำตัวกลับมา ฟาโรห์พูดกับพวกเขาว่า “ไปรับใช้ยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าซะ แต่บอกมาก่อนว่ามีใครไปบ้าง”

โมเสสตอบว่า “ไปกันหมดเลย ทั้งคนหนุ่มสาวและคนแก่ ทั้งลูกชาย ลูกสาว พร้อมทั้งฝูงแกะและฝูงวัวของเรา เพราะเราจะไปร่วมเฉลิมฉลองงานเทศกาลของพระยาห์เวห์”

10 ฟาโรห์พูดกับพวกเขาว่า “ถ้าเราปล่อยแกและพวกลูกๆของแก ก็ขอให้พระยาห์เวห์อยู่กับพวกแกจริงๆเถอะ หน้าพวกแกมันส่อแววชั่วร้ายออกมาชัดๆ 11 ไม่ได้หรอก มีแต่ผู้ชายเท่านั้นที่ไปรับใช้พระยาห์เวห์ได้ เพราะนั่นคือสิ่งที่แกขอตั้งแต่แรก” แล้วฟาโรห์ก็ได้ไล่โมเสสและอาโรนออกไป

12 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “กางแขนของเจ้าออกเหนือแผ่นดินอียิปต์เพื่อเรียกฝูงตั๊กแตน เพื่อพวกมันจะได้มาอยู่ทั่วแผ่นดินอียิปต์ และกินพืชผลทั้งหมดบนแผ่นดินที่หลงเหลือจากลูกเห็บตก”

13 โมเสสจึงยื่นไม้เท้าของเขาออกเหนือแผ่นดินอียิปต์ พระยาห์เวห์ทำให้ลมตะวันออกพัดเข้ามาในแผ่นดินอียิปต์ตลอดวันตลอดคืน และในเวลาเช้าลมตะวันออกก็ได้พัดเอาฝูงตั๊กแตนมาด้วย 14 ฝูงตั๊กแตนต่างแห่กันเข้าสู่แผ่นดินอียิปต์และเกาะอยู่บนพื้นดินทั่วเขตแดนอียิปต์ มันรุนแรงมาก ไม่เคยมีตั๊กแตนมากมายขนาดนี้มาก่อน และหลังจากนี้ก็จะไม่มีมากเท่านี้อีกแล้ว 15 มันปกคลุมไปทั่วพื้นแผ่นดิน พื้นดินดูดำทะมึนไปหมด พวกมันกัดกินพืชผักบนดิน และผลไม้บนต้น ที่หลงเหลือจากลูกเห็บตก จนไม่เหลือสีเขียวของต้นไม้หรือพืชผักหลงเหลือทั่วแผ่นดินอียิปต์อีกเลย

16 ฟาโรห์รีบเรียกตัวโมเสสและอาโรนเข้าพบและพูดว่า “เราได้ทำบาปต่อยาห์เวห์ พระเจ้าของเจ้าและต่อพวกเจ้า 17 ได้โปรดยกโทษให้เราอีกสักครั้ง และช่วยอธิษฐานต่อยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า เพื่อพระองค์จะได้ขจัดความตายนี้จากเรา”

18 โมเสสจากฟาโรห์มา และอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์ 19 พระยาห์เวห์ได้ส่งลมตะวันตกพัดผ่านเข้ามาอย่างแรง หอบมันไปตกในทะเลต้นกก ไม่มีตั๊กแตนแม้แต่ตัวเดียวหลงเหลืออยู่ในแผ่นดินอียิปต์ 20 แต่พระยาห์เวห์ได้ทำให้จิตใจของฟาโรห์แข็งกระด้าง เพื่อว่าเขาจะได้ไม่ยอมปล่อยลูกหลานชาวอิสราเอล

ความมืดมิด

21 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “ชูมือเจ้าขึ้นบนท้องฟ้า เพื่อให้เกิดความมืดมิดทั่วแผ่นดินอียิปต์ จะเป็นความมืดที่ทุกคนสัมผัสได้”

22 โมเสสจึงชูมือขึ้นบนท้องฟ้า ทันใดนั้น ความมืดมิดก็ปกคลุมทั่วแผ่นดินอียิปต์เป็นเวลาสามวัน 23 พวกเขาไม่สามารถมองเห็นซึ่งกันและกันได้ พวกเขาจึงไม่ได้ลุกขึ้นจากที่ของพวกเขา เป็นเวลาถึงสามวัน แต่ลูกหลานของอิสราเอลทั้งหมด กลับมีแสงสว่างในย่านที่พวกเขาอยู่กัน

24 ฟาโรห์เรียกตัวโมเสสเข้าพบและพูดว่า “ไปรับใช้ยาห์เวห์ซะ ลูกหลานของพวกเจ้าไปได้ แต่ต้องทิ้งฝูงแกะและฝูงวัวของพวกเจ้าไว้”

25 แต่โมเสสพูดว่า “ท่านต้องให้เครื่องบูชา และพวกเครื่องเผาบูชากับเราเพื่อเราจะได้เอาไปฆ่าถวายให้กับพระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา 26 ฝูงสัตว์เลี้ยงจะต้องไปกับพวกเราด้วย จะต้องไม่หลงเหลือไว้แม้แต่ตัวเดียว[a] เพราะเราจะเอาบางตัวไปฆ่าถวายให้กับพระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา และเราก็ยังไม่รู้ว่าจะใช้ตัวไหนบูชา จนกว่าเราจะไปถึงที่นั่น”

27 แต่พระยาห์เวห์ทำให้จิตใจของฟาโรห์แข็งกระด้าง ทำให้เขาไม่ยอมปล่อยชาวอิสราเอล 28 ฟาโรห์พูดกับโมเสสว่า “ไปให้พ้นจากเรา ระวังตัวให้ดี อย่าได้มาเจอหน้าเราอีก เพราะถ้าแกเจอหน้าเราเมื่อไหร่ แกจะต้องตายเมื่อนั้น”

29 โมเสสพูดว่า “ขอให้เป็นไปตามที่ท่านพูด ข้าพเจ้าจะไม่มาเจอหน้าท่านอีกแล้ว”

ลูกหัวปีตาย

11 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “เราจะทำให้เกิดภัยพิบัติอีกอย่างหนึ่งกับฟาโรห์และแผ่นดินอียิปต์ หลังจากนั้นเขาจะปล่อยพวกเจ้าไปจากที่นี่ เมื่อเขาปล่อยพวกเจ้า เขาจะไล่พวกเจ้าออกจากที่นี่ ให้บอกกับประชาชน ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ให้ไปขอพวกเครื่องเงินเครื่องทองจากเพื่อนบ้าน” พระยาห์เวห์ทำให้คนอิสราเอลเป็นที่ชื่นชอบของคนอียิปต์ ในสายตาของพวกข้าราชการฟาโรห์และของประชาชน โมเสสเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่มากในแผ่นดินอียิปต์

โมเสสพูดว่า “พระยาห์เวห์พูดอย่างนี้ว่า ‘ประมาณเที่ยงคืน เราจะผ่านไปท่ามกลางอียิปต์ และลูกชายหัวปีของทุกคนในแผ่นดินอียิปต์จะต้องตาย ตั้งแต่ลูกชายหัวปีของฟาโรห์ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ ไปจนถึงลูกชายหัวปีของทาสหญิงที่ทำงานโม่แป้ง รวมถึงลูกตัวผู้ตัวแรกของสัตว์ด้วย จะมีแต่เสียงร้องไห้คร่ำครวญอย่างใหญ่หลวงในอียิปต์ อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนและต่อไปในอนาคตก็จะไม่มีอีกเลย แต่ส่วนคนอิสราเอล จะไม่มีแม้แต่หมาสักตัวเดียวที่จะกล้าขู่คำรามใส่พวกเขาหรือฝูงสัตว์ของเขา’ เพื่อท่านจะได้รู้ว่า พระยาห์เวห์ได้แยกแยะระหว่างชาวอียิปต์กับชาวอิสราเอล ข้าราชการชั้นสูงทั้งหมดของท่าน จะลงมาหาเรา และจะก้มกราบเรา พร้อมกับพูดว่า ‘ออกไปเถอะ ทั้งท่านและคนที่ติดตามท่าน’ และหลังจากนั้นเราก็จะไป” แล้วโมเสสก็เดินจากฟาโรห์ไปด้วยความโกรธ

พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “ฟาโรห์จะไม่ยอมฟังพวกเจ้าอีก เพื่อเราจะได้ทำการอัศจรรย์ในแผ่นดินอียิปต์เพิ่มขึ้นไปอีก” 10 โมเสสและอาโรนทำสิ่งอัศจรรย์เหล่านี้ต่อหน้าฟาโรห์ แต่พระยาห์เวห์ทำให้จิตใจของฟาโรห์แข็งกระด้าง เพื่อที่ว่า เขาจะได้ไม่ยอมปล่อยลูกหลานของอิสราเอลไปจากแผ่นดินของเขา

มัทธิว 15:21-39

พระเยซูช่วยผู้หญิงที่ไม่ใช่ชาวยิว

(มก. 7:24-30)

21 พระเยซูออกจากที่นั่น และเข้าไปยังเขตแดนเมืองไทระ และเมืองไซดอน 22 หญิงชาวคานาอันคนหนึ่งที่อยู่แถวนั้น ได้เข้ามาร้องบอกพระองค์ว่า “องค์เจ้าชีวิต บุตรของดาวิด[a] สงสารฉันด้วยเถอะ ลูกสาวของฉันถูกผีสิง เธอทนทุกข์ทรมานมาก”

23 พระเยซูไม่ได้ตอบเธอเลยสักคำ พวกศิษย์เข้ามายุพระองค์ว่า “ไล่เธอไปเถอะครับ น่ารำคาญ ร้องตะโกนตามตื๊ออยู่ได้”

24 พระเยซูตอบผู้หญิงคนนั้นว่า “พระเจ้าส่งเรามาช่วยเฉพาะคนอิสราเอลที่เป็นเหมือนแกะที่หลงทางของพระองค์”

25 เธอจึงเข้ามาคุกเข่าลงต่อหน้าพระเยซู และพูดว่า “องค์เจ้าชีวิต ช่วยฉันด้วยเถิด”

26 พระเยซูจึงตอบว่า “มันไม่ถูกต้องหรอกนะ ที่จะเอาอาหารของลูกๆไปโยนให้หมากิน”

27 หญิงคนนั้นตอบว่า “ใช่ค่ะ แต่หมาก็ยังได้กินเศษอาหารที่หล่นจากโต๊ะของนายมันนะคะ”

28 พระเยซูตอบว่า “เธอนี่มีความเชื่อมากจริงๆ เธอขออะไรก็ให้เป็นไปตามนั้น” แล้วลูกสาวของนางก็หายเป็นปกติทันที

พระเยซูรักษาคนป่วยจำนวนมาก

29 พระเยซูออกจากที่นั่น เดินไปตามชายฝั่งทะเลสาบกาลิลีและขึ้นไปบนภูเขา แล้วนั่งพักอยู่บนนั้น 30 มีฝูงชนจำนวนมากมาหาพระเยซู พวกเขาพาคนง่อย คนตาบอด คนพิการ คนใบ้ และคนที่เป็นโรคอื่นๆอีกมากมายมาด้วย และเอามาวางนอนอยู่ที่เท้าของพระองค์ แล้วพระองค์ได้รักษาทุกคนจนหายหมด 31 ผู้คนต่างก็พากันประหลาดใจ เมื่อเห็นคนใบ้พูดได้ คนพิการก็หาย คนขาเป๋เดินได้ และคนตาบอดก็มองเห็น ทุกคนต่างพากันสรรเสริญพระเจ้าของอิสราเอล

พระเยซูเลี้ยงอาหารคนกว่าสี่พันคน

(มก. 8:1-10)

32 พระเยซูเรียกพวกศิษย์ของพระองค์มา แล้วพูดว่า “สงสารคนพวกนี้จริงๆเพราะเขาอยู่ที่นี่กับเรามาสามวันแล้ว และไม่มีอะไรกินด้วย ไม่อยากจะส่งพวกเขากลับไปทั้งๆที่ยังหิวอยู่ อาจจะไปเป็นลมกลางทางได้”

33 พวกศิษย์จึงพูดว่า “ในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งอย่างนี้ จะไปเอาอาหารที่ไหนมาเลี้ยงคนตั้งมากมายขนาดนี้ได้ล่ะครับ”

34 พระเยซูถามว่า “พวกคุณมีขนมปังอยู่กี่ก้อน” พวกศิษย์ตอบว่า “เจ็ดก้อนกับปลาตัวเล็กๆอีกไม่กี่ตัว”

35 พระเยซูบอกให้ฝูงชนนั่งลงกับพื้น 36 พระองค์เอาขนมปังทั้งเจ็ดก้อนและปลามา ขอบคุณพระเจ้า แล้วหักขนมปังและปลาส่งให้พวกศิษย์ พวกศิษย์ก็เอาไปแจกให้กับฝูงชนกินกัน 37 เมื่อทุกคนกินอิ่มแล้ว พวกศิษย์เก็บเศษอาหารที่เหลือได้เจ็ดเข่งเต็มๆ 38 นับผู้ชายที่กินอยู่ที่นั่นได้สี่พันคน ไม่รวมผู้หญิงและเด็ก 39 หลังจากที่พระเยซูส่งทุกคนกลับบ้านหมดแล้ว พระองค์ก็ลงเรือไปแคว้นมากาดาน

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International