Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Old/New Testament

Each day includes a passage from both the Old Testament and New Testament.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
ปฐมกาล 46-48

อิสราเอลเดินทางไปอียิปต์

46 อิสราเอลเริ่มออกเดินทางไปอียิปต์ พร้อมกับทุกอย่างที่เขามี เขาไปยังเบเออร์เชบา ที่นั่นเขาถวายเครื่องบูชาให้กับพระเจ้าของอิสอัคพ่อของเขา ในคืนนั้นพระเจ้าพูดกับอิสราเอลในความฝัน พระองค์พูดว่า

“ยาโคบ ยาโคบ”

ยาโคบตอบว่า “ข้าพเจ้าอยู่นี่ครับ”

พระเจ้าพูดว่า “เราเป็นพระเจ้า พระเจ้าของพ่อของเจ้า ไม่ต้องกลัวที่จะลงไปอียิปต์ เพราะเราจะทำให้เจ้าเป็นชนชาติที่ยิ่งใหญ่ที่นั่น เราจะไปอียิปต์กับเจ้า และเราจะนำเจ้ากลับมาที่นี่ด้วย และโยเซฟจะเป็นคนที่เอามือปิดตาเจ้าเมื่อเจ้าตาย”

ยาโคบได้ออกจากเบเออร์เชบา ลูกชายของอิสราเอลได้ให้ยาโคบพ่อของเขาและลูกเมียของพวกเขาขึ้นรถที่ฟาโรห์ส่งมารับยาโคบ พวกเขาได้นำฝูงสัตว์และทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่พวกเขาได้จากแคว้นคานาอันไปด้วย ยาโคบและลูกหลานทั้งหมดของเขาได้เดินทางไปอียิปต์ ยาโคบได้พาลูกชายลูกสาว หลานชายหลานสาวทั้งหมดเดินทางไปยังประเทศอียิปต์

ครอบครัวของยาโคบ

ต่อไปนี้เป็นชื่อของลูกหลานของอิสราเอลที่เข้าไปในอียิปต์คือ

รูเบนลูกชายคนโตของยาโคบ ลูกชายของรูเบนคือ ฮาโนค ปัลลู เฮสโรน และคารมี

10 ลูกชายของสิเมโอนคือ เยมูเอล ยามีน โอหาด ยาคีน และโศหาร์ รวมทั้งชาอูลลูกที่เกิดจากหญิงชาวคานาอันคนหนึ่ง

11 ลูกชายของเลวี คือ เกอร์โชน โคฮาท และเมรารี

12 ลูกชายของยูดาห์ คือ เอร์ โอนัน เชลาห์ เปเรศ เศราห์ แต่เอร์และโอนันได้ตายในแผ่นดินคานาอัน ลูกชายของเปเรศคือ เฮสโรนและฮามูล

13 ลูกชายของอิสสาคาร์ คือ โทลา ปูวาห์ โยบ และชิมโรน

14 ลูกชายของเศบูลุนคือ เสเรด เอโลนและยาเลเอล

15 พวกเขาเหล่านี้[a] เป็นลูกชายของเลอาห์ซึ่งนางได้คลอดให้กับยาโคบในปัดดาน อารัม และมีลูกสาวชื่อดีนาห์ รวมลูกและหลานชายทั้งหมดในครอบครัวของเลอาห์มีสามสิบสามคน

16 ลูกชายของกาดคือ ศิฟีโยน ฮักกี ชูนี เอสโบน เอรี อาโรดี และอาเรลี

17 ลูกชายของอาเชอร์ คือ อิมนาห์ อิชวาห์ อิชวี และเบรียาห์กับเสราห์น้องสาว และลูกชายของเบรียาห์คือ เฮเบอร์และมัลคีเอล

18 พวกเขาเหล่านี้เป็นลูกของศิลปาห์ สาวใช้ที่ลาบันยกให้เลอาห์ลูกสาวของเขา แล้วศิลปาห์ได้คลอดลูกให้กับยาโคบ รวมลูกหลานทั้งหมดในครอบครัวของศิลปาห์มีสิบหกคน

19 ลูกของราเชลเมียของยาโคบคือ โยเซฟและเบนยามิน

20 ลูกชายของโยเซฟที่เกิดกับอาเสนัท คือมนัสเสห์กับเอฟราอิม ลูกสองคนนี้เกิดในประเทศอียิปต์ อาเสนัทเป็นลูกสาวของโปทิเฟรา นักบวชเมืองโอน

21 ลูกชายของเบนยามินคือ เบลา เบเคอร์ อัชเบล เกรา นาอามาน เอไฮ โรช มัปปิม หุปปิม และอาร์ด

22 พวกเขาเหล่านี้เป็นลูกหลานของราเชลกับยาโคบ ครอบครัวของราเชลมีทั้งหมดสิบสี่คน

23 ลูกชายของดาน คือ หุชิม

24 ลูกชายของนัฟทาลีคือ ยาเซเอล กูนี เยเซอร์ และชิลเลม

25 พวกเขาเหล่านี้เป็นลูกชายของบิลฮาห์ สาวใช้ที่ลาบันยกให้กับราเชลลูกสาวของเขา นางได้ให้กำเนิดลูกทั้งหมดนี้ให้กับยาโคบ รวมลูกหลานทั้งหมดในครอบครัวของบิลฮาห์มีเจ็ดคน

26 ผู้คนทั้งหมดที่เดินทางลงไปอียิปต์ด้วยกันกับยาโคบนั้น มีทั้งหมดหกสิบหกคนที่สืบเชื้อสายโดยตรงมาจากยาโคบ (ในจำนวนหกสิบหกคนนี้ไม่ได้รวมถึงพวกเมียๆของลูกชายยาโคบ) 27 โยเซฟมีลูกชายสองคนที่เกิดในอียิปต์ ดังนั้นถ้านับรวมทุกคนในครอบครัวของยาโคบที่มาอยู่ในอียิปต์ มีทั้งหมดเจ็ดสิบคน

อิสราเอลมาถึงอียิปต์

28 ยาโคบได้ส่งยูดาห์ล่วงหน้าไปหาโยเซฟก่อน เพื่อนำทางเขาไปยังแคว้นโกเชน แล้วพวกเขาได้มาถึงแคว้นโกเชน 29 โยเซฟจึงเตรียมรถม้าของเขาไปยังแคว้นโกเชน เพื่อไปพบอิสราเอลพ่อของเขา เมื่อโยเซฟพบอิสราเอลพ่อของเขา โยเซฟจึงกอดพ่อและร้องไห้ตรงบ่าของพ่อเขาเป็นเวลานาน

30 อิสราเอลได้พูดกับโยเซฟว่า “ตอนนี้พ่อตายได้แล้ว เพราะพ่อได้เห็นหน้าเจ้าแล้ว และรู้ว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่”

31 โยเซฟพูดกับพวกพี่ชายและทุกคนในครอบครัวของพ่อเขาว่า “ผมจะไปหาฟาโรห์และบอกกับเขาว่า พวกพี่ชายและครอบครัวของพ่อผมที่อยู่ในแผ่นดินคานาอันได้มาหาผม 32 พวกเขาเป็นคนเลี้ยงแกะ พวกเขามีอาชีพดูแลเฝ้าฝูงสัตว์มาตลอด พวกเขาได้เอาฝูงแพะ แกะ ฝูงวัว และทุกอย่างที่พวกเขาเป็นเจ้าของมาด้วย 33 เมื่อฟาโรห์เรียกพวกพี่ๆไปหาและถามว่า ‘พวกท่านทำอาชีพอะไร’ 34 ให้พวกพี่ๆตอบไปว่า ‘พวกข้าพเจ้า ผู้รับใช้ของท่าน มีอาชีพเลี้ยงสัตว์มาตั้งแต่เด็กจนถึงเดี๋ยวนี้ ทั้งพวกข้าพเจ้าและพ่อของพวกข้าพเจ้าด้วย’ ให้พูดอย่างนี้ เพื่อพวกท่านจะได้อยู่ที่ในแผ่นดินโกเชน เพราะชาวอียิปต์รังเกียจคนเลี้ยงแกะทุกคน”

อิสราเอลตั้งถิ่นฐานในเมืองโกเชน

47 โยเซฟไปบอกกับฟาโรห์ว่า “พ่อของข้าพเจ้า และพี่ชายข้าพเจ้า ได้เดินทางมาจากแผ่นดินคานาอันแล้ว พวกเขาเอาฝูงแกะ ฝูงวัว และทุกอย่างที่เป็นของพวกเขามาด้วย และตอนนี้พวกเขาอยู่ที่แผ่นดินโกเชน”

โยเซฟได้พาพี่ชายมาด้วยห้าคน และพาพวกเขามายืนอยู่ต่อหน้าฟาโรห์

แล้วฟาโรห์พูดกับพวกพี่ชายของโยเซฟว่า “พวกเจ้าทำอาชีพอะไร”

พวกเขาบอกฟาโรห์ว่า “พวกข้าพเจ้า ผู้รับใช้ของท่าน เป็นคนเลี้ยงแกะ ทั้งพี่น้องคนอื่นๆและบรรพบุรุษของพวกข้าพเจ้าด้วย” พวกเขาพูดกับฟาโรห์ว่า “พวกข้าพเจ้ามาขออยู่ชั่วคราวในแผ่นดินนี้ เพราะไม่มีทุ่งหญ้าให้กับสัตว์เลี้ยงของพวกข้าพเจ้า ผู้รับใช้ของท่าน เพราะเกิดกันดารอาหารอย่างรุนแรงในแผ่นดินคานาอัน ขอได้โปรดให้พวกข้าพเจ้า ผู้รับใช้ของท่าน อาศัยอยู่ในโกเชนด้วยเถิด”

ฟาโรห์จึงพูดกับโยเซฟว่า “พ่อและพี่ชายของท่านได้มาหาท่าน แผ่นดินอียิปต์เปิดกว้างสำหรับท่าน ให้พ่อและพี่ชายของท่านตั้งถิ่นฐานอยู่ในส่วนที่ดีที่สุดของแผ่นดินนี้ ให้พวกเขาอาศัยอยู่ในแผ่นดินโกเชน และถ้าหากท่านรู้ว่าคนไหนมีความสามารถในหมู่พวกเขาก็ให้ตั้งพวกเขาเป็นหัวหน้าคนดูแลสัตว์ คอยดูแลฝูงสัตว์ให้กับเรา”

โยเซฟจึงพายาโคบพ่อเขาเข้ามา และแนะนำเขาต่อหน้าฟาโรห์

ยาโคบอวยพรให้ฟาโรห์ แล้วฟาโรห์พูดกับยาโคบว่า “ท่านมีอายุเท่าไรแล้ว”

ยาโคบพูดกับฟาโรห์ “ผมมีอายุหนึ่งร้อยสามสิบปีแล้ว ชีวิตของผมยังนับว่าสั้นและลำบาก เมื่อเทียบกับบรรพบุรุษของผมแล้ว ผมยังมีอายุไม่ยืนยาวเท่ากับพวกเขา”

10 ยาโคบได้อวยพรฟาโรห์และจากมา

11 โยเซฟจึงหาที่อยู่อาศัยให้กับพ่อและพวกพี่ชาย และยกที่ดินในส่วนที่ดีที่สุดของแผ่นดินอียิปต์ให้กับพวกเขา อยู่ใกล้เมืองรามาเสส ตามคำสั่งของฟาโรห์ 12 โยเซฟได้จัดหาอาหารมาให้กับพ่อและพวกพี่ชาย รวมทั้งครอบครัวของพ่อเขา และเด็กๆทุกคน

โยเซฟซื้อที่ดินให้ฟาโรห์

13 ความอดอยากหิวโหยรุนแรงมากขึ้น จนไม่มีอาหารเลยทั่วทั้งแผ่นดิน ทำให้ทั้งแผ่นดินอียิปต์และแผ่นดินคานาอัน ยากจนแร้นแค้นเพราะความอดอยากหิวโหยนั้น 14 โยเซฟจึงได้รวบรวมเงินที่ได้จากการขายข้าวให้ชาวอียิปต์และชาวคานาอัน ไปเก็บไว้ในคลังของฟาโรห์ 15 เมื่อคนในแผ่นดินอียิปต์และแผ่นดินคานาอันไม่มีเงินเหลืออีกแล้ว พวกชาวอียิปต์ได้ไปพบโยเซฟและพูดว่า “ขออาหารให้กับพวกเราด้วย ท่านจะปล่อยให้เราตายต่อหน้าท่านหรือ เพราะพวกเราไม่มีเงินอีกแล้ว”

16 โยเซฟจึงพูดว่า “ถ้าพวกเจ้าไม่มีเงิน ก็เอาฝูงสัตว์ของพวกเจ้ามาแลก แล้วเราจะให้อาหารกับพวกเจ้า” 17 พวกเขาจึงเอาสัตว์เลี้ยงมาให้โยเซฟ เพื่อแลกกับอาหาร โยเซฟได้ให้อาหารกับพวกเขา เป็นการแลกเปลี่ยนกับฝูงม้า ฝูงแกะ ฝูงวัว และพวกลา ของพวกเขา ในปีนั้นโยเซฟได้แบ่งปันอาหารให้กับพวกเขา เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับฝูงสัตว์เลี้ยงของพวกเขา

18 เมื่อปีนั้นผ่านไป พวกเขากลับมาหาโยเซฟอีกเป็นปีที่สอง และพูดกับเขาว่า “พวกเราไม่มีอะไรจะปิดบังท่าน เงินของพวกเราก็หมดแล้ว ฝูงสัตว์ก็ให้ท่านไปหมดแล้ว ไม่มีอะไรเหลืออีกแล้วนอกจากร่างกายและที่ดินของพวกเรา 19 จะให้เราตายต่อหน้าท่าน แล้วปล่อยให้ที่ดินรกร้างว่างเปล่าไปหรือ ซื้อพวกเราและที่ดินของพวกเราเพื่อแลกเปลี่ยนกับอาหารด้วยเถิด และพวกเราจะกลายเป็นทาสของฟาโรห์ แล้วที่ดินของเราก็จะเป็นของฟาโรห์ด้วย โปรดให้เมล็ดพันธุ์พืชกับเราเพื่อเอาไปปลูกเถิด เราจะได้มีชีวิตต่อไป ไม่ต้องตาย และที่ดินก็จะได้ไม่กลายเป็นทะเลทราย”

20 โยเซฟจึงซื้อที่ดินทั้งหมดในอียิปต์ให้กับฟาโรห์ เพราะชาวอียิปต์แต่ละคนต่างก็ยอมขายที่ เพราะอดอยากหิวโหยมาก ที่ดินจึงตกเป็นของฟาโรห์ 21 โยเซฟทำให้ประชาชนกลายเป็นทาส จากสุดปลายแผ่นดินอียิปต์ด้านหนึ่งไปจนถึงอีกด้านหนึ่ง 22 มีแต่ที่ดินของพวกนักบวชเท่านั้นที่โยเซฟไม่ได้ซื้อ เพราะพวกนักบวชมีรายได้ที่แน่นอนจากฟาโรห์ และพวกเขาก็มีชีวิตอยู่ด้วยรายได้ที่ฟาโรห์ให้นั้น พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องขายที่ดิน

23 โยเซฟพูดกับประชาชนว่า “ดูเถิด วันนี้เราได้ซื้อพวกเจ้าและที่ดินของพวกเจ้าให้กับฟาโรห์แล้ว นี่คือเมล็ดพันธุ์พืชสำหรับพวกเจ้า ให้หว่านมันในที่ดินเหล่านั้น 24 แต่เมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยว พวกเจ้าต้องแบ่งพืชผลนั้นให้กับฟาโรห์ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ อีกแปดสิบเปอร์เซ็นต์ที่เหลือจะเป็นของเจ้า เพื่อเป็นเมล็ดพันธุ์สำหรับท้องทุ่ง และเป็นอาหารสำหรับพวกเจ้า ครอบครัว และลูกๆของเจ้า”

25 พวกเขาจึงพูดว่า “ท่านได้ช่วยชีวิตของพวกเรา ถ้าท่านพอใจ พวกเราจะขอเป็นทาสของฟาโรห์”

26 โยเซฟจึงได้ร่างกฎหมายเกี่ยวกับที่ดินในแผ่นดินอียิปต์ขึ้น ซึ่งใช้มาจนถึงทุกวันนี้ คือพวกเขาจะต้องแบ่งพืชผลของพวกเขายี่สิบเปอร์เซ็นต์ให้กับฟาโรห์ มีแต่ที่ดินของนักบวชเท่านั้นที่ไม่ได้ตกเป็นของฟาโรห์

“อย่าฝังศพพ่อไว้ในประเทศอียิปต์”

27 อิสราเอลจึงได้อาศัยอยู่ในแผ่นดินอียิปต์ ในเมืองโกเชน และพวกเขาได้ยึดครองที่ดินที่นั่น และเกิดลูกหลานมากมาย จนกลายเป็นกลุ่มที่ยิ่งใหญ่มาก

28 ยาโคบอาศัยอยู่ในอียิปต์เป็นเวลาสิบเจ็ดปี เขามีอายุได้หนึ่งร้อยสี่สิบเจ็ดปี 29 เมื่อเขาใกล้ตาย เขาเรียกตัวโยเซฟลูกชายเข้ามาหา และพูดกับโยเซฟว่า “ถ้าเจ้ารักพ่อจริงๆให้เอามือวางไว้ใต้ขาของพ่อ[b] และสัญญาว่า เจ้าจะซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อพ่อแล้วทำตามที่พ่อขอ คือขออย่าได้ฝังพ่อไว้ในอียิปต์ 30 เมื่อพ่อตาย ให้เอาร่างของพ่อออกจากอียิปต์ ไปฝังรวมกับบรรพบุรุษของพ่อ”

โยเซฟตอบว่า “ลูกจะทำตามที่พ่อพูด”

31 แล้วอิสราเอลพูดว่า “สาบานกับพ่อก่อน” โยเซฟก็สาบานกับเขา อิสราเอลก็เอนตัวลงไปที่หัวเตียง[c]

ยาโคบ อวยพรมนัสเสห์และเอฟราอิม

48 ในเวลาต่อมา มีคนบอกโยเซฟว่า “ตอนนี้พ่อของท่านไม่สบายมาก” โยเซฟจึงพาลูกชายสองคน คือมนัสเสห์และเอฟราอิมไปหายาโคบ มีคนไปบอกยาโคบว่า “โยเซฟลูกชายของท่านมาหา” อิสราเอลจึงพยายามลุกขึ้นนั่งบนเตียง

ยาโคบได้พูดกับโยเซฟว่า “พระเจ้าผู้เต็มไปด้วยฤทธิ์อำนาจได้ปรากฏตัวให้พ่อเห็นที่ตำบลลูส ในแผ่นดินคานาอัน และพระองค์ได้อวยพรให้พ่อ พระองค์พูดกับพ่อว่า ‘ดูเถอะ เราจะให้เจ้ามีลูกดก เราจะทำให้เจ้าและครอบครัวของเจ้ามีจำนวนเพิ่มขึ้น เราจะทำให้เจ้าและลูกหลานของเจ้ากลายเป็นกลุ่มชนที่ยิ่งใหญ่ และเราจะยกแผ่นดินนี้ให้กับลูกหลานของเจ้า เพื่อเป็นทรัพย์สมบัติของพวกเขาตลอดไป’ ตอนนี้ลูกชายทั้งสองของลูกที่เกิดในแผ่นดินอียิปต์ก่อนที่พ่อจะมาหาลูกที่นี่ เขาทั้งสองจะเป็นของพ่อ เอฟราอิมและมนัสเสห์จะเป็นของพ่อ เหมือนกับรูเบนและสิเมโอน แต่ลูกๆคนอื่น ที่เกิดมาทีหลังพวกเขา จะเป็นของลูก พวกเขาจะได้รับส่วนแบ่งในที่ดินที่จะยกให้กับเอฟราอิมและมนัสเสห์พี่ชายของพวกเขา ตอนที่พ่อเดินทางจากปาดานเพื่อไปเมืองเอฟราธาห์ ในระหว่างทางนั้น ราเชลตายไป ตอนนั้นยังอยู่ในแคว้นคานาอัน และยังห่างจากเมืองเอฟราธาห์มาก พ่อเสียใจมาก พ่อจึงฝังนางไว้ในระหว่างทางที่จะไปเอฟราธาห์ (ซึ่งก็คือเบธเลเฮม)”

เมื่ออิสราเอลเห็นลูกชายโยเซฟ เขาถามว่า “พวกเขาเป็นใครกัน”

โยเซฟตอบว่า “พวกเขาเป็นลูกของผมที่พระเจ้าให้กับผมที่นี่”

อิสราเอลพูดว่า “ช่วยพาพวกเขาเข้ามาหาพ่อหน่อย แล้วพ่อจะอวยพรให้”

10 ตอนนั้นตาของอิสราเอลเริ่มพร่ามัวตามอายุ เขาจึงมองไม่ค่อยเห็นแล้ว เมื่อโยเซฟพาลูกชายทั้งสองคนเข้ามาใกล้ๆเขา อิสราเอลก็จูบและโอบกอดพวกเขา 11 อิสราเอลพูดกับโยเซฟว่า “พ่อไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นหน้าลูกอีก แต่ดูสิ พระเจ้าทำให้พ่อได้เห็นหน้าหลานด้วย”

12 โยเซฟได้เอาพวกเขาออกมาจากตักของอิสราเอล และโยเซฟก็ก้มกราบลงถึงพื้นดินต่อหน้าพ่อ 13 แล้วโยเซฟก็เอาลูกทั้งสองมา ให้เอฟราอิมอยู่ด้านขวามือของเขา ซึ่งเป็นซ้ายมือของอิสราเอล และให้มนัสเสห์อยู่ด้านซ้ายมือของเขา ซึ่งเป็นขวามือของอิสราเอล และโยเซฟก็พาพวกเขาเข้าไปหาอิสราเอล 14 อิสราเอลยื่นแขนขวามาวางลงบนหัวของเอฟราอิม (เขาเป็นน้อง) และยื่นแขนซ้ายมาวางบนหัวของมนัสเสห์ ไขว้แขนกัน เพราะมนัสเสห์เป็นพี่ 15 แล้วอิสราเอลได้อวยพรให้กับโยเซฟว่า

“ขอให้พระเจ้าผู้ที่บรรพบุรุษของพ่อคืออับราฮัมและอิสอัคสักการะบูชา
    พระเจ้าผู้ที่คอยเลี้ยงดูชีวิตของพ่อมาตลอดจนถึงทุกวันนี้
16 พระองค์เป็นทูตสวรรค์ที่คอยช่วยเหลือพ่อจากความทุกข์ยากลำบากทั้งปวง
    ได้โปรดอวยพรเด็กสองคนนี้ด้วย
เพื่อว่าชื่อของพ่อและบรรพบุรุษของพ่อ คืออับราฮัมและอิสอัคจะยังคงอยู่เพราะพวกเขา
    และขอให้พวกเขาแผ่ขยายใหญ่โตมากขึ้นในโลกนี้”

17 เมื่อโยเซฟเห็นอิสราเอลวางมือขวาลงบนหัวของเอฟราอิม เขาก็ไม่พอใจ เขาพยายามจะเอามือขวาของพ่อไปไว้บนหัวมนัสเสห์ 18 โยเซฟบอกพ่อเขาว่า “ไม่ใช่อย่างนั้นพ่อ คนนี้ต่างหากที่เป็นพี่ วางมือลงบนหัวคนนี้สิ”

19 แต่พ่อเขาปฏิเสธและพูดว่า “พ่อรู้ลูก พ่อรู้ เขาจะกลายเป็นชนชาติด้วย และเขาจะยิ่งใหญ่เหมือนกัน แต่น้องชายของเขาจะยิ่งใหญ่กว่าเขา และลูกหลานของคนน้องจะกลายเป็นหลายๆชนชาติ”

20 อิสราเอลจึงอวยพรพวกเขาในวันนั้นว่า

“คนอิสราเอลจะใช้ชื่อของพวกเจ้า
    เมื่อพวกเขาจะให้พรกัน
พวกเขาจะพูดว่า ‘ขอให้พระเจ้าทำให้ท่านเป็นเหมือน
    เอฟราอิมและมนัสเสห์’”

อิสราเอลจึงตั้งเอฟราอิมไว้ก่อนหน้ามนัสเสห์

21 อิสราเอลพูดกับโยเซฟว่า “พ่อกำลังจะตาย แต่พระเจ้าจะอยู่กับลูก และพระองค์จะนำลูกกลับไปยังแผ่นดินของบรรพบุรุษลูก 22 และพ่อจะให้ ‘ไหล่เขา’[d] แห่งหนึ่งกับลูก ต่อหน้าพี่ๆของลูก พ่อยึดมันมาได้จากชาวอาโมไรต์ ด้วยดาบและธนูของพ่อ”

มัทธิว 13:1-30

พระเยซูเล่าเรื่องการหว่านเมล็ดพืช

(มก. 4:1-9; ลก. 8:4-8)

13 ในวันเดียวกันนั้นเอง พระเยซูออกจากบ้านมานั่งอยู่ที่ริมทะเลสาบ คนจำนวนมากมาห้อมล้อมพระองค์ พระองค์จึงลงไปนั่งอยู่ในเรือโดยมีคนพวกนั้นยืนอยู่ริมฝั่ง แล้วพระองค์ใช้เรื่องเปรียบเทียบต่างๆสอนพวกเขาหลายอย่าง พระองค์เล่าว่า “มีชาวนาคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช ในขณะที่กำลังหว่านอยู่นั้น พืชบางเมล็ดตกบนทางเดิน นกก็มาจิกกินหมด บางเมล็ดตกลงบนดินที่ชั้นล่างเป็นหิน มีดินไม่มากนัก เมล็ดพวกนั้นก็งอกขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากดินไม่ลึก เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น พืชพวกนั้นก็ถูกแดดแผดเผา พวกมันมีรากตื้นๆก็เลยเหี่ยวแห้งตายไป บางเมล็ดตกลงกลางพงหนาม หนามก็งอกขึ้นมาปกคลุมพืชนั้นหมด บางเมล็ดตกลงบนดินดี จึงงอกงามเกิดดอกออกผลมากมาย ร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง และสามสิบเท่าบ้าง ใครมีหู ก็ฟังไว้ให้ดี”

สาเหตุที่พระเยซูใช้เรื่องเปรียบเทียบ

(มก. 4:10-12; ลก. 8:9-10)

10 พวกศิษย์ต่างถามพระเยซูว่า “ทำไมอาจารย์ถึงใช้แต่เรื่องเปรียบเทียบเล่าให้คนฟัง”

11 พระเยซูตอบว่า “มีแต่พวกคุณเท่านั้นที่เราจะบอกให้รู้ถึงเรื่องความลับของอาณาจักรแห่งสวรรค์ แต่คนอื่นๆเราจะไม่บอก 12 คนที่เข้าใจอยู่แล้วก็จะเข้าใจมากยิ่งขึ้นจนเหลือเฟือ ส่วนคนที่ไม่เข้าใจ แล้วยังไม่สนใจฟังอีก แม้สิ่งที่เขาเข้าใจก็จะหายไปด้วย[a] 13 นี่เป็นเหตุที่เราใช้เรื่องเปรียบเทียบเล่าให้พวกเขาฟัง เพราะถึงเขาจะเห็น ก็เหมือนกับไม่เห็น ถึงจะได้ยิน ก็เหมือนกับไม่ได้ยิน และไม่เข้าใจด้วย 14 ซึ่งก็เป็นจริงตามที่อิสยาห์ผู้พูดแทนพระเจ้าได้บอกไว้ว่า

‘คุณจะฟังแล้วฟังอีก แต่จะไม่เข้าใจ
    คุณจะดูแล้วดูอีก แต่จะไม่เห็น
15 เพราะจิตใจของคนพวกนี้ดื้อด้านไปเสียแล้ว
    พวกเขาปิดหูปิดตา จึงทำให้ตามองไม่เห็น
หูก็ไม่ได้ยิน และจิตใจก็ไม่เข้าใจ
    พวกเขาจึงไม่ได้หันกลับมาหาเราเพื่อให้เรารักษา’[b]

16 พวกคุณที่มีตามองเห็นและมีหูได้ยินนั้น ได้รับเกียรติจริงๆ 17 เราจะบอกให้รู้ว่า มีพวกผู้พูดแทนพระเจ้า และพวกคนทั้งหลายที่ทำตามใจพระเจ้า ใฝ่ฝันอยากเห็น อยากได้ยินสิ่งที่พวกคุณเห็นและได้ยินนี้ แต่พวกเขาก็ไม่ได้เห็นและก็ไม่ได้ยินด้วย

พระเยซูอธิบายเรื่องเมล็ดพืช

(มก. 4:13-20; ลก. 8:11-15)

18 ฟังให้ดี นี่คือความหมายของเรื่องชาวนาที่หว่านเมล็ดพืช 19 เมล็ดพืชที่ตกตามถนนหนทาง คือคนที่ฟังเรื่องอาณาจักรของพระเจ้าแต่ไม่เข้าใจ มารร้ายก็มาฉกฉวยเอาพืชที่หว่านอยู่ในใจของเขาไป 20 เมล็ดพืชที่ตกบนดินตื้นๆที่มีหินอยู่ข้างล่าง คือคนที่เมื่อได้ยินถ้อยคำแล้ว ก็รีบรับไว้ทันทีและมีความสุขทีเดียว 21 แต่ถ้อยคำไม่ได้ฝังลึกเข้าไปในจิตใจ จึงอยู่ได้ไม่นาน เมื่อเกิดเรื่องทุกข์ร้อนหรือถูกข่มเหงรังแกเพราะถ้อยคำนั้น ก็รีบทิ้งถ้อยคำนั้นทันที 22 เมล็ดพืชที่ตกลงในพงหนามนั้น คือคนที่ฟังถ้อยคำ แต่ยังเป็นห่วงกังวลเกี่ยวกับชีวิตในโลกนี้ และหลงไหลในทรัพย์สมบัติ สิ่งเหล่านี้มาคลุมถ้อยคำไว้ เลยไม่เกิดผล 23 ส่วนเมล็ดพืชที่ตกลงในดินดีนั้น คือคนที่ได้ฟังถ้อยคำแล้วเข้าใจ จึงเกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง”

เรื่องข้าวสาลีและต้นวัชพืช

24 พระเยซูเล่าเรื่องเปรียบเทียบอีกเรื่องหนึ่งให้ฟังว่า “อาณาจักรแห่งสวรรค์ เปรียบเหมือนกับคนที่หว่านเมล็ดพันธุ์ดีในนาของเขา 25 แต่ในคืนนั้น เมื่อทุกคนหลับหมด ศัตรูของเขาได้เข้ามาหว่านเมล็ดวัชพืชลงไปในนาข้าวสาลี แล้วก็ไป 26 เมื่อต้นข้าวสาลีออกรวง ต้นวัชพืชก็งอกงามขึ้นมาด้วย 27 พวกคนใช้มาถามเขาว่า ‘นายครับ นายหว่านเมล็ดพันธุ์ดีลงไปในนานี่ครับ แล้วต้นวัชพืชโผล่มาได้อย่างไรครับ’

28 เขาตอบไปว่า ‘เป็นฝีมือของศัตรู’ คนใช้ถามต่อว่า ‘นายจะให้พวกเราไปถอนต้นวัชพืชทิ้งไหมครับ’

29 เขาตอบว่า ‘ไม่ต้องหรอก เพราะกลัวว่าจะถอนข้าวสาลีติดไปกับต้นวัชพืชด้วย 30 ปล่อยให้มันเติบโตไปด้วยกันจนถึงฤดูเก็บเกี่ยว แล้วข้าจะสั่งให้คนงานเก็บต้นวัชพืชก่อน แล้วมัดเข้าด้วยกัน เอาไปเผาไฟ แล้วจึงค่อยมาเก็บข้าวสาลีไปไว้ในยุ้งฉางของข้า’”

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International