Old/New Testament
พระเจ้าจะทอดทิ้งคนของพระองค์ตลอดไปหรือ
ถึงหัวหน้านักร้อง ตามทำนองเพลงของเยดูธูน[a] เพลงสดุดีของอาสาฟ
77 ข้าพเจ้าร้องต่อพระเจ้า ร้องขอความช่วยเหลือจากพระองค์
ข้าพเจ้าร้องต่อพระเจ้า และหวังว่าพระองค์จะฟังข้าพเจ้า
2 ในวันที่ทุกข์ยาก ข้าพเจ้าแสวงหาองค์เจ้าชีวิต
ข้าพเจ้ายื่นมือขึ้นอธิษฐานโดยไม่วางมือลงเลยตลอดทั้งคืน
ข้าพเจ้าไม่ยอมรับการปลอบโยนจนกว่าพระเจ้าจะช่วย
3 ข้าพเจ้าระลึกถึงพระเจ้าและร้องคร่ำครวญ
ข้าพเจ้าบ่นแล้วก็สิ้นหวัง เซลาห์
4 พระองค์ถ่างหนังตาข้าพเจ้าไว้ ทำให้นอนไม่หลับ
ข้าพเจ้าทุกข์ใจมากจนพูดไม่ออก
5 ข้าพเจ้าคิดถึงวันเวลาที่ผ่านมา
และปีอันแสนยาวนานที่ผ่านไป
6 ในยามค่ำคืน ข้าพเจ้าหวนคิดถึงเพลงที่เคยร้อง
ข้าพเจ้าครุ่นคิดถึงสิ่งเหล่านี้อยู่ในใจ จิตวิญญาณของข้าพเจ้าแสวงหาคำตอบ
7 องค์เจ้าชีวิตจะทอดทิ้งพวกเราตลอดไปหรือ
พระองค์จะไม่มีวันยอมรับพวกเราอีกแล้วหรือ
8 ความรักมั่นคงของพระองค์สูญหายไปตลอดกาลแล้วหรือ
สัญญาของพระองค์จะถูกยกเลิกไปตลอดชั่วลูกชั่วหลานหรือ
9 พระเจ้าลืมที่จะเมตตาแล้วหรือ
พระองค์ดับความเมตตาเพราะพระองค์โกรธหรือ เซลาห์
10 ข้าพเจ้าพูดกับตัวเองว่า “สิ่งที่ทิ่มแทงใจข้าพเจ้าที่สุด
คือ พระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่งสูงสุดหยุดแสดงฤทธิ์อำนาจของพระองค์”[b]
11 ข้าพเจ้าระลึกถึงสิ่งต่างๆที่พระยาห์เวห์ทำ
ข้าพเจ้าจำได้ถึงสิ่งน่าทึ่งต่างๆที่พระองค์เคยทำในสมัยก่อนนานมาแล้ว
12 ข้าพเจ้าครุ่นคิดถึงการงานต่างๆของพระองค์
และพิจารณาการกระทำทั้งหลายของพระองค์
13 ข้าแต่พระเจ้า ทางทั้งหลายของพระองค์ช่างบริสุทธิ์ยิ่งนัก
ไม่มีพระเจ้าใดยิ่งใหญ่เท่ากับพระเจ้าของเรา
14 พระองค์คือพระเจ้าผู้ทำสิ่งที่น่าทึ่งทั้งหลาย
พระองค์ทำให้ชนชาติต่างๆเห็นฤทธิ์อำนาจของพระองค์
15 พระองค์ได้ไถ่คนของพระองค์
คือพวกลูกหลานของยาโคบและโยเซฟ[c] ด้วยแขนอันทรงพลังของพระองค์ เซลาห์
16 ข้าแต่พระเจ้า น้ำทั้งหลายได้เห็นพระองค์
น้ำเห็นพระองค์ก็สั่นไหวด้วยความกลัว
แม้แต่น้ำในทะเลลึกก็สั่นสะท้านไปด้วย
17 ฝนตกลงมาจากก้อนเมฆหนาทึบ
ฟ้าได้ร้องคำรามออกมาจากหมู่เมฆ
แม้แต่สายฟ้าก็แลบแปลบปลาบออกมาจากเมฆ
18 เสียงกึกก้องของพระองค์อยู่ในลมพายุ
สายฟ้าแลบได้ทำให้ทั้งโลกสว่าง แผ่นดินโลกสั่นสะเทือน
19 พระองค์เดินทะลุผ่านทะเลไป
ถนนของพระองค์แหวกผ่านน้ำอันยิ่งใหญ่
แต่พระองค์ไม่ได้ทิ้งรอยเท้าไว้
20 พระองค์นำคนของพระองค์เหมือนฝูงแกะ
ด้วยมือของโมเสสและอาโรน
บทเรียนที่ได้รับจากประวัติของอิสราเอล
บทเพลงมัสคิลของอาสาฟ
78 คนของเราเอ๋ย ให้ฟังคำสั่งสอนของเรา
เอียงหูของเจ้ามาฟังคำพูดต่างๆที่ออกมาจากปากของเรา
2 เราจะอ้าปากร้องเพลงที่ก่อให้เกิดสติปัญญา
เราจะอธิบายบทเรียนต่างๆที่ได้จากเหตุการณ์ทั้งหลายในอดีต
3 ซึ่งเป็นเรื่องที่พวกเราเคยได้ยินและรู้จักกันดี
เพราะพ่อแม่และคนรุ่นก่อนๆได้เล่าให้พวกเราฟัง
4 พวกเราจะไม่ซ่อนเรื่องเหล่านี้ไปจากลูกหลานของพวกเขา
พวกเราจะเล่าให้กับคนรุ่นต่อไปฟัง
ถึงการกระทำอันน่าสรรเสริญของพระยาห์เวห์
ถึงพลังอำนาจของพระองค์และถึงสิ่งน่าทึ่งต่างๆที่พระองค์ได้ทำ
5 พระเจ้าทำข้อตกลงไว้กับยาโคบ
พระองค์ให้กฎกับชาวอิสราเอลทำตาม
และพระองค์สั่งบรรพบุรุษของพวกเรา
ให้สั่งสอนสิ่งเหล่านี้กับลูกๆของพวกเขา
6 เพื่อว่าคนรุ่นต่อไป คือเด็กที่ยังไม่ได้เกิดมาจะได้รู้ถึงสิ่งเหล่านี้
และเมื่อพวกเขาโตขึ้น พวกเขาจะได้เล่าเรื่องเหล่านี้ให้กับลูกๆของพวกเขาฟัง
7 แล้วพวกเขาจะได้ไว้วางใจในพระเจ้า
และไม่ลืมสิ่งต่างๆที่พระเจ้าทำ
แต่จะรักษาคำสั่งต่างๆของพระองค์ไว้
8 พวกเขาจะได้ไม่เป็นเหมือนบรรพบุรุษของพวกเขา
ซึ่งเป็นรุ่นที่กบฏและไม่เชื่อฟัง
ซึ่งใจของพวกเขาไม่ได้มั่นคงในพระเจ้า
และจิตวิญญาณของพวกเขาไม่ได้ซื่อสัตย์ต่อพระองค์
9 เช่น คนเอฟราอิมที่มีธนู[d]พร้อมมือ
แต่กลับวิ่งหนีในวันที่การสู้รบมาถึง
10 พวกเขาไม่ได้รักษาข้อตกลงที่ทำไว้กับพระเจ้า
พวกเขาไม่ยอมทำตามกฎต่างๆของพระองค์
11 พวกเขาลืมสิ่งต่างๆที่พระองค์ทำไป
คือสิ่งน่าทึ่งต่างๆที่พระองค์ทำให้พวกเขาเห็น
12 พระเจ้าทำสิ่งน่าทึ่งต่างๆต่อหน้าต่อตาบรรพบุรุษของพวกเขา
ในแคว้นโศอันในแผ่นดินอียิปต์
13 พระเจ้าแหวกทะเลออกและนำพวกเขาเดินทะลุไป
พระองค์ทำให้น้ำตั้งขึ้นเหมือนกำแพงทั้งสองข้าง
14 พระองค์นำทางพวกเขาด้วยเมฆในตอนกลางวัน
และนำด้วยแสงไฟตลอดคืน
15 พระองค์ทุบหินในทะเลทรายแยกออก
และน้ำก็ไหลพุ่งออกมามากมายให้พวกเขาดื่มเหมือนกับมาจากทะเลลึก
16 พระองค์ทำให้พวกลำธารไหลออกมาจากหินผา
พระองค์ทำให้น้ำไหลเหมือนพวกแม่น้ำ
17 แต่พวกบรรพบุรุษยังคงทำบาปต่อพระองค์ต่อไป
และกบฏต่อพระองค์ผู้ใหญ่ยิ่งสูงสุดในแผ่นดินที่แห้งแล้งนั้น
18 แล้วพวกเขาตั้งใจลองดีพระเจ้า
พวกเขาขออาหารเพื่อสนองความอยากของตน
19 พวกเขาพูดต่อว่าพระเจ้าว่า
“ในที่เปล่าเปลี่ยวอย่างนี้ พระเจ้าสามารถหาอาหารให้กับพวกเราได้หรือ
20 ถึงแม้พระองค์ทุบหินให้น้ำไหลออกมาจนล้นหุบเหวลึกได้
แต่พระองค์จะมีปัญญาหาอาหารมาให้ได้จริงๆหรือ
พระองค์จะเอาเนื้อมาให้คนของพระองค์กินด้วยได้หรือ”
21 เมื่อพระยาห์เวห์ได้ยินอย่างนั้น พระองค์ก็โกรธ
และไฟก็ปะทุขึ้นใส่คนของยาโคบ
ความโกรธของพระองค์เผาอิสราเอล
22 เพราะพวกเขาไม่ได้ไว้วางใจในพระเจ้า
และไม่เชื่อว่า พระองค์มีฤทธิ์ที่จะช่วยพวกเขาให้รอดได้
23 แล้วพระเจ้าก็ประกาศสั่งเมฆบนฟ้าเบื้องบน
และพระองค์เปิดประตูท้องฟ้า
24 แล้วพระองค์ก็เทมานาลงมาให้พวกเขากิน
พระองค์ให้อาหารทิพย์จากสวรรค์กับพวกเขา
25 คนพวกนี้พากันกินขนมปังของพวกเทพเจ้า[e]
พระองค์ให้อาหารพวกเขากินอย่างอิ่มหมีพีมัน
26 แล้วพระเจ้าก็ทำให้ลมจากทิศ-ตะวันออกเฉียงใต้พัดมาตรงที่พวกเขาอยู่
และให้ฝูงนกตกลงมาจากท้องฟ้า
27 พระองค์เทเนื้อลงบนพวกเขาอย่างพายุฝุ่น
มีนกมากมายเหมือนเม็ดทรายที่ชายทะเล
28 นกพวกนี้ตกลงไปในค่าย
รอบๆเต็นท์ของพวกเขา
29 พระเจ้าให้สิ่งที่พวกเขาอยากได้
และพวกเขาก็กินจนอิ่มตื้อ
30 แต่ในระหว่างที่เขายังกินอาหารที่อยากกินอยู่นั้น
ขณะที่มันยังคาอยู่ในปาก
31 จู่ๆความโกรธของพระเจ้าก็พลุ่งขึ้นใส่พวกเขา
พระองค์ฆ่าคนที่แข็งแรงที่สุดของพวกเขาบางคน
พระองค์โค่นพวกคนหนุ่มที่ดีที่สุดของอิสราเอล
32 ขนาดเกิดเรื่องอย่างนี้แล้ว พวกเขาก็ยังคงทำบาป
และยังไม่ยอมเชื่อในฤทธิ์อันน่าทึ่งของพระเจ้า
33 พระองค์ทำให้ชีวิตของพวกเขาจบลงอย่างล้มเหลว
เดือนปีของเขาจบลงด้วยความหวาดกลัวและสั่นเทิ้ม
34 เมื่อไหร่ก็ตามที่พระเจ้าฆ่าคนเหล่านั้น คนที่เหลือก็จะมาขอความช่วยเหลือจากพระองค์
พวกเขาจะกลับมาหาพระองค์และแสวงหาพระเจ้าด้วยใจร้อนรน
35 พวกเขาจะระลึกได้ว่าพระเจ้าเป็นหินกำบังของพวกเขา
พระเจ้าผู้สูงสุดเป็นผู้ที่ไถ่ชีวิตของพวกเขา
36 พวกเขาพยายามหลอกพระองค์ด้วยปาก
และโกหกพระองค์ด้วยลิ้น
37 พวกเขาไม่จริงใจต่อพระเจ้า
และไม่สัตย์ซื่อต่อข้อตกลงที่ทำไว้กับพระองค์
38 แต่พระเจ้านั้นมีความเมตตา
พระองค์ลบความผิดของพวกเขาออกไป
พระองค์ไม่ได้ทำลายล้างพวกเขา
พระองค์ระงับความโกรธของพระองค์ไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า
พระองค์ไม่ยอมกวนความโกรธของพระองค์ให้พลุ่งขึ้นมา
39 พระเจ้าระลึกอยู่เสมอว่าพวกเขาเป็นแค่มนุษย์
พวกเขาเป็นเหมือนกับลมที่พัดผ่านไปและไม่หวนกลับมาอีก
40 พวกเขากบฏต่อพระองค์หลายครั้งหลายคราในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งนั้น
พวกเขาทำให้พระองค์เสียใจในดินแดนนั้น
41 พวกเขาลองดีกับพระองค์ครั้งแล้วครั้งเล่า
และทำให้องค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์แห่งอิสราเอลต้องเจ็บปวดใจ
42 พวกเขาไม่เคยจดจำฤทธิ์อำนาจของพระองค์
หรือจดจำวันที่พระองค์ช่วยกู้พวกเขาให้รอดพ้นจากศัตรู
43 หรือเวลาที่พระองค์ได้ทำการอัศจรรย์ในประเทศอียิปต์
หรือที่พระองค์ได้แสดงสิ่งน่าทึ่งต่างๆในแคว้นโศอัน
44 พระองค์เปลี่ยนแม่น้ำให้กลายเป็นเลือด
พวกเขาจึงไม่สามารถดื่มน้ำจากลำธารได้
45 พระองค์ให้เหลือบมากัดพวกเขา
และส่งกบทั้งหลายมาทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง
46 พระองค์ยกพืชผลของพวกเขาให้กับตั๊กแตนวัยคลาน
และยกผลผลิตของพวกเขาให้กับตั๊กแตนวัยบิน
47 พระองค์ทำให้ลูกเห็บตกลงมาทำลายเถาองุ่นของชาวอียิปต์
พระองค์ทำให้ฝนตกห่าใหญ่ทำลายผลมะเดื่อของพวกเขา
48 พระองค์ส่งลูกเห็บลงมาฆ่าฝูงวัวของพวกเขา
และให้ฟ้าผ่าฝูงสัตว์ของเขา
49 พระองค์แสดงความเคืองแค้นอันร้อนแรงของพระองค์ต่อชนชาวอียิปต์
พระองค์ส่ง ความเกรี้ยวโกรธ ความเดือดดาล และความอาฆาตแค้นเป็นคณะทูตมาทำลายล้างพวกเขา
50 พระองค์ระบายความโกรธของพระองค์ออกมาอย่างเต็มที่
พระองค์ไม่ได้ไว้ชีวิตของชาวอียิปต์แต่กลับยกพวกเขาให้ตายด้วยโรคระบาด
51 พระเจ้าฆ่าลูกชายหัวปีทั้งหมดในอียิปต์
พระองค์ทำลายสิ่งที่พิสูจน์ถึงความเป็นชายของครอบครัวทั้งหลายของฮาม[f]
52 แต่พระเจ้านำทางคนของพระองค์ออกจากที่นั่นเหมือนนำแกะ
และพระองค์นำทางพวกเขาในที่เปล่าเปลี่ยวเหมือนนำฝูงสัตว์
53 พระเจ้านำพวกเขาสู่ความปลอดภัย พวกเขาจึงไม่ต้องหวาดกลัว
เพราะพระเจ้าทำให้ศัตรูของพวกเขาถูกน้ำทะเลซัดกลบตายหมด
54 แล้วพระเจ้าก็นำพวกเขาไปถึงพรมแดนของแผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์
คือดินแดนแห่งเนินเขาที่พระองค์ยึดมาด้วยมือขวาอันทรงฤทธิ์ของพระองค์
55 แล้วพระองค์ก็ขับไล่ชนชาติต่างๆออกไปต่อหน้าคนของพระองค์
พระองค์แบ่งปันดินแดนนั้นให้กับเผ่าต่างๆของอิสราเอลและให้พวกเขาตั้งถิ่นฐานอยู่ในบ้านทั้งหลายของศัตรู
56 แต่พวกอิสราเอลก็ยังลองดีกับพระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่งสูงสุด
กบฏต่อพระองค์และไม่ได้เชื่อฟังกฎทั้งหลายของพระองค์
57 ชาวอิสราเอลไม่จงรักภักดีและทรยศต่อพระเจ้า เหมือนกับที่บรรพบุรุษของพวกเขาเคยทำ
พวกเขาเชื่อถือไม่ได้เหมือนคันธนูที่ใช้การไม่ได้
58 พวกเขาทำให้พระองค์โกรธด้วยการสร้างสถานศักดิ์สิทธิ์มากมาย
และทำให้พระองค์หึงหวงด้วยการสร้างรูปเคารพมากมาย
59 เมื่อพระเจ้าได้ยินเรื่องเหล่านี้ พระองค์โกรธ
และพระองค์ทอดทิ้งอิสราเอลอย่างสิ้นเชิง
60 พระองค์ละทิ้งเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ในเมืองชิโลห์ไป
ซึ่งเคยเป็นที่สถิตของพระองค์ท่ามกลางมนุษย์
61 พระองค์ยอมปล่อยให้หีบอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ถูกยึดไป
พระองค์ยอมปล่อยให้ศัตรูยึดเอาสัญลักษณ์แห่งฤทธิ์อำนาจและสง่าราศีของพระองค์ไป
62 พระองค์เกรี้ยวโกรธคนของพระองค์
และปล่อยให้คนของพระองค์ตายด้วยคมดาบ
63 พวกทหารหนุ่มถูกไฟเผาตายหมด
และพวกสาวบริสุทธิ์ยังคงไม่ได้แต่งงาน[g]
64 พวกนักบวชล้มตายด้วยคมดาบ
แต่ภรรยาหม้ายของพวกเขาไม่สามารถไว้ทุกข์ได้ตามปกติ
65 แล้วองค์เจ้าชีวิตก็ตื่นขึ้นมาเหมือนคนที่เพิ่งตื่นนอน
เหมือนกับนักรบที่เพิ่งตื่นขึ้นจากการเมาเหล้าองุ่น
66 พระองค์ตีเหล่าศัตรู ขับไล่พวกเขากลับไป
และทำให้พวกเขาอับอายขายหน้าตลอดไป
67 แล้วพระองค์ทอดทิ้งครอบครัวของโยเซฟ
และไม่ได้เลือกเผ่าของเอฟราอิม
68 แล้วพระองค์ก็เลือกเผ่ายูดาห์ขึ้นปกครอง
และเลือกภูเขาศิโยนที่พระองค์รัก เป็นที่ตั้งของวิหาร
69 พระองค์สร้างสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์เหมือนกับภูเขาสูงต่างๆ
เหมือนโลกนี้ที่พระองค์ตั้งให้อยู่ตลอดไป
70 พระองค์เลือกดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์
และเอาเขาออกมาจากคอกแกะทั้งหลาย
71 พระองค์เอาดาวิดมาจากการติดตามดูแลแม่แกะและลูกของมัน
มาเป็นผู้เลี้ยงยาโคบคนของพระองค์
และเป็นผู้เลี้ยงอิสราเอลสมบัติของพระองค์
72 ดาวิดดูแลพวกเขาด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์
และนำพวกเขาด้วยมือที่ชำนาญยิ่ง
10 พี่น้องครับ สิ่งที่ผมต้องการมาก และสิ่งที่ผมอธิษฐานต่อพระเจ้าสำหรับคนยิวก็คือ ขอให้พวกเขาได้รับความรอด 2 ผมเป็นพยานว่าพวกเขามีใจให้พระเจ้าแต่เขาขาดความรู้ 3 พวกเขาไม่รู้จักความซื่อสัตย์สุจริตของพระเจ้า เขาพยายามที่จะยึดฐานะที่เป็นคนของพระเจ้าไว้ เขาจึงไม่ยอมรับแผนงานอันซื่อสัตย์สุจริตของพระองค์ 4 พระคริสต์เป็นเป้าหมายของกฎ เพื่อที่พระเจ้าจะได้ยอมรับทุกคนที่ไว้วางใจพระคริสต์
5 โมเสสได้เขียนถึงคนที่คิดว่าพระเจ้าจะยอมรับเขาเพราะเขาทำตามกฎที่จะทำให้คนสะดุดว่า “คนที่ทำอย่างนี้ จะต้องใช้ชีวิตตามกฎนั้นทุกอย่าง”(A) 6 ส่วนคนที่พระเจ้ายอมรับเพราะเขาไว้วางใจพระเจ้า โมเสสพูดว่า “ไม่ต้องคิดในใจว่า แล้วใครจะเป็นคนขึ้นไปบนสวรรค์” (หมายถึงขึ้นไปเชิญพระคริสต์ลงมาบนโลกเพื่อช่วยเรา) 7 “หรือใครจะเป็นคนลงไปในหลุมที่ลึกมาก” (หมายถึงลงไปเชิญพระคริสต์ขึ้นมาจากความตาย) 8 เพราะพระคัมภีร์พูดไว้ว่า “ถ้อยคำนั้นอยู่ใกล้กับคุณแล้ว มันอยู่ในปากและอยู่ในใจของคุณ”(B) นี่แหละคือเรื่องที่เราประกาศ 9 ถ้าคุณยอมรับด้วยปากว่า “พระเยซูเป็นองค์เจ้าชีวิต” และเชื่อในใจว่าพระเจ้าทำให้พระเยซูฟื้นขึ้นจากความตาย คุณก็จะรอด 10 เพราะพระเจ้ายอมรับคนที่ไว้วางใจ และคนที่ยอมรับด้วยปากว่าเชื่อก็จะรอด 11 เพราะพระคัมภีร์บอกว่า “ทุกคนที่ไว้วางใจพระองค์จะไม่มีวันอับอาย”(C) 12 ที่พระคัมภีร์บอกว่าทุกคน แสดงว่าคนยิวกับคนที่ไม่ใช่ยิวไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย เพราะองค์เจ้าชีวิตองค์เดียวกันนี้เป็นองค์เจ้าชีวิตของทุกคน และพระองค์ก็เต็มไปด้วยความเมตตากับทุกคนที่ร้องเรียกให้พระองค์ช่วย 13 เพราะ “ทุกคนที่ร้องเรียกให้องค์เจ้าชีวิตช่วย ก็จะรอด”(D)
14 แต่พวกเขาจะร้องเรียกให้พระองค์ช่วยได้อย่างไร ในเมื่อพวกเขายังไม่ได้ไว้วางใจพระองค์เลย แล้วพวกเขาจะไว้วางใจได้อย่างไร ในเมื่อยังไม่เคยได้ยินเรื่องของพระองค์เลย แล้วพวกเขาจะเคยได้ยินได้อย่างไร ในเมื่อยังไม่เคยมีใครไปประกาศให้พวกเขาฟังเลย 15 แล้วจะมีใครไปประกาศได้อย่างไรถ้าไม่มีคนส่งไป เหมือนกับที่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า “เป็นเวลาที่เหมาะจริงๆที่มีคนวิ่งมาบอกข่าวดีกับเรา”(E) 16 แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ทำตามข่าวดีนั้น อิสยาห์ก็พูดไว้ว่า “องค์เจ้าชีวิต มีใครบ้างที่ไว้วางใจในถ้อยคำของเรา”(F) 17 ดังนั้นความไว้วางใจจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อได้ยินข่าวดีก่อน และคนจะได้ยินข่าวดีได้ ก็ต่อเมื่อมีคนออกไปประกาศเรื่องของพระคริสต์ 18 แต่ผมขอถามหน่อยว่า พวกยิวไม่ได้ยินข่าวดีที่เราไปประกาศหรืออย่างไร ได้ยินแน่ เพราะพระคัมภีร์พูดไว้ว่า
“เสียงของพวกเขาได้กระจายออกไปทั่วโลก
และถ้อยคำของพวกเขาได้แพร่ออกไปจนสุดขอบฟ้า”(G)
19 แต่ผมขอถามว่า คนอิสราเอล รู้เรื่องหรือเปล่า พวกเขารู้เรื่องแน่ ตอนแรกพระเจ้าพูดผ่านโมเสสว่า
“เราจะใช้ชนชาติกระจอกๆทำให้พวกเจ้าอิจฉา
เราจะใช้ชนชาติที่โง่ๆทำให้พวกเจ้าโมโห”(H)
20 ต่อมาพระเจ้าพูดผ่านทางอิสยาห์ และอิสยาห์กล้าพูดว่า
“คนที่ไม่ได้แสวงหาเรา ได้พบเรา
เราได้ปรากฏตัวให้กับคนที่ไม่สนใจเรา”(I)
21 แต่เรื่องของคนอิสราเอลนั้น พระเจ้าพูดว่า
“เรายื่นมือเราออกไปทั้งวัน
ให้กับพวกที่ไม่เชื่อฟังและต่อต้านเรา”(J)
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International