Old/New Testament
สงครามกลางเมือง
(1 พกษ. 12:1-24)
10 เรโหโบอัมไปที่เชเคมเพราะชาวอิสราเอลทั้งหมดไปที่นั่นเพื่อที่จะแต่งตั้งเขาขึ้นเป็นกษัตริย์ 2 เมื่อเยโรโบอัมลูกชายของเนบัทได้ยินเรื่องนี้เข้า (ตอนนั้นเขาอยู่ในประเทศอียิปต์ซึ่งเป็นที่ที่เขาหลบหนีไปจากกษัตริย์ซาโลมอน) เขาจึงออกมาจากอียิปต์ กลับมาบ้านของเขา
3 คนอิสราเอลจึงไปหาเยโรโบอัม เยโรโบอัมพร้อมด้วยชาวอิสราเอลทั้งหมดก็ไปหาเรโหโบอัมและพูดกับเขาว่า 4 “พ่อของท่านบังคับให้พวกเราต้องทำงานอย่างหนัก ตอนนี้ ช่วยทำให้งานที่หนักอึ้งและภาระอันหนักหน่วงที่พ่อท่านเคยวางไว้บนตัวพวกเรานั้นเบาลงด้วยเถิด แล้วพวกเราจะอยู่รับใช้ท่าน”
5 เรโหโบอัมตอบว่า “อีกสามวันค่อยกลับมาพบเราใหม่” ประชาชนจึงกลับออกไป
6 แล้วกษัตริย์เรโหโบอัมก็ปรึกษากับพวกผู้อาวุโสที่เคยรับใช้ซาโลมอนพ่อของเขาในช่วงที่ซาโลมอนยังมีชีวิตอยู่ เขาถามว่า “พวกท่านจะแนะนำให้เราตอบประชาชนพวกนั้นยังไงดี”
7 พวกเขาตอบว่า “ถ้าท่านจะใจดีกับประชาชนเหล่านี้และเอาใจใส่พวกเขา และพูดดีๆกับพวกเขา พวกเขาก็จะอยู่รับใช้ท่านตลอดไป”
8 แต่เรโหโบอัมไม่ยอมฟังคำแนะนำที่พวกผู้อาวุโสเหล่านั้นให้เขา เขากลับไปปรึกษากับพวกคนหนุ่มๆที่เติบโตขึ้นมาพร้อมกับเขา และทำงานให้กับเขาอยู่ 9 เขาถามคนหนุ่มพวกนั้นว่า “ประชาชนพวกนั้นพูดกับเราว่า ‘ช่วยทำให้แอกที่พ่อของท่านวางไว้บนพวกเราเบาขึ้นด้วยเถิด’ พวกเจ้ามีคำแนะนำว่ายังไง พวกเราจะตอบประชาชนพวกนั้นว่ายังไงดี”
10 คนหนุ่มๆเหล่านั้นผู้ที่เติบโตขึ้นมาพร้อมๆกับเขาตอบว่า “บอกพวกประชาชนที่มาพูดกับท่านว่า ‘พ่อของท่านได้ทำให้แอกของพวกเราหนักเหลือเกิน ขอให้ท่านช่วยทำให้มันเบาขึ้นด้วยเถิด’ บอกพวกเขาไปว่า ‘นิ้วก้อยของเรายังหนากว่าเอวของพ่อเราเสียอีก 11 พ่อของเราได้ทำให้แอกของพวกเจ้าหนัก เราจะทำให้มันหนักยิ่งขึ้นไปอีก พ่อของเราเฆี่ยนพวกเจ้าด้วยแส้ เราจะเฆี่ยนพวกเจ้าด้วยแส้หางแมงป่อง’”
12 อีกสามวันต่อมา เยโรโบอัมและประชาชนทั้งหมดก็กลับมาหาเรโหโบอัมตามที่กษัตริย์ได้บอกกับพวกเขาไว้ที่ว่า “กลับมาหาเราใหม่ในอีกสามวันข้างหน้า” 13 กษัตริย์ตอบพวกเขาไปอย่างหยาบคาย เขาไม่ทำตามคำแนะนำของพวกผู้อาวุโส 14 กษัตริย์เรโหโบอัมไปทำตามคำแนะนำของพวกคนหนุ่มๆและพูดไปว่า “พ่อของเราทำให้แอกของพวกเจ้าหนัก เราจะทำให้มันหนักขึ้นไปอีก พ่อของเราเคยเฆี่ยนพวกเจ้าด้วยแส้ เราจะเฆี่ยนพวกเจ้าด้วยแส้หางแมงป่อง” 15 ดังนั้นกษัตริย์จึงไม่ยอมรับฟังประชาชนเลย เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจากพระเจ้า เพื่อพระยาห์เวห์จะทำให้คำพูดของพระองค์ที่ได้พูดไว้กับเยโรโบอัมลูกชายของเนบัท ผ่านทางอาหิยาห์ชาวเมืองชิโลห์นั้นสำเร็จ
16 เมื่อคนอิสราเอลทั้งหมดเห็นว่ากษัตริย์ไม่ยอมฟังพวกเขา พวกเขาจึงตอบกษัตริย์ไปว่า “พวกเราเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวดาวิดอย่างนั้นหรือ พวกเราได้ส่วนแบ่งจากที่ดินของเจสซีหรือ เปล่าเลย อิสราเอลเอ๋ย ให้แต่ละคนกลับไปยังเต็นท์ของพวกเรากันเถอะ ปล่อยให้ ลูกของดาวิด ดูแลคนของพวกเขาเอง” ดังนั้น พวกชาวอิสราเอลทั้งหมดจึงกลับไปยังเต็นท์ของตน 17 แต่ส่วนชาวอิสราเอลที่อาศัยอยู่ในเมืองทั้งหลายของยูดาห์ เรโหโบอัมยังคงเป็นคนปกครองพวกเขาอยู่
18 กษัตริย์เรโหโบอัมส่งอาโดนีรัม[a]ผู้ควบคุมคนงานที่ถูกเกณฑ์ไปพูดกับชาวอิสราเอล แต่ชาวอิสราเอลเอาหินขว้างเขาจนตาย ส่วนกษัตริย์เรโหโบอัมหนีขึ้นรถรบของเขาและขับหนีเข้าเมืองเยรูซาเล็มไป 19 ดังนั้น ชาวอิสราเอลจึงแข็งข้อต่อครอบครัวของดาวิดจนกระทั่งถึงทุกวันนี้
11 เมื่อเรโหโบอัมมาถึงเมืองเยรูซาเล็ม เขาได้รวบรวมครอบครัวของยูดาห์และเบนยามิน ได้นักรบมาหนึ่งแสนแปดหมื่นคน เพื่อมาทำสงครามกับชาวอิสราเอล เพื่อแย่งชิงอาณาจักรคืนมาให้กับตัวเอง 2 แต่แล้วคำพูดของพระยาห์เวห์ได้มาถึงเชไมอาห์ที่เป็นคนของพระเจ้าว่า 3 “ไปพูดกับเรโหโบอัมลูกชายของกษัตริย์ซาโลมอนแห่งยูดาห์และกับชาวอิสราเอลทั้งหมดในยูดาห์และในเบนยามินว่า 4 พระยาห์เวห์พูดว่าอย่างนี้ ‘อย่าขึ้นไปต่อสู้กับพี่น้องอิสราเอลของพวกเจ้าเลย ขอให้พวกเจ้าทุกคนกลับไปบ้านเถิด เพราะเราเองเป็นผู้ที่ทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น’” ดังนั้นพวกเขาจึงเชื่อฟังคำพูดของพระยาห์เวห์ และหันหลังกลับจากการเดินทัพไปต่อสู้กับเยโรโบอัม
เรโหโบอัมทำให้ยูดาห์แข็งแกร่ง
5 เรโหโบอัมอาศัยอยู่ในเมืองเยรูซาเล็มและสร้างเมืองต่างๆขึ้นในยูดาห์เพื่อใช้ป้องกันการโจมตี มีเมืองต่อไปนี้คือ 6 เมืองเบธเลเฮม เมืองเอตาม เมืองเทโคอา 7 เมืองเบธซูร์ เมืองโสโค เมืองอดุลลัม 8 เมืองกัท เมืองมาเรชาห์ เมืองศีฟ 9 เมืองอาโดราอิม เมืองลาคีช เมืองอาเซคาห์ 10 เมืองโศราห์ เมืองอัยยาโลน และเมืองเฮโบรน เมืองเหล่านี้เป็นเมืองป้อมปราการในเขตยูดาห์และเขตเบนยามิน 11 เรโหโบอัมทำให้ป้อมปราการต่างๆแข็งแกร่งและให้พวกแม่ทัพอยู่ประจำตามเมืองเหล่านั้น พร้อมกับสะสมเสบียงอาหาร น้ำมันมะกอกและเหล้าองุ่นไว้ที่นั่น 12 เขาเอาโล่และหอกมาเก็บไว้ในเมืองเหล่านั้นทั้งหมด และทำให้เมืองเหล่านั้นแข็งแกร่ง ดังนั้น ยูดาห์และเบนยามินอยู่ในการครอบครองของเขา
13 พวกนักบวชและชาวเลวีมาจากทั่วทั้งอิสราเอล ได้มาอยู่ฝ่ายเดียวกับเรโหโบอัม 14 ชาวเลวีได้ละทิ้งดินแดนแห่งทุ่งหญ้าและที่ดินของพวกเขา และเดินทางมาที่ยูดาห์และเยรูซาเล็ม เพราะเยโรโบอัมกับพวกลูกชายของเขาไม่ยอมให้พวกนี้รับใช้ในฐานะนักบวชของพระยาห์เวห์ 15 และเยโรโบอัมกับพวกลูกชายของเขาก็ได้แต่งตั้งเหล่านักบวชของพวกเขาขึ้นมาเอง เพื่อให้รับใช้อยู่ตามสถานที่สูง กับรับใช้พวกรูปปั้นแพะและรูปปั้นลูกวัวที่พวกเขาได้สร้างขึ้นมา 16 คนอื่นๆที่มาจากเผ่าต่างๆของอิสราเอล ที่ยังตั้งใจแสวงหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลนั้น ก็ได้ติดตามชาวเลวีเหล่านั้นมาถึงเมืองเยรูซาเล็ม เพื่อที่จะถวายเครื่องสัตวบูชาให้แก่พระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกเขา 17 พวกเขาทำให้อาณาจักรของยูดาห์แข็งแกร่งขึ้น และสนับสนุนเรโหโบอัมลูกชายของซาโลมอนอยู่เป็นเวลาสามปี ในช่วงเวลานี้พวกเขาใช้ชีวิตตามอย่างของดาวิดและซาโลมอน
ครอบครัวของเรโหโบอัม
18 เรโหโบอัมแต่งงานกับมาหะลัท นางเป็นลูกสาวของเยรีโมทกับนางอาบีฮาอิล เยรีโมทเป็นลูกชายของดาวิด อาบีฮาอิลเป็นลูกสาวของเอลีอับผู้เป็นลูกชายของเจสซี 19 มาหะลัทคลอดลูกชายให้เรโหโบอัม ชื่อ เยอูช เชมาริยาห์และศาฮัม 20 แล้วเรโหโบอัมแต่งงานกับมาอาคาห์หลานสาว[b]ของอับซาโลม มาอาคาร์คลอดลูกชายให้เรโหโบอัม ชื่อว่า อาบียาห์ อัททัย ศีศาและเชโลมิท 21 เรโหโบอัมรักมาอาคาห์ลูกสาวของอับซาโลมมากกว่าเมียและเมียน้อย[c] คนไหนๆของเขา เขามีเมียทั้งหมดสิบแปดคนและมีเมียน้อยหกสิบคน มีลูกชายยี่สิบแปดคนและมีลูกสาวหกสิบคน
22 เรโหโบอัมแต่งตั้งอาบียาห์ลูกชายของนางมาอาคาห์ขึ้นเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์ในหมู่พี่น้องทั้งหลายของเขา เพื่อที่จะให้อาบียาห์เป็นกษัตริย์ 23 เรโหโบอัมมีวิธีการที่ชาญฉลาด เขาแยกพวกลูกชายทั้งหลายของเขาให้ไปอยู่กระจัดกระจายตามเขตต่างๆของยูดาห์และเบนยามิน รวมทั้งตามเมืองที่เป็นป้อมปราการทั้งหลายด้วย เขาได้จัดส่งเสบียงอาหารให้กับลูกๆของเขาอย่างอุดมสมบูรณ์พร้อมทั้งหาเมียให้กับพวกเขาด้วย
กษัตริย์ชิชักโจมตีเยรูซาเล็ม
(1 พกษ. 14:21-31)
12 ภายหลังจากที่อาณาจักรของเรโหโบอัมตั้งมั่นคง และเขาแข็งแกร่งขึ้น ทั้งตัวเขาและชนชาติอิสราเอล[d] ทั้งหมดก็ละทิ้งกฎของพระยาห์เวห์ 2 เพราะพวกเขาไม่ซื่อสัตย์ต่อพระยาห์เวห์ ดังนั้นในปีที่ห้าที่เรโหโบอัมเป็นกษัตริย์ กษัตริย์ชิชักแห่งอียิปต์ได้ขึ้นมาโจมตีเมืองเยรูซาเล็ม 3 กษัตริย์ชิชักนำรถรบหนึ่งหมื่นสองพันคัน ทหารม้าหกหมื่นคนและกองทัพชาวลิเบีย ชาวสุคีอิมและชาวคูชอีกนับจำนวนไม่ถ้วน มาด้วยจากอียิปต์ 4 เขาเข้ายึดเมืองต่างๆที่เป็นป้อมปราการของยูดาห์และบุกเข้ามาจนถึงเมืองเยรูซาเล็ม
5 แล้วเชไมอาห์ผู้พูดแทนพระเจ้ามาพบเรโหโบอัมกับพวกผู้นำของชาวยูดาห์ ซึ่งมาชุมนุมกันอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม เพราะกลัวกษัตริย์ชิชัก เชไมอาห์พูดกับพวกเขาว่า “นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์พูด ‘พวกเจ้าได้ทิ้งเรา ดังนั้นเราก็ได้ทิ้งพวกเจ้าให้ตกอยู่ในกำมือของชิชัก’”
6 พวกผู้นำของชาวอิสราเอลและกษัตริย์ต่างถ่อมตัวลงและพูดว่า “พระยาห์เวห์ทำถูกต้องแล้ว”
7 เมื่อพระยาห์เวห์เห็นว่าพวกเขาต่างถ่อมตัวลง คำพูดต่อไปนี้ของพระยาห์เวห์จึงมาถึงเชไมอาห์ว่า “พวกเขาได้ถ่อมตัวลง ดังนั้นเราจะไม่ทำลายพวกเขา แต่จะช่วยกู้พวกเขาในเร็วๆนี้ เราจะไม่เทความโกรธของเราลงบนเยรูซาเล็มผ่านทางกษัตริย์ชิชัก 8 แต่พวกเขาจะต้องตกเป็นเชลยของชิชัก เพื่อพวกเขาจะได้รู้ซะบ้างว่า การรับใช้เรากับการรับใช้พวกกษัตริย์ของแผ่นดินอื่นๆมันแตกต่างกันแค่ไหน”
9 เมื่อกษัตริย์ชิชักแห่งอียิปต์บุกเข้าเมืองเยรูซาเล็ม เขาได้ขนเอาทรัพย์สมบัติในวิหารของพระยาห์เวห์ และทรัพย์สมบัติในวังของกษัตริย์ไป เขาเอาทุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้งพวกโล่ทองคำที่ซาโลมอนได้สร้างไว้ 10 ดังนั้นกษัตริย์เรโหโบอัมจึงได้สร้างพวกโล่ทองสัมฤทธิ์ขึ้นมาแทน และให้พวกทหารยามที่เฝ้ารักษาประตูวังเฝ้าดูแล 11 เมื่อไหร่ก็ตามที่กษัตริย์ไปที่วิหารของพระยาห์เวห์ พวกทหารยามก็จะถือโล่เหล่านี้ตามกษัตริย์ไปด้วย หลังจากนั้นพวกเขาก็จะนำพวกมันไปเก็บรักษาไว้ในห้องยาม
12 ความโกรธของพระยาห์เวห์ได้หันไปจากกษัตริย์เรโหโบอัมเพราะเขาถ่อมตัวลง พวกยูดาห์ก็เลยไม่ถูกทำลายทั้งหมด ยูดาห์ก็ยังมีส่วนดีอยู่บ้าง
13 กษัตริย์เรโหโบอัมทำให้ตัวเองมั่นคงขึ้นในเมืองเยรูซาเล็ม และยังคงเป็นกษัตริย์ต่อไป เขามีอายุสี่สิบเอ็ดปีเมื่อเขาขึ้นเป็นกษัตริย์ และเขาครองบัลลังก์อยู่สิบเจ็ดปีในเมืองเยรูซาเล็ม ซึ่งเป็นเมืองที่พระยาห์เวห์ได้เลือกออกมาจากเผ่าทั้งหมดของชนชาติอิสราเอล เพื่อเป็นเกียรติให้กับชื่อของพระองค์ แม่ของเรโหโบอัมชื่อว่านาอามาห์เป็นชาวอัมโมน 14 เรโหโบอัมได้ทำความชั่ว เพราะเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะแสวงหาพระยาห์เวห์
15 ส่วนเหตุการณ์อื่นๆในยุคของเรโหโบอัม ตั้งแต่แรกจนจบ ได้ถูกจดไว้ในบันทึกของเชไมอาห์ ผู้พูดแทนพระเจ้า
และในหนังสือบันทึกเชื้อพระวงศ์ที่อิดโดผู้ที่เห็นนิมิตได้จดไว้ เรโหโบอัมกับเยโรโบอัมยังคงทำสงครามกันตลอดเวลา 16 เรโหโบอัมตายไปอยู่กับบรรพบุรุษของเขา และศพของเขาถูกฝังอยู่ในเมืองของดาวิด และอาบียาห์ลูกชายของเขาขึ้นเป็นกษัตริย์สืบต่อจากเขา
30 (พระเยซูยังไม่ได้เข้ามาในหมู่บ้าน แต่ยังคงอยู่ที่เดิมที่มารธาไปหา) 31 เมื่อพวกยิวที่ปลอบใจมารีย์อยู่ในบ้านเห็นมารีย์รีบลุกขึ้นออกไป พวกเขาก็ตามเธอไป เพราะคิดว่าเธอจะไปร้องไห้ที่หลุมฝังศพ 32 เมื่อมารีย์ไปถึงก็เห็นพระเยซู เธอก้มลงกราบที่เท้าของพระองค์ และคร่ำครวญว่า “อาจารย์คะ ถ้าอาจารย์อยู่ที่นี่ น้องชายของดิฉันก็คงไม่ตาย”
33 เมื่อพระเยซูเห็นมารีย์ร้องไห้ และพวกยิวที่ตามเธอมาร้องไห้ด้วย พระองค์ก็รู้สึกโกรธ[a] และเป็นทุกข์ 34 พระองค์ถามว่า “พวกคุณเอาศพเขาไปฝังไว้ที่ไหน” พวกเขาตอบว่า “ตามมาดูสิ อาจารย์”
35 พระเยซูร้องไห้
36 พวกยิวจึงพูดว่า “ดูสิ เขารักลาซารัสมากขนาดไหน”
37 แต่บางคนก็พูดว่า “ผู้ชายคนนี้ทำให้คนตาบอดมองเห็นได้ แล้วทำไมเขาจะช่วยให้ลาซารัสรอดตาย ไม่ได้ล่ะ”
พระเยซูทำให้ลาซารัสฟื้นขึ้น
38 พระเยซูรู้สึกโกรธอีก และเมื่อมาถึงอุโมงค์ฝังศพของลาซารัสก็มีหินใหญ่ปิดปากอุโมงค์อยู่ 39 พระองค์จึงสั่งว่า “เลื่อนหินออกไปสิ”
มารธาพี่สาวของลาซารัสจึงบอกพระองค์ว่า “อาจารย์คะ คงเหม็นแย่แล้วล่ะ เพราะเขาตายมาสี่วันแล้ว” 40 พระเยซูบอกเธอว่า “คุณลืมแล้วหรือที่เราบอกว่า ถ้าคุณไว้วางใจ คุณจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า”
41 พวกเขาจึงเลื่อนหินออก แล้วพระเยซูก็แหงนหน้าขึ้นพูดว่า “พระบิดา ลูกขอขอบคุณพระองค์ที่ฟังลูก 42 ลูกรู้ว่าพระองค์ฟังลูกอยู่เสมอ แต่ที่ลูกพูดก็เพื่อว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่จะได้เชื่อว่าพระองค์ส่งลูกมา” 43 หลังจากพระเยซูพูดจบ พระองค์ร้องตะโกนเสียงดังว่า “ลาซารัส ออกมา” 44 ลาซารัสที่ตายไปแล้วก็เดินออกมา โดยที่ยังมีผ้าลินินพันมือพันเท้า ที่หน้าก็มีผ้าพันอยู่รอบ
พระเยซูสั่งพวกเขาว่า “เอาผ้าพวกนั้นออกให้เขาหน่อย เขาจะได้เป็นอิสระ”
พวกยิววางแผนฆ่าพระเยซู
(มธ. 26:1-5; มก. 14:1-2; ลก. 22:1-2)
45 เมื่อพวกยิวหลายคนที่มาหามารีย์ได้เห็นสิ่งที่พระเยซูทำ ก็พากันไว้วางใจพระองค์ 46 แต่มีบางคนในพวกนั้นไปเล่าเรื่องนี้ให้พวกฟาริสีฟัง 47 พวกหัวหน้านักบวช และพวกฟาริสีจึงเรียกประชุมสมาชิกสภาแซนฮีดริน แล้วพูดกันว่า “พวกเราจะทำยังไงดี ชายคนนี้ได้ทำสิ่งอัศจรรย์หลายอย่าง 48 ถ้าเราขืนปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป ประชาชนจะแห่กันไปเชื่อเขาหมด และพวกโรมันก็จะมาทำลายวิหารและชาติของเรา”
49 แต่มีชายคนหนึ่งในหมู่พวกเขาชื่อ คายาฟาส ซึ่งเป็นหัวหน้าสูงสุดของนักบวชในปีนั้น พูดกับพวกเขาว่า “พวกคุณนี่ช่างไม่รู้เรื่องอะไรเลย 50 แถมยังไม่เข้าใจอีกว่า การที่จะให้ชายคนหนึ่งตายแทนประชาชน ก็ยังดีกว่าให้คนทั้งชาติต้องมาถูกทำลาย” 51 คายาฟาสไม่ได้คิดที่จะพูดขึ้นมาเอง แต่พระเจ้าทำให้เขาพูดอย่างนั้น เพราะเขาเป็นหัวหน้าสูงสุดของนักบวชในปีนั้น พระเจ้าก็เลยทำให้คายาฟาสเป็นผู้พูดแทนพระเจ้าว่า พระเยซูกำลังจะตายแทนชนชาติยิว 52 แล้วพระเยซูไม่ได้ตายแทนชนชาติยิวเท่านั้น แต่พระองค์ตายเพื่อรวบรวมลูกๆของพระเจ้าทุกคนที่กระจัดกระจายไปทั่วโลก ให้มาอยู่รวมกันเป็นหนึ่งเดียว
53 ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พวกเขาก็หาทางที่จะฆ่าพระเยซู 54 พระเยซูจึงไม่ไปไหนมาไหนอย่างเปิดเผยในหมู่คนยิวอีก พระองค์ออกจากหมู่บ้านเบธานีไปที่หมู่บ้านเอฟราอิม ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง แล้วพระองค์กับพวกศิษย์ก็พักอยู่ที่นั่น
55 เมื่อใกล้ถึงเทศกาลวันปลดปล่อย มีคนมากมายจากชนบทหลั่งไหลเข้ามาในเมืองเยรูซาเล็มก่อนหน้าเทศกาลไม่กี่วันเพื่อชำระตัวให้บริสุทธิ์สำหรับเทศกาลนั้น 56 ผู้คนได้เที่ยวมองหาพระเยซู และเมื่อพวกเขาอยู่ในบริเวณวิหาร ก็ถามกันว่า “เขาจะมางานนี้หรือเปล่านะ” 57 พวกหัวหน้านักบวชและพวกฟาริสีสั่งผู้คนว่าถ้าใครรู้ว่าพระเยซูอยู่ไหนก็ให้มาบอกเพื่อว่าพวกเขาจะได้ไปจับพระองค์
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International