Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Old/New Testament

Each day includes a passage from both the Old Testament and New Testament.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
1 ซามูเอล 7-9

คนคิริยาท-เยอาริมจึงมารับหีบของพระยาห์เวห์ไป เขาได้นำหีบไปยังบ้านของอาบีนาดับที่อยู่บนเนินเขา และแต่งตั้งเอเลอาซาร์ ลูกชายของอาบีนาดับ ให้เป็นผู้ดูแลหีบของพระยาห์เวห์ หีบของพระยาห์เวห์อยู่ที่คิริยาท-เยอาริมเป็นเวลานานถึงยี่สิบปี

พระยาห์เวห์ช่วยคนอิสราเอล

คนอิสราเอลทั้งหมดต่างก็เศร้าโศกและแสวงหาพระยาห์เวห์ ซามูเอลจึงบอกกับครอบครัวทั้งหมดของอิสราเอลว่า “ถ้าท่านทั้งหลายจะกลับมาหาพระยาห์เวห์ด้วยสิ้นสุดใจของพวกท่าน ก็ให้ขจัดพวกพระของคนต่างชาติและพวกพระอัชทาโรทไป และสัญญาต่อพระยาห์เวห์ว่าจะรับใช้พระองค์เท่านั้น และพระองค์จะช่วยท่านให้พ้นจากเงื้อมมือของคนฟีลิสเตีย”

คนอิสราเอลจึงละทิ้งพวกพระบาอัลและพวกพระอัชทาโรทของพวกเขา และรับใช้พระยาห์เวห์เท่านั้น

จากนั้นซามูเอลได้พูดว่า “ให้เรียกประชุมคนอิสราเอลทั้งหมดที่มิสปาห์ และเราจะอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์เพื่อพวกท่าน”

เมื่อพวกเขามาประชุมกันที่มิสปาห์ พวกเขาตักน้ำมาเทออกต่อหน้าพระยาห์เวห์ ในวันนั้นพวกเขาอดอาหารและได้สารภาพผิดว่า “พวกเราได้ทำบาปต่อพระยาห์เวห์” ซามูเอลก็เป็นผู้นำ[a] ของอิสราเอลที่มิสปาห์

เมื่อคนฟีลิสเตียได้ยินข่าวเรื่องการชุมนุมของคนอิสราเอลที่มิสปาห์ พวกผู้นำของพวกเขาก็ได้ยกขึ้นไปโจมตีคนอิสราเอล และเมื่อคนอิสราเอลได้ยินเรื่องนี้ พวกเขาต่างก็พากันตื่นกลัวชาวฟีลิสเตีย พวกเขาจึงพูดกับซามูเอลว่า “อย่าหยุดร้องขอต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเราเพื่อพวกเรา เพื่อพระองค์จะได้ช่วยชีวิตพวกเราให้พ้นจากเงื้อมมือของคนฟีลิสเตีย”

ซามูเอลจึงเอาลูกแกะที่ยังไม่หย่านมมาถวายเป็นเครื่องเผาบูชาให้กับพระยาห์เวห์ ซามูเอลร้องขอต่อพระยาห์เวห์แทนชาวอิสราเอล และพระยาห์เวห์ก็ตอบเขา 10 ขณะที่ซามูเอลกำลังเผาเครื่องบูชาอยู่นั้น คนฟีลิสเตียได้บุกเข้ามาใกล้แล้วเพื่อสู้รบกับคนอิสราเอล แต่วันนั้นพระยาห์เวห์ทำให้เกิดฟ้าร้องสนั่นหวั่นไหวใส่คนฟีลิสเตีย ทำให้พวกเขาตกใจขวัญหนีดีฝ่อ และถอยหนีไปจากคนอิสราเอล 11 คนอิสราเอลรีบออกมาจากเมืองมิสปาห์ และไล่ล่าฆ่าฟันคนฟีลิสเตีย ไปตลอดทางจนถึงบริเวณที่อยู่ใต้เมืองเบธคาร์

สันติภาพสู่อิสราเอล

12 จากนั้นซามูเอลก็นำก้อนหินก้อนหนึ่งมาตั้งไว้ระหว่างเมืองมิสปาห์และเมืองเยสชานาห์[b] และตั้งชื่อหินก้อนนั้นว่า “เอเบนเอเซอร์”[c] และพูดว่า “พระยาห์เวห์ได้ช่วยเหลือพวกเรามาจนถึงที่นี่”

13 ดังนั้นคนฟีลิสเตียที่พ่ายแพ้ จึงไม่เข้ามาบุกรุกแผ่นดินของอิสราเอลอีก ตลอดชีวิตของซามูเอลนั้น มือของพระยาห์เวห์ได้ต่อสู้กับคนฟีลิสเตีย 14 เมืองต่างๆจากเอโครนถึงกัท ที่คนฟีลิสเตียได้ยึดไปจากคนอิสราเอลนั้น พวกชาวอิสราเอลก็ได้ยึดคืนมา และชาวอิสราเอลยังช่วยให้ดินแดนรอบๆเมืองเหล่านั้นพ้นจากเงื้อมมือของคนฟีลิสเตีย

และมีสันติภาพเกิดขึ้นระหว่างคนอิสราเอลและคนอาโมไรต์ด้วย

15 ซามูเอลเป็นผู้นำของคนอิสราเอลไปตลอดชีวิตเขา 16 ทุกๆปีเขาจะเดินทางเวียนไปจนทั่วจากเมืองเบธเอลไปเมืองกิลกาลถึงเมืองมิสปาห์ เพื่อตัดสินคดีของชาวอิสราเอลในเมืองต่างๆเหล่านั้น 17 แล้วเขาก็จะกลับไปเมืองรามาห์ซึ่งเป็นบ้านของเขา และตัดสินคดีของคนอิสราเอลที่นั่นด้วย เขาได้สร้างแท่นบูชาสำหรับพระยาห์เวห์ไว้ที่นั่น

คนอิสราเอลร้องขอกษัตริย์

เมื่อซามูเอลแก่แล้ว เขาได้ตั้งพวกลูกชายของเขาให้เป็นผู้ตัดสินคดีของอิสราเอล ลูกชายคนโตของซามูเอลชื่อโยเอล ลูกชายคนที่สองชื่ออาบียาห์ พวกเขารับใช้ประจำอยู่ที่เมืองเบเออร์เชบา แต่ลูกชายของเขาไม่ได้ทำตามอย่างซามูเอลพ่อของเขา พวกเขาหันไปคดโกง หาผลประโยชน์ใส่ตัว รับสินบน รวมทั้งบิดเบือนความยุติธรรม ดังนั้นผู้นำทั้งหมดของอิสราเอลจึงรวมตัวกันไปหาซามูเอลที่เมืองรามาห์ พวกเขาพูดกับซามูเอลว่า “ท่านก็แก่แล้วและพวกลูกชายของท่านก็ไม่ได้ทำตามอย่างท่าน ตอนนี้ ขอให้ตั้งกษัตริย์เป็นผู้นำพวกเราเหมือนอย่างที่ชนชาติอื่นๆเขามีกัน”

แต่เมื่อพวกเขาพูดว่า “ขอกษัตริย์เป็นผู้นำพวกเรา” ทำให้ซามูเอลไม่พอใจ ซามูเอลจึงอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์บอกซามูเอลว่า “ให้ฟังคำพูดของประชาชนทั้งหมดที่พูดกับเจ้า พวกเขาไม่ได้ปฏิเสธเจ้า แต่ปฏิเสธเรา ไม่ให้เป็นกษัตริย์เหนือพวกเขา พวกเขาชอบทำอย่างนี้ตั้งแต่วันที่เราได้นำพวกเขาออกมาจากอียิปต์จนถึงวันนี้ คือพวกเขาจะละทิ้งเราและไปรับใช้พระอื่นๆ แล้วพวกเขาก็กำลังทำอย่างนั้นกับเจ้าด้วย ตอนนี้ ให้รับฟังประชาชน แต่ต้องเตือนพวกเขาอย่างเป็นทางการ และให้พวกเขารู้ว่า กษัตริย์ที่จะมาปกครองพวกเขานั้นจะทำอะไรบ้าง”

10 ซามูเอลเล่าคำพูดของพระยาห์เวห์ทุกคำให้กับประชาชนที่ร้องขอกษัตริย์จากเขา 11 เขาพูดว่า “นี่คือสิ่งที่กษัตริย์ที่จะมาปกครองเหนือพวกท่านจะทำคือ กษัตริย์จะเอาพวกลูกชายของพวกท่านไปเป็นทหารประจำรถรบและทหารม้า และพวกเขาจะต้องวิ่งนำหน้าพวกรถรบของกษัตริย์นั้น 12 เขาจะแต่งตั้งบางคนให้ดูแลทหารพันคน บางคนดูแลทหารห้าสิบคน และบางคนจะได้รับหน้าที่ไถนาและเก็บเกี่ยวพืชผลของกษัตริย์ และบางคนมีหน้าที่ต้องทำอาวุธสงครามและทำเครื่องมือสำหรับรถรบของกษัตริย์นั้น

13 กษัตริย์จะเอาพวกลูกสาวของพวกท่านไปเป็นคนปรุงเครื่องหอมและทำครัวและอบขนมปัง

14 กษัตริย์จะยึดที่นาที่ดีที่สุดของพวกท่าน รวมทั้งสวนองุ่น และสวนมะกอกไปให้กับข้าราชการของเขา 15 กษัตริย์จะชักเอาหนึ่งในสิบของเมล็ดพืช และผลองุ่นของพวกท่าน และเอาไปให้กับพวกเจ้าหน้าที่และพวกข้าราชการของเขา 16 กษัตริย์นั้นจะยึดเอาคนรับใช้ชายหญิง ทั้งฝูงวัว[d]และลาที่ดีที่สุดของพวกท่านไปใช้ทำงานของเขาเอง 17 เขาจะชักหนึ่งในสิบของฝูงสัตว์ของพวกท่าน และพวกท่านทั้งหลายจะกลายเป็นทาสของเขา 18 เมื่อวันนั้นมาถึงพวกท่านจะร้องทุกข์ให้ปลดปล่อยท่านจากกษัตริย์ที่ท่านเลือก แต่พระยาห์เวห์จะไม่ตอบท่านในวันนั้น”

19 แต่ประชาชนไม่ยอมฟังซามูเอล พวกเขาพูดว่า “ไม่จริง พวกเราอยากได้กษัตริย์ปกครองพวกเรา 20 แล้วเราจะได้เป็นเหมือนกับชนชาติอื่นที่มีกษัตริย์เป็นผู้นำเราและนำหน้าพวกเราในการรบ”

21 เมื่อซามูเอลได้ยินคำพูดทั้งหมดของประชาชน เขาก็มาเล่าให้พระยาห์เวห์ฟัง 22 พระยาห์เวห์ตอบว่า “ฟังพวกเขาเถอะ และให้กษัตริย์คนหนึ่งกับพวกเขาไป”

แล้วซามูเอลก็พูดกับคนอิสราเอลว่า “ให้ทุกคนกลับไปยังเมืองของตัวเอง”

ซาอูลตามหาลาของพ่อ

มีชายเผ่าเบนยามินคนหนึ่งชื่อคีช คีชเป็นลูกชายของอาบีเอล อาบีเอลเป็นลูกชายของเศโรร์ เศโรร์เป็นลูกชายของเบโครัท เบโครัทเป็นลูกชายของอาฟิยาห์คนเผ่าเบนยามิน คีชเป็นคนมีฐานะสูง เขามีลูกชายชื่อซาอูล เป็นชายฉกรรจ์หน้าตาหล่อเหลา ไม่มีคนอิสราเอลคนใดหล่อเท่ากับเขาเลย และเขาก็สูงกว่าคนอื่นๆหนึ่งช่วงบ่า

ตอนที่ฝูงลาของคีชพ่อของซาอูลหายไป คีชบอกกับซาอูลลูกชายว่า “เอาคนรับใช้ไปกับเจ้าคนหนึ่ง แล้วออกตามหาฝูงลา” ซาอูลผ่านแถบเทือกเขาเอฟราอิม และพื้นที่รอบเมืองชาลิชา แต่พวกเขาก็ไม่พบฝูงลา พวกเขาจึงเข้าไปในเขตแดนชาอาลิม แต่ก็ไม่พบฝูงลาที่นั่น เขาจึงเข้าไปในเขตแดนของคนเบนยามิน แต่ก็ยังไม่พบฝูงลา

เมื่อพวกเขามาถึงเขตแดนที่ตระกูลศูฟอาศัยอยู่กัน ซาอูลก็พูดกับคนรับใช้ที่มากับเขาว่า “กลับกันเถอะ บางทีพ่ออาจจะเลิกห่วงลา แต่เริ่มห่วงพวกเราแทนแล้ว”

แต่คนรับใช้เขาตอบว่า “มีคนของพระเจ้าคนหนึ่งอยู่ในเมืองนี้ คนนับถือเขามาก และทุกสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง ไปกันเถอะ บางทีเขาอาจจะบอกได้ว่าพวกเราควรไปทางไหน”

ซาอูลพูดกับคนใช้ของเขาว่า “ถ้าเราไปหาเขา เรามีอะไรจะให้กับเขาหรือ อาหารในถุงของพวกเราก็หมดแล้ว เราไม่มีของขวัญอะไรจะไปให้คนของพระเจ้าเลย”

คนรับใช้ตอบเขาว่า “ดูซิ ข้าพเจ้ามีเงินอยู่สามกรัม ข้าพเจ้าจะเอาไปให้คนของพระเจ้า แล้วเขาก็จะบอกกับพวกเราว่าควรจะไปทางไหน”

(อิสราเอลในสมัยก่อน ถ้าใครไปสอบถามเรื่องต่างๆกับพระเจ้า เขาจะพูดว่า “ไปเถอะไปหาผู้ที่เห็นนิมิตกัน” เพราะในสมัยก่อนนั้น คนเรียกผู้พูดแทนพระเจ้าว่า “ผู้ทำนาย”) 10 ซาอูลตอบคนใช้ของเขาว่า “ดีมาก ไปกันเถอะ” จากนั้นพวกเขาจึงไปยังเมืองที่คนของพระเจ้าคนนั้นอยู่

11 ระหว่างทางเดินขึ้นเขาเข้าไปในเมืองนั้น พวกเขาได้พบพวกเด็กผู้หญิงออกมาตักน้ำ จึงถามเด็กเหล่านั้นว่า “ผู้ที่เห็นนิมิตอยู่ที่นี่หรือเปล่า”

12 พวกเด็กผู้หญิงเหล่านั้นตอบว่า “เขามาอยู่ที่นี่ และเพิ่งไปก่อนหน้าท่าน รีบๆหน่อย เขาเพิ่งเข้ามาในเมืองของพวกเราวันนี้เอง เพราะมีประชาชนมาถวายเครื่องบูชาบนที่สูงนั้น 13 พอท่านทั้งสองเข้าไปถึงในเมือง ท่านจะได้พบเขาก่อนที่เขาจะขึ้นไปกินอาหารบนที่สูงนั้น ประชาชนจะไม่เริ่มกินอาหารจนกว่าเขาจะมาถึง เพราะเขาต้องขอบคุณพระเจ้าสำหรับเครื่องบูชานั้น หลังจากนั้นคนที่ได้รับเชิญมาก็จะกินอาหารกัน ขึ้นไปตอนนี้เลย ท่านจะได้พบเขาทันที”

14 ซาอูลและคนรับใช้ขึ้นไปที่เมือง ขณะที่พวกเขากำลังเข้ามาในเมืองนั้น ซามูเอลก็เดินตรงมาทางพวกเขา กำลังเดินมาตามทางที่จะขึ้นไปบนสถานที่สูงนั้น

15 หนึ่งวันก่อนที่ซาอูลจะมาถึง พระยาห์เวห์ได้แสดงให้ซามูเอลรู้ว่า 16 “พรุ่งนี้เวลานี้ เราจะส่งชายหนุ่มคนหนึ่งจากแผ่นดินเบนยามินมา ให้เจ้าเจิมเขาเป็นผู้นำเหนือคนอิสราเอลของเรา เขาจะช่วยประชาชนของเราให้พ้นจากเงื้อมมือของคนฟีลิสเตีย เราได้เห็นความทุกข์ยาก[e]ประชาชนของเรา และเราก็ได้ยินเสียงร้องให้ช่วยของพวกเขาแล้ว”

17 เมื่อซามูเอลเห็นซาอูล พระยาห์เวห์ก็พูดกับเขาว่า “นี่คือชายที่เราได้บอกเจ้า เขาจะปกครองประชาชนของเรา”

18 ซาอูลเข้ามาใกล้ซามูเอลที่ประตู และถามว่า “ช่วยบอกหน่อยว่าบ้านของผู้ที่เห็นนิมิตอยู่ที่ไหน”

19 ซามูเอลตอบว่า “เรานี่แหละคือผู้ที่เห็นนิมิต ให้ท่านเดินนำหน้าเราไปบนที่สูงนั้น เพราะวันนี้ท่านจะกินอาหารร่วมกับเรา และพรุ่งนี้เราถึงจะให้ท่านกลับไป และจะบอกกับท่านถึงสิ่งทั้งหมดที่ท่านข้องใจอยู่ 20 ส่วนฝูงลาที่หายไปเมื่อสามวันก่อน ก็ไม่ต้องห่วงอีกแล้ว เพราะพวกเขาหามันพบแล้ว และตอนนี้ มีสิ่งที่ชาวอิสราเอลทั้งหมดกำลังมองหาอยู่ สิ่งนั้นก็คือท่านและครอบครัวของท่าน”

21 ซาอูลตอบว่า “แต่เราเป็นคนเผ่าเบนยามิน เผ่าที่เล็กที่สุดของอิสราเอล และตระกูลของเราก็ด้อยที่สุดในพวกตระกูลทั้งหมดของเผ่าเบนยามิน ทำไมท่านถึงพูดอย่างนี้กับเรา”

22 แล้วซามูเอลจึงนำซาอูลและคนใช้เข้ามาในห้องโถง และให้เขาทั้งสองนั่งที่หัวโต๊ะ แขกที่เชิญมาทั้งหมดมีประมาณสามสิบคน 23 ซามูเอลพูดกับพ่อครัวว่า “ให้เอาเนื้อชิ้นที่เราให้ท่านไปมานี่ ชิ้นที่เราบอกให้แยกเก็บไว้ต่างหากนั่นแหละ”

24 ดังนั้นพ่อครัวจึงนำเนื้อส่วนขา[f] และเนื้อที่ติดมันมาวางไว้ตรงหน้าซาอูล ซามูเอลพูดว่า “กินเนื้อที่วางไว้ตรงหน้าท่านเถิด เพราะตอนที่เราเรียกผู้คนมาประชุมกัน เนื้อส่วนนี้ก็ได้ถูกเก็บไว้สำหรับท่าน สำหรับโอกาสพิเศษนี้” และซาอูลก็กินอาหารเย็นกับซามูเอลในวันนั้น

25 หลังจากกินกันเสร็จแล้ว ซาอูลและคนรับใช้ลงมาจากบนที่สูง และ เข้ามาในเมือง ซามูเอลได้จัดที่นอนให้กับซาอูลบนดาดฟ้า[g][h]

26 แล้วซาอูลก็นอน[i] เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ซามูเอลตะโกนเรียกซาอูลบนดาดฟ้าว่า “ลุกขึ้นเถอะ เราจะส่งท่านไปตามทางของท่าน” เมื่อซาอูลลุกขึ้น เขาและซามูเอลก็ออกไปข้างนอกด้วยกัน

27 เมื่อพวกเขาเดินมาถึงชานเมือง ซามูเอลพูดกับซาอูลว่า “ให้บอกคนใช้ ให้เดินนำหน้าพวกเราขึ้นไปก่อน” และคนใช้ก็ทำตามนั้น “แต่ให้ท่านอยู่ที่นี่ก่อน เพื่อเราจะได้บอกข้อความจากพระเจ้าให้ท่านรู้”

ลูกา 9:18-36

พระเยซูคือกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่

(มธ. 16:13-19; มก. 8:27-29)

18 เมื่อพระเยซูอธิษฐานอยู่คนเดียว พวกศิษย์ก็พากันมาหาพระองค์ พระองค์จึงถามว่า “ชาวบ้านพูดว่าเราเป็นใคร”

19 พวกเขาตอบว่า “บางคนว่าเป็นยอห์นคนทำพิธีจุ่มน้ำ บางคนก็ว่าเป็นเอลียาห์ แต่บางคนว่าเป็นผู้พูดแทนพระเจ้าคนหนึ่งในสมัยก่อนที่ฟื้นขึ้นมาใหม่”

20 พระองค์จึงถามพวกเขาว่า “แล้วพวกคุณล่ะว่าเราเป็นใคร”

เปโตรตอบว่า “เป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า”

21 พระเยซูเตือนพวกเขาว่าอย่าบอกให้ใครรู้

พระเยซูบอกว่าพระองค์จะต้องตาย

(มธ. 16:21-28; มก. 8:31-9:1)

22 พระองค์พูดว่า “บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์ทรมานหลายอย่าง พวกผู้นำชาวยิว พวกหัวหน้านักบวชและพวกครูสอนกฎปฏิบัติก็จะไม่ยอมรับพระองค์ และพระองค์จะต้องถูกฆ่า แต่พระองค์จะฟื้นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม”

23 แล้วพระองค์ก็พูดกับทุกคนว่า “ถ้าใครอยากจะติดตามเรา ต้องเลิกตามใจตัวเอง แล้วแบกไม้กางเขนของตัวเองตามเราทุกๆวัน 24 คนที่อยากจะเอาตัวรอดจะไม่รอด แต่คนที่ยอมสละตัวเองเพื่อเราจะรอด 25 มันจะได้กำไรตรงไหน ถ้าได้โลกทั้งใบ แต่เสียตัวตนหรือถูกทำลายไป 26 คนไหนที่อับอายที่จะยอมรับเราและถ้อยคำของเรา บุตรมนุษย์ก็จะอับอายที่จะรับคนนั้นด้วยเหมือนกันในวันที่บุตรมนุษย์เสด็จมาพร้อมกับสง่าราศีของพระองค์ สง่าราศีของพระบิดา และของพวกทูตสวรรค์ที่ศักดิ์สิทธิ์ 27 แต่เราจะบอกให้รู้ว่า มีบางคนที่ยืนอยู่ที่นี่จะยังไม่ตายจนกว่าจะได้เห็นอาณาจักรของพระเจ้าเสียก่อน”

โมเสส เอลียาห์และพระเยซู

(มธ. 17:1-8; มก. 9:2-8)

28 หลังจากนั้นประมาณแปดวันพระองค์พาเปโตร ยอห์น และยากอบขึ้นไปบนภูเขาเพื่ออธิษฐาน 29 ในขณะที่อธิษฐาน ใบหน้าของพระองค์ก็เปลี่ยนไป เสื้อผ้าพระองค์เปลี่ยนเป็นสีขาวเปล่งประกายแวววาว 30 อยู่ๆก็มีชายสองคน คือโมเสสกับเอลียาห์[a] มาพูดคุยอยู่กับพระองค์ที่นั่น 31 ทั้งสองเปล่งรัศมีเจิดจ้า พวกเขากำลังพูดถึงการตายของพระเยซูที่กำลังจะเกิดขึ้นในเมืองเยรูซาเล็ม 32 ส่วนเปโตรกับเพื่อนอีกสองคนนั้นง่วงมาก แต่เมื่อพวกเขาตื่นเต็มที่ ก็เห็นรัศมีอันเจิดจ้าของพระเยซู และเห็นชายสองคนยืนอยู่กับพระองค์ 33 เมื่อชายสองคนนั้นกำลังจะไป เปโตรพูดกับพระเยซูว่า “อาจารย์ครับ ดีจังเลยที่พวกเราอยู่ที่นี่ เราจะได้สร้างเพิงขึ้นสามหลัง สำหรับพระองค์หนึ่งหลัง โมเสสหนึ่งหลัง และเอลียาห์อีกหนึ่งหลัง” แต่เปโตรไม่รู้หรอกว่าตัวเองกำลังพูดอะไรออกไป

34 ขณะที่เปโตรกำลังพูดอยู่นั้น ก็มีเมฆลอยมาปกคลุมพวกเขาไว้ พวกเขากลัวมาก 35 มีเสียงหนึ่งดังออกมาจากเมฆว่า “ท่านผู้นี้คือลูกของเราที่เราเลือกไว้ ให้เชื่อฟังท่าน”

36 เมื่อเสียงนั้นเงียบลง พวกเขาก็เห็นแต่พระเยซูเท่านั้น แล้วพวกศิษย์ก็เก็บเรื่องที่ได้เห็นนี้ไว้ในใจ ไม่ได้เล่าให้ใครฟังเลยในตอนนั้น

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International