Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Old/New Testament

Each day includes a passage from both the Old Testament and New Testament.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
เศคาริยาห์ 1-4

พระยาห์เวห์ต้องการให้คนของพระองค์กลับมาหาพระองค์

ในเดือนที่แปดของปีที่สอง[a] ที่ดาริอัส[b] เป็นกษัตริย์ของเปอร์เซีย ถ้อยคำของพระยาห์เวห์มาถึงเศคาริยาห์ ผู้พูดแทนพระเจ้า ที่เป็นลูกของเบเรคิยาห์ที่เป็นลูกของอิดโด ข้อความนั้นพูดว่า

เรายาห์เวห์โกรธพวกบรรพบุรุษของพวกเจ้ามาก ดังนั้น เจ้าควรจะบอกคนของเจ้าว่า “นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นพูด ‘กลับมาหาเราซะ แล้วเราจะกลับมาหาเจ้า’

อย่าเป็นเหมือนกับพวกบรรพบุรุษของพวกเจ้า ที่พวกผู้พูดแทนพระเจ้ารุ่นก่อนหน้านี้ได้พูดกับพวกเขาว่า ‘นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นพูด “หันกลับจากทางชั่วและการทำชั่วพวกนั้นของเจ้าซะ” แต่พวกเขาก็ไม่ยอมฟัง และไม่สนใจเราด้วย’” พระยาห์เวห์พูดว่าอย่างนั้น

“ส่วนพวกบรรพบุรุษของเจ้า ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหนแล้ว แล้วพวกผู้พูดแทนพระเจ้าละ พวกเขาอยู่ค้ำฟ้าหรือยังไง แต่พวกคำเตือนและกฎต่างๆของเรา ที่เราได้สั่งผ่านมาทางพวกผู้พูดแทนพระเจ้า ซึ่งเป็นพวกผู้รับใช้ของเรานั้น ก็ไล่ทันพวกบรรพบุรุษของพวกเจ้าไม่ใช่หรือ พวกเขาถึงได้กลับใจเสียใหม่ และพูดว่า ‘พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้น วางแผนไว้ว่าจะทำอย่างไรกับพวกเรา เพื่อให้สาสมกับวิถีทางและการกระทำต่างๆของพวกเรา และพระองค์ก็ได้ทำอย่างนั้นกับพวกเราแล้ว’”

นิมิตที่หนึ่ง: ม้าสี่ตัว

ในวันที่ยี่สิบสี่ของเดือนที่สิบเอ็ด ซึ่งเป็นเดือนเชบัท[c] ในปีที่สองที่กษัตริย์ดาริอัสครองราชย์[d] ถ้อยคำของพระยาห์เวห์มาถึงเศคาริยาห์ ผู้พูดแทนพระเจ้า ที่เป็นลูกของเบเรคิยาห์ที่เป็นลูกของอิดโด ข้อความนั้นพูดว่า

ในช่วงกลางคืน ผมเห็นนิมิต ผมเห็นชายคนหนึ่งขี่ม้าสีดำแดง ยืนอยู่ท่ามกลางพุ่มไม้ดอกในหุบเขาลึก และข้างหลังเขาก็มีม้าสีดำแดง ม้าสีน้ำตาลแดง และม้าสีขาว ผมถามว่า “ท่านครับ ม้าพวกนี้เอาไว้ทำอะไรหรือครับ”

ทูตสวรรค์พูดกับผมว่า “เราจะให้เจ้าเห็นว่าม้าพวกนี้มีไว้ทำอะไร”

10 ชายคนที่ยืนอยู่ท่ามกลางพุ่มไม้นั้นตอบว่า “พวกม้านี้คือพวกที่พระยาห์เวห์ส่งมาเพื่อท่องตรวจตราไปในโลกนี้”

11 พวกคนขี่ม้าเหล่านั้นได้รายงานให้กับทูตของพระยาห์เวห์ที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้นั้นว่า “พวกเราได้ท่องตรวจตราไปในโลกนี้ และโลกทั้งโลกก็อยู่ในความสงบเรียบร้อยดี”

12 ทูตของพระยาห์เวห์พูดว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้น อีกนานแค่ไหนที่พระองค์จะยับยั้งความเมตตาสงสารไปจากเยรูซาเล็มและพวกเมืองต่างๆของยูดาห์ ที่พระองค์โกรธมาเป็นเวลาถึงเจ็ดสิบปีแล้ว[e]

13 พระยาห์เวห์ตอบกับทูตสวรรค์ที่พูดกับผม พระยาห์เวห์ใช้คำพูดที่เต็มไปด้วยความเมตตาและการปลอบโยน 14 ทูตสวรรค์ที่พูดกับผม บอกให้ผมไปประกาศเรื่องนี้ คือ

พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นพูดว่า
    “เราหึงหวงเยรูซาเล็มและภูเขาศิโยนมาก
15 เราโกรธชนชาติที่เย่อหยิ่งจองหองเหล่านั้นมาก คือชนชาติเหล่านั้นที่คิดว่าตัวเองมั่นคงปลอดภัย
    ตอนนั้นเราโกรธคนอิสราเอลไม่มาก
เราจึงใช้คนพวกนี้ไปลงโทษคนของเรา
    แต่พวกเขาก็ทำเกินไป”
16 ดังนั้น พระยาห์เวห์พูดอย่างนี้ว่า
    “เราจะกลับมาเยรูซาเล็มด้วยความสงสาร
วิหารของเราจะถูกสร้างขึ้นใหม่ในเมืองนั้น
    จะมีการขึงเชือกวัดไปทั่วทั้งเมืองเยรูซาเล็มเพื่อสร้างเมืองขึ้นมาใหม่”
17 ทูตสวรรค์ยังบอกผมให้ประกาศเรื่องนี้ด้วย
“พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นพูดว่า
    ‘เมืองต่างๆของเราจะเต็มล้นไปด้วยความมั่งคั่งอีก
เราจะปลอบโยนศิโยนอีกครั้ง
    และเราจะเลือกเมืองเยรูซาเล็มเป็นเมืองพิเศษของเราอีกครั้งหนึ่ง’”

นิมิตที่สอง: เขาสัตว์สี่อันกับช่างสี่คน

18 ผมเงยหน้าขึ้นมาเห็นเขาสัตว์สี่อัน 19 ผมถามทูตสวรรค์ที่พูดอยู่กับผมว่า “เขาสัตว์พวกนี้หมายถึงอะไรครับ”

ท่านตอบว่า “เขาสัตว์พวกนี้คือชนชาติต่างๆที่ทำให้ยูดาห์ อิสราเอล และเยรูซาเล็มต้องกระจัดกระจายไป”

20 พระยาห์เวห์ให้ผมเห็นช่างสี่คน 21 ผมถามว่า “ช่างพวกนี้จะมาทำอะไรหรือครับ”

พระองค์ตอบว่า “เขาสัตว์เหล่านั้นคือชนชาติต่างๆที่ทำให้ยูดาห์ต้องกระจัดกระจายไป ทำให้ไม่มีใครโงหัวขึ้นมาได้ และช่างพวกนี้[f] ก็มาเพื่อทำให้เขาสัตว์ทั้งสี่นั้นกลัว พวกเขามาตัดและโยนเขาสัตว์นั้นทิ้งไป ซึ่งก็คือชนชาติเหล่านั้น ชนชาติที่ได้ยกเขาขึ้น[g] ต่อต้านแผ่นดินยูดาห์ และทำให้พวกเขาต้องกระจัดกระจายไป”

นิมิตที่สาม: เอาเชือกวัดเยรูซาเล็ม

ผมเงยหน้าขึ้นมองเห็นชายคนหนึ่งถือสายวัดอยู่ในมือ ผมถามเขาว่า “จะไปไหนหรือครับ”

เขาตอบผมว่า “เรากำลังจะไปวัดเมืองเยรูซาเล็ม เพื่อดูว่ามันมีขนาดกว้างยาวเท่าไหร่”

แล้วทูตสวรรค์ที่พูดอยู่กับผมก็เดินออกไปต้อนรับทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งที่กำลังเดินเข้ามาหาเขา ทูตสวรรค์องค์แรกบอกกับทูตสวรรค์องค์ที่สองว่า “ให้วิ่งไปบอกกับชายหนุ่มคนนั้นที่ถือสายวัดว่า

‘เยรูซาเล็มจะเป็นเหมือนกับหมู่บ้านต่างๆในชนบทที่ไม่มีกำแพง
    เพราะเยรูซาเล็มจะมีคนกับสัตว์อาศัยอยู่อย่างล้นเหลือ’
พระยาห์เวห์พูดว่า
‘แต่เราจะเป็นกำแพงเพลิงที่ล้อมรอบปกป้องเมืองนั้นไว้
    และเราก็จะเป็นสง่าราศีให้กับเมืองนั้น’”

พระเจ้าเรียกคนของพระองค์กลับมา

พระยาห์เวห์พูดว่า
“นี่ พวกเจ้า รีบหนีออกจากแผ่นดินที่อยู่ทางเหนือได้แล้ว
    เพราะเราทำให้เจ้ากระจัดกระจายไปทั่วทุกสารทิศ
นี่ พวกเจ้าคนศิโยน ที่ตอนนี้อาศัยอยู่ในเมืองบาบิโลน
    ให้รีบหนีไปจากเมืองนั้นซะ”
หลังจากที่สง่าราศีของพระองค์ได้ปรากฏให้ผมเห็นแล้ว
    แล้วพระองค์ส่งผมไป
นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นพูดเกี่ยวกับชนชาติต่างๆพวกนั้นที่ปล้นพวกเจ้า
    “ใครทำร้ายเจ้าก็คือทำร้ายแก้วตาดวงใจของเรานั่นเอง
เพราะเราจะยกมือขึ้นเตรียมฟาดขับไล่ชนชาติเหล่านั้นไป
    ชนชาติเหล่านั้นจะกลายเป็นของที่โดนปล้น
สำหรับคนเหล่านั้นที่เคยเป็นทาสของพวกมัน
    แล้วพวกเจ้าจะได้รู้ว่าพระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นเป็นผู้ที่ส่งผมมา”

10 พระยาห์เวห์พูดว่า
“นางสาวศิโยนเอ๋ย ร้องเพลงและเฉลิมฉลองกันเถอะ
    เพราะเรากำลังมาอาศัยอยู่ในเจ้า
11 ในวันนั้น ชนชาติเป็นจำนวนมากจะมาร่วมกับเรา
    พวกเขาจะกลายเป็นคนของเรา แล้วศิโยน เราจะอาศัยอยู่กับเจ้า”
แล้วเจ้าจะได้รู้ว่าพระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นได้ส่งผมมาหาพวกเจ้าชาวศิโยน

12 พระยาห์เวห์จะรับยูดาห์เป็นส่วนแบ่งของพระองค์ในแผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์
    และพระองค์จะเลือกเยรูซาเล็มเป็นเมืองพิเศษของพระองค์อีกครั้ง
13 มนุษย์ทุกคน ให้เงียบๆไว้ต่อหน้าพระยาห์เวห์
    เพราะพระองค์กำลังลุกขึ้นมาจากที่พักอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์

นิมิตที่สี่: เรื่องนักบวชสูงสุด

ทูตสวรรค์ทำให้ผมเห็นโยชูวานักบวชสูงสุดยืนอยู่ต่อหน้าทูตของพระยาห์เวห์ และซาตาน[h] ก็ยืนอยู่ทางขวามือของโยชูวา กำลังกล่าวหาท่านอยู่ ทูตของพระยาห์เวห์บอกกับซาตานว่า “ขอให้พระยาห์เวห์ประณามเจ้า ไอ้ซาตาน ขอให้พระยาห์เวห์ ผู้ที่เลือกเมืองเยรูซาเล็มมาเป็นสถานที่พิเศษสำหรับพระองค์ ประณามเจ้า โยชูวาคนนี้เป็นเหมือนท่อนฟืนที่ถูกดึงออกมาจากกองไฟ ไม่ใช่หรือ”

โยชูวาใส่เสื้อผ้าสกปรกเลอะเทอะยืนอยู่ต่อหน้าทูตสวรรค์ ทูตสวรรค์องค์นั้นบอกกับพวกทูตสวรรค์เหล่านั้นที่ยืนอยู่ตรงหน้าว่า “ถอดเสื้อผ้าที่สกปรกเลอะเทอะพวกนั้นให้เขา” ทูตสวรรค์องค์นั้นพูดกับโยชูวาว่า “เห็นไหม เราทำให้ความผิดบาปของเจ้าหมดไปจากเจ้าแล้ว และเราก็จะสวมใส่เสื้อผ้าที่สวยงามของนักบวชให้กับเจ้า”

ผมพูดว่า “ให้พวกเขาเอาผ้าโพกหัวที่สะอาดมาโพกหัวให้กับเขาด้วยสิ” พวกเขาจึงเอาผ้าที่สะอาดมาโพกหัวของโยชูวา และเอาเสื้อผ้าใหม่นั้นมาสวมใส่ให้กับโยชูวาด้วย และทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์ก็ยืนอยู่ที่นั่น ทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์กำชับโยชูวาว่า

“พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นพูดว่า
    ถ้าเจ้าจะเดินในทางต่างๆของเราและเชื่อฟังข้อเรียกร้องต่างๆของเรา
เจ้าก็จะได้เป็นคนจัดการอยู่ในวิหารของเรา
    เจ้าจะได้ดูแลบริเวณลานวิหาร
และเราจะให้เจ้าเข้ามาหาเราอย่างอิสระ
    เหมือนทูตสวรรค์ที่ยืนอยู่ที่นี่
ฟังให้ดี โยชูวา นักบวชสูงสุด เจ้าและเพื่อนนักบวชที่นั่งอยู่ตรงหน้าเจ้า
    พวกเจ้าเป็นลางบอกเหตุล่วงหน้า
เพราะเรากำลังจะนำผู้รับใช้ของเรามา
    เขามีชื่อว่า ‘กิ่ง’
ดูหินที่เราวางไว้ตรงหน้าโยชูวาสิ
    บนหินก้อนเดียวนี้มีเจ็ดด้าน[i]
ดูสิ เรากำลังจะสลักข้อความลงบนมัน
    และเราจะกำจัดความผิดของแผ่นดินนี้ให้หมดสิ้นไปในวันเดียว”

10 พระยาห์เวห์พูดว่า
“ในวันนั้นพวกเจ้าจะเชื้อเชิญเพื่อนบ้านของตน
    มานั่งกันอยู่ใต้ต้นองุ่นและใต้ต้นมะเดื่อของเจ้า”

นิมิตที่ห้า: ขาตั้งตะเกียงและต้นมะกอกสองต้น

ทูตสวรรค์ที่เคยพูดกับผมกลับมา และมาเขย่าตัวผมเหมือนกับปลุกคนให้ตื่น ท่านพูดกับผมว่า “เจ้าเห็นอะไร”

ผมตอบว่า “ผมเห็นตะเกียงไฟยืนที่ทำจากทองคำล้วนๆ ที่มีชามใส่น้ำมันอยู่บนยอดของมัน และยังมีตะเกียงไฟเจ็ดดวงอยู่บนมัน และตะเกียงแต่ละดวงก็มีปากที่ยื่นออกมาไว้วางไส้ตะเกียง และผมเห็นต้นมะกอกสองต้นอยู่ข้างๆถ้วยใส่น้ำมัน ทางขวาต้นหนึ่งและทางซ้ายต้นหนึ่ง” จากนั้นผมพูดกับทูตสวรรค์ที่พูดอยู่กับผมว่า “ท่านครับ พวกนี้มันอะไรกันครับ”

ทูตสวรรค์ที่พูดอยู่กับผม ตอบผมว่า “เจ้าไม่รู้หรือว่าสิ่งเหล่านี้คืออะไร”

ผมตอบว่า “ไม่รู้ครับท่าน”

ท่านตอบว่า “นี่คือข่าวสารของพระยาห์เวห์ที่มีมาถึงเศรุบบาเบลว่า ‘ความสำเร็จ[j] ไม่ได้มาจากพละกำลังและฤทธิ์อำนาจของมนุษย์ แต่มาจากพระวิญญาณของเรา’ พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นพูดว่าอย่างนั้น เจ้าภูเขาที่ยิ่งใหญ่ เจ้าคืออะไร ต่อหน้าเศรุบบาเบล เจ้าจะกลายเป็นพื้นราบ ท่านจะวางหินบนยอดสูงสุดของวิหาร และผู้คนจะร้องว่า ‘สวยมาก วิหารนี้ ช่างสวยจริงๆ’”

ผมได้รับข่าวสารของพระยาห์เวห์ว่า “เศรุบบาเบลได้วางรากฐานของวิหารนี้แล้ว และเขาจะสร้างมันจนเสร็จด้วย” เจ้าจะได้รู้ว่าพระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นเป็นผู้ที่ส่งผมมาหาพวกเจ้า 10 คนที่เห็นว่าตอนเริ่มต้นนั้นกระจอกงอกง่อย จะได้เฉลิมฉลอง เมื่อพวกเขาเห็นแผ่นดีบุกคำจารึกอยู่ในมือของเศรุบบาเบล ทูตสวรรค์พูดกับผมว่า “ตะเกียงทั้งเจ็ดอันนี้ เป็นดวงตาของพระยาห์เวห์ ที่มองสาดส่ายไปมาทั่วโลก”

11 เมื่อผมถามท่านว่า “แล้วต้นมะกอกสองต้นที่อยู่ทางซ้ายขวาของขาตั้งตะเกียงนั้นล่ะ หมายถึงอะไรครับ” 12 ผมถามเขาอีกเป็นครั้งที่สองว่า “แล้วกิ่งของต้นมะกอกสองกิ่ง ที่เทน้ำมันสีทองผ่านทางท่อทองคำสองท่อนั้น มันหมายถึงอะไรครับ”

13 ท่านตอบผมว่า “เจ้าไม่รู้หรือว่าของพวกนี้หมายถึงอะไร”

ผมตอบว่า “ไม่รู้ครับท่าน”

14 ท่านก็บอกว่า “ของพวกนี้หมายถึงผู้นำสองคน[k] ที่ได้รับการเจิมด้วยน้ำมัน ทั้งสองยืนอยู่ข้างๆพระยาห์เวห์ผู้เป็นเจ้านายของโลกทั้งใบ”

วิวรณ์ 18

กรุงบาบิโลนถูกทำลาย

18 หลังจากนั้นผมเห็นทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งลงมาจากสวรรค์ ทูตสวรรค์องค์นี้มีฤทธิ์อำนาจมาก รัศมีจากร่างของทูตสวรรค์องค์นี้ทำให้แผ่นดินโลกสว่างไสว ท่านตะโกนเสียงดังว่า

“เธอถูกทำลายลงแล้ว
    นครบาบิโลนที่ยิ่งใหญ่ ได้ถูกทำลายแล้ว
บาบิโลนได้กลายเป็นบ้านของพวกวิญญาณชั่ว
    นครนั้นได้กลายเป็นรังของนกที่ไม่บริสุทธิ์ทุกชนิด
    และได้กลายเป็นที่อยู่ของสัตว์ที่น่ารังเกียจและสกปรก
พวกชนชาติต่างๆได้ดื่มเหล้าองุ่นที่ทำให้เกิดความใคร่ไปทำบาปทางเพศกับเธอ
    กษัตริย์ทั้งหลายในโลกได้ทำผิดบาปทางเพศกับเธอ
    พ่อค้าทั้งหลายในโลกก็ร่ำรวยมากจากความมั่งคั่งและความฟุ่มเฟือยของเธอนั้น”

ผมได้ยินเสียงอีกเสียงหนึ่งจากสวรรค์พูดว่า

“ประชาชนของเรา ออกมาจากนครนั้นสิ
    เจ้าจะได้ไม่ต้องมีส่วนร่วมในความบาปต่างๆของเธอ
และเจ้าจะได้ไม่ต้องทรมานจากภัยพิบัติที่กำลังจะเกิดขึ้นกับนครนั้น
เพราะบาปของนครนั้นกองสูงถึงสวรรค์
    พระเจ้าไม่เคยลืมบาปต่างๆที่นครนั้นได้ก่อขึ้น
ให้ทำกับเธอเหมือนกับที่เธอทำกับคนอื่น
    และตอบแทนเธอเป็นสองเท่ากับสิ่งที่เธอได้ทำกับผู้อื่น
เตรียมเหล้าองุ่นที่แรงเป็นสองเท่าของเหล้าองุ่นที่เธอได้ให้กับคนอื่นนั้นไว้ให้เธอ
เธอให้เกียรติยศและความฟุ้งเฟ้อกับตัวเองแค่ไหน
    ก็ให้ความทุกข์ทรมานและความเศร้าโศกกับเธอเท่านั้น
เพราะเธอคิดในใจว่า
‘ฉันนั่งอยู่บนบัลลังก์เป็นราชินี
    ฉันไม่ใช่แม่ม่าย
    ฉันจะไม่มีวันโศกเศร้า’

ดังนั้นภัยพิบัติพวกนี้จึงได้เกิดขึ้นกับเธอภายในวันเดียว คือโรคระบาด ความเศร้าโศกเสียใจ และความอดอยาก เธอจะถูกไฟเผาจนวอดวาย เพราะองค์เจ้าชีวิต พระเจ้าผู้ที่พิพากษาเธอนั้นมีฤทธิ์อำนาจ”

“กษัตริย์ทั้งหลายบนโลกที่ได้ทำบาปทางเพศกับเธอและร่วมในความมั่งคั่งฟุ้งเฟ้อกับเธอจะร้องไห้คร่ำครวญให้เธอ เมื่อพวกเขาเห็นควันไฟที่เผาไหม้เธอ 10 พวกเขาจะยืนอยู่ห่างๆเธอ เพราะกลัวจะต้องร่วมในความเจ็บปวดทรมานของเธอ พวกเขาจะพูดว่า

‘นครที่ยิ่งใหญ่ เจ้าช่างน่าอับอาย น่าอับอายเสียจริงๆ
    บาบิโลนนครที่เต็มไปด้วยอำนาจ
เพราะการพิพากษาโทษของเจ้านั้นมาถึงภายในเวลาแค่ชั่วโมงเดียว’

11 พวกพ่อค้าบนโลกจะร้องไห้คร่ำครวญให้กับเธอ เพราะไม่มีใครซื้อสินค้าของพวกเขาอีกต่อไป 12 พวกเขาขายทองคำ เงิน เพชรพลอย ไข่มุก ผ้าลินิน ผ้าสีม่วง ผ้าไหม ผ้าสีแดงสด ไม้หอมทุกชนิด และสิ่งของต่างๆที่ทำจากงาช้าง ที่ทำจากไม้ราคาแพง ทองสัมฤทธิ์ เหล็ก และหินอ่อน 13 อบเชย เครื่องเทศ เครื่องหอม มดยอบ กำยาน เหล้าองุ่น น้ำมันมะกอก แป้งละเอียด ข้าวสาลี วัว แกะ ม้า รถม้า ทาส และเชลย

14 ‘อีบาบิโลน พวกสิ่งของต่างๆที่เจ้าหลงใหลนั้นได้หายไปจากเจ้าแล้ว
    ทั้งความหรูหรา และสิ่งที่ทำให้เจ้าสวยงามนั้นได้หายไปแล้ว
และเจ้าจะไม่มีวันได้พบสิ่งเหล่านี้อีกเลย’

15 พวกพ่อค้าที่ร่ำรวยจากการขายสินค้าให้กับเธอนั้น จะยืนอยู่ห่างๆจากนครบาบิโลน เพราะกลัวที่จะต้องร่วมในความเจ็บปวดทรมานที่เธอได้รับ พวกเขาจะร้องไห้คร่ำครวญ 16 และพูดว่า

‘นครที่ยิ่งใหญ่ เจ้าช่างน่าอับอาย น่าอับอายเสียจริงๆ
    เจ้าที่เคยประดับประดาด้วยผ้าลินินอย่างดี ผ้าสีม่วงและผ้าสีแดงสด
    เจ้าที่เคยประดับประดาด้วยทองคำ เพชรพลอย และไข่มุก’

17 ความร่ำรวยต่างๆนี้ได้ถูกทำลายลงภายในเวลาแค่ชั่วโมงเดียว พวกกัปตันเรือและผู้โดยสาร ลูกเรือและคนทั้งหลายที่มีอาชีพทางทะเล ก็ยืนอยู่ห่างๆจากนครบาบิโลนนั้น 18 เมื่อพวกเขาเห็นควันไฟที่มาจากการเผานครนั้น พวกเขาพูดว่า

‘ไม่มีนครไหนที่เป็นเหมือนนครอันยิ่งใหญ่นี้’

19 พวกเขาจะโปรยผงฝุ่นลงบนหัวของเขาและร้องไห้คร่ำครวญว่า

‘นครที่ยิ่งใหญ่ เจ้าช่างน่าอับอาย น่าอับอายเสียจริงๆ
ทุกคนที่มีเรือเดินทะเลนั้น ก็ร่ำรวยมาจากความมั่งคั่งของนครนี้
    แต่ตอนนี้มันถูกทำลายลงภายในเวลาแค่ชั่วโมงเดียว’

20 สวรรค์เอ๋ย ขอให้ดีใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับนครนั้น คนของพระเจ้า พวกศิษย์เอก และพวกผู้พูดแทนพระเจ้า ให้ดีใจเถิด ที่พระองค์ลงโทษนครนั้นสำหรับสิ่งที่เธอได้ทำกับพวกคุณแล้ว”

21 จากนั้นทูตสวรรค์ที่มีฤทธิ์องค์หนึ่ง ได้ยกหินก้อนหนึ่งขนาดใหญ่พอๆกับหินโม่แป้ง[a] โยนลงไปในทะเลและพูดว่า

“นครบาบิโลนอันยิ่งใหญ่ เจ้าจะถูกโยนลงมาอย่างแรงแบบนี้
    และจะไม่มีใครเห็นนครของเจ้าอีกเลย
22 จะไม่มีเสียงเพลงจากนักดีดพิณ นักดนตรี นักเป่าขลุ่ย และนักเป่าแตรในนครของเจ้าอีกเลย
    จะไม่เห็นพวกช่างฝีมือในด้านใดๆในนครของเจ้าอีก
    จะไม่ได้ยินเสียงโม่แป้งในนครของเจ้าอีกเลย
23 จะไม่เห็นแสงสว่างจากตะเกียงในนครของเจ้าอีกเหมือนกัน
    จะไม่ได้ยินเสียงของเจ้าบ่าวและเจ้าสาวในนครของเจ้าอีก
เพราะพวกพ่อค้าของเจ้าได้เป็นผู้ยิ่งใหญ่ในโลกและชนชาติทั้งหมดก็ถูกหลอกลวงด้วยเวทมนตร์คาถาของเจ้า
24 และในนครของเจ้าก็พบเลือดของพวกผู้พูดแทนพระเจ้า
    พวกประชาชนของพระเจ้าและคนทั้งหมดที่ถูกฆ่าตายบนโลก”

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International