Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Old/New Testament

Each day includes a passage from both the Old Testament and New Testament.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
ปฐมกาล 20-22

อับราฮัมไปถึงเมืองเกราร์

20 อับราฮัมเดินทางจากที่นั่นตรงไปยังแผ่นดินของเนเกบ เขาตั้งถิ่นฐานอยู่ระหว่างเมืองเคเดชและเมืองชูร์ ตอนที่เขาอาศัยอยู่ในเมืองเกราร์ในฐานะคนต่างชาตินั้น อับราฮัมบอกประชาชนเรื่องซาราห์เมียของเขาว่า “ซาราห์เป็นน้องสาวของผม” กษัตริย์อาบีเมเลคของเมืองเกราร์จึงส่งคนไปหา และกษัตริย์ได้นางซาราห์มา พระเจ้าได้มาเข้าฝันอาบีเมเลคในตอนกลางคืน พระองค์พูดกับเขาว่า “ดูสิ เจ้ากำลังจะตาย เพราะผู้หญิงที่เจ้าเอามานั้น นางมีสามีแล้ว”

ตอนนั้นอาบีเมเลคยังไม่มีเพศสัมพันธ์กับนาง กษัตริย์จึงพูดว่า “ข้าแต่องค์เจ้าชีวิต พระองค์จะฆ่าคนบริสุทธิ์หรือ อับราฮัมเองบอกกับข้าพเจ้าว่า ‘นางเป็นน้องสาวของข้าพเจ้า’ และนางซาราห์เองบอกว่า ‘อับราฮัมเป็นพี่ชายของฉัน’ ข้าพเจ้าทำไปด้วยความบริสุทธิ์ใจและมือที่ใสสะอาด”

แล้วพระยาห์เวห์พูดกับอาบีเมเลคในความฝันว่า “เรารู้ว่าเจ้าทำไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ เราถึงได้กันเจ้าไว้ไม่ให้ทำบาปต่อเรา เราจึงไม่ให้เจ้าแตะต้องนาง ตอนนี้คืนเมียของชายคนนั้นกลับไปซะ เพราะอับราฮัมเป็นผู้พูดแทนพระเจ้า เขาจะอธิษฐานให้กับเจ้าและเจ้าจะมีชีวิตอยู่ แต่ถ้าเจ้าไม่ยอมคืน ก็ให้เจ้ารู้ไว้ว่าตัวเจ้าและครอบครัวของเจ้าทั้งหมดจะตายแน่”

อาบีเมเลคตื่นแต่เช้าตรู่ เขาเรียกผู้รับใช้ทั้งหมดของเขา และเล่าความฝันทั้งหมดให้พวกเขาฟัง พวกคนรับใช้กลัวมาก แล้วอาบีเมเลคเรียกอับราฮัมมาพบ และพูดกับเขาว่า “เจ้าทำอย่างนี้กับพวกเราทำไม เราได้ทำผิดอะไรกับเจ้าหรือ เจ้าถึงได้ทำบาปอันยิ่งใหญ่ให้กับเราและอาณาจักรของเรา เจ้าได้ทำกับเราในสิ่งที่ไม่สมควรทำ” 10 แล้วอาบีเมเลคได้ถามอับราฮัมว่า “เจ้าคิดเรื่องอย่างนี้ได้ยังไง ถึงได้ทำอย่างนี้”

11 อับราฮัมตอบว่า “อันที่จริงข้าพเจ้าคิดว่า ‘ไม่มีใครในที่นี้เคารพยำเกรงพระเจ้าแน่ และพวกเขาจะฆ่าข้าพเจ้าเพราะเมียของข้าพเจ้า’ 12 แล้วอีกอย่างหนึ่ง นางก็เป็นน้องสาวของข้าพเจ้าจริงๆ พ่อเดียวกันแต่คนละแม่ และนางได้กลายมาเป็นเมียของข้าพเจ้า 13 เมื่อพระเจ้าทำให้ข้าพเจ้าต้องเดินทางจากบ้านพ่อของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้บอกกับนางว่า ‘ขอให้น้องช่วยทำอย่างนี้ให้กับพี่หน่อย คือ ทุกๆที่ที่พวกเราไป ให้พูดถึงพี่ว่า เขาเป็นพี่ชายของฉัน’”

14 แล้วอาบีเมเลคก็เอาแกะ วัว และทาสชายหญิง มอบให้กับอับราฮัม และคืนนางซาราห์ให้กับอับราฮัมด้วย 15 อาบีเมเลคบอกว่า “ดูสิ แผ่นดินของเราอยู่ตรงหน้าเจ้าแล้ว ตรงไหนที่เจ้าชอบก็เข้าไปอยู่ได้เลย”

16 แล้วอาบีเมเลคพูดกับซาราห์ว่า “ดูสิ เราได้ให้เครื่องเงินหนึ่งพันชิ้นกับพี่ชายของเจ้า เครื่องเงินเหล่านี้จะเป็นของเจ้า เพื่อพิสูจน์ให้กับทุกๆคนที่อยู่กับเจ้าได้เห็นว่า เจ้านั้นบริสุทธิ์ไม่ได้ทำอะไรผิด”

17 จากนั้นอับราฮัมได้อธิษฐานต่อพระเจ้า และพระเจ้าได้เยียวยารักษาอาบีเมเลค เมียของเขา และสาวใช้ของเขาให้มีลูกได้อีก 18 ก่อนหน้านั้นพระยาห์เวห์ได้ปิดครรภ์ของหญิงทุกคนในครัวเรือนของอาบีเมเลคไม่ให้มีลูก เพราะซาราห์ เมียของอับราฮัม

ลูกชายของซาราห์

21 แล้วพระยาห์เวห์ได้แสดงความกรุณาต่อซาราห์ตามที่พระองค์ได้พูดไว้ พระองค์ทำกับซาราห์ตามที่พระองค์สัญญาไว้ ซาราห์ได้ตั้งท้องและคลอดลูกชายให้กับอับราฮัมตอนที่เขาแก่มากแล้ว ตรงตามเวลาที่พระเจ้าได้บอกนางไว้ อับราฮัมตั้งชื่อลูกชายของเขาว่าอิสอัค เป็นลูกที่ซาราห์ได้คลอดให้กับเขา อับราฮัมได้ขลิบให้อิสอัคลูกชายเขา เมื่ออิสอัคมีอายุได้แปดวัน ตามที่พระเจ้าได้สั่งเขาไว้

เมื่ออิสอัคลูกชายของเขาเกิดมา อับราฮัมมีอายุหนึ่งร้อยปี ซาราห์พูดว่า “พระเจ้าทำให้ฉันหัวเราะดีใจ ทุกๆคนที่ได้ยินเรื่องนี้จะหัวเราะดีใจกับฉัน” แล้วซาราห์พูดว่า “ไม่มีใครเคยคิดว่าจะได้พูดกับอับราฮัมว่า ‘ซาราห์จะให้นมลูก’ แต่ฉันได้คลอดลูกชายให้กับเขา ตอนที่เขาแก่แล้ว”

ปัญหาที่บ้าน

อิสอัคโตขึ้นจนหย่านมได้แล้ว อับราฮัมจัดงานเลี้ยงฉลองใหญ่โตในวันที่เขาหย่านมนั้น ซาราห์เห็นอิชมาเอลลูกชายของฮาการ์ชาวอียิปต์ ที่นางได้คลอดให้กับอับราฮัม อิชมาเอลกำลังเล่นอยู่กับอิสอัคลูกชายของนาง[a] 10 นางซาราห์จึงพูดกับอับราฮัมว่า “ไล่ทาสคนนี้ไปพร้อมกับลูกชายของนาง เพื่อลูกทาสนี้จะไม่ต้องมาแบ่งมรดกกับอิสอัคลูกชายของฉัน”

11 เรื่องนี้ทำให้อับราฮัมเครียดมาก เพราะเป็นห่วงอิชมาเอลลูกชายของเขา 12 แต่พระเจ้าบอกอับราฮัมว่า “เจ้าไม่ต้องเครียดกับเรื่องลูกของเจ้ากับนางทาสนั้น ให้ทำทุกอย่างตามที่ซาราห์บอกกับเจ้าเถอะ เพราะคนที่จะสืบเชื้อสายให้กับเจ้านั้นมาจากลูกหลานของอิสอัค 13 ส่วนลูกชายที่เกิดจากทาสคนนี้ เราจะทำให้เขาเป็นชนชาติหนึ่งด้วย เพราะเขาก็เป็นลูกของเจ้าเหมือนกัน”

14 แล้วอับราฮัมก็ตื่นแต่เช้าตรู่ เขาเอาอาหารและถุงน้ำมาให้ฮาการ์ เขาเอาของพวกนั้นวางไว้บนบ่าของนางพร้อมกับเด็กนั้น แล้วเขาก็ส่งนางไป นางก็จากไป และเดินเร่ร่อนไปในทะเลทรายเบเออร์เชบา

15 เมื่อน้ำในถุงหมด ฮาการ์จึงวางลูกลงใต้พุ่มไม้ 16 และนางเดินไปนั่งอยู่ห่างๆเท่ากับระยะทางลูกศรยิงถึง นางพูดว่า “อย่าให้ฉันต้องเฝ้าดูลูกของฉันตายเลย” แล้วนางนั่งอยู่ห่างๆและเริ่มร้องไห้

17 แต่พระเจ้าได้ยินเสียงร้องของเด็ก และทูตของพระเจ้าได้เรียกฮาการ์จากสวรรค์ ทูตสวรรค์พูดกับนางว่า “ฮาการ์ เป็นอะไรไป ไม่ต้องกลัว เพราะพระเจ้าได้ยินเสียงร้องของเด็กที่นั่น 18 ลุกขึ้น ยกเด็กขึ้นมากอดไว้ให้แน่น เพราะเราจะทำให้เขาเป็นชนชาติที่ยิ่งใหญ่”

19 จากนั้นพระเจ้าทำให้นางเห็นบ่อน้ำ นางจึงไปที่บ่อน้ำและเติมน้ำจนเต็มถุง แล้วเอาน้ำให้เด็กดื่ม

20 พระเจ้าอยู่กับเด็กชายคนนั้น และเขาได้เติบโตขึ้น เขาอาศัยอยู่ในทะเลทราย และโตขึ้นเป็นนักยิงธนู 21 อิชมาเอลอาศัยอยู่ในทะเลทรายปาราน แม่ของเขาหาเมียชาวอียิปต์ให้กับเขา

การต่อรองของอับราฮัมกับอาบีเมเลค

22 ในเวลานั้นอาบีเมเลคและฟีโคล์ ผู้บัญชาการทหารของกองทัพอาบีเมเลค พูดกับอับราฮัมว่า “พระเจ้าอยู่กับท่านในทุกสิ่งที่ท่านทำ 23 ตอนนี้ให้สาบานกับเราที่นี่ต่อหน้าพระเจ้าว่า ท่านจะไม่หลอกลวงเราหรือลูกหลานของเรา ท่านจะต้องจงรักภักดีกับเราเหมือนกับที่เราจงรักภักดีกับท่าน ท่านต้องสาบานว่าจะจงรักภักดีกับเราและแผ่นดินนี้ที่ท่านอาศัยอยู่ในฐานะคนต่างชาติ”

24 แล้วอับราฮัมพูดว่า “ข้าพเจ้าสาบาน” 25 จากนั้นอับราฮัมบ่นกับอาบีเมเลคเกี่ยวกับบ่อน้ำที่พวกคนรับใช้ของอาบีเมเลคยึดครองไว้

26 อาบีเมเลคพูดว่า “เราไม่รู้ว่าใครทำเรื่องแบบนี้ ท่านไม่ได้บอกเรา และเราก็ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลยจนถึงวันนี้”

27 อับราฮัมได้เอาแกะและวัวมาให้กับอาบีเมเลค และเขาทั้งสองคนได้ทำข้อตกลงกัน 28 อับราฮัมได้แยกลูกแกะตัวเมียเจ็ดตัว[b] ออกมาจากฝูงของมัน

29 จากนั้นอาบีเมเลคได้พูดกับอับราฮัมว่า “ลูกแกะเจ็ดตัวที่ท่านแยกออกมาไว้ต่างหากนี้ หมายถึงอะไร”

30 อับราฮัมตอบว่า “ท่านจะต้องรับลูกแกะตัวเมียทั้งเจ็ดตัวนี้จากมือของข้าพเจ้า มันจะเป็นพยานให้ข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าเป็นคนขุดบ่อน้ำนี้ขึ้นมา”

31 หลังจากนั้น บ่อน้ำนั้นมีชื่อว่าเบเออร์เชบา[c] เพราะพวกเขาสองคนได้สาบานกันที่นั่น

32 แล้วอับราฮัมและอาบีเมเลคได้ทำข้อตกลงกันที่เบเออร์เชบา จากนั้นทั้งอาบีเมเลคและฟีโคล์ผู้บัญชาการทหารของเขา ได้ลุกขึ้นและกลับไปยังแผ่นดินของฟีลิสเตีย

33 อับราฮัมได้ปลูกต้นแทมมารีสก์[d] ขึ้นต้นหนึ่งที่เบเออร์เชบา และที่นั่นเอง เขาได้อธิษฐานถึงพระยาห์เวห์ พระเจ้าที่มีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์ 34 และอับราฮัมได้อาศัยอยู่ในแผ่นดินของชาวฟีลิสเตียในฐานะคนต่างชาติเป็นเวลานาน

พระยาห์เวห์ลองใจอับราฮัม

22 หลังจากเหตุการณ์พวกนี้ พระเจ้าได้ลองใจอับราฮัมดู พระองค์พูดกับเขาว่า “อับราฮัม”

อับราฮัมตอบว่า “ข้าพเจ้าอยู่นี่”

พระองค์พูดอีกว่า “ให้เอาอิสอัคลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวของเจ้า พาเขาไปที่แผ่นดินของแคว้นโมริยาห์ เอาเขาไปถวายเป็นเครื่องเผาบูชา บนภูเขาลูกหนึ่งที่เราจะบอกกับเจ้า”

อับราฮัมจึงตื่นแต่เช้าตรู่ เขาผูกอานบนหลังลาของเขา และพาคนรับใช้หนุ่มสองคนไปด้วย พร้อมกับอิสอัค อับราฮัมตัดฟืนสำหรับเครื่องเผาบูชา และเขาออกเดินทางไปยังสถานที่ที่พระเจ้าบอกเขา ในวันที่สาม อับราฮัมมองขึ้นไป เห็นสถานที่นั้นแต่ไกล แล้วอับราฮัมบอกกับคนรับใช้ของเขาว่า “พวกเจ้าคอยอยู่ที่นี่กับลานะ เด็กกับข้าจะขึ้นไปที่นั่น พวกเราจะไปนมัสการพระเจ้า แล้วพวกเราจะกลับมาหาเจ้า”

อับราฮัมจึงเอาฟืนสำหรับเครื่องเผาบูชา แล้ววางบนไหล่ของอิสอัค ส่วนเขาถือไฟและมีด แล้วทั้งสองก็เดินขึ้นไปด้วยกัน อิสอัคพูดกับอับราฮัมพ่อของเขาว่า “พ่อครับ”

อับราฮัมตอบว่า “ว่าไงลูก”

อิสอัคพูดว่า “ทั้งไฟและฟืนก็มีอยู่ที่นี่แล้ว แต่แกะที่จะเอาไปเผาเป็นเครื่องบูชาอยู่ที่ไหนล่ะครับ”

อับราฮัมตอบว่า “ลูกเอ๋ย พระเจ้าเองจะจัดหาแกะที่จะใช้เผาเป็นเครื่องบูชา” และทั้งสองคนได้เดินทางต่อไปด้วยกัน

เรื่องที่เกิดขึ้นบนภูเขา

แล้วพวกเขาได้มาถึงสถานที่ที่พระเจ้าบอกกับเขา อับราฮัมสร้างแท่นบูชาขึ้นที่นั่น และเขาจัดฟืนบนแท่นบูชา จากนั้นเขาได้มัดอิสอัคลูกชายของเขาและจับเขานอนบนแท่นบูชาบนกองฟืนนั้น 10 จากนั้นอับราฮัมได้ยื่นมือไปหยิบมีด เพื่อจะฆ่าลูกชายของเขา

11 แต่ทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์ได้เรียกอับราฮัมจากสวรรค์ และพูดว่า “อับราฮัม อับราฮัม” อับราฮัมตอบว่า “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว”

12 ทูตสวรรค์พูดว่า “หยุดเถิด อย่าได้ลงมือของเจ้าบนเด็กนั้น อย่าได้ทำอะไรเขาเลย เพราะตอนนี้เรารู้แล้วว่าเจ้าเคารพยำเกรงพระเจ้า เจ้าไม่ได้หวงแหนลูกชายเพียงคนเดียวของเจ้าจากเรา[e]

13 และเมื่ออับราฮัมเงยหน้าขึ้น เขาเห็นแกะตัวผู้ตัวหนึ่ง เขาของมันติดอยู่กับพุ่มไม้ อับราฮัมจึงเดินไปจับแกะตัวนั้นมาฆ่าถวายเป็นเครื่องเผาบูชาแทนลูกชายของเขา 14 จากนั้นอับราฮัมตั้งชื่อสถานที่นั้นว่า “พระยาห์เวห์จัดหาให้”[f] เหมือนกับที่คนพูดกันจนถึงทุกวันนี้ว่า “บนภูเขาของพระยาห์เวห์ พระองค์จัดหาให้”

15 แล้วทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์ ได้เรียกอับราฮัมเป็นครั้งที่สองจากสวรรค์ 16 พระองค์พูดว่า “พระยาห์เวห์สัญญากับตัวพระองค์เองว่า เพราะเจ้าทำอย่างนี้ และไม่ได้หวงแหนลูกชายเพียงคนเดียวของเจ้า 17 เราสัญญาว่าเราจะอวยพรเจ้าอย่างแน่นอน และเราจะให้เจ้ามีลูกหลานมากมาย เหมือนดวงดาวบนท้องฟ้า และเหมือนเม็ดทรายที่ชายฝั่งทะเล และลูกหลานของเจ้าจะชนะศัตรู และยึดเมืองต่างๆของพวกเขาไว้ 18 และเราสัญญาว่า ทุกชนชาติบนโลกนี้จะได้รับพรเพราะลูกหลานของเจ้า เพราะเจ้าเชื่อฟังเรา”

19 จากนั้นอับราฮัมก็กลับไปหาพวกคนใช้หนุ่มของเขา และพวกเขาทั้งหมดลุกขึ้น พากันกลับไปยังเบเออร์เชบา และอับราฮัมได้อาศัยอยู่ในเบเออร์เชบาต่อไป

20 หลังจากเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ มีคนมาบอกกับอับราฮัมว่า “มิลคาห์ได้คลอดลูกชายหลายคนให้กับนาโฮร์น้องชายของท่านเหมือนกัน 21 ลูกชายคนโตชื่ออูส คนที่สองชื่อบูส คนที่สามชื่อเคมูเอล (เคมูเอลเป็นพ่อของชาวอารัม) 22 และยังมีเคเสด ฮาโซ ปิลดาช ยิดลาฟ และเบธูเอล” 23 เบธูเอลเป็นพ่อของนางเรเบคาห์ มิลคาห์ได้คลอดลูกชายแปดคนให้กับนาโฮร์น้องชายของอับราฮัม 24 เมียน้อยของนาโฮร์ชื่อเรอูมาห์ ก็มีลูกชายให้กับเขาหลายคนเหมือนกัน ชื่อว่า ทีบาร์ กาฮัม ทาหาช และมาอาคาห์

มัทธิว 6:19-34

พระเจ้าสำคัญกว่าทรัพย์สินเงินทอง

(ลก. 12:33-34; 11:34-36; 16:13)

19 อย่าเก็บสะสมของมีค่าไว้ในโลกนี้ ซึ่งสนิมหรือแมลงทำลายได้ หรือที่ขโมยลักไปได้ 20 แต่ให้เก็บสะสมทรัพย์สมบัติไว้บนสวรรค์ ที่สนิมและแมลงไม่มีวันทำลายได้ หรือขโมยก็ลักเอาไปไม่ได้ 21 เพราะทรัพย์สมบัติของคุณอยู่ที่ไหน ใจของคุณก็จะอยู่ที่นั่นด้วย

22 ดวงตาเป็นตะเกียงของร่างกาย ถ้าดวงตาของคุณดี ร่างกายของคุณก็จะเต็มไปด้วยแสงสว่าง 23 แต่ถ้าดวงตาของคุณไม่ดี[a] ร่างกายของคุณก็จะเต็มไปด้วยความมืด และถ้าแสงสว่างในร่างกายของคุณกลายมาเป็นความมืด ความมืดนั้นจะน่ากลัวขนาดไหน

24 ไม่มีใครรับใช้นายสองนายได้ เพราะเขาจะเกลียดนายคนหนึ่ง และรักอีกคนหนึ่ง หรือไม่ก็จะทุ่มเทให้กับนายคนหนึ่ง และจะดูถูกนายอีกคนหนึ่ง คุณจะรับใช้พระเจ้าและเงินทองพร้อมๆกันไม่ได้หรอก

อย่ากังวล

(ลก. 12:22-34)

25 ดังนั้นเราขอบอกคุณว่า ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับชีวิตนี้ว่าจะมีอะไรกินอะไรดื่มไหม หรือเป็นห่วงร่างกายว่าจะมีอะไรสวมใส่ไหม เพราะชีวิตนั้นสำคัญยิ่งกว่าอาหารและร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเสื้อผ้า 26 ดูนกที่บินอยู่ในอากาศสิ มันไม่ต้องหว่านหรือเก็บเกี่ยว หรือสะสมเมล็ดพืชไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของคุณที่อยู่บนสวรรค์ก็ยังเลี้ยงดูพวกมันเลย แล้วพวกคุณมีค่ามากกว่านกพวกนั้นไม่ใช่หรือ 27 กังวลไปทำไม กังวลแล้วทำให้ชีวิตคุณยืดออกไปได้อีกสักชั่วโมงหรือเปล่าล่ะ 28 ถ้าอย่างนั้นจะไปกังวลเรื่องเสื้อผ้าทำไม ดูอย่างดอกไม้ป่าสิว่ามันโตได้ยังไง มันไม่ได้ทำงานและไม่ได้ปั่นด้ายเองแต่ก็ยังสวยกว่ากษัตริย์ซาโลมอนในชุดเต็มยศเสียอีก 29 เราจะบอกให้รู้ว่า แม้แต่กษัตริย์ซาโลมอนที่ร่ำรวยที่สุด ก็ยังแต่งตัวงดงามไม่เท่าดอกไม้พวกนี้สักดอก 30 ดูอย่างหญ้าในทุ่งสิ มันอยู่แค่วันนี้ พรุ่งนี้ก็ถูกเผาไฟแล้ว แต่พระเจ้ายังตกแต่งให้สวยถึงขนาดนี้ แล้วนับประสาอะไรกับพวกคุณเล่า พระองค์จะไม่ยิ่งตกแต่งให้มากกว่าทุ่งหญ้าหรือ พวกคุณนี่ช่างมีความเชื่อน้อยเสียจริงๆ 31 ดังนั้นไม่ต้องกังวลว่า ‘จะมีอะไรกินไหม’ หรือ ‘จะมีอะไรดื่มไหม’ หรือ ‘จะมีอะไรใส่ไหม’ 32 พวกที่ไม่รู้จักพระเจ้าก็ดิ้นรนหาสิ่งเหล่านี้กัน แต่พระบิดาของคุณที่อยู่บนสวรรค์รู้อยู่แล้วว่าสิ่งเหล่านี้จำเป็นสำหรับคุณ 33 แต่ให้ดิ้นรนหาอาณาจักรของพระเจ้าและชีวิตที่ทำตามใจพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะให้สิ่งที่จำเป็นทั้งหมดนี้กับพวกคุณเอง 34 ดังนั้นไม่ต้องกังวลถึงวันพรุ่งนี้ เพราะพรุ่งนี้ก็มีเรื่องกังวลของมันอยู่แล้ว แต่ละวันก็มีปัญหามากพออยู่แล้วสำหรับวันนั้น

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International