Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
1 ซามูเอล 12

สุนทรพจน์ลาของซามูเอล

12 ซามูเอลกล่าวกับชาวอิสราเอลทั้งปวงว่า “เราได้ฟังเสียงของพวกท่าน ฟังทุกเรื่องที่ท่านพูด และได้แต่งตั้งกษัตริย์ปกครองพวกท่าน บัดนี้ท่านมีกษัตริย์เป็นผู้นำ และเราก็ชราและผมหงอกแล้ว บุตรของเราก็อยู่กับพวกท่าน เราเป็นผู้นำของท่านตั้งแต่หนุ่มมาจนถึงวันนี้ เรายืนอยู่ตรงนี้ หากว่าเรากระทำสิ่งใดผิด เชิญท่านยืนยัน ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าและผู้ที่ได้รับการเจิมของพระองค์ได้เลย เราเอาโคของใครไปบ้าง เราเอาลาของใครไปบ้าง เราฉ้อโกงใครบ้าง เราบีบบังคับใครบ้าง เรารับสินบนจากมือใครอันเป็นเหตุทำให้เราตาบอดบ้าง ถ้าเรากระทำสิ่งใดดังกล่าว เราจะใช้คืน” พวกเขาพูดว่า “ท่านไม่ได้ฉ้อโกงหรือบีบบังคับพวกเรา ท่านไม่ได้เอาสิ่งใดไปจากมือของใคร” ซามูเอลกล่าวกับพวกเขาว่า “พระผู้เป็นเจ้าเป็นพยาน และผู้ได้รับการเจิมของพระองค์ก็เป็นพยานในวันนี้ว่า พวกท่านไม่พบสิ่งใดในมือของเรา” พวกเขาตอบว่า “พระองค์เป็นพยาน”

ซามูเอลจึงพูดกับประชาชนว่า “พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ที่แต่งตั้งโมเสสและอาโรน และนำบรรพบุรุษของท่านขึ้นมาจากประเทศอียิปต์ บัดนี้ จงยืนฟังให้ดีเถิด เพราะเราจะบอกท่านซึ่งๆ หน้า ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าว่า พระองค์กระทำสิ่งอันชอบธรรมทุกประการเพื่อพวกท่านและเหล่าบรรพบุรุษของท่าน เมื่อยาโคบเข้าไปในอียิปต์ และชาวอียิปต์บีบบังคับพวกเขา และบรรพบุรุษของท่านร้องเรียกถึงพระผู้เป็นเจ้า และพระผู้เป็นเจ้าให้โมเสสและอาโรนมา เพื่อนำบรรพบุรุษของท่านออกมาจากอียิปต์ และให้ตั้งรกรากอยู่ในที่แห่งนี้ แต่เขาทั้งหลายลืมพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเขา พระองค์จึงขายพวกเขาไปและให้ตกอยู่ในมือของสิเส-ราผู้บังคับกองพันทหารของฮาโซร์ และตกอยู่ในมือของชาวฟีลิสเตียและกษัตริย์แห่งโมอับ เขาเหล่านั้นต่อสู้กับบรรพบุรุษ 10 พวกเขาจึงร้องเรียกถึงพระผู้เป็นเจ้าและพูดว่า ‘เราได้กระทำบาป เราได้ทอดทิ้งพระผู้เป็นเจ้า และไปนมัสการพวกเทพเจ้าบาอัลและเทพเจ้าอัชโทเรท แต่บัดนี้โปรดช่วยพวกเราให้รอดจากเงื้อมมือของศัตรู และเราจะนมัสการพระองค์’ 11 แล้วพระผู้เป็นเจ้าให้เยรุบบาอัล เบดาน เยฟธาห์ และซามูเอล มาช่วยพวกท่านให้รอดจากเงื้อมมือของศัตรูทุกด้าน เพื่อให้ท่านอาศัยอยู่ได้อย่างปลอดภัย[a] 12 แต่เมื่อท่านเห็นว่านาหาชกษัตริย์ของชาวอัมโมนยกกองทัพมาโจมตีท่าน ท่านพูดกับเราว่า ‘ไม่ยอม เราต้องการกษัตริย์ปกครองพวกเรา’ ถึงแม้ว่าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านเป็นกษัตริย์ของพวกท่าน 13 บัดนี้กษัตริย์ที่ท่านเลือกอยู่นี่แล้ว เป็นผู้ที่ท่านขอ ดูสิ พระผู้เป็นเจ้าโปรดให้มีกษัตริย์ปกครองท่าน 14 ถ้าท่านเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า รับใช้และเชื่อฟังพระองค์ และไม่ขัดขืนต่อคำบัญชาของพระองค์ และถ้าทั้งพวกท่านและกษัตริย์ที่ปกครองท่านติดตามพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน ก็นับว่าดี 15 แต่ถ้าพวกท่านไม่เชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า และถ้าท่านขัดขืนต่อคำบัญชาของพระองค์ พระองค์ก็จะลงโทษพวกท่าน เหมือนอย่างที่ได้ลงโทษบรรพบุรุษของท่าน 16 บัดนี้ จงยืนฟังให้ดีเถิด และดูสิ่งอันยิ่งใหญ่นี้ที่พระผู้เป็นเจ้าจะกระทำให้พวกท่านเห็น 17 เวลานี้ไม่ใช่ฤดูเก็บเกี่ยวข้าวสาลีหรือ เราจะร้องเรียกถึงพระผู้เป็นเจ้า เพื่อให้เกิดเสียงฟ้าร้องและฝนตก และพวกท่านจะรู้ว่าท่านกระทำสิ่งชั่วร้ายอันใดในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า เมื่อท่านขอให้มีกษัตริย์” 18 แล้วซามูเอลก็ร้องเรียกถึงพระผู้เป็นเจ้า และในวันเดียวกันนั้น พระผู้เป็นเจ้าทำให้เกิดเสียงฟ้าร้องและฝนตก ดังนั้นคนทั้งปวงจึงเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้าและซามูเอล

19 ประชาชนทั้งปวงพูดกับซามูเอลว่า “ช่วยอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน ให้แก่บรรดาผู้รับใช้ของท่านเถิด พวกเราจะได้ไม่ตาย เพราะว่าครั้งนี้เราได้เพิ่มความชั่วร้ายไปกับบาปทั้งปวงของพวกเรา เมื่อพวกเราขอให้มีกษัตริย์” 20 ซามูเอลตอบว่า “อย่ากลัวเลย ท่านได้กระทำความชั่วนี้ แต่ก็อย่าเลิกติดตามพระผู้เป็นเจ้า แต่จงรับใช้พระผู้เป็นเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจของท่าน[b] 21 อย่าหันไปติดตามรูปเคารพทั้งหลายอันไร้ประโยชน์ สิ่งเหล่านั้นไม่ทำอะไรให้ท่านดีขึ้น และจะช่วยชีวิตพวกท่านก็ไม่ได้ เพราะว่าเป็นสิ่งไร้ประโยชน์ 22 พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทอดทิ้งชนชาติของพระองค์ เพื่อพระนามอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ เพราะพระผู้เป็นเจ้ายินดีให้พวกท่านเป็นคนของพระองค์ 23 ส่วนเรา ไม่มีวันที่เราจะกระทำบาปต่อพระผู้เป็นเจ้าด้วยการหยุดอธิษฐานให้พวกท่าน และเราจะสอนท่านเรื่องวิถีทางที่ดีและถูกต้อง 24 แต่จงแน่ใจว่าจะเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้าและรับใช้พระองค์ด้วยความภักดีอย่างสุดจิตสุดใจ จงระลึกว่าพระองค์ได้กระทำการอันใหญ่ยิ่งเพื่อท่านเพียงไร 25 แต่ถ้าพวกท่านยังกระทำความชั่วต่อไปอีก ทั้งท่านและกษัตริย์ของท่านก็จะถูกกำจัดเสีย”

โรม 10

10 พี่น้องเอ๋ย ข้าพเจ้าปรารถนาอย่างยิ่ง และอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อชาวอิสราเอล คือให้พวกเขาได้รอดพ้น เพราะข้าพเจ้าสามารถเป็นพยานให้พวกเขาได้ว่า เขาเอาจริงเอาจังต่อพระเจ้า แต่ความปรารถนาอันแรงกล้าของเขามิได้มีพื้นฐานอยู่บนความรู้ที่แท้จริง ด้วยว่า พวกเขาขาดความรู้เรื่องความชอบธรรมที่มาจากพระเจ้า และพยายามก่อตั้งความชอบธรรมแบบของตนเองขึ้น พวกเขาไม่ได้ยอมอยู่ในความชอบธรรมของพระเจ้า พระคริสต์เป็นจุดจบของกฎบัญญัติ เพื่อทุกคนที่เชื่อจะได้มีความชอบธรรม

ความรอดพ้นสำหรับทุกคน

โมเสสเขียนไว้ว่า ความชอบธรรมที่ถือตามกฎบัญญัติคือ “คนที่ถือตามพระบัญญัติจะมีชีวิตได้โดยการปฏิบัติตามนั้น”[a] แต่ความชอบธรรมที่ได้มาโดยความเชื่อกล่าวว่า “อย่านึกในใจว่า ‘ใครจะขึ้นไปสวรรค์’[b] (หมายถึงขึ้นไปเพื่อพาพระคริสต์ลงมา) หรือ ‘ใครจะลงไปถึงขุมนรก’[c] (หมายถึงลงไปเพื่อพาพระคริสต์ขึ้นมาจากความตาย)” แต่พระคัมภีร์ระบุว่าอย่างไร “คำกล่าวอยู่ใกล้ท่าน คืออยู่ในปากและในจิตใจของท่าน”[d] นั่นคือคำกล่าวแห่งความเชื่อซึ่งเรากำลังประกาศอยู่ ด้วยว่าถ้าท่านยอมรับด้วยปากของท่านว่า พระเยซูเป็นพระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในจิตใจของท่านว่า พระเจ้าได้ให้พระองค์ฟื้นคืนชีวิตจากความตายแล้ว ท่านก็จะรอดพ้น 10 เพราะผลที่ได้จากการเชื่อด้วยใจคือการพ้นผิด และผลที่ได้จากการสารภาพจากปากคือความรอดพ้น 11 ตามที่พระคัมภีร์ระบุว่า “ใครก็ตามที่เชื่อพระองค์ จะไม่ได้รับความอับอาย”[e] 12 ไม่มีความแตกต่างระหว่างชาวยิวและชาวกรีก เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกัน เป็นพระผู้เป็นเจ้าของคนทั้งปวง และให้พรอย่างล้นเหลือแก่ทุกคนที่ร้องเรียกพระนามของพระองค์ 13 เพราะมีบันทึกไว้ว่า “ทุกคนที่ร้องเรียกพระนามของพระผู้เป็นเจ้าจะรอดพ้น”[f]

14 ฉะนั้นแล้ว พวกเขาจะร้องเรียกถึงพระองค์ได้อย่างไรในเมื่อเขาไม่ได้เชื่อ และเขาจะเชื่อพระองค์ได้อย่างไรในเมื่อเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน และเขาจะได้ยินได้อย่างไรหากไม่มีผู้ประกาศ 15 และพวกเขาจะประกาศได้อย่างไร นอกจากว่าจะมีผู้ส่งเขาไป ตามที่มีบันทึกไว้ว่า “ดีเหลือเกินที่พวกเขามาพร้อมกับข่าวประเสริฐ”[g] 16 แต่ไม่ใช่ชาวอิสราเอลทั้งหมดที่ยอมรับข่าวประเสริฐ เพราะอิสยาห์กล่าวว่า “พระผู้เป็นเจ้า ใครบ้างที่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินจากเราแล้ว”[h] 17 ดังนั้นความเชื่อจึงมาจากการได้ยินคำประกาศ คือได้ยินเรื่องของพระคริสต์

18 แต่ข้าพเจ้าถามว่า จริงหรือที่ว่า พวกเขาไม่เคยได้ยินคำประกาศ พวกเขาได้ยินแล้วอย่างแน่นอน ด้วยว่า

“เสียงของสิ่งเหล่านั้นได้กระจายออกไปทั่วแหล่งหล้า
    และคำประกาศได้แผ่กระจายไปจนสุดขอบโลก”[i]

19 ข้าพเจ้าถามอีกว่า ชนชาติของอิสราเอลไม่ทราบหรือ แรกทีเดียวโมเสสกล่าวว่า

“เราจะกระตุ้นให้พวกเจ้าอิจฉาพวกที่ไม่ใช่ประชาชาติ
    เราจะทำให้พวกเจ้าโกรธด้วยประชาชาติที่ไม่มีความเข้าใจ”[j]

20 และอิสยาห์กล้ากล่าวว่า

“พวกคนที่ไม่ได้แสวงหาเราได้พบเรา
    เราปรากฏแก่พวกที่ไม่ได้ถามหาเรา”[k]

21 พระเจ้าได้กล่าวถึงพวกอิสราเอลดังนี้คือ “ตลอดวันเวลาเรายื่นมือของเราให้แก่ชนชาติที่ไม่เชื่อฟังและดื้อกระด้าง”[l]

เยเรมีย์ 49

การตัดสินลงโทษอัมโมน

49 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวถึงชาวอัมโมนดังนี้

“อิสราเอลไม่มีบุตรชายหรือ
    เขาไม่มีทายาทหรือ
ทำไมเทพเจ้ามิลโคมที่พวกเขานมัสการจึงได้ยึดดินแดนของกาด
    และประชาชนก็ปักหลักอยู่ที่เมืองต่างๆ ของกาด”

ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า

“ดูเถิด ใกล้จะถึงเวลาแล้วที่เราจะทำให้ทั่วทั้งรับบาห์
    เมืองหลวงของชาวอัมโมนมีเสียงสู้รบ
และเมืองจะสลักหักพังเป็นกองพะเนิน
    หมู่บ้านจะถูกไฟเผา
แล้วอิสราเอลจะยึดดินแดน
    กลับคืนจากผู้ที่ยึดไปจากเขา”
    พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนั้น

“โอ เฮชโบนเอ๋ย เมืองอัยถูกพังพินาศ
    โอ บุตรหญิงของรับบาห์เอ๋ย
ส่งเสียงร้องและสวมผ้ากระสอบเถิด
    ร้องโหยไห้และวิ่งไปมาในบริเวณกำแพงเมืองเถิด
เพราะมิลโคมจะไปเป็นเชลย
    ร่วมกับบรรดาปุโรหิตและผู้นำของเขา
โอ บุตรหญิงที่ไม่ภักดีเอ๋ย
    ทำไมเจ้าจึงโอ้อวดหุบเขาของเจ้า
    หุบเขาอันอุดมสมบูรณ์
เจ้าไว้วางใจในความมั่งมีเมื่อพูดว่า
    ‘ใครจะมาโจมตีเราได้’”

พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนี้ว่า

“ดูเถิด เราจะทำให้เจ้าหวาดกลัว
    จากทุกสิ่งที่อยู่รอบข้างเจ้า
และเจ้าจะถูกขับไล่ออกไป
    ทุกคนจะรีบหนีไปโดยไม่ห่วงหน้าห่วงหลัง
    จะไม่มีผู้ใดรวบรวมพลังคนเข้าด้วยกันอีก

แต่ในภายหลัง เราจะทำให้ความอุดมสมบูรณ์ของอัมโมน กลับคืนสู่สภาพเดิม” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

การตัดสินลงโทษเอโดม

พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวถึงเอโดมดังนี้

“ไม่มีผู้มีสติปัญญาในเทมานอีกเลยหรือ
    ไม่มีคำปรึกษาจากคนฉลาดรอบคอบอีกหรือ
    สติปัญญาของพวกเขาสูญหายไปแล้วหรือ
โอ บรรดาผู้อยู่อาศัยของเดดานเอ๋ย
    จงหันกลับและหนีไป ไปซ่อนตัวในถ้ำ
เพราะเราจะนำความวิบัติมาสู่พงศ์พันธุ์เอซาว[a]
    ในเวลาที่เราลงโทษเขา
ถ้าพวกคนเก็บองุ่นมาหาเจ้า
    พวกเขาจะเก็บองุ่นจนเกลี้ยงเถาหรือ
ถ้าพวกขโมยมาในเวลากลางคืน
    พวกเขาจะขโมยเท่าที่พวกเขาต้องการมิใช่หรือ
10 แต่เราได้ริบทุกสิ่งไปจากพงศ์พันธุ์เอซาวจนหมดสิ้น
    เราได้รื้อแหล่งที่ซ่อนตัวของเขา
    และเขาไม่สามารถหลบหนีไปได้
บุตรหลานของเขาจะสิ้นชีวิต
    รวมทั้งพี่น้องและเพื่อนบ้านของเขา
    ไม่มีใครเหลือสักคน
11 ปล่อยเด็กกำพร้าไว้ เราจะปกป้องชีวิตพวกเขา
    และให้แม่ม่ายของพวกเจ้าไว้วางใจเรา”

12 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ “ถ้าบรรดาผู้ที่ไม่สมควรจะถูกลงโทษ ต้องถูกลงโทษ แล้วเจ้าจะพ้นจากการลงโทษหรือ เจ้าจะไม่พ้นจากการลงโทษ แต่เจ้าจะถูกลงโทษ” 13 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า “เพราะเราได้ปฏิญาณโดยตัวเราเองแล้วว่า เมืองโบสราห์จะเป็นที่น่าหวาดกลัว เป็นที่หัวเราะเยาะ เป็นที่รกร้าง และเป็นคำสาปแช่ง และเมืองต่างๆ จะเป็นที่รกร้างตลอดไป”

14 ข้าพเจ้าได้รับข้อความจากพระผู้เป็นเจ้า
    และผู้ส่งข่าวผู้หนึ่งถูกส่งให้ไปยังบรรดาประชาชาติ เพื่อบอกดังนี้ว่า
“จงเรียกประชุมกองทัพเข้าด้วยกัน
    ไปต่อต้านเอโดมและพร้อมที่จะสู้รบ
15 ดูเถิด เราจะทำให้เจ้าด้อยในท่ามกลางบรรดาประชาชาติ
    ทุกคนจะดูหมิ่นเจ้า
16 ความน่ากลัวของเจ้าที่มีต่อผู้อื่น
    และใจหยิ่งยโสของเจ้าได้ลวงเจ้าแล้ว
เจ้าอาศัยอยู่ในซอกหิน
    อยู่บนภูเขาสูง
แม้ว่าเจ้าจะทำรังของเจ้าให้อยู่สูงเท่ากับรังนกอินทรี
    เราก็จะทำให้เจ้าลงมาจากที่นั่น”
    พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

17 “เอโดมจะกลายเป็นที่น่าหวาดกลัว ทุกคนที่ผ่านไปก็จะหวาดผวาและเหน็บแนมเพราะความวิบัติทั้งสิ้น” 18 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า “เช่นเดียวกับเวลาที่โสโดมและโกโมราห์และเมืองที่อยู่รอบข้างถูกทำลาย[b] จะไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่ที่นั่น จะไม่มีบุตรมนุษย์คนใดเดินทางผ่านไปที่นั่นอีก 19 ดูเถิด ผู้หนึ่งจะเป็นเหมือนสิงโตที่ขึ้นมาจากป่าที่ข้างแม่น้ำจอร์แดน มายังทุ่งอันเขียวชอุ่ม เราจะทำให้เขาเตลิดหนีไปจากที่นั่นทันที และเราจะแต่งตั้งผู้ที่เราเลือกให้ปกครองชาตินั้น ใครจะเป็นเหมือนเรา ใครจะท้าทายเรา ไม่มีผู้เลี้ยงดูฝูงแกะคนใดที่จะขัดขวางเราได้” 20 ฉะนั้น จงฟังว่า พระผู้เป็นเจ้าได้วางแผนทำอย่างไรต่อเอโดม และพระองค์ประสงค์จะทำอย่างไรต่อบรรดาผู้อยู่อาศัยของเทมาน แม้แต่พวกเด็กน้อยในฝูงก็จะถูกลากตัวไป พระองค์จะทำลายทุ่งหญ้าของพวกเขาอย่างแน่นอนก็เพราะพวกเขา 21 เมื่อพวกเอโดมล้ม แผ่นดินโลกจะสั่นสะเทือน เสียงร้องของพวกเขาจะเป็นที่ได้ยินไปจนถึงทะเลแดง 22 ดูเถิด ผู้หนึ่งจะลุกขึ้นและบินโฉบมาอย่างนกอินทรี และกางปีกออกโจมตีโบสราห์ และใจของบรรดานักรบของเอโดมจะเป็นอย่างใจของผู้หญิงที่เจ็บครรภ์

การตัดสินลงโทษดามัสกัส

23 พระองค์กล่าวถึงดามัสกัสว่า

“เมืองฮามัทและอาร์ปัดต้องอับอาย
    เพราะพวกเขาได้ทราบข่าวร้าย
พวกเขาท้อใจด้วยความกลัว
    และวิตกเหมือนทะเลที่ปั่นป่วนอย่างไม่หยุดยั้ง
24 ดามัสกัสกลายเป็นพวกอ่อนแอ
    และหันหลังเตลิดหนี
    ตื่นตระหนกเป็นที่สุด
เป็นทุกข์และปวดร้าวยิ่งนัก
    ราวกับหญิงที่เจ็บครรภ์
25 เมืองที่มีชื่อเสียง เมืองแห่งความยินดีของเรา
    ถูกทอดทิ้งเสียแล้ว
26 ฉะนั้น ชายหนุ่มของเมืองจะล้มตายที่ถนนหนทาง
    และทหารทั้งปวงจะถูกสังหารในวันนั้น”
    พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาประกาศดังนั้น
27 “และเราจะจุดไฟให้ลุกกำแพงเมืองดามัสกัส
    และไฟจะเผาผลาญวังของเบนฮาดัด”

การตัดสินลงโทษเคดาร์และฮาโซร์

28 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวถึงเคดาร์และอาณาจักรของฮาโซร์ที่เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนโจมตีดังนี้

“จงลุกขึ้นบุกและโจมตีเคดาร์
    กำจัดประชาชนที่อยู่ในเขตตะวันออก
29 พวกเขาจะยึดกระโจมและฝูงแพะแกะ
    และจะขนไปเป็นของตน
    รวมทั้งม่าน สินค้าทั้งสิ้น และอูฐ
และจะตะโกนต่อพวกเขาว่า
    ‘ความน่ากลัวอยู่รอบด้าน’
30 โอ บรรดาผู้อยู่อาศัยของฮาโซร์เอ๋ย
    จงวิ่งหนีไปให้ไกล ไปซ่อนตัวในถ้ำ”
    พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาประกาศดังนั้น
“เพราะเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้วางแผนโจมตีเจ้า
    และมียุทธวิธีที่จะบุกรุกเจ้า”

31 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาประกาศว่า

“จงลุกขึ้นบุกและโจมตีประชาชาติหนึ่งที่นิ่งนอนใจ
    และอยู่กันอย่างปลอดภัย
ไม่มีประตูเมืองหรือดาลประตู
    อยู่อย่างโดดเดี่ยว”

32 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาประกาศดังนี้ว่า

“ฝูงอูฐของพวกเขาจะถูกปล้น
    ฝูงโคจะเป็นสิ่งที่ศัตรูริบไป
เราจะทำให้พวกที่ตัดผมที่จอนหู
    ต้องกระจัดกระจายออกไป
เราจะให้พวกเขาประสบกับความวิบัติจากรอบด้าน
33 ฮาโซร์จะกลายเป็นที่อยู่ของหมาใน
    เป็นที่รกร้างไปตลอดกาล
จะไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่ที่นั่น
    จะไม่มีผู้ใดเดินทางผ่านไปที่เมืองนั้นอีก”

การตัดสินลงโทษเอลาม

34 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าถึงเอลาม ในต้นรัชสมัยของเศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์

35 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ “ดูเถิด เราจะหักคันธนูของเอลาม ซึ่งเป็นพลังสำคัญของพวกเขา 36 และเราจะทำให้ลมทั้ง 4 ทิศจากทุกมุมสวรรค์กระหน่ำลงที่เอลาม และเราจะทำให้พวกเขากระจัดกระจายไปทั่วทุกสารทิศ และทุกประชาชาติจะมีผู้ลี้ภัยของเอลาม ซึ่งระหกระเหินไปอยู่ด้วย 37 เราจะทำให้เอลามตกใจกลัวต่อหน้าศัตรูและพวกที่ต้องการจะฆ่าพวกเขา” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ “เราจะนำความพินาศอันเกิดจากความกริ้วของเรามาสู่พวกเขา เราจะส่งคนมาสังหารพวกเขาจนกว่าเราจะกำจัดพวกเขาจนหมดสิ้น 38 และเราจะให้บัลลังก์ของเราอยู่ที่เอลาม และกำจัดกษัตริย์และบรรดาผู้นำของพวกเขา” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

39 “แต่ในภายหลัง เราจะทำให้ความอุดมสมบูรณ์ของเอลามคืนสู่สภาพเดิม” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

สดุดี 26-27

ประกาศถึงความชอบธรรม และวิงวอนขอความยุติธรรม

ของดาวิด

โปรดพิสูจน์ว่าข้าพเจ้าไม่ผิด โอ พระผู้เป็นเจ้า
    ด้วยว่าข้าพเจ้ายึดเอาสัจจะเป็นทางดำเนินชีวิต
    และข้าพเจ้าไม่ลังเลที่จะวางใจในพระผู้เป็นเจ้า
โอ พระผู้เป็นเจ้า ตรวจสอบข้าพเจ้า และพิสูจน์ใจข้าพเจ้าเถิด
    ทดสอบจิตใจและความคิดของข้าพเจ้า
ด้วยว่าข้าพเจ้าเห็นความรักอันมั่นคงของพระองค์
    และดำเนินชีวิตในความจริงของพระองค์

ข้าพเจ้าไม่นั่งมั่วสุมกับคนประพฤติชั่ว
    และไม่คบหาสมาคมกับคนหน้าไหว้หลังหลอก
ข้าพเจ้าเกลียดพวกทำความชั่ว
    และจะไม่นั่งรวมอยู่กับคนเลว
ข้าพเจ้าล้างมือแสดงถึงความบริสุทธิ์ใจ
    และจะไปที่แท่นบูชาของพระองค์ โอ พระผู้เป็นเจ้า
เพื่อจะส่งเสียงร้องขอบคุณ
    และบอกเล่าถึงสิ่งมหัศจรรย์ทั้งสิ้นที่พระองค์กระทำ

โอ พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้ารักพระตำหนักของพระองค์
    และสถานที่ที่พระบารมีของพระองค์ปรากฏอยู่
อย่ากำจัดชีวิตข้าพเจ้าไปพร้อมกับพวกคนบาป
    หรือกำจัดชีวิตข้าพเจ้าไปพร้อมกับคนกระหายเลือด
10 มือของเขากระทำการอันชั่วร้าย
    และมือขวารับสินบนเสมอไป
11 แต่สำหรับข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าเป็นคนที่ยึดเอาสัจจะเป็นทางดำเนินชีวิต
    โปรดไถ่ข้าพเจ้าและเมตตาข้าพเจ้าด้วยเถิด

12 เท้าของข้าพเจ้ายืนอยู่บนที่ราบ
    ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าในที่ประชุมใหญ่

ไว้วางใจและมั่นใจในพระผู้เป็นเจ้า

ของดาวิด

พระผู้เป็นเจ้าเป็นแสงสว่างและความรอดพ้นของข้าพเจ้า
    ข้าพเจ้าจะกลัวใครเล่า
พระผู้เป็นเจ้าเป็นที่หลบภัยของชีวิตข้าพเจ้า
    ข้าพเจ้าจะหวั่นกลัวผู้ใด

เวลาคนชั่วต่อต้านเพื่อทำร้าย
    ดั่งจะกลืนกินข้าพเจ้า
เวลาฝ่ายตรงข้ามและศัตรูโจมตีข้าพเจ้า
    พวกเขาจะพลาดและล้มลง
แม้จะมีกองทัพตีวงล้อมข้าพเจ้า
    ใจข้าพเจ้าก็ไม่หวาดหวั่น
แม้จะมีใครก่อศึกรุกรานข้าพเจ้า
    ข้าพเจ้าก็ยังจะมีความมั่นใจ

มีสิ่งเดียวที่ข้าพเจ้าวอนขอจาก
    พระผู้เป็นเจ้าผู้ซึ่งข้าพเจ้าแสวงหา
คือขอให้ได้อยู่ในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า
    ชั่วชีวิตของข้าพเจ้า
เพื่อทอดสายตาดูความงามสง่าของพระผู้เป็นเจ้า
    และใคร่ครวญอยู่ในพระวิหารของพระองค์
เพราะพระองค์จะซ่อนข้าพเจ้าไว้
    ในที่กำบังของพระองค์ในยามคับขัน
พระองค์จะช่วยข้าพเจ้าให้ปลอดภัยอยู่ในกระโจมของพระองค์[a]
    และยกข้าพเจ้าไว้บนศิลาสูง

มาบัดนี้ศีรษะข้าพเจ้าจะถูกยก
    ให้สูงเหนือศัตรูรอบข้าง
และข้าพเจ้าจะมอบเครื่องสักการะโดยส่งเสียงร้องแสดงความยินดีในกระโจมของพระองค์
    ข้าพเจ้าจะร้องเพลงและบรรเลงเพลงแด่พระผู้เป็นเจ้า

โอ พระผู้เป็นเจ้า โปรดฟังในยามข้าพเจ้าตะโกนร้อง
    โปรดเมตตาข้าพเจ้า และตอบข้าพเจ้า
ใจข้าพเจ้าบอกว่า “มาเถิด มาแสวงหาพระองค์เถิด”
    โอ พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าแสวงหาพระองค์
โปรดอย่าซ่อนหน้าของพระองค์ไปเสียจากข้าพเจ้าเลย
    ขออย่าผลักไสผู้รับใช้ของพระองค์ในเวลาที่พระองค์กริ้ว
    พระองค์เป็นผู้ช่วยเหลือข้าพเจ้า
อย่าขับไล่ข้าพเจ้า อย่าทอดทิ้งข้าพเจ้า
    โอ พระเจ้าแห่งความรอดพ้นของข้าพเจ้า
10 ถึงแม้ว่าบิดามารดาทอดทิ้งข้าพเจ้าไป
    พระผู้เป็นเจ้าก็จะรับข้าพเจ้าไว้
11 โอ พระผู้เป็นเจ้า สอนข้าพเจ้าให้รู้วิถีทางของพระองค์เถิด
    และนำข้าพเจ้าไปบนทางเรียบ เหตุเพราะศัตรู
12 อย่าปล่อยให้ข้าพเจ้าตกเป็นเหยื่อของฝ่ายตรงข้าม
    ด้วยว่า พวกพยานเท็จได้ลุกขึ้นต่อต้านข้าพเจ้า
    และทุกลมหายใจของเขาคือความโหดร้าย

13 ข้าพเจ้าเชื่อว่าจะเห็นความกรุณาของพระผู้เป็นเจ้า
    ในดินแดนของคนเป็น
14 จงรอคอยพระผู้เป็นเจ้า
    จงเข้มแข็งและมีใจกล้าหาญ
    จงรอคอยพระผู้เป็นเจ้า

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation