Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
2 พงศาวดาร 2

เตรียมการก่อสร้างพระวิหาร(A)

โซโลมอนบัญชาให้ลงมือสร้างพระวิหารเพื่อพระนามของพระยาห์เวห์ และพระราชวังของโซโลมอนเอง ทรงเกณฑ์คนมาแบกหาม 70,000 คน มาเป็นช่างสกัดหินในภูเขา 80,000 คน และเป็นผู้คุมงาน 3,600 คน

โซโลมอนส่งสาส์นไปทูลกษัตริย์ฮีราม[a]แห่งเมืองไทระว่า

“โปรดส่งซุงไม้สนซีดาร์มาให้ข้าพเจ้า เหมือนที่ท่านเคยส่งมาให้ดาวิดราชบิดาของข้าพเจ้าสำหรับสร้างวัง บัดนี้ข้าพเจ้ากำลังจะสร้างพระวิหารขึ้นเพื่อพระนามของพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพเจ้าและถวายแด่พระองค์ เพื่อเผาเครื่องหอมและถวายขนมปังเบื้องพระพักตร์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อถวายเครื่องเผาบูชาทุกเช้าเย็นและในวันสะบาโต วันขึ้นหนึ่งค่ำ และเทศกาลตามกำหนดอื่นๆ แด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา นี่เป็นข้อปฏิบัติถาวรสืบไปสำหรับอิสราเอล

“พระวิหารที่ข้าพเจ้าจะสร้างขึ้นนี้ยิ่งใหญ่ เพราะพระเจ้าของเราทรงยิ่งใหญ่เหนือกว่าพระอื่นใดทั้งหมด แต่ใครเล่าสามารถสร้างที่ประทับสำหรับพระองค์ แม้ฟ้าสวรรค์สูงสุดก็ยังไม่อาจรองรับพระองค์ได้? แล้วข้าพเจ้าเป็นใครที่จะสร้างพระวิหารเพื่อพระองค์ ได้แต่สร้างสถานที่เผาเครื่องบูชาต่อหน้าพระองค์?

“ฉะนั้นโปรดส่งช่างฝีมือมาให้ข้าพเจ้าซึ่งเชี่ยวชาญงานช่างทอง เงิน ทองสัมฤทธิ์ เหล็ก และงานย้อมและทอผ้าด้วยด้ายสีม่วง สีแดง กับสีน้ำเงิน และเชี่ยวชาญงานสลักเพื่อทำงานร่วมกับช่างฝีมือผู้ชำนาญของข้าพเจ้าในยูดาห์และในกรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งดาวิดราชบิดาของข้าพเจ้าเตรียมไว้

“ทั้งขอให้ท่านส่งซุงไม้สนซีดาร์ ไม้สนอื่นๆ และไม้ประดู่จากเลบานอนมาด้วย เพราะข้าพเจ้าทราบว่าคนของท่านเชี่ยวชาญในการตัดไม้ที่นั่น คนของข้าพเจ้าจะทำงานร่วมกับคนของท่าน เพื่อจะได้ซุงจำนวนมาก เพราะพระวิหารซึ่งข้าพเจ้าจะสร้างขึ้นนั้นจะต้องโอ่อ่าและงามตระการ 10 สำหรับคนงานเลื่อยไม้ซุงของท่าน ข้าพเจ้าจะให้ข้าวสาลีตำแล้วประมาณ 4,400 กิโลลิตร[b] ข้าวบาร์เลย์ประมาณ 4,400 กิโลลิตร เหล้าองุ่นประมาณ 440 กิโลลิตร[c] และน้ำมันมะกอกประมาณ 440 กิโลลิตร”

11 กษัตริย์ฮีรามแห่งเมืองไทระส่งสาส์นตอบโซโลมอนว่า

“เพราะว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรักประชากรของพระองค์ จึงทรงตั้งท่านให้เป็นกษัตริย์ของพวกเขา”

12 แล้วตรัสอีกว่า

“ขอถวายสรรเสริญแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก! ทรงโปรดประทานโอรสที่มีสติปัญญา มีไหวพริบปฏิภาณ และความฉลาดหลักแหลมแก่กษัตริย์ดาวิด เพื่อสร้างพระวิหารถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าและวังที่ประทับ

13 “ข้าพเจ้าได้ส่งช่างฝีมือเอกมาให้ท่านคือ หุรามอาบี 14 มารดาของเขาเป็นคนเผ่าดาน ส่วนบิดามาจากไทระ เขาได้รับการฝึกฝนให้เป็นช่างทอง เงิน ทองสัมฤทธิ์ และเหล็ก ทำงานหิน งานไม้ งานย้อมและทอผ้าด้วยด้ายสีม่วง น้ำเงิน และแดง กับผ้าลินินเนื้อดี ทั้งเชี่ยวชาญในการแกะสลักและทำตามแบบที่กำหนด เขาจะทำงานร่วมกับช่างฝีมือของท่านและบรรดาคนที่ดาวิดราชบิดาของท่านจัดไว้

15 “ขอให้ท่านส่งข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ เหล้าองุ่น และน้ำมันมะกอกมาตามที่ได้สัญญาไว้ 16 และพวกข้าพเจ้าจะตัดไม้ซุงจากเลบานอนเท่าที่ท่านต้องการ ผูกเป็นแพล่องมาทางทะเลถึงเมืองยัฟฟา แล้วท่านสามารถขนจากที่นั่นไปกรุงเยรูซาเล็มได้”

17 โซโลมอนทรงทำสำมะโนประชากรคนต่างด้าวทั้งหมดในอิสราเอลตามที่ดาวิดราชบิดาทรงเคยทำ พบว่ามีอยู่ 153,600 คน 18 ทรงกำหนดให้แบกหาม 70,000 คน ทำหน้าที่สกัดหินในภูเขา 80,000 คน และเป็นหัวหน้าคนงาน 3,600 คน

1 ยอห์น 2

ลูกที่รักของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเขียนมาถึงท่านเช่นนี้เพื่อท่านจะไม่ทำบาป แต่ถ้าผู้ใดทำบาป เราก็มีพระองค์ผู้ทูลแก้ต่างต่อพระบิดาเพื่อเราทั้งหลาย คือพระเยซูคริสต์องค์ผู้ชอบธรรม พระองค์ทรงเป็นเครื่องบูชาลบบาปของเราทั้งหลาย[a] และไม่ใช่เพียงบาปของเราเท่านั้นแต่บาปของคนทั้งโลกด้วย

ถ้าเราเชื่อฟังพระบัญชาของพระองค์ เราก็รู้แน่ว่าเรารู้จักพระองค์ ผู้ที่พูดว่า “เรารู้จักพระองค์” แต่ไม่ทำตามสิ่งที่ทรงบัญชา ผู้นั้นก็โกหกและความจริงไม่ได้อยู่ในเขาเลย แต่ถ้าผู้ใดเชื่อฟังพระดำรัสของพระองค์ ความรักของพระเจ้า[b] ก็เต็มบริบูรณ์อยู่ในผู้นั้น ด้วยวิธีนี้เราจึงรู้ว่าเราอยู่ในพระองค์คือ ผู้ใดอ้างว่าอยู่ในพระองค์ ผู้นั้นต้องดำเนินชีวิตอย่างที่พระเยซูได้ทรงดำเนิน

เพื่อนที่รัก ข้าพเจ้าไม่ได้เขียนบัญญัติใหม่ถึงท่าน นี่เป็นบัญญัติเก่าซึ่งท่านมีมาตั้งแต่แรก บัญญัติเก่านี้คือเรื่องราวที่ท่านเคยได้ยินมาแล้ว แต่จะว่าข้าพเจ้าเขียนบัญญัติใหม่ถึงท่านก็ได้ ท่านเห็นบัญญัตินี้เป็นจริงในพระองค์และในท่านเอง เพราะความมืดกำลังผ่านพ้นไปและความสว่างแท้กำลังส่องแสงอยู่แล้ว

ผู้ใดที่อ้างว่าอยู่ในความสว่างแต่เกลียดชังพี่น้องของตนก็ยังอยู่ในความมืด 10 ผู้ที่รักพี่น้องของตนก็อยู่ในความสว่าง และไม่มีอะไรในผู้นั้น[c]ที่ทำให้ตัวเขาสะดุด 11 แต่ผู้ที่เกลียดชังพี่น้องของตนก็อยู่ในความมืดและเดินวนเวียนในความมืด เขาไม่รู้ว่าตนกำลังไปไหนเพราะความมืดทำให้เขาตาบอด

12 ลูกที่รัก ข้าพเจ้าเขียนถึงท่านทั้งหลาย
เพราะบาปของท่านได้รับการอภัยแล้วเนื่องด้วยพระนามของพระองค์
13 บิดาทั้งหลาย ข้าพเจ้าเขียนถึงท่าน
เพราะท่านได้รู้จักพระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่ตั้งแต่ปฐมกาล
หนุ่มสาวทั้งหลาย ข้าพเจ้าเขียนถึงท่าน
เพราะท่านได้ชนะมารร้ายนั้น

14 ลูกที่รัก ข้าพเจ้าเขียนถึงท่านทั้งหลาย
เพราะท่านได้รู้จักพระบิดา
บิดาทั้งหลาย ข้าพเจ้าเขียนถึงท่าน
เพราะท่านได้รู้จักพระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่ตั้งแต่ปฐมกาล
หนุ่มสาวทั้งหลาย ข้าพเจ้าเขียนถึงท่าน
เพราะท่านเข้มแข็ง
และพระวจนะของพระเจ้าดำรงอยู่ในท่าน
และท่านได้ชนะมารร้ายนั้น

อย่ารักโลก

15 อย่ารักโลกหรือสิ่งใดๆ ในโลก ถ้าผู้ใดรักโลก ความรักของพระบิดาก็ไม่ได้อยู่ในผู้นั้น 16 เพราะทุกสิ่งในโลกไม่ว่าจะเป็นตัณหาของเนื้อหนัง ตัณหาของตา และความทะนงในสิ่งที่ตนมีหรือทำ ไม่ได้มาจากพระบิดาแต่มาจากโลก 17 โลกกับความปรารถนาต่างๆ ของโลกก็ล่วงไป แต่ผู้ที่ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าดำรงอยู่ตลอดกาล

เตือนให้ระวังปฏิปักษ์ของพระคริสต์

18 ลูกที่รัก บัดนี้เป็นวาระสุดท้ายแล้วและตามที่ท่านได้ยินมาว่าปฏิปักษ์ของพระคริสต์กำลังมานั้น แม้กระทั่งเดี๋ยวนี้ปฏิปักษ์พระคริสต์ก็มีมามากมายแล้ว ด้วยเหตุนี้เราจึงรู้ว่านี่คือวาระสุดท้าย 19 พวกเขาออกไปจากพวกเรา แต่ที่จริงแล้วเขาไม่ใช่พวกเรา เพราะถ้าใช่เขาก็คงอยู่กับเราต่อไป แต่การที่เขาจากไปแสดงว่าในพวกเขาไม่มีสักคนเดียวที่เป็นพวกเรา

20 แต่ท่านทั้งหลายได้รับการเจิมจากองค์บริสุทธิ์แล้ว และพวกท่านทุกคนก็รู้ความจริง[d] 21 ที่ข้าพเจ้าเขียนมานี้ไม่ใช่เพราะท่านไม่รู้ความจริง แต่เพราะท่านรู้และเพราะไม่มีความเท็จใดๆ มาจากความจริง 22 ใครเล่าคือคนโกหก? ก็คือคนที่ไม่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ คนเช่นนี้แหละคือปฏิปักษ์ของพระคริสต์ เขาปฏิเสธพระบิดาและพระบุตร 23 ผู้ใดปฏิเสธพระบุตรก็ไม่มีพระบิดา ผู้ใดรับพระบุตรก็มีพระบิดาด้วย

24 จงให้สิ่งที่ท่านได้ยินมาตั้งแต่แรกดำรงอยู่ในท่าน หากสิ่งนี้ดำรงอยู่ในท่าน ท่านก็จะดำรงอยู่ในพระบุตรและในพระบิดาด้วย 25 และนี่คือสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้กับเรา คือชีวิตนิรันดร์นั่นเอง

26 ข้าพเจ้าเขียนข้อความเหล่านี้มาถึงท่านเกี่ยวกับบรรดาผู้พยายามชักจูงให้ท่านหลงผิด 27 ส่วนท่านทั้งหลาย การเจิมที่ท่านได้รับจากพระองค์ก็ดำรงอยู่ในท่าน จึงไม่จำเป็นต้องมีใครสอนท่าน แต่เพราะการเจิมของพระองค์สอนท่านทุกสิ่ง และเพราะการเจิมนั้นจริงแท้ไม่ปลอมแปลง จงดำรงอยู่ในพระองค์ตามที่การเจิมได้สอนท่านไว้แล้ว

บุตรของพระเจ้า

28 และบัดนี้ลูกที่รัก จงดำรงอยู่ในพระองค์สืบไปเพื่อว่าเมื่อพระองค์ทรงปรากฏ เราทั้งหลายจะมั่นใจและไม่ละอายต่อหน้าพระองค์เมื่อพระองค์เสด็จมา 29 หากท่านรู้ว่าพระองค์ทรงชอบธรรม ท่านย่อมรู้ว่าทุกคนที่ทำสิ่งที่ถูกต้องได้บังเกิดจากพระองค์

นาฮูม 1

คำพยากรณ์เกี่ยวกับกรุงนีนะเวห์ หนังสือแห่งนิมิตของนาฮูมชาวเอลโขช

พระพิโรธต่อนีนะเวห์

องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้หึงหวงและทำการแก้แค้น
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงแก้แค้นและเต็มไปด้วยพระพิโรธ
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงแก้แค้นเหล่าปฏิปักษ์ของพระองค์
และยังทรงพระพิโรธต่อศัตรูของพระองค์
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกริ้วช้าและทรงฤทธานุภาพยิ่งใหญ่
องค์พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทรงปล่อยให้คนผิดลอยนวลพ้นโทษ
ทางของพระองค์อยู่ในพายุหมุนและในลมพายุ
เมฆคือธุลีจากพระบาทของพระองค์
พระองค์ตรัสกำราบทะเลและทรงทำให้มันเหือดแห้ง
ทรงทำให้แม่น้ำทุกสายแห้งไป
บาชานกับคารเมลก็เหี่ยวเฉา
และหมู่ดอกไม้ผลิบานของเลบานอนก็ร่วงโรย
ภูเขาสะเทือนเลื่อนลั่นต่อหน้าพระองค์
และเนินเขาต่างๆ หลอมละลาย
เมื่อพระองค์ทรงปรากฏ แผ่นดินโลกก็สั่นสะท้าน
คือโลกและทุกคนที่อยู่ในโลก
ใครเล่าสามารถต้านทานความกริ้วของพระองค์ได้?
ใครเล่าสามารถทนต่อพระพิโรธอันรุนแรงของพระองค์ได้?
พระองค์ทรงระบายพระพิโรธลงมาเหมือนไฟ
แล้วศิลาก็แหลกละเอียดต่อหน้าพระองค์

องค์พระผู้เป็นเจ้าประเสริฐ
ทรงเป็นที่ลี้ภัยในยามยากลำบาก
ทรงห่วงใยบรรดาผู้วางใจในพระองค์
แต่ด้วยกระแสน้ำท่วมท้น
พระองค์จะทรงทำให้นีนะเวห์สูญสิ้นไป
พระองค์จะทรงรุกไล่เหล่าศัตรูเข้าสู่ความมืด

ไม่ว่าพวกเขาจะคบคิดกันต่อสู้องค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างไร[a]
พระองค์ก็จะทรงทำให้พบจุดจบ
ปัญหาจะไม่เกิดขึ้นซ้ำสอง
10 พวกเขาจะติดอยู่ในดงหนาม
และเมามายด้วยเหล้าองุ่นของตนเอง
พวกเขาจะถูกเผาผลาญเหมือนตอข้าวแห้ง[b]
11 นีนะเวห์เอ๋ย มีผู้หนึ่งออกมาจากเจ้า
ซึ่งวางแผนร้ายต่อสู้องค์พระผู้เป็นเจ้า
และวางแผนชั่ว

12 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้

“แม้พวกเขามีพันธมิตรและมีจำนวนมาก
พวกเขาก็จะถูกโค่นและสูญสิ้นไป
ยูดาห์เอ๋ย ถึงแม้เราให้เจ้าทุกข์ร้อน
แต่เราจะไม่ให้เจ้าทุกข์ร้อนอีกต่อไป
13 บัดนี้เราจะหักแอกของพวกเขาจากคอของเจ้า
และหักโซ่ตรวนของเจ้าทิ้งไป”

14 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาเกี่ยวกับนีนะเวห์ว่า
“เจ้าจะไม่มีลูกหลานสืบสกุล
เราจะทำลายรูปสลักและเทวรูปที่หล่อขึ้น
ซึ่งอยู่ในวิหารแห่งเทพเจ้าของเจ้า
เราจะเตรียมหลุมฝังศพของเจ้า
เพราะเจ้าชั่วช้าสามานย์”

15 ดูเถิด บนภูเขานั่น
เท้าของผู้นำข่าวดีมา
ผู้ประกาศสันติภาพ!
ยูดาห์เอ๋ย จงฉลองเทศกาลต่างๆ ของเจ้า
และทำตามที่เจ้าถวายปฏิญาณไว้
คนชั่วร้ายจะไม่มาย่ำยีบีฑาเจ้าอีก
เขาจะถูกทำลายเสียสิ้น

ลูกา 17

บาป ความเชื่อ และหน้าที่

17 พระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกว่า “สิ่งที่เป็นต้นเหตุให้ผู้คนทำบาปจะมีมาแน่ แต่วิบัติแก่คนนั้นที่เป็นต้นเหตุให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ให้เอาหินโม่ผูกคอเขาโยนลงทะเล ยังดีกว่าปล่อยให้เขาเป็นต้นเหตุให้ผู้เล็กน้อยเหล่านี้สักคนหนึ่งทำบาป ฉะนั้นจงระวังตัวให้ดี

“ถ้าพี่น้องของท่านทำผิด จงตักเตือนเขา และถ้าเขากลับใจ จงอภัยให้เขา แม้เขาทำบาปต่อท่านถึงเจ็ดครั้งในวันเดียว และกลับมาหาท่านเจ็ดครั้งบอกว่า ‘เรากลับใจแล้ว’ ก็จงยกโทษให้เขา”

ฝ่ายอัครทูตทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ขอทรงเพิ่มพูนความเชื่อของข้าพระองค์ทั้งหลาย!”

พระองค์ตรัสตอบว่า “ถ้าท่านมีความเชื่อเล็ก เท่าเมล็ดมัสตาร์ดเมล็ดหนึ่ง ท่านสามารถสั่งต้นหม่อนนี้ว่า ‘จงถอนรากไปปักในทะเล’ และมันก็จะเชื่อฟังท่าน

“สมมุติว่าพวกท่านคนหนึ่งมีบ่าวไถนาหรือดูแลแกะ เมื่อบ่าวกลับจากทุ่งนา เขาจะบอกหรือว่า ‘มาเถิด มานั่งรับประทานอาหาร’? เขาน่าจะพูดว่า ‘จงเตรียมอาหารให้เราและเตรียมตัวให้พร้อม คอยรับใช้เราขณะที่เรากินและดื่ม หลังจากนั้นเจ้าจึงค่อยกินและดื่ม’ มิใช่หรือ? เขาจะขอบใจที่บ่าวทำตามที่เขาสั่งหรือ? 10 ท่านก็เช่นกัน เมื่อทำทุกอย่างตามที่รับคำสั่งแล้ว ควรกล่าวว่า ‘เรา เป็นคนรับใช้ที่ไร้ค่า เราเพียงทำตามหน้าที่ของเราเท่านั้น’ ”

ทรงรักษาคนโรคเรื้อนสิบคน

11 ระหว่างทางไปยังกรุงเยรูซาเล็ม พระเยซูเสด็จเลียบเขตแดนของแคว้นสะมาเรียกับกาลิลี 12 ขณะทรงเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีชายโรคเรื้อน[a]สิบคนยืนรอพบพระองค์อยู่แต่ไกล 13 พวกเขาร้องเสียงดังว่า “พระเยซู พระอาจารย์เจ้าข้า เวทนาเราด้วยเถิด!”

14 เมื่อพระองค์ทรงเห็นพวกเขาก็ตรัสว่า “จงไปแสดงตัวต่อปุโรหิต” ขณะกำลังเดินไป พวกเขาก็หายโรค

15 คนหนึ่งในพวกนั้นเมื่อเห็นว่าตนหายจากโรคก็กลับมาสรรเสริญพระเจ้าเสียงดัง 16 เขาทิ้งตัวลงแทบพระบาทของพระเยซูและขอบพระคุณพระองค์ เขาเป็นชาวสะมาเรีย

17 พระเยซูตรัสถามว่า “มีสิบคนหายโรคไม่ใช่หรือ? อีกเก้าคนอยู่ที่ไหน? 18 ไม่มีสักคนกลับมาสรรเสริญพระเจ้า นอกจากคนต่างชาติคนนี้หรือ?” 19 แล้วพระองค์ตรัสกับเขาว่า “ลุกขึ้นไปเถิด ความเชื่อของเจ้าทำให้เจ้าหายโรค”

การมาของอาณาจักรพระเจ้า(A)

20 คราวหนึ่งพวกฟาริสีมาทูลถามว่าอาณาจักรของพระเจ้าจะมาถึงเมื่อใด พระเยซูตรัสตอบว่า “อาณาจักรของพระเจ้าไม่ได้มาอย่างที่ท่านสังเกตได้ 21 ทั้งผู้คนจะไม่กล่าวว่า ‘อาณาจักรนั้นอยู่ที่นี่’ หรือ ‘อยู่ที่นั่น’ เพราะอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ภายใน[b]พวกท่าน”

22 จากนั้นพระองค์ตรัสกับเหล่าสาวกว่า “เวลานั้นจะมาถึงเมื่อท่านอยากจะเห็นวันแห่งบุตรมนุษย์สักวันเดียว แต่ท่านจะไม่เห็น 23 ผู้คนจะบอกท่านว่า ‘พระองค์อยู่ที่นั่น!’ หรือ ‘พระองค์อยู่ที่นี่!’ อย่าไปวิ่งตามเขา 24 เพราะในวันของพระองค์[c] บุตรมนุษย์จะทรงเป็นเหมือนฟ้าแลบซึ่งส่องแสงวาบ ทำให้ท้องฟ้าสว่างจากขอบฟ้าด้านหนึ่งจนจดอีกด้านหนึ่ง 25 แต่ก่อนอื่นพระองค์ต้องทนทุกข์หลายประการและถูกคนยุคนี้ปฏิเสธ

26 “วาระของบุตรมนุษย์จะเป็นเหมือนสมัยโนอาห์ 27 ผู้คนกินดื่ม แต่งงาน และยกให้เป็นสามีภรรยากันจนถึงวันที่โนอาห์เข้าในเรือ จากนั้นน้ำก็ท่วมทำลายล้างพวกเขา

28 “และเช่นเดียวกับในสมัยโลท ผู้คนกินดื่ม ซื้อ ขาย ปลูกสร้าง 29 แต่ในวันที่โลทออกจากเมืองโสโดม ไฟและกำมะถันจากฟ้าสวรรค์เทลงมาทำลายพวกเขา

30 “จะเป็นเช่นนี้แหละในวันที่บุตรมนุษย์ปรากฏ 31 ในวันนั้นผู้ที่อยู่บนดาดฟ้าหลังคาบ้าน อย่าลงมาเก็บข้าวของที่อยู่ในบ้าน เช่นเดียวกัน คนที่อยู่ในทุ่งนาไม่ควรกลับมาเอาสิ่งใด 32 จงระลึกถึงภรรยาของโลท! 33 ผู้ใดดิ้นรนเอาชีวิตรอดจะเสียชีวิต และผู้ที่พลีชีวิตจะรักษาชีวิตไว้ได้ 34 เราบอกท่านว่า คืนนั้น สองคนนอนร่วมเตียงกัน คนหนึ่งจะถูกรับไป และอีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้ 35 หญิงสองคนโม่แป้งอยู่ด้วยกัน คนหนึ่งจะถูกรับไป และอีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้[d]

37 เขาทั้งหลายทูลถามว่า “ที่ไหน พระเจ้าข้า?”

พระองค์ตรัสว่า “ซากศพอยู่ที่ไหน แร้งกาจะชุมนุมกันอยู่ที่นั่น”

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.