Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Old/New Testament

Each day includes a passage from both the Old Testament and New Testament.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
ปฐมกาล 41-42

ความฝันของฟาโรห์

41 สองปีต่อมา กษัตริย์ฟาโรห์ฝันว่า เขากำลังยืนอยู่ที่แม่น้ำไนล์ แล้วจู่ๆก็มีวัวเจ็ดตัวโผล่ขึ้นมาจากแม่น้ำไนล์ วัวทั้งเจ็ดตัวนี้มีรูปร่างสมบูรณ์แข็งแรง อ้วนพี พวกมันยืนกินหญ้าอยู่แถวๆนั้น หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีวัวอีกเจ็ดตัวโผล่ขึ้นมาจากแม่น้ำไนล์ วัวเจ็ดตัวหลังนี้มีรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว ผอมแห้ง พวกมันมายืนอยู่ข้างๆวัวเจ็ดตัวแรกบนฝั่งแม่น้ำไนล์ วัวผอมที่น่าเกลียดพวกนี้ได้กินวัวอ้วนพีที่แข็งแรงทั้งเจ็ดตัวนั้น ฟาโรห์ก็ตื่นขึ้น พระองค์นอนต่อและฝันอีกเป็นครั้งที่สองว่า มีรวงข้าวอยู่เจ็ดรวง แต่ละรวงมีเมล็ดข้าวออกเต็มไปหมด ทั้งหมดออกมาจากต้นข้าวต้นเดียว มีรวงข้าวอีกเจ็ดรวงงอกออกมาทีหลัง แต่เป็นรวงข้าวผอมลีบและเหี่ยวแห้ง เพราะลมร้อนจากตะวันออก รวงข้าวผอมลีบทั้งเจ็ดนี้ได้กลืนรวงข้าวเม็ดงามดีนั้นเสีย แล้วฟาโรห์ได้ตื่นขึ้น ก็รู้ว่าเป็นความฝัน ในตอนเช้า พระองค์ไม่สบายใจ จึงได้เรียกพวกโหรและพวกผู้รู้ทั้งหมดของอียิปต์มา พระองค์ได้เล่าความฝันให้พวกเขาฟัง แต่ไม่มีใครสามารถแก้ฝันให้กับพระองค์ได้

คนใช้บอกฟาโรห์เกี่ยวกับโยเซฟ

แล้วหัวหน้าคนยกถ้วยเหล้าองุ่นได้บอกกับกษัตริย์ฟาโรห์ว่า “วันนี้ข้าพเจ้าเพิ่งนึกได้ถึงความผิดของข้าพเจ้า 10 ตอนที่พระองค์โกรธพวกคนใช้ของพระองค์ และเอาข้าพเจ้าไปขังไว้ในคุก ที่บ้านของผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ พร้อมกับหัวหน้าคนทำขนมปังนั้น 11 เราทั้งสองคนได้ฝันไปในคืนเดียวกัน ทั้งเขาและข้าพเจ้า เราต่างก็ฝันถึงสิ่งที่มีความหมายแตกต่างกัน 12 มีชายหนุ่มชาวฮีบรูคนหนึ่งอยู่ที่นั่นกับพวกข้าพเจ้า เขาเป็นคนใช้ของผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ พวกข้าพเจ้าเล่าความฝันให้เขาฟัง เขาได้แก้ฝันให้กับพวกเรา เขาทำนายฝันให้กับเราแต่ละคน 13 และมันก็เกิดขึ้นจริงตามที่เขาแก้ฝันให้นั้น ข้าพเจ้าได้รับตำแหน่งกลับคืนมา แต่อีกคนหนึ่งถูกเสียบไว้บนเสาไม้”

ฟาโรห์ขอให้โยเซฟทำนายฝัน

14 ฟาโรห์จึงส่งคนไปตามโยเซฟมา พวกเขารีบนำตัวโยเซฟมาจากคุก ให้โยเซฟโกนหัวและหนวดเครา เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย และนำตัวเขามาหาฟาโรห์ 15 ฟาโรห์พูดกับโยเซฟว่า “เราได้ฝันไป แต่ไม่มีใครสามารถแก้ฝันของเราได้ แต่เราได้ยินเขาพูดถึงเจ้าว่า เมื่อเจ้าได้ฟังความฝัน เจ้าจะแก้ฝันได้”

16 โยเซฟตอบฟาโรห์ว่า “ไม่ใช่ข้าพเจ้าหรอก แต่เป็นพระเจ้าที่จะให้คำตอบดีๆกับท่านฟาโรห์”

17 ฟาโรห์จึงพูดกับโยเซฟว่า “ในความฝันของเรา เรากำลังยืนอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำไนล์ 18 แล้วจู่ๆก็มีวัวอ้วนพีเจ็ดตัว รูปร่างสมบูรณ์แข็งแรง โผล่ขึ้นมาจากแม่น้ำไนล์ มากินหญ้าที่ขึ้นอยู่แถวๆนั้น 19 หลังจากนั้นก็มีวัวอีกเจ็ดตัวที่หิวโซ ผอมลีบ น่าเกลียดน่ากลัว โผล่ขึ้นมา เรายังไม่เคยเห็นวัวที่น่าเกลียดอย่างนี้มาก่อนเลยในแผ่นดินอียิปต์ 20 แล้ววัวผอมลีบที่น่าเกลียดทั้งเจ็ดตัวนี้ ได้กินวัวอ้วนพีทั้งเจ็ดตัวนั้น 21 แต่เมื่อพวกมันกินวัวอ้วนพีทั้งเจ็ดตัวเข้าไปแล้ว ดูไม่รู้เลยว่าพวกมันได้กินวัวอ้วนพีเข้าไปในท้องของพวกมันแล้ว เพราะมันยังน่าเกลียดน่ากลัวเหมือนในตอนแรก

22 แล้วเราได้ตื่นขึ้น จากนั้นเราได้ฝันอีก คราวนี้เราฝันเห็นรวงข้าวเจ็ดรวง แต่ละรวงมีเมล็ดข้าวออกเต็มไปหมด ทั้งหมดงอกออกมาจากต้นข้าวต้นเดียว 23 ต่อมาได้มีรวงข้าวอีกเจ็ดรวงงอกออกมา แต่มีเมล็ดข้าวที่ผอมลีบและเหี่ยวแห้ง เพราะลมร้อนจากตะวันออก 24 รวงข้าวที่ผอมลีบนี้ได้กลืนกินรวงข้าวที่งามดีทั้งเจ็ดรวงนั้น

เราได้เล่าเรื่องนี้ให้กับพวกโหรของเรา แต่ไม่มีใครแก้ฝันนี้ให้กับเราได้เลย”

โยเซฟทำนายฝันให้ฟาโรห์

25 โยเซฟพูดกับฟาโรห์ว่า “ความฝันทั้งสองอันนี้ของท่านเป็นความฝันเรื่องเดียวกันและเหมือนกัน พระเจ้าบอกฟาโรห์ถึงสิ่งที่พระองค์จะทำในไม่ช้านี้ 26 วัวดีๆเจ็ดตัวนั้นคือเจ็ดปี และรวงข้าวงามๆทั้งเจ็ดรวงนั้นก็คือเจ็ดปี ความฝันทั้งสองอันนี้มีความหมายอย่างเดียวกัน 27 วัวผอมลีบที่น่าเกลียดทั้งเจ็ดตัวที่โผล่ตามมานั้นก็คือเจ็ดปี และรวงข้าวทั้งเจ็ดรวงที่ผอมและเหี่ยวแห้งเพราะลมร้อนจากตะวันออกนั้น ก็เป็นเจ็ดปีของความอดอยากหิวโหย[a] 28 นี่คือสิ่งที่ข้าพเจ้าได้บอกกับฟาโรห์ พระเจ้าได้แสดงให้ฟาโรห์เห็นถึงสิ่งที่พระองค์จะทำในไม่ช้านี้ 29 ดูเถิด ในเวลาเจ็ดปี จะมีอาหารอย่างเหลือเฟือในแผ่นดินอียิปต์ 30 หลังจากนั้นอีกเจ็ดปี ความอดอยากหิวโหยจะตามมา ผู้คนจะลืมช่วงที่มีอาหารอย่างเหลือเฟือในแผ่นดินอียิปต์ และความอดอยากหิวโหยนี้จะทำลายแผ่นดินนี้ 31 ความอดอยากหิวโหยที่ตามมานี้ จะทำให้ผู้คนลืมช่วงเวลาที่มีอาหารกินอย่างเหลือเฟือ เพราะความอดอยากหิวโหยนั้นจะหนักหนาสาหัสมาก 32 และที่ฟาโรห์ได้ฝันถึงสองครั้ง ก็เพราะพระเจ้าได้ตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว และพระองค์จะทำให้มันเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ 33 ดังนั้น ตอนนี้ขอให้ฟาโรห์รีบหาคนที่เฉลียวฉลาดและหัวดี และตั้งเขาให้จัดการดูแลทั่วทั้งแผ่นดินอียิปต์ 34 ขอให้ฟาโรห์แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ทั่วแผ่นดินและให้แบ่งยี่สิบเปอร์เซ็นต์ของผลผลิตทั้งหมดที่เกิดขึ้นในเจ็ดปีแรก ออกมาเก็บไว้ 35 ให้พวกเขาเก็บสะสมอาหารที่มีในปีที่ดีที่กำลังจะมานี้ ให้พวกเขาเก็บรวบรวมเมล็ดข้าวไว้ในคลังของกษัตริย์ฟาโรห์ในเมืองต่างๆและให้เฝ้ามันไว้ 36 อาหารพวกนี้จะเก็บตุนไว้สำหรับเจ็ดปีแห่งความอดอยากหิวโหยที่จะเกิดขึ้นในแผ่นดินอียิปต์ เพื่อแผ่นดินนี้จะได้ไม่ถูกทำลายเพราะความอดอยากหิวโหยนั้น”

37 ทั้งฟาโรห์และเจ้าหน้าที่ของเขาเห็นด้วยกับแผนนี้ 38 ฟาโรห์จึงพูดกับเจ้าหน้าที่ของเขาว่า “พวกเราจะไปหาคนอย่างนี้ได้ที่ไหน คนที่มีพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย”

39 ฟาโรห์จึงบอกโยเซฟว่า “เพราะพระเจ้าได้ทำให้เจ้ารู้เรื่องพวกนี้ทั้งหมด ไม่มีใครที่จะเฉลียวฉลาดและหัวดีเท่ากับเจ้าอีกแล้ว 40 เราจะให้เจ้าดูแลบ้านเรือนของเรา และประชาชนของเราทุกคนก็จะเชื่อฟังคำสั่งของเจ้า เจ้าจะใหญ่เป็นอันดับสองรองจากเรา”

41 ฟาโรห์จึงพูดกับโยเซฟว่า “เห็นไหม เราได้แต่งตั้งเจ้าให้ดูแลแผ่นดินอียิปต์ทั้งหมด” 42 แล้วฟาโรห์ก็ถอดแหวนตราประทับจากมือ สวมเข้าที่มือของโยเซฟ ฟาโรห์ได้เอาผ้าลินินอย่างดีมาสวมใส่ให้โยเซฟ เอาสร้อยคอทองคำมาสวมที่คอของเขา 43 ฟาโรห์ได้ให้โยเซฟนั่งรถม้าคันที่สองของพระองค์ มีคนร้องตะโกนอยู่ข้างหน้าเขาว่า “กราบลง”

และฟาโรห์ได้แต่งตั้งให้โยเซฟดูแลแผ่นดินอียิปต์ทั้งหมด 44 ฟาโรห์พูดกับโยเซฟว่า “เราคือฟาโรห์ ในแผ่นดินอียิปต์จะไม่มีใครสามารถกระดิกแขนขาได้ นอกจากเจ้าจะอนุญาต”

45 แล้วฟาโรห์ได้ตั้งชื่อใหม่ให้กับโยเซฟว่า ศาเฟนาทปาเนอาห์[b] และยกอาเสนัทให้เป็นเมียโยเซฟด้วย อาเสนัทเป็นลูกสาวของโปทิเฟรา นักบวชเมืองโอน แล้วโยเซฟก็ได้ออกไปจากฟาโรห์ และออกเดินทางไปทั่วแผ่นดินอียิปต์

46 โยเซฟมีอายุสามสิบปี เมื่อเขาเริ่มรับใช้ฟาโรห์กษัตริย์ของอียิปต์ โยเซฟจากฟาโรห์มา และได้เดินทางไปทั่วแผ่นดินอียิปต์ 47 ในช่วงเจ็ดปีแห่งความอุดมสมบูรณ์ แผ่นดินได้ให้ผลผลิตอย่างล้นเหลือ 48 ในช่วงเจ็ดปีนั้นที่มีอาหารอย่างล้นเหลือในแผ่นดินอียิปต์ โยเซฟได้เก็บกักตุนมันไว้ในเมืองต่างๆ อาหารที่เก็บได้จากท้องทุ่งรอบๆเมืองไหนก็จะตุนไว้ในเมืองนั้นๆ 49 ดังนั้นโยเซฟจึงเก็บเมล็ดข้าวมาตุนไว้มากมายเหมือนกับเม็ดทรายที่ทะเล มันมากซะจนชั่งไม่หวั่นไม่ไหวจนต้องหยุดชั่งไป

50 ก่อนที่จะถึงปีแห่งความอดอยากหิวโหย โยเซฟมีลูกชายสองคน อาเสนัทได้คลอดลูกสองคนนี้ให้กับโยเซฟ อาเสนัทเป็นลูกสาวของโปทิเฟรานักบวชเมืองโอน 51 โยเซฟตั้งชื่อลูกชายคนแรกว่า มนัสเสห์[c] โยเซฟพูดว่า “พระเจ้าทำให้ผมลืมความทุกข์ยากลำบากของผมทั้งสิ้น รวมทั้งทุกคนในครอบครัวของพ่อผม” 52 โยเซฟได้ตั้งชื่อลูกคนที่สองว่าเอฟราอิม[d] โยเซฟพูดว่า “เพราะพระเจ้าได้ทำให้ผมมีลูกหลาน[e] ในแผ่นดินที่ผมได้รับความทุกข์ยากลำบากนี้”

เวลาแห่งความอดอยากหิวโหยเริ่มขึ้น

53 เจ็ดปีแห่งความอุดมสมบูรณ์ในแผ่นดินอียิปต์ได้สิ้นสุดลง 54 และเจ็ดปีแห่งความอดอยากหิวโหยได้เริ่มต้นขึ้นตามที่โยเซฟได้พูดไว้ ความอดอยากหิวโหยได้เกิดขึ้นกับทุกประเทศ ยกเว้นในแผ่นดินอียิปต์ที่มีอาหารกินกัน 55 เมื่อแผ่นดินอียิปต์เริ่มขาดแคลนอาหาร ประชาชนได้มาร้องขออาหารต่อฟาโรห์ ฟาโรห์บอกชาวอียิปต์ทุกคนว่า “ให้ไปหาโยเซฟและให้ทำตามที่เขาบอกพวกเจ้า”

56 เมื่อความอดอยากหิวโหยได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งแผ่นดิน โยเซฟจึงเปิดคลังข้าวสาร และขายข้าวให้กับชาวอียิปต์ เพราะความอดอยากหิวโหยนั้นรุนแรงมากในแผ่นดินอียิปต์ 57 และคนทั่วโลกต่างเดินทางมาอียิปต์ เพื่อมาขอซื้อข้าวจากโยเซฟ เพราะความอดอยากหิวโหยรุนแรงไปทั่วโลก

ความฝันกลายเป็นจริง

42 เมื่อยาโคบเห็นว่ามีข้าวอยู่ในอียิปต์ เขาจึงพูดกับพวกลูกๆของเขาว่า “พวกเจ้าจะมานั่งมองหน้ากันอยู่ทำไม ทำอะไรสักอย่างสิ” แล้วยาโคบก็พูดว่า “ฟังนะ พ่อได้ยินมาว่ามีข้าวในอียิปต์ ให้พวกเจ้าลงไปที่นั่นและไปซื้อข้าวมาให้กับพวกเรา พวกเราจะได้มีชีวิตอยู่ต่อไป ไม่ต้องอดตาย”

พี่ชายทั้งสิบคนของโยเซฟก็ลงไปซื้อข้าวที่อียิปต์ แต่ยาโคบไม่ยอมให้เบนยามินไปกับพวกพี่ชายด้วย เพราะเขากลัวว่าจะเกิดอันตรายกับเบนยามิน เบนยามินเป็นน้องชายของโยเซฟ[f]

พวกลูกชายของอิสราเอลได้ไปซื้อข้าวพร้อมกับคนอื่นๆ เพราะความอดอยากหิวโหยได้แผ่ขยายมาถึงแผ่นดินคานาอันแล้ว

ในเวลานั้น โยเซฟเป็นผู้ปกครองเหนือแผ่นดินอียิปต์ทั้งหมด คนที่มาซื้อข้าวในแผ่นดินอียิปต์ จะต้องมาซื้อกับโยเซฟ เมื่อพวกพี่ชายของโยเซฟมาถึง ก็ก้มกราบลงกับพื้นต่อหน้าเขา เมื่อโยเซฟเห็นพวกพี่ชาย เขาก็จำได้ แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้จัก และพูดจาดุดันกับพวกเขา โยเซฟพูดว่า “พวกเจ้ามาจากที่ไหนกัน”

พวกเขาตอบว่า “มาจากแผ่นดินคานาอันเพื่อมาซื้ออาหาร”

โยเซฟจำพวกพี่ชายได้ แต่พวกพี่ชายจำโยเซฟไม่ได้ โยเซฟยังจำความฝันที่เขาฝันเกี่ยวกับพวกพี่ชายของเขาได้ โยเซฟกล่าวหาพวกพี่ชายว่า “พวกเจ้าเป็นพวกสอดแนม มาดูว่าแผ่นดินนี้มีจุดอ่อนตรงไหนบ้าง”

10 แต่พวกเขาตอบโยเซฟว่า “ไม่ใช่ครับท่าน พวกเราผู้รับใช้ของท่านมาที่นี่เพื่อซื้ออาหารครับ 11 เราทั้งหมดมีพ่อเดียวกัน พวกเราเป็นคนซื่อสัตย์ พวกเราผู้รับใช้ของท่านไม่ได้เป็นคนสอดแนม”

12 แต่โยเซฟพูดกับพวกเขาว่า “ไม่จริง พวกเจ้ามาแอบดูจุดอ่อนของแผ่นดินนี้”

13 พวกเขาตอบว่า “พวกเรา ผู้รับใช้ของท่าน มีพี่น้องอยู่สิบสองคน เป็นลูกของพ่อเดียวกันในแผ่นดินคานาอัน ตอนนี้น้องคนสุดท้องอยู่กับพ่อของพวกเรา และน้องอีกคนหนึ่งตายไปนานแล้ว”

14 โยเซฟพูดกับพวกเขาว่า “พวกเจ้าเป็นคนสอดแนม เหมือนกับที่เราพูดแน่ๆ 15 เราจะให้พวกเจ้าพิสูจน์ตัวเอง ในนามของฟาโรห์ เราสาบานว่าจะไม่ปล่อยพวกเจ้าไปจากที่นี่ จนกว่าน้องชายคนเล็กของพวกเจ้าจะมา 16 ส่งคนหนึ่งในพวกเจ้ากลับไป และให้ไปเอาน้องชายมา ส่วนที่เหลือก็รออยู่ในคุกที่นี่ จะได้พิสูจน์คำพูดของพวกเจ้า ว่าพูดความจริงหรือเปล่า ถ้าไม่อย่างนั้น ฟาโรห์มีชีวิตอยู่แน่ขนาดไหน พวกเจ้าต้องเป็นคนสอดแนมแน่ๆ” 17 แล้วโยเซฟได้ขังพวกเขาไว้ในคุกสามวัน

สิเมโอนเป็นตัวประกัน

18 ในวันที่สาม โยเซฟพูดกับพวกเขาว่า “ให้ทำอย่างนี้ก็แล้วกัน พวกเจ้าจะได้รอด เพราะเราเกรงกลัวพระเจ้า 19 ถ้าพวกเจ้าเป็นคนซื่อสัตย์ ให้ทิ้งพี่น้องคนหนึ่งของเจ้าไว้ในคุกนี้ และพวกเจ้าก็เอาข้าวสารไปให้กับครอบครัวที่หิวโหยของเจ้า 20 แล้วค่อยเอาน้องชายคนสุดท้องของเจ้ามาหาเรา จะได้พิสูจน์ว่าที่พวกเจ้าพูดนั้นเป็นความจริงหรือไม่ พวกเจ้าจะได้ไม่ต้องตาย”

พวกเขาก็ตกลงทำตามนั้น 21 พวกเขาพูดกันเองว่า “ที่พวกเราถูกลงโทษนี้ ต้องเป็นเพราะสิ่งที่เราทำกับน้องชายของเราแน่ๆ เราเห็นถึงความทุกข์ของเขา ตอนที่เขาร้องขอความเมตตาจากเรา แต่พวกเราไม่สนใจฟัง เพราะเหตุนั้นเราถึงต้องทนทุกข์อย่างนี้”

22 รูเบนได้พูดกับพวกเขาว่า “ผมบอกกับพวกท่านแล้วว่าอย่าทำร้ายเด็กนั้น แต่พวกท่านก็ไม่ยอมฟัง และตอนนี้เราก็ต้องชดใช้ให้กับเลือดของเขาแล้ว”

23 พวกเขาไม่รู้ว่าโยเซฟกำลังฟังอยู่ เพราะปกติแล้วจะมีล่ามคอยแปลให้ระหว่างพวกเขากับโยเซฟ 24 โยเซฟจึงออกไปร้องไห้ แล้วกลับเข้ามาหาพวกเขาและพูดกับพวกเขา โยเซฟเอาสิเมโอนมาจากพวกเขา และมัดเขาต่อหน้าพี่น้องของเขา 25 โยเซฟสั่งคนรับใช้ให้เอาข้าวสารมาใส่ให้เต็มกระสอบของพวกพี่ชายของเขา และให้เอาเงินของพี่ชายของเขาแต่ละคนคืนใส่เข้าไปในกระสอบของพวกเขาเอง และให้สิ่งที่จำเป็นสำหรับการเดินทางกับพวกเขา

26 ทุกอย่างก็เรียบร้อย พวกเขาจึงเอาข้าวสารทั้งหมดบรรทุกบนหลังลาของพวกเขา ออกเดินทางไป 27 ที่จุดพักแรมในคืนนั้น เมื่อคนหนึ่งเปิดกระสอบของเขาออกมา เพื่อเอาข้าวสารให้ลากิน เขาก็เห็นเงินของเขาอยู่ที่ปากกระสอบนั้น 28 เขาพูดกับพี่น้องของเขาว่า “ผมได้เงินของผมคืนมา นี่ไง มันอยู่ในกระสอบของผม” พวกเขาก็งงมาก ตกใจกลัวมาก และหันไปพูดกันและกันว่า “นี่พระเจ้ากำลังเล่นตลกอะไรกับเรา”

พวกพี่ชายเล่าเรื่องให้ยาโคบฟัง

29 เมื่อพวกเขากลับมาหายาโคบพ่อของพวกเขา ที่แผ่นดินคานาอัน พวกเขาได้เล่าให้พ่อฟังถึงเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นว่า 30 “ชายคนหนึ่งที่เป็นเจ้านายเหนือแผ่นดินนั้น ได้พูดกับพวกเราอย่างดุดัน และเขาได้จับพวกเราขังคุก เหมือนกับว่าพวกเราเข้าไปสอดแนมแผ่นดินนั้น 31 แล้วพวกเราได้บอกกับเขาว่า ‘พวกเราเป็นคนซื่อสัตย์ พวกเราไม่ใช่คนสอดแนม 32 พวกเรามีพี่น้องกันอยู่สิบสองคน เป็นลูกของพ่อคนเดียวกัน น้องคนหนึ่งได้ตายไปแล้ว และตอนนี้น้องคนสุดท้องอยู่กับพ่อของพวกเราที่แคว้นคานาอัน’

33 ชายคนที่เป็นเจ้านายเหนือแผ่นดินนั้นจึงพูดกับพวกเราว่า ‘ให้ทำอย่างนี้ แล้วเราจะได้รู้ว่าพวกเจ้าเป็นคนซื่อสัตย์ ทิ้งพี่น้องคนหนึ่งของพวกเจ้าไว้กับเรา ส่วนที่เหลือ ก็ให้เอาอาหารไปให้กับครอบครัวที่หิวโหยทางบ้าน 34 แล้วให้เอาน้องคนสุดท้องของพวกเจ้ามาหาเรา เราจะได้รู้ว่าพวกเจ้าไม่ใช่คนสอดแนม แต่เป็นคนซื่อสัตย์ แล้วเราจะคืนพี่ชายให้กับเจ้า และพวกเจ้าจะไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระในแผ่นดินนี้’”

35 เมื่อพวกเขาเทข้าวสารออกมาจากกระสอบ พวกเขาก็เจอถุงเงินของแต่ละคนในกระสอบ เมื่อพวกเขาและพ่อเห็นถุงเงินของพวกเขา พวกเขาก็กลัว

36 ยาโคบพ่อของพวกเขาพูดกับพวกเขาว่า “พวกเจ้าจะทำให้พ่อสูญเสียลูกไปอีกแล้ว โยเซฟก็ตายไปแล้ว สิเมโอนก็ตายไปแล้ว และเจ้าจะยังเอาตัวเบนยามินไปอีกคน ทุกสิ่งทุกอย่างดูสิ้นหวังเสียเหลือเกิน”

37 รูเบนพูดกับพ่อของเขาว่า “ถ้าผมไม่เอาเบนยามินกลับมาให้พ่อ พ่อก็ฆ่าลูกชายสองคนของผมได้เลย มอบเบนยามินให้อยู่ในมือผมเถอะ แล้วผมจะเอาเขากลับมาให้พ่อ”

38 แต่ยาโคบพูดว่า “เบนยามินลูกชายของพ่อจะต้องไม่ลงไปกับเจ้า เพราะพี่ชายของเขาได้ตายไปแล้ว และเหลือเบนยามินเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เกิดจากราเชล แล้วถ้าเกิดอันตรายขึ้นกับเขาในระหว่างทางที่เจ้าไป เจ้าก็จะส่งคนแก่หัวหงอกอย่างพ่อลงไปในแดนคนตายเพราะความเศร้าโศกเสียใจ”

มัทธิว 12:1-23

ชาวยิวบางคนกล่าวหาพระเยซู

(มก. 2:23-28; ลก. 6:1-5)

12 พระเยซูเดินผ่านทุ่งข้าวสาลี ซึ่งเป็นวันหยุดทางศาสนาพอดี พวกศิษย์ของพระองค์หิวจัด ก็เลยเด็ดยอดรวงข้าวสาลีมาขยี้เปลือกออกแล้วกินกัน เมื่อพวกฟาริสี เห็นก็บอกพระเยซูว่า “ดูนั่นสิ พวกศิษย์ของคุณกำลังทำผิดกฎวันหยุด”

พระองค์ตอบว่า “พวกคุณไม่เคยอ่านหรือว่าดาวิดทำอะไร ตอนที่เขาและลูกน้องของเขาหิวโหย ดาวิดได้เข้าไปในบ้านของพระเจ้า แล้วไปเอาขนมปังศักดิ์สิทธิ์มากินกันกับลูกน้อง ซึ่งตามกฎแล้วมีแต่พวกนักบวชเท่านั้นที่กินได้ แล้วพวกคุณไม่เคยอ่านกฎของโมเสสหรือว่า พวกนักบวชที่ทำงานอยู่ในวิหาร บางครั้งก็ทำงานตรงกับวันหยุดทางศาสนา ซึ่งถือว่าผิดกฎ แต่พวกเขาก็ไม่มีความผิด เราจะบอกให้รู้ว่า มีคนหนึ่ง[a] ที่อยู่ที่นี่ ยิ่งใหญ่กว่าวิหารเสียอีก ถ้าคุณเข้าใจความหมายของข้อพระคัมภีร์ที่ว่า เราอยากเห็นความเมตตา ไม่ใช่เครื่องบูชา[b] คุณคงจะไม่ประณามคนเหล่านี้ที่ไม่มีความผิดแน่

เพราะ ‘บุตรมนุษย์เป็นนายเหนือวันหยุดทางศาสนา’”

พระเยซูรักษาชายที่มือลีบ

(มก. 3:1-6; ลก. 6:6-11)

พระเยซูออกมาจากที่นั่น และเข้าไปในที่ประชุมชาวยิว 10 มีชายมือลีบคนหนึ่งอยู่ที่นั่น พวกยิวบางคนพยายามที่จะหาเรื่องใส่ร้ายพระองค์ จึงถามพระองค์ว่า “มันผิดกฎหรือเปล่า ถ้าจะรักษาคนในวันหยุดทางศาสนา”

11 พระองค์ตอบว่า “ถ้าพวกคุณมีแกะอยู่ตัวหนึ่ง แล้วมันตกลงไปในบ่อในวันหยุดทางศาสนา คุณจะไม่ช่วยดึงมันขึ้นมาจากบ่อหรือ 12 มนุษย์นั้นมีค่ามากกว่าแกะเสียอีก ดังนั้นการทำดีในวันหยุดทางศาสนาจึงไม่ผิดกฎ”

13 แล้วพระเยซูสั่งกับคนมือลีบว่า “ยืดมือออกมา” เขาก็ทำตาม แล้วมือของเขาก็หายเป็นปกติเหมือนกับมืออีกข้างหนึ่ง 14 พวกฟาริสีจึงออกไปวางแผนฆ่าพระเยซู

พระเยซูคือผู้รับใช้ที่พระเจ้าเลือก

15 แต่พระเยซูรู้ตัวเสียก่อนจึงไปจากที่นั่น มีคนเป็นจำนวนมากตามพระองค์ไป และพระองค์รักษาพวกเขาให้หายป่วยทุกคน 16 พระองค์สั่งพวกนั้นว่า ห้ามบอกคนอื่นว่าพระองค์เป็นใคร 17 เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นเพื่อให้เป็นจริงตามที่อิสยาห์ ผู้พูดแทนพระเจ้า ได้พูดว่า

18 “นี่คือผู้รับใช้ที่เราได้เลือกไว้ เรารักเขาและภูมิใจเขามาก
    เราจะให้วิญญาณของเรากับเขา
    เขาจะประกาศความยุติธรรมต่อชนทุกชาติ
19 เขาจะไม่ทะเลาะวิวาท และไม่มีปากมีเสียง
    ไม่มีใครจะได้ยินเสียงของเขาตามท้องถนน
20 ต้นอ้อที่ช้ำแล้ว เขาก็จะไม่หักทิ้ง
    ไส้ตะเกียงที่ใกล้มอด เขาก็จะไม่ดับ
    จนกว่าเขาจะนำความยุติธรรมมาและทำให้มันเกิดขึ้นจริง
21 เขาจะเป็นความหวังของคนทุกชาติ”[c][d]

อำนาจของพระเยซูมาจากพระเจ้า

(มก. 3:20-30; ลก. 11:14-23; 12:10)

22 มีคนพาชายที่ถูกผีสิงที่ตาบอดและพูดไม่ได้มาหาพระเยซู พระองค์รักษาเขาจนมองเห็นและพูดได้ 23 ทำให้คนทั้งหมดประหลาดใจมาก และถามกันว่า “เป็นไปได้ไหม ที่เขาจะเป็นบุตรของดาวิด”

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International