Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Old/New Testament

Each day includes a passage from both the Old Testament and New Testament.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
ผู้วินิจฉัย 1-3

เผ่ายูดาห์สู้กับคนคานาอัน

หลังจากโยชูวาตาย ชาวอิสราเอลได้ถามพระยาห์เวห์ว่า “ในพวกเราเผ่าไหนจะเป็นเผ่าแรกที่ขึ้นไปสู้รบกับชาวคานาอันหรือ” พระยาห์เวห์ตอบว่า “ให้ยูดาห์ขึ้นไปเป็นเผ่าแรก ดูสิ เราได้มอบแผ่นดินนั้นไว้ในมือของพวกเขาแล้ว”

ชาวเผ่ายูดาห์จึงไปพูดกับชาวเผ่าสิเมโอน พี่น้องของเขาว่า “ไปช่วยพวกเรารบกับชาวคานาอัน ในแผ่นดินที่ได้จัดสรรให้กับพวกเราด้วยเถิด แล้วพวกเราก็จะขึ้นไปช่วยพวกเจ้ารบในแผ่นดินที่ได้จัดสรรให้กับพวกเจ้าเหมือนกัน” แล้วชาวสิเมโอนก็ไปกับพวกเขา

แล้วยูดาห์ได้บุกขึ้นไป และพระยาห์เวห์ได้มอบชาวคานาอันและชาวเปริสซี ไว้ในมือของคนยูดาห์ พวกเขาได้ฆ่าพวกผู้ชายไปหนึ่งหมื่นคนที่เมืองเบเซก แล้วที่นั่นพวกเขาได้เจอกับอาโดนีเบเซก[a] ผู้เป็นเจ้าเมืองเบเซก และได้สู้รบกับเขา และได้ฆ่าคนคานาอันและคนเปริสซี

อาโดนีเบเซกหนีไป แต่พวกเขาได้ไล่ล่าตามไป จนจับตัวเขาไว้ได้ และตัดนิ้วหัวแม่มือ และนิ้วหัวแม่เท้าของเขาทิ้ง อาโดนีเบเซก พูดว่า “มีกษัตริย์เจ็ดสิบองค์ที่ถูกตัดนิ้วหัวแม่มือและนิ้วหัวแม่เท้า เก็บกินเศษอาหารอยู่ใต้โต๊ะของข้า ข้าได้ทำกับพวกเขายังไง พระเจ้าก็ได้ทำกับข้าอย่างนั้นเหมือนกัน” พวกเขาได้คุมตัวอาโดนีเบเซกไปที่เยรูซาเล็มและเขาก็ตายที่นั่น

ชนเผ่ายูดาห์เข้าโจมตีและยึดเมืองเยรูซาเล็มไว้ได้ พวกเขาใช้ดาบไล่ฆ่าฟันชาวเมืองเยรูซาเล็ม และเผาเมืองทิ้ง ต่อมาชนเผ่ายูดาห์ได้ลงไปสู้รบกับคนคานาอัน ที่อาศัยอยู่ในแถบเทือกเขาเนเกบ และแถบที่ลุ่มเชิงเขาฝั่งตะวันตก[b] 10 ชนเผ่ายูดาห์ได้ไปสู้รบกับชาวคานาอันที่อาศัยอยู่ในเฮโบรน (เมืองเฮโบรนเดิมชื่อ คิริยาทอารบา) และพวกเขาได้รบชนะตระกูลเชชัย อาหิมาน และทัลมัย

คาเลบและลูกสาวของเขา

11 จากที่นั่น ชาวยูดาห์ได้บุกไปสู้รบกับชาวเมืองเดบีร์ (เมืองเดบีร์เดิมชื่อว่า เมืองคิริยาทเสเฟอร์) 12 คาเลบพูดว่า “ใครที่โจมตีเมืองคิริยาทเสเฟอร์และยึดมันไว้ได้ เราจะยกอัคสาห์ลูกสาวของเราให้เป็นเมียผู้นั้น”

13 โอทนีเอล ลูกชายเคนัส ตีเมืองนั้นได้ เคนัสเป็นน้องชายของคาเลบ คาเลบจึงยกอัคสาห์ลูกสาวของเขาให้เป็นเมียของโอทนีเอล 14 เมื่อนางอัคสาห์มาหาโอทนีเอล โอทนีเอลได้บอกให้นางขอที่นากับพ่อของนาง 15 เมื่อนางลงจากหลังลา คาเลบจึงถามนางว่า “ลูกมีอะไรให้พ่อช่วยหรือ”

นางจึงตอบว่า “ขอของขวัญให้กับลูกสักอย่างเถิด ไหนๆพ่อก็ให้ดินแดนแห้งแล้งแถบเนเกบกับลูกแล้ว ขอพวกตาน้ำให้กับลูกด้วยเถิด” คาเลบจึงยกตาน้ำที่อยู่ตอนบนกับตาน้ำที่อยู่ตอนล่างให้กับนาง

16 ลูกหลานของคนเคไนต์ (คนเคไนต์สืบเชื้อสายมาจากพ่อตาของโมเสส) ได้ขึ้นไปจากเมืองต้นปาล์มอินทผลัม[c] พร้อมกับชนเผ่ายูดาห์ พวกเขาเข้าไปถึงถิ่นทุรกันดารยูดาห์ที่อยู่ในเนเกบ ใกล้กับอาราด แล้วพวกเขาก็ได้เข้าไปตั้งถิ่นฐานอยู่กับคนอามีลีไคที่นั่น 17 ชนเผ่ายูดาห์ได้ไปร่วมรบกับชนเผ่าสิเมโอนพี่น้องของเขา และพวกเขาก็ได้ฆ่าคนคานาอัน ที่อาศัยอยู่ในเมืองเศฟัท และทำลายเมืองนั้นอย่างราบคาบ เขาจึงเรียกชื่อเมืองนั้นว่า “โฮรมาห์”[d]

18 ชนเผ่ายูดาห์ได้ยึดเมืองกาซา เมืองอัชเคโลนและเมืองเอโครน พร้อมกับอาณาเขตของสามเมืองนั้น 19 พระยาห์เวห์อยู่ด้วยกับชนเผ่ายูดาห์ และพวกเขาได้ยึดครองพื้นที่แถบเทือกเขาไว้ได้ แต่ไม่สามารถขับไล่ชาวเมืองที่อยู่ในหุบเขาออกไป เพราะพวกนั้นมีรถรบเหล็ก

20 คาเลบได้รับเมืองเฮโบรน ตามที่โมเสสได้สัญญาไว้ และเขาได้ขับไล่สามตระกูลที่สืบเชื้อสายมาจากอานาค[e]ออกไป

เผ่าเบนยามินในเยรูซาเล็ม

21 แต่ชนเผ่าเบนยามินไม่ได้ขับไล่ชาวเยบุสที่อาศัยอยู่ในเยรูซาเล็มออกไป ดังนั้นคนเยบุสจึงอยู่ร่วมกับคนเบนยามินในเยรูซาเล็มจนถึงทุกวันนี้

ลูกหลานโยเซฟยึดเบธเอล

22 ลูกหลานของโยเซฟได้ขึ้นไปต่อสู้กับเมืองเบธเอลด้วยเหมือนกัน และพระยาห์เวห์ได้อยู่กับพวกเขา 23 คนของโยเซฟได้ส่งคนสอดแนมเข้าไปในเมืองเบธเอล (เมืองนี้เดิมชื่อว่าลูส)

24 เมื่อพวกคนสอดแนมเห็นชายคนหนึ่งออกมาจากเมือง พวกเขาพูดกับชายคนนั้นว่า “บอกทางเข้าเมืองให้กับเราหน่อย และเราจะปรานีเจ้า” 25 ชายคนนั้นก็บอกทางเข้าเมืองให้ พวกคนสอดแนมก็เอาดาบฆ่าฟันคนในเมือง แต่เขาปล่อยชายคนที่บอกทางคนนั้นกับครอบครัวของเขาไป 26 ชายคนนั้นเข้าไปในดินแดนของชาวฮิตไทต์ และสร้างเมืองขึ้น เรียกว่า เมืองลูส และเมืองนั้นก็ยังมีชื่อว่าลูสมาจนถึงทุกวันนี้

คนตระกูลอื่นๆสู้รบกับคนคานาอัน

27 เผ่ามนัสเสห์ไม่ได้ขับไล่คนที่อาศัยอยู่ในเมืองเบธชาน เมืองทาอานาค เมืองโดร์ เมืองอิบเลอัม เมืองเมกิดโด และชนบทรอบๆเมืองเหล่านั้น เพราะคนคานาอันไม่ยอมออกไปจากแผ่นดินนั้น 28 เมื่อชาวอิสราเอลมีกำลังเข้มแข็งขึ้น พวกเขาก็ได้บังคับให้คนคานาอันทำงานอย่างทาส แต่ชาวอิสราเอลไม่ได้ไล่คนคานาอันออกไปให้หมด

29 ชนเผ่าเอฟราอิมก็ไม่ได้ขับไล่คนคานาอันที่อาศัยอยู่ในเมืองเกเซอร์ออกไป แต่คนคานาอันและชนเผ่าเอฟราอิมต่างก็อยู่ร่วมกันในเมืองเกเซอร์ 30 ชนเผ่าเศบูลุนไม่ได้ขับไล่ชาวคานาอันที่อาศัยอยู่ในเมืองคิทโรนกับเมืองนาหะโลลออกไป แต่คนคานาอันกับคนเศบูลุนก็ยังอยู่ร่วมกัน แต่คนคานาอันก็ได้ถูกบังคับให้ทำงานอย่างทาส

31 ชนเผ่าอาเชอร์ก็ไม่ได้ขับไล่คนที่อาศัยอยู่ในเมืองอัคโค เมืองไซดอน เมืองอัคลาบ เมืองอัคซีบ เมืองเฮลบาห์ เมืองอาฟิก และเมืองเรโหบ 32 คนเผ่าอาเชอร์ก็อยู่ร่วมกับคนคานาอันในแผ่นดินนั้น เพราะคนอาเชอร์ไม่ได้ขับไล่คนคานาอันออกไป

33 ชนเผ่านัฟทาลีก็ไม่ได้ขับไล่คนที่อาศัยอยู่ในเมืองเบธเชเมช หรือในเมืองเบธอานาทออกไป แต่คนเผ่านัฟทาลีก็อยู่ร่วมกันกับคนคานาอันในแผ่นดินนั้น แต่ชาวเมืองเบธเชเมชและเมืองเบธอานาทได้ถูกบังคับให้ทำงานอย่างทาสให้กับชนเผ่านัฟทาลี 34 คนอาโมไรต์ขับไล่คนเผ่าดานให้กลับไปที่แถบเทือกเขาและไม่ยอมให้พวกเขาลงมาที่หุบเขา

35 คนอาโมไรต์ยังคงอาศัยอยู่ที่ภูเขาเฮเรส ในเมืองอัยยาโลน และในเมืองชาอัลบิม แต่ลูกหลานของโยเซฟเข้มแข็งกว่า และพวกเขาได้บังคับให้คนอาโมไรต์ทำงานอย่างทาส 36 อาณาเขตของคนอาโมไรต์ เริ่มตั้งแต่ทางข้ามแมงป่องไปถึงเมืองเส-ลา และเรื่อยขึ้นไป

ทูตของพระยาห์เวห์ที่โบคิม

ทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์ได้ขึ้นไปจากเมืองกิลกาลถึงเมืองโบคิม และพระองค์พูดว่า “เราได้นำพวกเจ้าขึ้นมาจากอียิปต์ และเราได้นำเจ้าเข้ามาสู่แผ่นดิน ที่เราได้สัญญาไว้กับพวกบรรพบุรุษของเจ้า เราได้พูดว่า ‘เราจะไม่มีวันล้มเลิกข้อตกลงที่เราได้ให้ไว้กับเจ้า แต่เจ้าจะต้องไม่ทำข้อตกลงกับคนที่อยู่ในแผ่นดินนี้ ให้รื้อพวกแท่นบูชาของพวกเขาทิ้งไป’ แต่เจ้าก็ไม่ได้ฟังเสียงของเรา ดูเอาเองสิว่าเจ้าได้ทำอะไรลงไป

ดังนั้น ตอนนี้เราขอบอกให้รู้ว่า เราจะไม่ขับไล่พวกเขาออกไปต่อหน้าเจ้าอีกแล้ว พวกเขาจะเป็นตัวปัญหา[f] ให้กับเจ้า และพวกพระของพวกเขาก็จะเป็นกับดักจับเจ้า” เมื่อทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์ได้พูดคำเหล่านี้ให้กับคนอิสราเอลทั้งหมดฟัง พวกเขาก็ร้องไห้เสียงดัง เขาจึงตั้งชื่อที่นั่นว่า โบคิม[g] และพวกเขาก็ได้ถวายเครื่องบูชาให้กับพระยาห์เวห์ที่นั่น

การไม่เชื่อฟังและความพ่ายแพ้

เมื่อโยชูวาปล่อยให้ประชาชนกลับไป ชาวอิสราเอลต่างคนต่างก็กลับไปในที่ดินที่ตนเองเป็นเจ้าของ พวกเขาได้รับใช้พระยาห์เวห์ตลอดชีวิตของโยชูวา และตลอดชีวิตของผู้อาวุโสที่มีอายุยืนยาวกว่าโยชูวา ผู้อาวุโสพวกนี้คือพวกที่ได้เห็นงานอันยิ่งใหญ่ทั้งหมดที่พระยาห์เวห์ได้ทำให้กับคนอิสราเอล โยชูวาลูกชายของนูน ผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์ ได้ตายไปเมื่อเขามีอายุหนึ่งร้อยสิบปี

พวกเขาได้ฝังโยชูวาไว้ในเขตที่ดินที่เป็นมรดกของเขา ในเมืองทิมนาท-เฮเรส ในแถบเทือกเขาเอฟราอิม ทางตอนเหนือของภูเขากาอัช 10 ในที่สุด คนรุ่นนั้นทั้งหมดก็ถูกรวบรวมไปอยู่กับบรรพบุรุษของพวกเขา และมีคนรุ่นใหม่ขึ้นมาแทนพวกเขา คนรุ่นใหม่นี้ไม่มีประสบการณ์กับพระยาห์เวห์ หรือสิ่งที่พระยาห์เวห์ได้ทำให้กับคนอิสราเอล 11 คนอิสราเอลได้ทำสิ่งชั่วร้ายในสายตาของพระยาห์เวห์ และไปรับใช้พวกพระบาอัล 12 พวกเขาได้ละทิ้งพระยาห์เวห์ พระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกเขา พระเจ้าที่นำพวกเขาออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ พวกเขาไปติดตามพระอื่นๆที่เป็นพวกพระของชนชาติที่อยู่รอบข้างพวกเขา และกราบไหว้พระเหล่านั้น ทำให้พระยาห์เวห์โกรธ

13 พวกเขาได้ละทิ้งพระยาห์เวห์ และไปรับใช้พระบาอัลและพวกพระอัชทาโรท 14 ดังนั้นพระยาห์เวห์จึงโกรธคนอิสราเอล พระองค์จึงยกพวกอิสราเอลให้ตกไปอยู่ในเงื้อมมือของโจร โจรได้มาปล้นทรัพย์สินของพวกเขา และขายพวกเขาให้ไปอยู่ในมือของพวกศัตรูที่อยู่รอบด้านพวกเขา และพวกเขาก็ไม่สามารถยืนหยัดต่อสู้พวกศัตรูของพวกเขาได้ 15 ทุกครั้งที่พวกอิสราเอลออกรบ มือของพระยาห์เวห์ก็ต่อต้านพวกเขา ทำให้พวกเขาพ่ายแพ้ อย่างที่พระองค์ได้สาบานไว้แล้วว่าจะทำกับพวกเขา และพวกเขาเดือดร้อนมาก

16 แล้วพระยาห์เวห์ก็ได้เลือกพวกผู้นำขึ้นมา และคนพวกนี้ได้มาช่วยกู้คนอิสราเอลให้พ้นจากเงื้อมมือของพวกที่ปล้นพวกเขานั้น 17 แต่ชาวอิสราเอลก็ไม่เชื่อฟังแม้แต่พวกผู้นำของพวกเขา เพราะคนอิสราเอลได้ขายตัวให้กับพวกพระต่างๆและไปกราบไหว้พวกพระเหล่านั้น คนอิสราเอลได้หันไปจากทางที่พวกพ่อของเขาเคยเดินมานั้นอย่างรวดเร็ว พวกพ่อของเขาเชื่อฟังคำสั่งของพระยาห์เวห์ แต่คนรุ่นใหม่นี้ไม่ได้ทำตาม

18 เมื่อไหร่ก็ตามที่พระยาห์เวห์ได้ตั้งผู้นำคนหนึ่งขึ้นมาให้กับพวกเขา พระยาห์เวห์ก็จะอยู่กับผู้นำคนนั้น และพระองค์ก็ได้ช่วยพวกอิสราเอลให้พ้นจากเงื้อมมือของพวกศัตรู ตลอดชั่วชีวิตของผู้นำคนนั้น เพราะพระยาห์เวห์สงสาร เมื่อได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญของพวกอิสราเอล เพราะถูกกดขี่ข่มเหง

19 แต่เมื่อผู้นำคนนั้นตายไป พวกอิสราเอลก็หันกลับไปทำชั่วยิ่งกว่าบรรพบุรุษของพวกเขาเสียอีก พวกเขาไปติดตามรับใช้และกราบไหว้พวกพระอื่นๆ พวกอิสราเอลไม่ยอมทิ้งสิ่งชั่วร้ายที่พวกเขาทำกันอยู่หรือการกระทำที่ดื้อดึงของพวกเขา

20 ดังนั้นพระยาห์เวห์จึงโกรธพวกอิสราเอลมาก และพระองค์พูดว่า “เพราะชนชาตินี้ได้ฝ่าฝืนข้อตกลงของเรา ที่เราได้สั่งให้บรรพบุรุษของพวกเขารักษา และพวกเขาก็ไม่ยอมฟังเสียงของเราด้วย 21 อย่างนั้น เราจะไม่ขับไล่ชนชาติต่างๆออกไปต่อหน้าพวกเขาอีกแล้ว คือพวกชนชาติต่างๆที่ยังหลงเหลืออยู่ตอนที่โยชูวาตาย 22 เราจะใช้ชนชาติพวกนี้ลองใจชาวอิสราเอล จะดูสิว่า พวกเขาจะเดินในเส้นทางของพระยาห์เวห์อย่างระมัดระวังเหมือนกับที่บรรพบุรุษของพวกเขาทำหรือเปล่า” 23 ดังนั้นพระยาห์เวห์จึงปล่อยให้พวกชนชาติเหล่านั้น อาศัยอยู่ในแผ่นดินต่อไป พระองค์ไม่ได้ขับไล่พวกเขาออกไปทันที พระองค์ไม่ได้มอบพวกชนชาติเหล่านั้นไว้ในมือของโยชูวา

ต่อไปนี้คือชนชาติต่างๆที่พระยาห์เวห์ยังปล่อยให้หลงเหลืออยู่ในแผ่นดินเพื่อลองใจชาวอิสราเอลทั้งหมดที่ไม่ได้เข้าร่วมรบตอนยึดแผ่นดินคานาอันนั้น พระยาห์เวห์ทำอย่างนี้เพื่อให้คนอิสราเอลรุ่นหลังนี้ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในการรบมาก่อน จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับสงคราม

ชนชาติต่างๆที่ยังเหลืออยู่ คือผู้ครอบครองทั้งห้าคนของฟีลิสเตีย คนคานาอันทั้งหมด คนไซดอน และคนฮีไวต์ที่อาศัยอยู่แถบเนินเขาเลบานอน ตั้งแต่ภูเขาบาอัล-เฮอร์โมน ไปจนถึงเมืองเลโบ-ฮามัท

ชนชาติเหล่านี้ มีไว้สำหรับลองใจชาวอิสราเอล เพื่อจะได้รู้ว่า พวกเขาจะเชื่อฟังคำสั่งต่างๆของพระยาห์เวห์หรือไม่ คือคำสั่งต่างๆที่พระองค์ได้สั่งบรรพบุรุษของพวกเขาผ่านมาทางโมเสส ดังนั้นชาวอิสราเอลจึงได้อาศัยอยู่ร่วมกับ คนคานาอัน คนฮิตไทต์ คนอาโมไรต์ คนเปริสซี คนฮีไวต์และคนเยบุส

คนอิสราเอลได้เอาลูกสาวของคนพวกนั้นมาเป็นเมีย และยอมยกลูกสาวของตนให้กับลูกชายของคนพวกนั้น แถมไปรับใช้พระต่างๆของคนพวกนั้นด้วย

โอทนีเอลผู้นำคนแรก

ชาวอิสราเอลได้ทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระยาห์เวห์ และได้ลืมพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา และไปรับใช้รูปเคารพของพวกพระบาอัล และพวกพระอัชทาโรท พระยาห์เวห์จึงโกรธชาวอิสราเอล พระองค์ขายพวกเขาให้ตกไปอยู่ในเงื้อมมือของกษัตริย์คูชัน-ริชาธาอิมแห่งอาราม นาชาราอิม[h] ชาวอิสราเอลจึงต้องรับใช้กษัตริย์คูชัน-ริชาธาอิมอยู่แปดปี

แต่เมื่อชาวอิสราเอลร้องขอความช่วยเหลือจากพระยาห์เวห์ พระองค์ได้ส่งผู้ช่วยมาให้กับคนอิสราเอล เพื่อช่วยเหลือพวกเขา คนนั้นคือ โอทนีเอลลูกชายของเคนัส เคนัสเป็นน้องชายของคาเลบ 10 พระวิญญาณของพระยาห์เวห์ได้ลงมาอยู่กับโอทนีเอล และเขาได้กลายเป็นผู้นำของอิสราเอล เขาออกไปทำสงคราม และพระยาห์เวห์ได้ทำให้กษัตริย์คูชัน-ริชาธาอิมตกอยู่ในเงื้อมมือของเขา และเขามีชัยเหนือกษัตริย์คูชัน 11 จากนั้นแผ่นดินก็สงบสุขเป็นเวลาสี่สิบปี จนโอทนีเอลลูกชายเคนัสตายไป

ผู้นำเอฮูด

12 ต่อมาชาวอิสราเอลได้ทำสิ่งชั่วร้ายในสายตาของพระยาห์เวห์อีก พระองค์ก็เลยทำให้กษัตริย์เอกโลนของเมืองโมอับมีกำลังเข้มแข็ง และมาโจมตีชาวอิสราเอล เพราะคนอิสราเอลได้ทำสิ่งชั่วร้ายในสายตาของพระยาห์เวห์ 13 กษัตริย์เอกโลนได้ชวนคนอัมโมนและอามาเลค มาเข้าพวกกับเขา และไปโจมตีอิสราเอล และพวกเขาได้ยึดครองเมืองดงอินทผลัมไว้ได้

14 ดังนั้นชาวอิสราเอลจึงต้องรับใช้กษัตริย์เอกโลน ของเมืองโมอับอยู่สิบแปดปี 15 ชาวอิสราเอลได้ร้องขอความช่วยเหลือจากพระยาห์เวห์ แล้วพระองค์ก็ได้ส่งผู้ช่วยคนหนึ่งมาให้กับพวกเขา คือเอฮูดลูกชายของเกราจากเผ่าเบนยามิน เขาถูกฝึกให้สู้รบด้วยมือซ้าย ชาวอิสราเอลให้เขาเอาส่วยไปส่งให้กับกษัตริย์เอกโลนของเมืองโมอับ

16 เอฮูดได้ทำดาบสองคมเล่มหนึ่งยาวศอกหนึ่ง เขามัดมันไว้ที่ต้นขาขวาใต้ชุดที่ใส่ 17 แล้วเขาได้นำส่วยไปมอบให้กับกษัตริย์เอกโลนของเมืองโมอับ (กษัตริย์เอกโลนเป็นคนที่อ้วนมาก) 18 เมื่อเอฮูดมอบส่วยเสร็จแล้ว เขาก็ไปส่งคนที่แบกส่วยมา 19 เมื่อเอฮูดไปถึงพวกรูปหินแกะสลักที่กิลกาล เขาก็ย้อนกลับไปหากษัตริย์เอกโลนและพูดกับกษัตริย์ว่า “ข้าแต่กษัตริย์ ข้าพเจ้ามีความลับจะแจ้งกับท่าน”

กษัตริย์จึงบอกให้เอฮูดเงียบก่อน แล้วเขาก็สั่งให้พวกผู้รับใช้ของเขาออกไปนอกห้อง

20 แล้วเอฮูดได้เข้าไปหากษัตริย์เอกโลน ในขณะที่เขานั่งอยู่บนบัลลังก์ที่ตั้งอยู่บนฐานที่ยกสูง ซึ่งเป็นของเขาโดยเฉพาะ เอฮูดพูดว่า “ข้าพเจ้ามีข่าวจากพระเจ้ามาแจ้งกับท่าน” ในขณะที่กษัตริย์เอกโลนลุกขึ้นจากที่นั่ง 21 เอฮูดก็ยื่นมือซ้ายไปชักดาบจากต้นขาขวาของเขา แล้วแทงเข้าไปที่ท้องของกษัตริย์เอกโลน 22 จมมิดด้าม ไขมันก็ปิดคมดาบไว้ และเอฮูดก็ไม่ได้ดึงดาบออกจากท้องของกษัตริย์ และกษัตริย์เอกโลนก็อุจจาระราดออกมา

23 แล้วเอฮูดก็ได้ปิดประตูห้องบัลลังก์และลงกลอนข้างใน จากนั้นเขาก็หย่อนตัวลงทางช่องส้วมไปยังห้องด้านล่าง 24 แล้วเอฮูดก็ออกไปทางห้องโถงใหญ่ และพวกผู้รับใช้ของกษัตริย์เอกโลนก็เข้ามา เมื่อพวกเขาเห็นว่าประตูห้องบนชั้นสองนั้นปิดอยู่ พวกเขาก็คิดว่ากษัตริย์เอกโลนกำลังถ่ายทุกข์อยู่ข้างใน 25 พวกเขาคอยอยู่จนรู้สึกเป็นห่วง จึงเอากุญแจมาไขเข้าไปดู และพบกษัตริย์เอกโลนนอนตายอยู่บนพื้น

26 เอฮูดหนีออกมา ในขณะที่พวกคนรับใช้กำลังคอยอยู่ เขาเดินผ่านพวกรูปเคารพที่สลักจากหิน และหนีไปจนถึงเสอีราห์ 27 เมื่อเขาไปถึงที่นั่น เขาได้เป่าแตรเขาสัตว์ที่เทือกเขาเอฟราอิม แล้วชาวอิสราเอลก็ยกพลลงจากเขาไปพร้อมกับเอฮูด ที่นำหน้าพวกเขาไป

28 เอฮูดสั่งพวกเขาว่า “ตามเรามา เพราะพระยาห์เวห์ได้มอบพวกศัตรูของพวกท่าน คือชาวโมอับไว้ในเงื้อมมือของพวกท่านแล้ว” ชาวอิสราเอลทั้งหลายจึงตามเขาไป และพวกเขาได้ยึดบริเวณน้ำตื้นที่ลุยข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปเมืองโมอับได้ และไม่ให้ใครข้ามทั้งนั้น 29 ในครั้งนั้นพวกเขาได้ฆ่าชายโมอับที่เข้มแข็งและกล้าหาญไปประมาณหนึ่งหมื่นคน ไม่มีใครหนีรอดไปได้

30 ในวันนั้นชาวโมอับตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือของคนอิสราเอล หลังจากนั้นแผ่นดินก็สงบสุขเป็นเวลาแปดสิบปี

ผู้นำชัมการ์

31 หลังจากเอฮูดแล้ว ก็มีชัมการ์ลูกชายอานาท เขาใช้ปฏักวัวฆ่าชาวฟีลีสเตียไปหกร้อยคน เขาก็เป็นผู้ช่วยชาวอิสราเอลคนหนึ่งด้วยเหมือนกัน

ลูกา 4:1-30

มารมาลองใจพระเยซู

(มธ. 4:1-11; มก. 1:12-13)

พระเยซูเต็มเปี่ยมไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์กลับจากแม่น้ำจอร์แดน และพระวิญญาณนำพระองค์ไปในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง มารร้ายมาลองใจพระองค์ถึงสี่สิบวัน ในช่วงนั้นพระองค์ไม่ได้กินอะไรเลย เมื่อครบสี่สิบวันแล้ว พระเยซูก็หิวจัด

มารร้ายท้าทายกับพระองค์ว่า “ถ้าเป็นลูกพระเจ้า ก็เสกหินก้อนนี้ให้กลายเป็นขนมปังสิ”

แต่พระเยซูตอบว่า “พระคัมภีร์ เขียนไว้ว่า

‘ชีวิตที่เที่ยงแท้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับขนมปังเพียงอย่างเดียว’”(A)

แล้วมารร้ายก็นำพระเยซูขึ้นไปบนที่สูง แล้วแสดงอาณาจักรทั้งหมดในโลกให้พระองค์เห็นในชั่วพริบตาเดียว มันพูดว่า “เราจะยกอำนาจและความรุ่งเรืองทั้งหมดนี้ให้ เพราะมันถูกมอบให้กับเราแล้ว และเราอยากจะให้กับใครก็ให้ได้ ถ้าท่านกราบไหว้บูชาเรา แผ่นดินทั้งหมดนี้ก็จะเป็นของท่าน”

พระเยซูตอบว่า “พระคัมภีร์ได้เขียนไว้ว่า

‘ให้กราบไหว้บูชาองค์เจ้าชีวิตพระเจ้าของเจ้า
    และให้รับใช้พระองค์แต่เพียงผู้เดียว’”(B)

แล้วมารร้ายก็นำพระเยซูไปที่เมืองเยรูซาเล็ม ให้พระองค์ไปยืนบนจุดที่สูงที่สุดของวิหาร มันพูดว่า “ถ้าท่านเป็นลูกพระเจ้าจริงก็กระโดดลงไปเลย 10 เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า

‘พระเจ้าจะสั่งเหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์
    มาปกป้องคุ้มครองท่าน
11 เหล่าทูตสวรรค์ก็จะรับท่านไว้
เพื่อไม่ให้เท้าของท่านกระแทกหิน’”(C)

12 แต่พระเยซูตอบว่า “พระคัมภีร์ยังบอกอีกว่า ‘อย่าได้ลองดีกับองค์เจ้าชีวิตพระเจ้าของเจ้า’”(D)

13 เมื่อมารร้ายได้ลองใจพระองค์ครบทุกอย่างแล้ว มันก็จากไปเพื่อคอยหาโอกาสเหมาะอีก

พระเยซูสอนฝูงชน

(มธ. 4:12-17; มก. 1:14-15)

14 พระเยซูกลับไปแคว้นกาลิลี พระองค์เต็มไปด้วยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณ ชื่อเสียงของพระองค์แพร่กระจายไปทั่วแถบนั้น 15 พระองค์สอนอยู่ตามที่ประชุมต่างๆ และทุกคนต่างยกย่องพระองค์

พระเยซูกลับบ้าน

(มธ. 13:53-58; มก. 6:1-6)

16 แล้วพระเยซูก็ไปเมืองนาซาเร็ธ ซึ่งเป็นเมืองที่พระองค์เติบโตมา เมื่อถึงวันหยุดทางศาสนา พระองค์ก็ไปที่ประชุมเหมือนที่ทำเป็นประจำ พระองค์ยืนขึ้นเพื่ออ่านข้อความจากพระคัมภีร์ 17 พระองค์ได้รับม้วนหนังสือมา เป็นหนังสืออิสยาห์ซึ่งเป็นผู้พูดแทนพระเจ้าคนหนึ่ง แล้วคลี่ม้วนหนังสือนั้นออกเพื่อหาข้อความที่เขียนไว้ว่า

18 “พระวิญญาณขององค์เจ้าชีวิตอยู่กับเรา
    เพราะพระองค์แต่งตั้งให้เราประกาศข่าวดีกับคนจน
พระองค์ส่งเรามาบอกนักโทษว่าจะได้เป็นอิสระ
    บอกคนตาบอดว่าจะมองเห็น บอกคนที่ถูกกดขี่ข่มเหงว่าจะได้เป็นอิสระ
19 และบอกว่าถึงเวลาแล้วที่พระเจ้าจะมาช่วยคนของพระองค์”(E)

20 จากนั้นพระองค์ม้วนหนังสือส่งคืนให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ดูแล แล้วนั่งลง แล้วทุกสายตาในที่นั้นก็จ้องเขม็งมาที่พระองค์ 21 พระองค์เริ่มพูดกับพวกเขาว่า “ในวันนี้เรื่องในพระคัมภีร์ที่คุณเพิ่งได้ยินเราอ่านไปนั้นได้เป็นจริงแล้ว”

22 ทุกคนก็ได้พูดเยินยอพระองค์ และแปลกใจในคำพูดน่าทึ่งที่ออกมาจากปากพระองค์ พวกเขาถามกันว่า “นี่ลูกโยเซฟไม่ใช่หรือ”

23 แล้วพระองค์พูดว่า “พวกคุณจะต้องยกคำสุภาษิตนี้มาอ้างกับเราแน่ ที่ว่า ‘หมอเอ๋ย รักษาตัวเองเสียก่อนเถอะ’ แล้วพวกคุณคงอยากจะพูดว่า ‘ทำเรื่องอัศจรรย์ที่นี่ในบ้านเมืองของเจ้าสิ อย่างที่เราได้ยินว่าเจ้าทำที่เมืองคาเปอรนาอุม’ 24 แต่เราจะบอกให้รู้นะว่า ไม่มีผู้พูดแทนพระเจ้าคนไหนที่ได้รับการยอมรับในบ้านเมืองของตัวเองหรอก 25 ดูอย่างสมัยของเอลียาห์สิ เมื่อเกิดฝนแล้งเป็นเวลาถึงสามปีครึ่ง จนเกิดความอดอยากไปทั่ว มีแม่ม่ายมากมายในหมู่ชาวอิสราเอล 26 แต่พระเจ้าก็ไม่ได้ส่งเอลียาห์ไปหาแม่ม่ายชาวอิสราเอลพวกนั้น แต่กลับส่งไปหาแม่ม่ายคนหนึ่งที่ไม่ใช่คนยิวที่เมืองศาเรฟัทในเขตแดนไซดอน 27 ก็เหมือนกับในสมัยของเอลีชา[a] ที่เป็นผู้พูดแทนพระเจ้า มีคนเป็นโรคผิวหนังร้ายแรงมากมายในอิสราเอล แต่ไม่มีใครได้รับการชำระให้สะอาดเลย ยกเว้นแต่คนที่ชื่อนาอามานเพียงคนเดียว และเขาเป็นคนซีเรียไม่ใช่คนยิว”

28 เมื่อทุกคนที่อยู่ในที่ประชุมชาวยิวได้ยินอย่างนั้น ก็โกรธแค้นมาก 29 เขาลุกฮือกันขึ้น บังคับให้พระเยซูออกไปนอกเมือง ไปที่หน้าผาบนเขาที่เมืองนั้นตั้งอยู่ หวังจะผลักพระองค์ลงไป 30 แต่พระองค์ก็ฝ่าวงล้อมของพวกเขาไปได้

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International