Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
2 พงศาวดาร 11-12

11 เมื่อเรโหโบอัมเสด็จมาถึงเยรูซาเล็ม พระองค์ทรงระดมพลรบจากเผ่ายูดาห์และเผ่าเบนยามิน 180,000 คน เพื่อทำสงครามกับอิสราเอลและกอบกู้อาณาจักรคืนมาให้เรโหโบอัม

แต่พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงเชไมอาห์คนของพระเจ้าว่า “จงไปบอกเรโหโบอัมโอรสกษัตริย์โซโลมอนแห่งยูดาห์ และชนอิสราเอลทั้งปวงในยูดาห์กับเบนยามินว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า อย่าไปรบกับพี่น้องของเจ้า ทุกคนจงกลับบ้านไปเพราะทั้งหมดนี้เราเป็นผู้กระทำ’ ” พวกเขาก็เชื่อฟังพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าและไม่ได้ไปรบกับเยโรโบอัม

เรโหโบอัมเสริมกำลังป้องกันยูดาห์

เรโหโบอัมประทับอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มและทรงสร้างเมืองต่างๆ ในยูดาห์เพื่อป้องกันดินแดนได้แก่ เบธเลเฮม เอตาม เทโคอา เบธซูร์ โสโค อดุลลัม กัท มาเรชาห์ ศิฟ อาโดราอิม ลาคีช อาเซคาห์ 10 โศราห์ อัยยาโลน และเฮโบรน เมืองเหล่านี้คือเมืองป้อมปราการในยูดาห์และเบนยามิน 11 พระองค์ทรงเสริมปราการและเครื่องป้องกันต่างๆ และทรงตั้งผู้บัญชาการไว้ดูแล มีเสบียง น้ำมันมะกอก และเหล้าองุ่นพร้อม 12 พระองค์ทรงเก็บหอกและโล่ไว้ทุกเมือง และทรงทำให้เมืองเหล่านี้แข็งแกร่ง ดังนั้นยูดาห์และเบนยามินยังคงเป็นของพระองค์

13 บรรดาปุโรหิตและคนเลวีจากเขตต่างๆ ทั่วอิสราเอลอยู่ฝ่ายเรโหโบอัม 14 คนเลวีถึงกับทิ้งทุ่งหญ้าและทรัพย์สินมายังยูดาห์และเยรูซาเล็ม เพราะถูกเยโรโบอัมกับโอรสปลดออกจากตำแหน่งปุโรหิตขององค์พระผู้เป็นเจ้า 15 แล้วพระองค์ทรงแต่งตั้งปุโรหิตของพระองค์เองสำหรับสถานบูชาบนที่สูงทั้งหลายและสำหรับเทวรูปแพะและลูกวัวซึ่งเยโรโบอัมทรงสร้างขึ้น 16 คนจากทุกเผ่าของอิสราเอลที่มีใจจดจ่อแสวงหาพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลก็ติดตามคนเลวีมายังกรุงเยรูซาเล็มเพื่อถวายเครื่องบูชาแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษ 17 พวกเขาทำให้อาณาจักรยูดาห์แข็งแกร่งขึ้นและสนับสนุนเรโหโบอัมโอรสของโซโลมอนตลอดช่วงสามปีที่เรโหโบอัมดำเนินตามแบบอย่างของดาวิดและโซโลมอน

ราชวงศ์ของเรโหโบอัม

18 เรโหโบอัมทรงอภิเษกกับมาหะลัทธิดาของเยรีโมทโอรสของดาวิด มารดาคืออาบีฮายิล ธิดาของเอลีอับบุตรเจสซี 19 พระนางให้กำเนิดโอรสได้แก่ เยอูช เชมาริยาห์ และศาอัม 20 ต่อมาทรงอภิเษกกับมาอาคาห์ธิดาของอับซาโลม มีโอรสคืออาบียาห์ อัททัย ศีศา และเชโลมิท 21 เรโหโบอัมทรงรักมาอาคาห์ธิดาของอับซาโลมยิ่งกว่ามเหสีหรือสนมอื่นๆ ทรงมีมเหสี 18 องค์ และสนม 60 คน มีโอรส 28 องค์ และธิดา 60 องค์

22 เรโหโบอัมทรงตั้งอาบียาห์ โอรสที่ประสูติจากพระนางมาอาคาห์ให้เป็นเอกในหมู่พี่ๆ น้องๆ เพื่อจะได้ตั้งเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป 23 พระองค์ทรงทำการอย่างชาญฉลาดในการแยกย้ายโอรสองค์อื่นๆ ไปทั่วแดนยูดาห์กับเบนยามิน และไปยังเมืองป้อมปราการทั้งปวง พระองค์ทรงจัดหาสิ่งต่างๆ ให้พวกเขาอย่างบริบูรณ์และจัดหาชายาให้อย่างมากมายด้วย

ชิชักโจมตีเยรูซาเล็ม(A)

12 เมื่อราชบัลลังก์ของเรโหโบอัมมั่นคงเป็นปึกแผ่นและแข็งแกร่งขึ้น พระองค์กับอิสราเอลทั้งปวง[a]ก็ละทิ้งบทบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้า เนื่องจากพวกเขาไม่ซื่อสัตย์ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ดังนั้นกษัตริย์ชิชักแห่งอียิปต์จึงกรีธาทัพมาตีกรุงเยรูซาเล็มในปีที่ห้าแห่งรัชกาลเรโหโบอัม โดยมีรถม้าศึก 1,200 คัน พลม้า 60,000 คน และมีทหารราบชาวลิเบีย ชาวสุคคียิม และชาวคูช[b] จำนวนนับไม่ถ้วนมาจากอียิปต์กับพระองค์ พระองค์ยึดเมืองป้อมปราการต่างๆ ของยูดาห์มาจนถึงเยรูซาเล็ม

ผู้เผยพระวจนะเชไมอาห์มาเข้าเฝ้าเรโหโบอัม และมาพบบรรดาผู้นำของยูดาห์ซึ่งมาชุมนุมกันในกรุงเยรูซาเล็มเพราะกลัวชิชัก และกล่าวกับพวกเขาดังนี้ “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘เจ้าทั้งหลายได้ทิ้งเรา บัดนี้เราจึงทิ้งเจ้าให้แก่ชิชัก’ ”

แล้วเรโหโบอัมกับเหล่าผู้นำอิสราเอลก็ถ่อมใจลงและยอมรับว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเที่ยงธรรม”

เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเห็นว่าพวกเขาถ่อมใจลง จึงมีพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงเชไมอาห์ว่า “เพราะพวกเขาถ่อมใจลง เราจะไม่ทำลายล้างเขา แต่จะช่วยกู้ในไม่ช้า เราจะไม่ใช้ชิชักระบายโทสะของเราเหนือเยรูซาเล็ม แต่พวกเขาจะต้องรับใช้ชิชัก จะได้เรียนรู้ความแตกต่างระหว่างการรับใช้เรากับการรับใช้บรรดากษัตริย์ชาติอื่นๆ”

เมื่อกษัตริย์ชิชักแห่งอียิปต์มาโจมตีเยรูซาเล็ม พระองค์กวาดเอาทรัพย์สมบัติทั้งหมดไปจากพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าและพระราชวัง รวมทั้งโล่ทองคำซึ่งโซโลมอนทรงทำขึ้น 10 ดังนั้นกษัตริย์เรโหโบอัมจึงทรงทำโล่ทองสัมฤทธิ์ขึ้นแทน และมอบหมายให้เหล่าผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ซึ่งประจำการอยู่ที่ทางเข้าพระราชวังดูแล 11 เมื่อใดก็ตามที่กษัตริย์เสด็จมายังพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า เหล่าทหารรักษาพระองค์จะถือโล่มากับพระองค์ หลังจากนั้นก็นำโล่กลับไปไว้ที่กองรักษาการณ์

12 เนื่องจากเรโหโบอัมถ่อมพระองค์ลง พระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้าจึงระงับไป และพระเจ้าไม่ได้ทรงทำลายล้างพระองค์ให้หมดสิ้นไป แท้จริงยูดาห์ก็ยังมีดีอยู่บ้าง

13 กษัตริย์เรโหโบอัมทรงสถาปนาราชอำนาจให้มั่นคงเป็นปึกแผ่นในกรุงเยรูซาเล็มและครองราชย์สืบไป เมื่อพระองค์ขึ้นเป็นกษัตริย์ ทรงมีพระชนมายุ 41 พรรษา และทรงครองราชย์อยู่ 17 ปี ในกรุงเยรูซาเล็ม นครซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเลือกสรรจากทุกเผ่าของอิสราเอลให้เป็นที่สถาปนาพระนามของพระองค์ ราชมารดาของเรโหโบอัมคือนาอามาห์ชาวอัมโมน 14 เรโหโบอัมทรงทำชั่วเพราะไม่ได้มีพระทัยแน่วแน่ในการแสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้า

15 เหตุการณ์ต่างๆ ในรัชกาลเรโหโบอัมตั้งแต่ต้นจนจบมีเขียนไว้ในบันทึกของผู้เผยพระวจนะเชไมอาห์ และของผู้ทำนายอิดโดที่เกี่ยวกับลำดับวงศ์ตระกูลไม่ใช่หรือ? เรโหโบอัมกับเยโรโบอัมทำสงครามกันอยู่เสมอ 16 เรโหโบอัมทรงล่วงลับไปอยู่กับบรรพบุรุษและถูกฝังไว้ในเมืองดาวิด และอาบียาห์โอรสของพระองค์ขึ้นครองราชย์แทน

วิวรณ์ 2

ถึงคริสตจักรที่เมืองเอเฟซัส

“จงเขียนถึงทูตสวรรค์[a]แห่งคริสตจักรที่เมืองเอเฟซัสว่า

พระองค์ผู้ทรงถือดาวทั้งเจ็ดไว้ในพระหัตถ์ขวาและทรงดำเนินอยู่ท่ามกลางคันประทีปทองคำทั้งเจ็ดนั้นตรัสว่า เรารู้ถึงการกระทำของเจ้า ความเหนื่อยยากตรากตรำของเจ้า และความอดทนของเจ้า เรารู้ว่าเจ้าไม่อาจทนต่อคนชั่ว เจ้าได้ทดสอบบรรดาผู้อ้างตัวเป็นอัครทูตแต่ไม่ได้เป็น เจ้าจับได้ว่าเขาโกหก เรารู้ว่าเจ้าได้อดทนบากบั่นและได้ทนความยากเข็ญเพื่อนามของเรา และเจ้าไม่ได้ระย่อท้อแท้

แต่เรามีข้อติติงเจ้าคือ เจ้าได้ละทิ้งความรักดั้งเดิมของเจ้า จงระลึกว่าเจ้าได้ร่วงหล่นลงมามากเพียงใด! จงกลับใจใหม่และทำสิ่งที่เจ้าเคยทำตั้งแต่แรก ถ้าเจ้าไม่กลับใจใหม่เราจะมาหาเจ้าและยกคันประทีปของเจ้าออกจากที่ แต่เจ้ายังมีข้อดีอยู่บ้างตรงที่เจ้าชิงชังข้อปฏิบัติของพวกนิโคเลาส์นิยมซึ่งเราก็ชิงชังด้วย

ใครมีหูก็จงฟังสิ่งที่พระวิญญาณตรัสแก่คริสตจักรทั้งหลาย ผู้ใดมีชัยชนะเราจะให้เขามีสิทธิ์รับประทานผลจากต้นไม้แห่งชีวิตในอุทยานสวรรค์ของพระเจ้า

ถึงคริสตจักรที่เมืองสเมอร์นา

“จงเขียนถึงทูตสวรรค์แห่งคริสตจักรที่เมืองสเมอร์นาว่า

พระองค์ผู้ทรงเป็นเบื้องต้นและเบื้องปลาย ผู้ได้สิ้นพระชนม์และกลับมีชีวิตขึ้นมาอีกตรัสว่า เรารู้ถึงการทนทุกข์และความยากไร้ของเจ้า กระนั้นเจ้าก็มั่งมี! เรารู้ถึงคำให้ร้ายของบรรดาผู้ที่อ้างว่าตนเป็นยิวและไม่ได้เป็น แต่เป็นธรรมศาลาของซาตาน 10 อย่ากลัวการทนทุกข์ที่เจ้ากำลังจะเผชิญ เราบอกเจ้าว่ามารจะขังพวกเจ้าบางคนไว้ในคุกเพื่อทดสอบเจ้า และเจ้าจะทนทุกข์เพราะการข่มเหงถึงสิบวัน จงสัตย์ซื่อแม้ต้องตายและเราจะมอบมงกุฎแห่งชีวิตให้แก่เจ้า

11 ใครมีหูก็จงฟังสิ่งที่พระวิญญาณตรัสแก่คริสตจักรทั้งหลาย ผู้ใดมีชัยชนะจะไม่ถูกทำร้ายโดยความตายครั้งที่สองเลย

ถึงคริสตจักรที่เมืองเปอร์กามัม

12 “จงเขียนถึงทูตสวรรค์แห่งคริสตจักรที่เมืองเปอร์กามัมว่า

พระองค์ผู้ทรงถือดาบสองคมตรัสว่า 13 เรารู้ว่าเจ้าอาศัยอยู่ที่ไหน ที่นั่นเป็นที่ซึ่งซาตานครองบัลลังก์ กระนั้นเจ้าก็ยังคงภักดีต่อนามของเรา เจ้าไม่ได้ละทิ้งความเชื่อที่เจ้ามีในเราแม้ในช่วงที่อันทีพาสผู้เป็นพยานให้เราอย่างสัตย์ซื่อถูกฆ่าตายในเมืองของเจ้า คือที่ซึ่งซาตานอยู่

14 กระนั้นเรามีบางข้อที่จะติติงเจ้าคือ พวกเจ้าบางคนยึดถือคำสอนของบาลาอัมซึ่งเสี้ยมสอนบาลาคให้มาล่ออิสราเอลให้ทำบาปด้วยการกินอาหารที่ได้เซ่นไหว้แก่รูปเคารพและการทำผิดศีลธรรมทางเพศ 15 เช่นเดียวกันนั้นก็มีบางคนที่ยึดถือคำสอนของพวกนิโคเลาส์นิยม 16 เพราะฉะนั้นจงกลับใจใหม่! มิฉะนั้นอีกไม่นานเราจะมาหาเจ้าและสู้กับคนเหล่านั้นด้วยดาบแห่งปากของเรา

17 ใครมีหูก็จงฟังสิ่งที่พระวิญญาณตรัสแก่คริสตจักรทั้งหลาย ผู้ใดมีชัยชนะเราจะให้มานาที่ซ่อนอยู่ และให้หินขาวอันมีนามใหม่จารึกไว้ซึ่งผู้ที่รับเท่านั้นจึงจะรู้

ถึงคริสตจักรที่เมืองธิยาทิรา

18 “จงเขียนถึงทูตสวรรค์แห่งคริสตจักรที่เมืองธิยาทิราว่า

พระบุตรของพระเจ้าผู้ซึ่งมีพระเนตรดั่งเปลวไฟโชติช่วงและพระบาทดั่งทองสัมฤทธิ์สุกปลั่งตรัสว่า 19 เรารู้ถึงการกระทำของเจ้า ความรักและความเชื่อของเจ้า การรับใช้และความอดทนบากบั่นของเจ้า และเรารู้ว่าปัจจุบันเจ้ากำลังทำสิ่งเหล่านี้มากยิ่งกว่าตอนแรก

20 กระนั้นเรามีข้อที่จะติติงเจ้าคือ เจ้าทนฟังเยเซเบลผู้หญิงที่เรียกตนเองว่าผู้เผยพระวจนะ คำสอนของนางทำให้ผู้รับใช้ของเราหลงไปประพฤติผิดทางเพศและกินของที่เซ่นไหว้แก่รูปเคารพ 21 เราให้โอกาสหญิงนั้นกลับใจจากความสำส่อนของนาง แต่นางก็ไม่ยอม 22 ดังนั้นเราจะโยนนางลงบนเตียงแห่งความทุกข์ทรมาน และให้บรรดาผู้ล่วงประเวณีกับหญิงนั้นทนทุกข์แสนสาหัส เว้นแต่พวกเขาจะกลับใจจากวิถีของนาง 23 เราจะประหารลูกๆ ของหญิงนั้น แล้วคริสตจักรทั้งปวงจะได้รู้ว่าเราคือผู้พิเคราะห์ความคิดจิตใจ และเราจะตอบแทนเจ้าแต่ละคนตามการกระทำของเจ้า 24 บัดนี้เรากล่าวกับพวกเจ้าที่เหลืออยู่ในธิยาทิรากับพวกเจ้าที่ไม่ยึดถือคำสอนของนาง และไม่ได้เรียนรู้สิ่งที่เรียกกันว่าความลี้ลับของซาตานนั้น (เราจะไม่มอบภาระอื่นแก่เจ้า) 25 เพียงแต่จงยึดมั่นในสิ่งที่เจ้ามีอยู่จนกว่าเราจะมา

26 ผู้ใดมีชัยชนะและทำสิ่งที่เราประสงค์จนถึงที่สุด เราจะให้ผู้นั้นมีสิทธิอำนาจเหนือประชาชาติต่างๆ

27 ‘เขาจะปกครองคนเหล่านั้นด้วยคทาเหล็ก

จะฟาดพวกเขาให้แหลกเป็นชิ้นๆ เหมือนหม้อดิน’[b]

เช่นเดียวกับที่เราได้รับสิทธิอำนาจจากพระบิดาของเรา 28 เราจะมอบดาวแห่งรุ่งอรุณให้แก่เขาด้วย 29 ใครมีหูก็จงฟังสิ่งที่พระวิญญาณตรัสแก่คริสตจักรทั้งหลาย

เศฟันยาห์ 3

อนาคตของเยรูซาเล็ม

วิบัติแก่กรุงของผู้กดขี่ข่มเหง
ซึ่งมักกบฏและมีมลทิน!
มันไม่ยอมฟังใคร
ไม่ยอมรับการปรับปรุงแก้ไข
ไม่วางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า
และไม่ยอมเข้ามาใกล้พระเจ้าของตน
ข้าราชการของกรุงนี้เป็นเหมือนสิงโตที่ร้องคำราม
ผู้ครอบครองของกรุงนี้ก็เป็นดั่งสุนัขป่ายามเย็น
ซึ่งไม่เหลืออะไรไว้ถึงเช้า
ส่วนบรรดาผู้เผยพระวจนะก็เย่อหยิ่ง
พวกเขาเป็นคนทรยศ
เหล่าปุโรหิตลบหลู่สถานนมัสการ
และย่ำยีพระบัญญัติ
องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ประทับอยู่ในกรุงนั้นทรงชอบธรรม
พระองค์ไม่ได้ทรงทำผิดเลย
ทุกๆ เช้าพระองค์ทรงอำนวยความยุติธรรม
และทุกๆ วันใหม่พระองค์ไม่เคยหยุดยั้งที่จะทำเช่นนั้น
ถึงกระนั้นคนอธรรมก็ไม่รู้จักละอาย
“เราได้กำจัดประชาชาติทั้งหลายเสีย
ที่มั่นของเขาถูกทำลายล้าง
เราทำให้ถนนหนทางของเขาร้างเปล่า
ไม่มีใครผ่านไปมา
เมืองต่างๆ ของเขาถูกทำลาย
ไม่มีใครเหลืออยู่เลย ไม่เหลือสักคน
เราได้กล่าวแก่กรุงนั้นว่า
‘แน่ทีเดียว เจ้าจะเกรงกลัวเรา
และยอมรับการแก้ไขปรับปรุง!’
แล้วที่อยู่ของเขาจะได้ไม่ถูกทำลาย
และโทษทัณฑ์ของเราจะได้ไม่มาถึงเขาทั้งหมด
แต่เขาก็ยังคงกระเหี้ยนกระหือรือ
ที่จะประพฤติเสื่อมทรามเหมือนที่เคยทำมาทุกอย่าง”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า
“ฉะนั้นคอยดูเถิด
ในวันนั้นเราจะยืนขึ้นเป็นพยาน[a]
เราได้ตัดสินใจที่จะรวบรวมชนชาติ
และอาณาจักรต่างๆ
แล้วระบายโทสะอันรุนแรงทั้งปวง
เหนือพวกเขา
โลกทั้งโลกจะไหม้เป็นจุณ
ด้วยไฟแห่งความโกรธอันเนื่องจากความหึงหวงของเรา

“แล้วเราจะชำระริมฝีปากของชนชาติทั้งหลาย
เพื่อพวกเขาทั้งปวงจะร้องทูลพระนามพระยาห์เวห์
และเคียงบ่าเคียงไหล่กันปรนนิบัติพระองค์
10 ผู้ที่นมัสการเรา ประชากรของเราที่กระจัดกระจายไป
จะนำเครื่องบูชา
จากฟากข้างโน้นของแม่น้ำแห่งคูช[b]มาถวายเรา
11 ในวันนั้นเจ้าจะไม่ต้องอับอาย
เนื่องด้วยความผิดทั้งปวงที่เจ้าทำไว้ต่อเรา
เพราะเราจะขจัดบรรดาคนที่ชื่นชมความจองหองของตน
ให้ออกไปจากกรุงนี้
เจ้าจะไม่หยิ่งผยองอีกต่อไป
บนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของเรา
12 แต่กระนั้นเราจะเหลือ
คนที่ถ่อมสุภาพและอ่อนโยนไว้
ซึ่งวางใจในพระนามพระยาห์เวห์
13 ชนหยิบมือที่เหลือของอิสราเอลจะไม่ทำผิด
พวกเขาจะไม่พูดโกหก
หรือล่อลวง
เขาจะดำเนินชีวิตเป็นปกติสุข
และไม่มีใครทำให้เขาหวาดกลัวอีกต่อไป”

14 ธิดาแห่งศิโยน[c]เอ๋ย จงร้องเพลงเถิด
อิสราเอลเอ๋ย จงโห่ร้องให้กึกก้อง
จงเปรมปรีดิ์และชื่นชมยินดีด้วยสุดใจของเจ้าเถิด
ธิดาแห่งเยรูซาเล็ม[d]เอ๋ย
15 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรับโทษทัณฑ์ของเจ้าไปแล้ว
ทรงให้ศัตรูของเจ้าหันกลับไป
พระยาห์เวห์องค์กษัตริย์แห่งอิสราเอลสถิตกับเจ้า
เจ้าจะไม่หวั่นเกรงอันตรายใดๆ อีกเลย
16 ในวันนั้นผู้คนจะกล่าวแก่เยรูซาเล็มว่า
“ศิโยนเอ๋ย อย่ากลัวเลย
อย่าให้มือของเจ้าอ่อนเปลี้ย
17 พระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าสถิตกับเจ้า
พระองค์ทรงฤทธิ์อำนาจที่จะช่วยเจ้า
พระองค์จะทรงปิติยินดีในตัวเจ้า
จะทรงปลอบเจ้าด้วยความรักของพระองค์
และจะทรงร้องเพลงเพราะชื่นชมยินดีในตัวเจ้า”

18 “เราจะขจัดความเศร้าโศก
ที่เจ้าไม่ได้ร่วมเทศกาลต่างๆ ตามกำหนดของเจ้าออกไป
สิ่งนี้เป็นภาระและคำประณามสำหรับเจ้า[e]
19 ในครั้งนั้นเราจะจัดการทุกคน
ที่กดขี่ข่มเหงเจ้า
เราจะช่วยบรรดาคนง่อยเปลี้ย
และรวบรวมผู้ที่ถูกทำให้กระจัดกระจายไป
เราจะให้เขามีเกียรติและเป็นที่ยกย่อง
ในทุกดินแดนที่พวกเขาต้องอับอาย
20 ในครั้งนั้นเราจะรวบรวมเจ้า
ในครั้งนั้นเราจะพาเจ้ากลับบ้าน
เราจะให้เจ้ามีเกียรติและเป็นที่ยกย่อง
ในหมู่ประชาชาติทั้งปวงของแผ่นดินโลก
เมื่อเราให้เจ้ากลับสู่สภาพดี[f]
ต่อหน้าต่อตาเจ้า”
            องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้น

ยอห์น 1

พระวาทะทรงบังเกิดเป็นมนุษย์

ในปฐมกาลพระวาทะทรงดำรงอยู่และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า พระองค์ทรงอยู่กับพระเจ้าตั้งแต่ปฐมกาล

สรรพสิ่งถูกสร้างขึ้นโดยทางพระองค์ ในบรรดาสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมานั้น ไม่มีสักสิ่งเดียวที่ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยทางพระองค์ ในพระองค์คือชีวิตและชีวิตนั้นเป็นความสว่างของมนุษย์ ความสว่างส่องเข้ามาในความมืด แต่ความมืดไม่ได้เข้าใจ[a]ความสว่างนั้น

มีชายผู้หนึ่งที่พระเจ้าทรงส่งมา เขาชื่อยอห์น เขามาในฐานะพยานเพื่อยืนยันเกี่ยวกับความสว่างนั้น เพื่อว่าคนทั้งปวงจะได้เชื่อผ่านทางเขา เขาเองไม่ใช่ความสว่างนั้น เขาเป็นเพียงแค่พยานของความสว่างนั้น ความสว่างแท้ซึ่งให้ความสว่างแก่มนุษย์ทุกคนกำลังเข้ามาในโลก[b]

10 พระองค์ทรงอยู่ในโลก และแม้ว่าโลกถูกสร้างขึ้นโดยทางพระองค์ แต่โลกก็ไม่ได้รู้จักพระองค์ 11 พระองค์ทรงเข้ามาในดินแดนของพระองค์เอง แต่คนของพระองค์เองไม่ยอมรับพระองค์ 12 ส่วนคนทั้งปวงที่ยอมรับพระองค์ ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า 13 คือเป็นบุตรที่ไม่ได้เกิดจากการสืบเชื้อสายตามธรรมชาติ[c] หรือจากการตัดสินใจของมนุษย์ หรือจากเจตจำนงของสามี แต่เกิดจากพระเจ้า

14 พระวาทะทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และประทับอยู่ท่ามกลางเรา พระองค์ทรงเปี่ยมด้วยพระคุณและความจริง เราได้เห็นพระเกียรติสิริของพระองค์ คือพระเกียรติสิริของพระบุตรองค์เดียวผู้ทรงมาจากพระบิดา

15 ยอห์นเป็นพยานเกี่ยวกับพระองค์ เขาร้องประกาศว่า “นี่คือผู้ซึ่งเราได้บอกไว้ว่า ‘พระองค์ผู้เสด็จมาภายหลังเราทรงยิ่งใหญ่กว่าเราเพราะพระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนเรา’ ” 16 เราทั้งปวงได้รับพระพรครั้งแล้วครั้งเล่าจากความบริบูรณ์แห่งพระคุณของพระองค์ 17 เพราะบทบัญญัติประทานมาทางโมเสส ส่วนพระคุณและความจริงมาทางพระเยซูคริสต์ 18 ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้า แต่พระเจ้าคือพระบุตรองค์เดียว[d]ผู้ทรงอยู่เคียงข้างพระบิดาได้ทรงทำให้พระองค์เป็นที่ประจักษ์แล้ว

ยอห์นผู้ให้บัพติศมาปฏิเสธว่าตนเองไม่ใช่พระคริสต์

19 นี่คือคำพยานของยอห์น เมื่อชาวยิวที่กรุงเยรูซาเล็มส่งพวกปุโรหิตและคนเลวีมาถามว่าเขาเป็นใคร 20 เขาไม่ได้ปิดบังความจริง เขายอมรับอย่างเปิดเผยว่า “เราไม่ใช่พระคริสต์[e]

21 พวกนั้นจึงถามว่า “ถ้าเช่นนั้น ท่านเป็นใคร? ท่านเป็นเอลียาห์หรือ?”

เขาบอกว่า “ไม่ใช่”

เมื่อถามว่า “ท่านเป็นผู้เผยพระวจนะนั้นหรือ?”

เขาก็ตอบว่า “ไม่ใช่”

22 ในที่สุดพวกเขาจึงกล่าวว่า “ท่านเป็นใคร? จงตอบมาเถิด เราจะได้ไปบอกผู้ที่ส่งเรามา ท่านอ้างว่าตัวท่านเองเป็นใคร?”

23 ยอห์นตอบโดยยกคำของผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ว่า “เราคือเสียงของผู้ที่ร้องในถิ่นกันดารว่า ‘จงทำทางสำหรับองค์พระผู้เป็นเจ้าให้ตรงไป’ ”[f]

24 พวกฟาริสีบางคนที่ถูกส่งมา 25 จึงถามเขาว่า “ถ้าท่านไม่ใช่พระคริสต์ ไม่ใช่เอลียาห์ หรือผู้เผยพระวจนะนั้น ทำไมท่านจึงให้บัพติศมา?”

26 ยอห์นตอบว่า “เราให้บัพติศมาด้วย[g]น้ำ แต่มีผู้หนึ่งในหมู่พวกท่านซึ่งพวกท่านไม่รู้จัก 27 พระองค์ทรงเป็นผู้ที่จะมาภายหลังเรา เราไม่คู่ควรแม้แต่จะแก้สายรัดฉลองพระบาทของพระองค์”

28 ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นที่หมู่บ้านเบธานีที่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน ที่ซึ่งยอห์นกำลังให้บัพติศมา

พระเยซูผู้ทรงเป็นลูกแกะของพระเจ้า

29 วันต่อมายอห์นเห็นพระเยซูเสด็จมาทางเขา จึงกล่าวว่า “จงดูพระเมษโปดก[h]ของพระเจ้า ผู้ทรงรับบาปของโลกไป! 30 นี่แหละคือผู้ที่เราหมายถึง เมื่อเรากล่าวว่า ‘พระองค์ผู้ทรงมาภายหลังเราทรงยิ่งใหญ่กว่าเราเพราะพระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนเรา’ 31 เราเองไม่รู้จักพระองค์ แต่เหตุผลที่เรามาให้บัพติศมาด้วยน้ำก็เพื่อให้พระองค์เป็นที่ประจักษ์แก่อิสราเอล”

32 แล้วยอห์นเป็นพยานดังนี้ว่า “เราเห็นพระวิญญาณลงมาจากสวรรค์ดั่งนกพิราบและสถิตกับพระองค์ 33 เราคงไม่รู้ว่าพระองค์เป็นใคร แต่ผู้ที่ทรงใช้ให้เรามาให้บัพติศมาด้วยน้ำตรัสบอกเราไว้ว่า ‘เจ้าเห็นพระวิญญาณลงมาสถิตกับผู้ใด ผู้นั้นคือผู้ที่จะให้บัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ 34 เราได้เห็นแล้ว และเราเป็นพยานได้ว่าผู้นี้คือพระบุตรของพระเจ้า’ ”

สาวกกลุ่มแรกของพระเยซู(A)

35 วันรุ่งขึ้น ยอห์นกับสาวกสองคนก็อยู่ที่นั่นอีก 36 เมื่อเขาเห็นพระเยซูเสด็จผ่านไป จึงกล่าวว่า “จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า!”

37 เมื่อสาวกทั้งสองได้ยินเขากล่าวเช่นนั้นจึงติดตามพระเยซูไป 38 พระเยซูทรงหันมาเห็นพวกเขาตามมา จึงตรัสถามว่า “ท่านต้องการอะไร?”

พวกเขาทูลว่า “รับบี (ซึ่งแปลว่าอาจารย์) ท่านพักอยู่ที่ไหน?”

39 พระองค์ตรัสว่า “มาเถิด แล้วท่านจะเห็น”

พวกเขาจึงไปและเห็นที่ซึ่งพระองค์ประทับและอยู่กับพระองค์ในวันนั้นตั้งแต่เวลาประมาณสี่โมงเย็น

40 หนึ่งในสองคนที่ได้ยินยอห์นกล่าวและได้ติดตามพระเยซูไปนั้นคือ อันดรูว์น้องชายของซีโมนเปโตร 41 สิ่งแรกสุดที่อันดรูว์ทำคือไปหาซีโมนผู้เป็นพี่ชายและบอกว่า “เราพบพระเมสสิยาห์แล้ว” (คือ พระคริสต์) 42 และพาเขามาเข้าเฝ้าพระเยซู

พระเยซูทอดพระเนตรเขาและตรัสว่า “ท่านคือซีโมนบุตรยอห์น ท่านจะได้ชื่อว่า เคฟาส” (ซึ่งแปลว่า เปโตร[i])

พระเยซูตรัสเรียกฟีลิปและนาธานาเอล

43 รุ่งขึ้นพระเยซูตัดสินพระทัยที่จะไปแคว้นกาลิลี พระองค์ทรงพบฟีลิปและตรัสกับเขาว่า “จงตามเรามา”

44 ฟีลิปมาจากเมืองเบธไซดาเช่นเดียวกับอันดรูว์และเปโตร 45 ฟีลิปพบนาธานาเอลและบอกเขาว่า “เราพบผู้ซึ่งโมเสสเขียนถึงในหนังสือบทบัญญัติและซึ่งบรรดาผู้เผยพระวจนะก็เขียนถึงด้วย คือพระเยซูชาวนาซาเร็ธบุตรโยเซฟ”

46 นาธานาเอลถามว่า “นาซาเร็ธ! จะมีอะไรดีมาจากที่นั่นได้หรือ?”

ฟีลิปบอกว่า “มาดูเถิด”

47 เมื่อพระเยซูทรงเห็นนาธานาเอลเข้ามาหาก็ตรัสถึงเขาว่า “นี่คืออิสราเอลแท้ ในตัวเขาไม่มีเล่ห์เหลี่ยมอันใดเลย”

48 นาธานาเอลทูลว่า “พระองค์ทรงรู้จักข้าพระองค์ได้อย่างไร?”

พระเยซูตรัสว่า “เราเห็นท่านขณะที่ท่านยังนั่งอยู่ใต้ต้นมะเดื่อนั้น ก่อนที่ฟีลิปจะเรียกท่าน”

49 นาธานาเอลจึงร้องว่า “รับบี พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล”

50 พระเยซูตรัสว่า “ท่านเชื่อเพราะเราบอกว่าเราเห็นท่านอยู่ใต้ต้นมะเดื่อนั้น[j] ท่านจะเห็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก” 51 แล้วพระองค์ตรัสต่อไปว่า “เราบอกความจริงแก่พวกท่านว่า พวกท่านจะเห็นฟ้าสวรรค์เปิดออก และเหล่าทูตสวรรค์ของพระเจ้าขึ้นลงเหนือบุตรมนุษย์”

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.