Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Old/New Testament

Each day includes a passage from both the Old Testament and New Testament.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
ผู้วินิจฉัย 1-3

การสู้รบอันต่อเนื่องกับชาวคานาอัน

หลังจากที่โยชูวาเสียชีวิตไปแล้ว ชาวอิสราเอลถามพระผู้เป็นเจ้าว่า “ใครจะนำหน้าพวกเราขึ้นไปสู้รบกับชาวคานาอัน” พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า “ยูดาห์จะขึ้นไป ดูเถิด เราได้มอบแผ่นดินนั้นไว้ในมือของเขาแล้ว” ยูดาห์จึงพูดกับสิเมโอนพี่ของเขาว่า “ขึ้นไปกับเราเถิด เราจะได้เข้าไปในพรมแดนที่แบ่งให้เราไว้แล้ว พวกเราจะได้สู้รบกับชาวคานาอัน แล้วเราก็จะไปกับท่าน เข้าไปในพรมแดนที่แบ่งให้ท่านไว้แล้วเช่นกัน” ดังนั้นสิเมโอนจึงไปกับเขา ครั้นแล้วยูดาห์ก็ขึ้นไป พระผู้เป็นเจ้ามอบชาวคานาอันและชาวเปริสไว้ในมือของพวกเขา และฆ่าคนจำนวน 10,000 คนที่เบเซก พวกเขาพบอาโดนีเบเซกที่เบเซก และสู้รบกับเขาที่นั่น ฆ่าชาวคานาอันและชาวเปริส ส่วนอาโดนีเบเซกหนีไป แต่พวกเขาก็ตามล่าและจับตัวเขาไว้ได้ เขาจึงถูกตัดนิ้วหัวแม่มือและหัวแม่เท้า แล้วอาโดนีเบเซกพูดว่า “บรรดากษัตริย์ 70 ท่านถูกตัดนิ้วหัวแม่มือและหัวแม่เท้า เคยเก็บเศษอาหารใต้โต๊ะของเรา สิ่งที่เราได้กระทำไปแล้ว พระเจ้าก็กระทำตอบกลับคืนแก่เรา” แล้วพวกเขาก็นำตัวเขาไปยังเยรูซาเล็ม และเขาก็สิ้นชีวิตที่นั่น

ชาวยูดาห์โจมตีเยรูซาเล็มและยึดไว้ได้ จากนั้นก็ฆ่าชาวเมืองด้วยคมดาบและเผาเมืองเสีย ต่อมาชาวยูดาห์ก็ลงไปสู้รบกับชาวคานาอันที่อาศัยอยู่ในแถบภูเขา ในเนเกบ และที่ลุ่ม 10 ยูดาห์ไปสู้รบกับชาวคานาอันที่อาศัยอยู่ในเฮโบรน (ชื่อเก่าของเฮโบรนคือ คีริยาทอาร์บาห์) และได้ฆ่าเชชัย อาหิมาน และทัลมัย

11 และเขาไปจากที่นั่นเพื่อสู้รบกับผู้อยู่อาศัยของเมืองเดบีร์ ก่อนหน้านั้นเมืองเดบีร์ชื่อ คีริยาทเสเฟอร์ 12 และคาเลบพูดว่า “ผู้ใดโจมตีและยึดคีริยาทเสเฟอร์ได้ เราจะยกอัคสาห์บุตรสาวของเราให้เป็นภรรยา” 13 โอทนีเอลบุตรของเคนัสผู้เป็นน้องคาเลบยึดเมืองไว้ได้ เขาจึงยกอัคสาห์บุตรหญิงของเขาให้เป็นภรรยา 14 เมื่อนางไปหาโอทนีเอล นางก็จูงใจเขาเพื่อจะขอทุ่งนาแห่งหนึ่งจากบิดาของนาง นางลงจากลา คาเลบจึงถามนางว่า “เจ้าต้องการสิ่งใดหรือ” 15 นางพูดว่า “ขอพรให้ลูก ในเมื่อท่านได้ให้ดินแดนเนเกบแก่ลูกแล้ว ก็ให้น้ำพุแก่ลูกด้วยเถิด” แล้วเขาก็ยกน้ำพุที่อยู่ด้านบนและด้านล่างให้นางไป

16 บรรดาผู้สืบเชื้อสายของพ่อตาโมเสสคือชาวเคน ก็ได้พากันขึ้นไปกับชาวยูดาห์จากเมืองแห่งต้นอินทผลัม เข้าไปยังถิ่นทุรกันดารยูดาห์ซึ่งอยู่ในเนเกบใกล้อาราด และได้ไปตั้งรกรากอยู่กับชาวเมืองนั้น 17 ยูดาห์กับสิเมโอนพี่ชายของเขาไปร่วมกันฆ่าชาวคานาอันที่อาศัยอยู่ในเมืองเศฟัท และมอบให้เป็นดั่งของถวาย ฉะนั้นเมืองนั้นจึงชื่อโฮร์มาห์ 18 ยูดาห์ยึดเมืองกาซา อัชเคโลนและเอโครน พร้อมทั้งอาณาเขตโดยรอบเมืองเหล่านี้ 19 พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับยูดาห์ เขาได้ยึดครองดินแดนในแถบภูเขา แต่ไม่สามารถขับไล่ชาวเมืองที่อยู่ในที่ราบให้ออกไปได้ เหตุเพราะพวกเขามีรถศึกที่ทำด้วยเหล็ก 20 เมืองเฮโบรนถูกยกให้เป็นของคาเลบตามที่โมเสสกล่าวไว้ แล้วท่านได้ขับไล่บุตรชายทั้งสามของอานาคออกไปจากที่นั่น 21 แต่ชาวเบนยามินไม่ได้ขับไล่ชาวเยบุสที่อาศัยอยู่ในเยรูซาเล็มออกไป ฉะนั้นชาวเยบุสจึงได้อาศัยอยู่กับชาวเบนยามินในเยรูซาเล็มมาจนถึงทุกวันนี้

22 พงศ์พันธุ์ของโยเซฟได้ขึ้นไปต่อสู้กับเมืองเบธเอลด้วย พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับพวกเขา 23 พงศ์พันธุ์ของโยเซฟได้ไปสำรวจเบธเอล (แต่เดิมเมืองนี้ชื่อ ลูส) 24 พวกสอดแนมเหล่านั้นเห็นชายผู้หนึ่งกำลังออกมาจากเมือง จึงพูดกับเขาว่า “ช่วยบอกทางเข้าไปในเมืองให้พวกเราด้วย แล้วเราจะเมตตาเจ้า” 25 ชายผู้นั้นก็ได้ชี้ทางเข้าไปในเมืองให้ แล้วพวกเขาฆ่าฟันคนทั้งเมือง แต่ปล่อยให้ชายคนนั้นกับครอบครัวไป 26 ชายคนนั้นได้เข้าไปในดินแดนของชาวฮิตและสร้างเมือง เรียกชื่อเมืองว่า ลูส ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้มาจนถึงทุกวันนี้

ชัยชนะที่ไม่เด็ดขาด

27 มนัสเสห์ไม่ได้ขับไล่ชาวเมืองเบธชาน ชาวเมืองทาอานาค ชาวเมืองโดร์ ชาวเมืองอิบเลอัม และชาวเมืองเมกิดโด แม้แต่ตามหมู่บ้านของเมืองดังกล่าวก็ไม่ได้ขับไล่ผู้คนออกไป เพราะว่าชาวคานาอันยังขัดขืนอาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้นต่อไป 28 เมื่อชาวอิสราเอลมีกำลังมากขึ้นก็เกณฑ์ชาวคานาอันมาทำงานหนัก แต่ก็ไม่ได้ขับไล่พวกเขาออกไปให้หมด

29 เอฟราอิมไม่ได้ขับไล่ชาวคานาอันที่อาศัยอยู่ในเมืองเกเซอร์ ฉะนั้นชาวคานาอันก็ยังอาศัยอยู่ในเกเซอร์ในหมู่พวกเขา

30 เศบูลุนไม่ได้ขับไล่ชาวเมืองคิทโรนและชาวเมืองนาหะโลลออกไป ฉะนั้นชาวคานาอันยังอาศัยอยู่ในหมู่พวกเขา แต่ก็ถูกเกณฑ์มาทำงานหนัก

31 อาเชอร์ไม่ได้ขับไล่ชาวเมืองอัคโค ชาวเมืองไซดอน ชาวเมืองอัคลาบ ชาวเมืองอัคซีบ ชาวเมืองเฮลบาห์ ชาวเมืองอาเฟก และชาวเมืองเรโหบ 32 ฉะนั้นชาวอาเชอร์ก็ได้อาศัยอยู่ในหมู่ชาวคานาอันซึ่งเป็นผู้อยู่อาศัยของแผ่นดินนั้น เนื่องจากที่ไม่ได้ขับไล่พวกเขาออกไป

33 นัฟทาลีไม่ได้ขับไล่ชาวเมืองเบธเชเมช และชาวเมืองเบธานาท ฉะนั้นพวกเขาจึงได้อาศัยอยู่ในหมู่ชาวคานาอันซึ่งเป็นผู้อยู่อาศัยของแผ่นดินนั้น แต่ชาวเมืองเบธเชเมชและเบธานาทก็ยังถูกเกณฑ์มาทำงานหนักให้พวกเขา

34 ชาวอาโมร์บังคับชาวดานให้กลับไปในดินแดนแถบภูเขา ไม่ปล่อยให้ลงมายังที่ราบ 35 ชาวอาโมร์ยังขัดขืนอาศัยอยู่ที่ภูเขาเฮเรส ในเมืองอัยยาโลน และในเมืองชาอัลบิม แต่พงศ์พันธุ์ของโยเซฟมีกำลังเหนือกว่า ชาวอาโมร์จึงถูกเกณฑ์มาทำงานหนัก 36 อาณาเขตของชาวอาโมร์เริ่มจากเนินสูงอัครับบิม จากเส-ลาและเลยขึ้นไปอีก

อิสราเอลไม่เชื่อฟัง

บัดนี้ทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าขึ้นไปจากกิลกาลถึงโบคิม และกล่าวว่า “เราได้นำพวกเจ้าขึ้นมาจากประเทศอียิปต์ และให้เข้าไปในแผ่นดินที่เราได้ปฏิญาณว่าจะมอบให้แก่เหล่าบรรพบุรุษของเจ้า เราได้กล่าวไว้ว่า ‘เราจะไม่มีวันยกเลิกพันธสัญญากับเจ้า และเจ้าจะต้องไม่ทำพันธสัญญากับผู้อยู่อาศัยของแผ่นดินนี้ เจ้าต้องทำลายแท่นบูชาของพวกเขา’ แต่พวกเจ้าไม่ได้เชื่อฟังเรา เจ้าทำอะไรลงไป บัดนี้เราบอกให้เจ้ารู้ว่า เราจะไม่ขับไล่พวกเขาออกไปให้พ้นหน้าเจ้า แต่พวกเขากลับจะเป็นหอกข้างแคร่ของเจ้า และบรรดาเทพเจ้าของพวกเขาจะนำความลำบากมาให้เจ้า” ทันทีที่ทูตสวรรค์กล่าวแก่ชาวอิสราเอลทั้งปวงจบ พวกเขาก็ส่งเสียงร้องไห้ แล้วเรียกชื่อสถานที่แห่งนั้นว่า โบคิม พวกเขาถวายเครื่องสักการะที่นั่นแด่พระผู้เป็นเจ้า

โยชูวาสิ้นชีวิต

ครั้นโยชูวาปล่อยให้ชาวอิสราเอลไปแล้ว ทุกคนต่างก็ไปยึดครองแผ่นดินเป็นมรดกของตนเอง ประชาชนรับใช้พระผู้เป็นเจ้าตลอดชีวิตของโยชูวา และตลอดชีวิตของบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ที่มีอายุยืนกว่าโยชูวา และได้เห็นทุกสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้ากระทำเพื่ออิสราเอล โยชูวาบุตรของนูน เป็นผู้รับใช้ของพระผู้เป็นเจ้า ได้เสียชีวิตเมื่ออายุได้ 110 ปี เขาทั้งหลายก็ฝังท่านไว้ในบริเวณที่ดินที่เป็นมรดกของท่านที่ทิมนาทเฮเรส ในแถบภูเขาเอฟราอิม ทางด้านเหนือของภูเขากาอัช 10 ทุกคนในรุ่นนั้นด้วยที่ถูกบรรจุศพรวมไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขาที่ล่วงลับไปแล้ว หลังจากนั้นรุ่นถัดไปก็เติบใหญ่ตามมา เป็นรุ่นที่ไม่รู้จักพระผู้เป็นเจ้าและสิ่งที่พระองค์ได้กระทำเพื่ออิสราเอล

ความไม่ภักดีของอิสราเอล

11 ชาวอิสราเอลกระทำสิ่งชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า และบูชาเทวรูปบาอัล 12 พวกเขาทอดทิ้งพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกเขา และนำพวกเขาออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ พวกเขาติดตามและก้มกราบบรรดาเทพเจ้า ซึ่งเป็นเทพเจ้าของชนชาติอื่นที่อยู่รอบข้างเขา นับว่าเป็นการยั่วโทสะพระผู้เป็นเจ้า 13 พวกเขาทอดทิ้งพระผู้เป็นเจ้า แล้วไปบูชาพวกเทวรูปบาอัลและอัชโทเรท 14 อิสราเอลยั่วโทสะพระผู้เป็นเจ้า และพระองค์มอบพวกเขาไว้ในมือของพวกผู้ร้ายที่เข้ามาปล้นระดม และพระองค์ขายพวกเขาให้แก่บรรดาศัตรูที่อยู่รอบข้างจนเขาไม่สามารถยืนหยัดต่อศัตรูของเขาได้ 15 เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาออกศึก มือของพระผู้เป็นเจ้าก็ต่อต้านเขาและทำให้พวกเขาพ่ายแพ้ ดั่งที่พระผู้เป็นเจ้าได้เตือนและสัญญาไว้ พวกเขาจึงตกอยู่ในความทุกข์หนักยิ่งนัก

พระผู้เป็นเจ้ากำหนดผู้วินิจฉัย

16 ครั้นแล้วพระผู้เป็นเจ้าจึงกำหนดบรรดาผู้วินิจฉัยขึ้น เพื่อช่วยชาวอิสราเอลให้รอดจากเงื้อมมือของพวกโจร 17 แม้กระนั้น พวกเขาก็ยังไม่เชื่อฟังบรรดาผู้วินิจฉัย เพราะได้ติดตามและก้มกราบบรรดาเทพเจ้า เป็นการประพฤติดั่งหญิงแพศยา ต่อจากนั้นไม่นานนัก พวกเขาก็ได้หันเหไปจากวิถีชีวิตของเหล่าบรรพบุรุษที่ได้เชื่อฟังพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งพวกเขาเองไม่กระทำตาม 18 เมื่อใดก็ตามที่พระผู้เป็นเจ้ากำหนดบรรดาผู้วินิจฉัยให้พวกเขา พระผู้เป็นเจ้าก็อยู่กับผู้วินิจฉัย และพระองค์ช่วยพวกเขาให้รอดจากมือของศัตรูจนตลอดชีวิตของผู้วินิจฉัย เพราะพระผู้เป็นเจ้าสงสารเวลาพวกเขาคร่ำครวญเมื่อได้รับความทุกข์และถูกบีบบังคับ 19 แต่เมื่อใดที่ผู้วินิจฉัยสิ้นชีวิต พวกเขาก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมและเสื่อมทรามยิ่งกว่าบรรพบุรุษของตน เขาหันไปเชื่อบรรดาเทพเจ้า บูชาและกราบไหว้สิ่งเหล่านั้น พวกเขาไม่ได้ละเว้นจากการปฏิบัติและยังหัวรั้นในวิถีทางของตน 20 ดังนั้น ความโกรธของพระผู้เป็นเจ้าจึงมุ่งไปที่ชาวอิสราเอล พระองค์จึงกล่าวว่า “เป็นเพราะประชาชาตินี้ได้กระทำบาปต่อบัญญัติของเรา ซึ่งเราได้บัญชาบรรพบุรุษของเขาไว้ และไม่ได้เชื่อฟังเรา 21 โยชูวาปล่อยให้บรรดาประชาชาติอยู่ต่อในแผ่นดินเวลาที่เขาสิ้นชีวิต เราก็จะให้พวกเขาอยู่ต่อไปอีก เพราะเราจะไม่ขับไล่พวกเขาออกไปให้พ้นหน้าชาวอิสราเอลอีกต่อไปแล้ว 22 เราจะใช้พวกเขาเป็นการทดสอบชาวอิสราเอล และดูว่าเขาจะปฏิบัติตามวิถีทางของพระผู้เป็นเจ้าและดำเนินตามที่บรรพบุรุษของพวกเขากระทำหรือไม่” 23 ดังนั้น พระผู้เป็นเจ้าจึงปล่อยให้ประชาชาติเหล่านั้นอยู่ต่อไป พระองค์ไม่ได้ขับไล่พวกเขาออกไปทันที และพระองค์ไม่ได้มอบพวกเขาไว้ในมือของโยชูวา

บรรดาประชาชาติที่พระผู้เป็นเจ้าปล่อยไว้ เพื่อใช้พวกเขาเป็นการทดสอบชาวอิสราเอลที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์ในสงครามที่คานาอัน เพียงเพื่อใช้เป็นการสอนเรื่องการสงครามแก่บรรดาผู้สืบเชื้อสายของอิสราเอลที่ยังไม่เคยสู้รบในสงครามมาก่อน ชาติเหล่านี้คือ ผู้ปกครองทั้งห้าของชาวฟีลิสเตีย ชาวคานาอันทั้งหมด ชาวไซดอน และชาวฮีวที่อาศัยอยู่บนภูเขาเลบานอน จากภูเขาบาอัลเฮอร์โมนจนถึงเลโบฮามัท เขาเหล่านั้นอยู่ต่อไปเพื่อทดสอบชาวอิสราเอลว่า พวกเขาจะเชื่อฟังคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้าที่ได้ให้แก่บรรดาบรรพบุรุษของพวกเขาผ่านทางโมเสสหรือไม่ ฉะนั้นชาวอิสราเอลได้อาศัยอยู่ท่ามกลางชาวคานาอัน ชาวฮิต ชาวอาโมร์ ชาวเปริส ชาวฮีว และชาวเยบุส และแต่งงานกับพวกบุตรหญิงของชนชาติเหล่านี้ อีกทั้งยกบุตรหญิงของตนให้พวกบุตรชายของเขาด้วย และบูชาบรรดาเทพเจ้าของพวกเขา

โอทนีเอล

ชาวอิสราเอลกระทำสิ่งชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า พวกเขาลืมพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเขา และไปบูชาพวกเทวรูปบาอัลและอาเชราห์ พระผู้เป็นเจ้ากริ้วอิสราเอลมาก พระองค์จึงมอบพวกเขาไว้ในมือของคูชันริชาธาอิมกษัตริย์แห่งอารัมนาหะราอิม[a] และชาวอิสราเอลอยู่ภายใต้การควบคุมของคูชันริชาธาอิมเป็นเวลา 8 ปี แต่เมื่อชาวอิสราเอลร้องทุกข์ต่อพระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าก็ได้กำหนดผู้ช่วยให้พ้นภัยผู้หนึ่งให้กับพวกเขา คนนั้นคือโอทนีเอลบุตรของเคนัสผู้เป็นน้องคาเลบ 10 พระวิญญาณพระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเขา ดังนั้นเขาจึงเป็นผู้วินิจฉัยของอิสราเอล และสู้รบในสงคราม พระผู้เป็นเจ้ามอบคูชันริชาธาอิมกษัตริย์แห่งอารัม[b]ไว้ในมือของโอทนีเอลและเขาก็รบชนะคูชันริชาธาอิม 11 ดังนั้นแผ่นดินจึงอยู่ในความสงบเป็นเวลา 40 ปี หลังจากนั้นโอทนีเอลบุตรของเคนัสก็สิ้นชีวิต

เอฮูด

12 ต่อมาชาวอิสราเอลก็ได้กระทำสิ่งชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้าอีก พระผู้เป็นเจ้าจึงเสริมกำลังให้เอกโลนกษัตริย์แห่งโมอับเพื่อต่อสู้กับอิสราเอล เนื่องจากพวกเขาได้กระทำสิ่งชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า 13 เอกโลนได้รับความร่วมมือจากชาวอัมโมนและชาวอามาเลข และตีอิสราเอลจนพ่ายแพ้ไป พวกเขายึดครองเมืองแห่งต้นอินทผลัม 14 ดังนั้นชาวอิสราเอลจึงอยู่ภายใต้การควบคุมของเอกโลนกษัตริย์แห่งโมอับเป็นเวลา 18 ปี

15 ครั้นแล้วชาวอิสราเอลร้องทุกข์ต่อพระผู้เป็นเจ้า และพระผู้เป็นเจ้าก็กำหนดผู้ช่วยให้พ้นภัยผู้หนึ่งให้กับพวกเขา เขาคือเอฮูดบุตรของเก-ราชาวเบนยามิน เป็นคนถนัดมือซ้าย ชาวอิสราเอลส่งของกำนัลไปกับเขาเพื่อมอบให้เอกโลนกษัตริย์แห่งโมอับ 16 เอฮูดทำดาบสองคมเล่มหนึ่งยาวประมาณ 1 ศอก และสะพายไว้ใต้เสื้อที่ต้นขาขวา 17 เขามอบของกำนัลแก่เอกโลนกษัตริย์แห่งโมอับซึ่งเป็นคนอ้วนมาก 18 เมื่อเอฮูดมอบของกำนัลเรียบร้อยแล้ว เขาก็ส่งคนที่ขนของกำนัลมาให้กลับไปก่อน 19 ส่วนเขาเองย้อนกลับมายังรูปเคารพที่อยู่ใกล้กิลกาลเขากล่าวว่า “ข้าแต่กษัตริย์ ข้าพเจ้ามีข่าวลับจะแจ้งให้ท่านทราบ” กษัตริย์ออกคำสั่งว่า “เงียบก่อน” และบรรดาผู้รับใช้ทุกคนก็ออกไปจากห้อง 20 เอฮูดจึงเข้าไปหากษัตริย์ที่กำลังนั่งอยู่เพียงลำพังในห้องเย็นใต้หลังคา เอฮูดพูดว่า “ข้าพเจ้ามีข่าวสารจากพระเจ้าถึงท่าน” ท่านจึงลุกขึ้นจากที่นั่ง 21 แล้วเอฮูดใช้มือซ้ายเอื้อมเอาดาบจากต้นขาขวาแทงเข้าที่หน้าท้องของกษัตริย์ 22 ด้ามดาบเลื่อนตามเข้าไปด้วย ไขมันหุ้มดาบไว้ เพราะเขาไม่ได้ดึงดาบออกจากหน้าท้อง และไส้ก็ไหลออกมา 23 ครั้นแล้วเอฮูดก็ออกไปที่เฉลียง ปิดประตูห้องใต้หลังคาและลั่นกุญแจไว้

24 เมื่อเอฮูดไปแล้ว พวกผู้รับใช้มา เมื่อเห็นว่าประตูห้องใต้หลังคาถูกลั่นกุญแจไว้ ก็คิดกันว่า “ท่านคงต้องอยู่ในห้องสุขาที่ห้องเย็นอย่างแน่นอน” 25 เมื่อพวกเขารออยู่เป็นนานจนรู้สึกเอะใจ แต่ในเมื่อเขายังไม่เปิดประตูห้องใต้หลังคา พวกเขาจึงเปิดกุญแจประตู จึงพบว่าเจ้านายของพวกเขานอนสิ้นชีวิตอยู่บนพื้น

26 เอฮูดหนีไปได้ขณะที่เขาเหล่านั้นยังชักช้าอยู่ เขาหนีเลยเขตที่มีรูปเคารพข้ามไปเสอีราห์ 27 เมื่อเขามาถึงที่หมาย เขาก็เป่าแตรงอน[c]ในแถบภูเขาแห่งเอฟราอิม แล้วชาวอิสราเอลจึงลงจากแถบภูเขาไปกับเขา ยกให้เขาเป็นผู้นำของพวกเขา 28 เขากล่าวกับพวกเขาว่า “ติดตามเรามาเถิด เพราะพระผู้เป็นเจ้าได้มอบศัตรูของท่านคือชาวโมอับไว้ในมือท่านแล้ว” ดังนั้น พวกเขาจึงติดตามเขาลงไป และยึดเขตลำน้ำจอร์แดนตื้นๆ ที่สามารถลุยข้ามไปยังถิ่นโมอับ และไม่อนุญาตให้ใครข้ามไป 29 ครั้งนั้นพวกเขาได้ฆ่าชาวโมอับประมาณ 10,000 คน ซึ่งล้วนแต่เป็นชายฉกรรจ์ที่บึกบึน ไม่มีใครรอดชีวิตไปได้เลย 30 ดังนั้น โมอับจึงอยู่ภายใต้การควบคุมของชาวอิสราเอล แผ่นดินได้หยุดพักอย่างสงบได้ 80 ปี

ชัมการ์

31 ภายหลังเอฮูด ก็มีชัมการ์บุตรของอานาท เขาใช้ประตักฆ่าชาวฟีลิสเตีย 600 คน และช่วยชาวอิสราเอลให้รอดชีวิตได้

ลูกา 4:1-30

พญามารผู้ยั่วยุท้าพระเยซู

พระเยซูเปี่ยมล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์กลับมาจากแม่น้ำจอร์แดน และพระวิญญาณได้นำพระองค์ไปยังถิ่นทุรกันดาร ระหว่างนั้นพญามาร[a]ยั่วยุพระองค์เป็นเวลา 40 วัน โดยที่ตลอดเวลานั้นพระองค์มิได้รับประทานอะไรเลยจึงรู้สึกหิว พญามารได้พูดกับพระองค์ว่า “ถ้าท่านเป็นบุตรของพระเจ้า ก็ทำให้หินก้อนนี้กลายเป็นขนมปังสิ” พระเยซูตอบว่า “มีบันทึกไว้ว่า ‘มนุษย์มิอาจยังชีพได้ด้วยขนมปังเพียงอย่างเดียว’”[b] พญามารจึงนำพระองค์ขึ้นไปเพื่อให้ดูทุกอาณาจักรในโลกในพริบตาเดียว แล้วพูดกับพระองค์ว่า “เราจะยกสิทธิอำนาจและความรุ่งเรืองของอาณาจักรเหล่านั้นให้แก่ท่าน เพราะเราได้รับมอบมาแล้ว และเราจะยกให้ใครก็ได้ หากท่านก้มลงนมัสการเรา สิ่งเหล่านี้ก็จะเป็นของท่าน” พระเยซูตอบพญามารว่า “มีบันทึกไว้ว่า

‘เจ้าจงกราบนมัสการพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า
    และรับใช้พระองค์เพียงผู้เดียว’”[c]

พญามารได้นำพระองค์ไปยังเมืองเยรูซาเล็มโดยให้ยืนบนยอดสูงสุดของพระวิหาร และพูดกับพระองค์ว่า “ถ้าท่านเป็นบุตรของพระเจ้า ก็กระโดดลงจากที่นี่สิ 10 เพราะมีบันทึกไว้ว่า

‘พระองค์จะสั่งเหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์
    มาปกป้องท่านให้ปลอดภัย
11 ทูตสวรรค์จะช่วยรับท่านไว้ในมือ
    เพื่อว่าเท้าของท่านจะได้ไม่กระทบแม้หินสักก้อน’”[d]

12 พระเยซูตอบว่า “มีคำกล่าวไว้ว่า ‘อย่าลองดีกับพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า’”[e] 13 เมื่อพญามารจบสิ้นการยั่วยุทุกประการแล้วก็ได้จากไป แต่ก็พร้อมจะกลับมาอีกเมื่อมีโอกาส

ผู้คนที่เมืองนาซาเร็ธไม่ยอมรับพระเยซู

14 พระเยซูกลับไปยังแคว้นกาลิลีโดยฤทธานุภาพของพระวิญญาณ เรื่องราวเกี่ยวกับพระองค์ได้แพร่ไปทั่วอาณาเขตโดยรอบ 15 พระองค์เริ่มสอนในศาลาที่ประชุมต่างๆ ซึ่งก็ได้รับการสรรเสริญจากคนทั่วไป

16 พระองค์มายังเมืองนาซาเร็ธ อันเป็นสถานที่ซึ่งเจริญวัยมา พระองค์เข้าไปในศาลาที่ประชุมในวันสะบาโตตามปกติวิสัย[f] และก็ยืนขึ้นอ่าน 17 พระคัมภีร์ที่ยื่นให้แก่พระองค์คือฉบับที่อิสยาห์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าบันทึกไว้ พระองค์จึงคลี่พระคัมภีร์ออก พบตอนที่เขียนว่า

18 “พระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเรา
    เพราะว่าพระองค์เจิมเรา[g]
    เพื่อประกาศข่าวประเสริฐให้แก่ผู้ยากไร้
พระองค์ส่งเรามาประกาศกับนักโทษ
    เพื่อให้ได้รับการปลดปล่อย คนตาบอดจะมองเห็น
และเพื่อปลดปล่อยผู้ที่ถูกบีบบังคับไปสู่อิสระ
19     เพื่อประกาศปีที่โปรดปรานของพระผู้เป็นเจ้า”[h]

20 แล้วพระเยซูก็ม้วนพระคัมภีร์ ก่อนจะคืนให้กับผู้ที่เก็บรักษา จากนั้นก็นั่งลงขณะที่อยู่ในเป้าสายตาของผู้คนทั้งหลายในศาลาที่ประชุม 21 พระองค์ได้เริ่มกล่าวกับพวกเขาว่า “สิ่งที่พระคัมภีร์ระบุไว้ในตอนนี้ได้บรรลุผลแล้วขณะที่ท่านกำลังฟังกันในวันนี้”

22 ผู้คนทั้งปวงก็พากันสรรเสริญพระองค์ แต่ก็ประหลาดใจในคำกล่าวอันเป็นพระคุณซึ่งออกมาจากปากของพระองค์ เขาทั้งหลายจึงพูดกันว่า “นี่เป็นบุตรของโยเซฟมิใช่หรือ”

23 พระเยซูได้กล่าวขึ้นว่า “พวกท่านคงจะต้องกล่าวสุภาษิตนี้กับเราอย่างแน่นอน ‘เป็นแพทย์ก็ต้องรักษาตนเอง’ อะไรก็ตามที่พวกเราได้ยินว่าท่านแสดงในเมืองคาเปอร์นาอุม ก็เชิญแสดงในเมืองที่ท่านเติบโตมานี้ด้วย” 24 พระองค์พูดต่อไปอีกว่า “เราขอบอกความจริงกับท่านว่า ไม่มีผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าผู้ใดเป็นที่ยอมรับในเมืองที่ตนเติบโตมา 25 แต่เราจะย้ำความจริงกับท่านว่า ในสมัยของเอลียาห์[i] มีหญิงม่ายจำนวนมากในอิสราเอล ขณะที่ท้องฟ้าไม่เอื้อฝนถึงสามปีครึ่ง ความอดอยากแผ่ขยายไปทั่วแผ่นดิน 26 พระเจ้าก็ไม่ได้ส่งเอลียาห์ไปช่วยหญิงม่ายเหล่านั้น แต่ไปเพื่อช่วยหญิงม่ายเพียงคนเดียวในเมืองศาเรฟัทแขวงไซดอน 27 และในสมัยเอลีชา[j]ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า มีผู้เป็นโรคเรื้อนจำนวนมากในอิสราเอล และไม่มีใครสักคนที่ได้รับการรักษาให้หาย ยกเว้นนาอามานชาวซีเรียเท่านั้น” 28 เมื่อทุกคนในศาลาที่ประชุมฟังแล้วก็เกิดโทสะขึ้น 29 จึงลุกขึ้นไล่พระองค์ไปจากเมือง และนำไปยังหน้าผาที่เมืองนั้นตั้งอยู่ เพื่อจะโยนพระองค์ลงมา 30 แต่พระองค์ฝ่าหมู่คนเหล่านั้นไปได้ และไปตามทางของพระองค์

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation