M’Cheyne Bible Reading Plan
คนเลวี
23 เมื่อดาวิดทรงชรามากแล้ว ก็ตั้งโซโลมอนราชโอรสขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอล
2 ดาวิดทรงเรียกผู้นำทั้งปวงของอิสราเอลมารวมกัน รวมทั้งปุโรหิตและคนเลวี 3 มีการนับจำนวนคนเลวีที่มีอายุสามสิบปีขึ้นไป รวมทั้งสิ้น 38,000 คน 4 ดาวิดตรัสว่า “ให้ 24,000 คนดูแลงานที่พระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า อีก 6,000 คนเป็นเจ้าหน้าที่และตุลาการ 5 อีก 4,000 คนเป็นยามเฝ้าประตูพระวิหาร และอีก 4,000 คนสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า พร้อมกับบรรเลงเครื่องดนตรีต่างๆ ที่เราเตรียมไว้”
6 ดาวิดทรงแบ่งคนเลวีเป็นสามกลุ่มใหญ่ตามชื่อบุตรของเลวีได้แก่ ตระกูลเกอร์โชน ตระกูลโคฮาท และตระกูลเมรารี
ตระกูลเกอร์โชน
7 จากตระกูลเกอร์โชน ได้แก่
ลาดานกับชิเมอี
8 บุตรของลาดาน ได้แก่
เยฮีเอลผู้เป็นหัวหน้า เศธาม และโยเอล รวมสามคน
9 บุตรของชิเมอี ได้แก่
เชโลโมท ฮาซีเอล และฮาราน รวมสามคน
คนเหล่านี้เป็นหัวหน้าครอบครัวของเชื้อสายลาดาน
10 บุตรของชิเมอี ได้แก่
ยาหาท ศีซา[a] เยอูช และเบรียาห์
คนเหล่านี้คือบุตรของชิเมอี รวมสี่คน
11 ยาหาทเป็นหัวหน้า คนที่สองคือศีซา ส่วนเยอูชและเบรียาห์มีบุตรชายไม่กี่คน จึงนับเป็นครอบครัวเดียวกัน ได้รับมอบหมายงานเดียวกัน
ตระกูลโคฮาท
12 บุตรของโคฮาท ได้แก่
อัมราม อิสฮาร์ เฮโบรน และอุสซีเอล รวมสี่คน
13 บุตรของอัมราม ได้แก่
อาโรนกับโมเสส
อาโรนและลูกหลานตลอดทุกชั่วอายุถูกแยกไว้เพื่อชำระสิ่งที่บริสุทธิ์ที่สุด เพื่อถวายเครื่องบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อรับใช้อยู่ต่อหน้าพระองค์และเพื่อกล่าวอำนวยพรในพระนามของพระองค์ตลอดไป 14 วงศ์วานของโมเสสซึ่งเป็นคนของพระเจ้านับรวมเข้ากับเผ่าเลวี
15 บุตรของโมเสส ได้แก่
เกอร์โชมกับเอลีเอเซอร์
16 วงศ์วานของเกอร์โชม ได้แก่
ชูบาเอลผู้เป็นหัวหน้า
17 ส่วนเอลีเอเซอร์
มีบุตรชายคนเดียวคือเรหับยาห์ผู้เป็นหัวหน้า แต่เรหับยาห์มีบุตรหลานมากมาย
18 บุตรของอิสฮาร์ ได้แก่
เชโลมิทผู้เป็นหัวหน้า
19 บุตรของเฮโบรน ได้แก่
เยรียาห์ผู้เป็นหัวหน้า คนที่สองคืออามาริยาห์
คนที่สามคือยาฮาซีเอล และคนที่สี่คือเยคาเมอัม
20 บุตรของอุสซีเอล ได้แก่
มีคาห์ผู้เป็นหัวหน้า และคนที่สองคืออิสชีอาห์
ตระกูลเมรารี
21 บุตรของเมรารี ได้แก่
มาห์ลีกับมูชี
บุตรของมาห์ลี ได้แก่
เอเลอาซาร์กับคีช
22 เอเลอาซาร์สิ้นชีวิตโดยไม่มีบุตรชายสืบสกุล มีแต่บุตรสาวซึ่งก็ได้แต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องคือบุตรชายของคีช
23 บุตรของมูชี ได้แก่
มาห์ลี เอเดอร์ และเยรีโมท รวมสามคน
24 คนเหล่านี้คือวงศ์วานของเลวีตามครอบครัวที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้ตามชื่อของหัวหน้าครอบครัว ชายชาวเลวีที่อายุยี่สิบปีขึ้นไปที่กล่าวมานี้ ทุกคนมีหน้าที่ปฏิบัติงานในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า 25 เพราะดาวิดตรัสไว้ว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลทรงโปรดให้เหล่าประชากรได้พักสงบ และพระองค์จะประทับอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มตลอดไปเป็นนิตย์ 26 คนเลวีจึงไม่จำเป็นต้องแบกหามพลับพลาและเครื่องใช้ต่างๆ โยกย้ายไปมาอีกต่อไป” 27 มีการนับจำนวนคนเลวีที่อายุยี่สิบปีขึ้นไปตามคำสั่งล่าสุดของดาวิด
28 งานของคนเลวีคือช่วยเหลือวงศ์วานของอาโรนในการปฏิบัติหน้าที่ในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า ทั้งดูแลลานพระวิหารและห้องต่างๆ ที่อยู่ด้านข้าง ชำระสิ่งที่บริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวงและทำหน้าที่อื่นๆ ในพระนิเวศของพระเจ้า 29 พวกเขารับผิดชอบการจัดขนมปังเบื้องพระพักตร์ แป้งละเอียดสำหรับเครื่องธัญบูชา ขนมปังไม่ใส่เชื้อ การอบปิ้งและการผสม ตลอดจนการชั่งตวงวัด 30 และทุกเช้าทุกเย็นจะยืนร้องเพลงขอบพระคุณและสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า 31 ทุกครั้งที่มีการถวายเครื่องเผาบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าในวันสะบาโต งานฉลองวันขึ้นหนึ่งค่ำ และเทศกาลตามกำหนด พวกเขาจะปรนนิบัติรับใช้อยู่ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าสม่ำเสมอครบจำนวนและทำงานตามที่ได้กำหนดไว้
32 คนเลวีจึงปฏิบัติหน้าที่รับผิดชอบสำหรับเต็นท์นัดพบ วิสุทธิสถานและงานต่างๆ ในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า ภายใต้การบังคับบัญชาของพี่น้องวงศ์วานอาโรน
มีชีวิตเพื่อพระเจ้า
4 ฉะนั้นในเมื่อพระคริสต์ทรงทนทุกข์ทางพระกายแล้ว พวกท่านเองก็จงเตรียมตัวให้พร้อมด้วยท่าทีอย่างเดียวกัน เพราะผู้ที่ทนทุกข์ทางกายก็ได้ตัดสินใจที่จะไม่ทำบาปอีกแล้ว 2 ผลก็คือเขาจะไม่ดำเนินชีวิตที่เหลืออยู่ในโลกนี้ตามตัณหาชั่วของมนุษย์ แต่ตามพระประสงค์ของพระเจ้า 3 เพราะในอดีตท่านได้ใช้เวลาไปมากพอแล้วในการทำสิ่งที่คนไม่รู้จักพระเจ้าเลือกที่จะทำกันคือ หมกมุ่นในการเสเพล ราคะตัณหา การเมามาย การมั่วสุมเสพสุรากามารมณ์และการกราบไหว้รูปเคารพอันน่าชิงชัง 4 พวกเขาแปลกใจที่บัดนี้ท่านไม่กระโจนเข้าร่วมสำมะเลเทเมากับพวกเขาจึงด่าว่าท่าน 5 แต่พวกเขาจะต้องให้การต่อพระองค์ผู้ทรงพร้อมแล้วที่จะพิพากษาทั้งคนเป็นและคนตาย 6 ด้วยเหตุนี้ข่าวประเสริฐจึงถูกประกาศออกไปแม้แก่คนที่ตายแล้ว เพื่อว่าในทางกายเขาจะถูกตัดสินตามความเห็นของมนุษย์ แต่ในทางจิตวิญญาณเขามีชีวิตอยู่ตามพระประสงค์ของพระเจ้า
7 อวสานของสิ่งทั้งปวงใกล้จะมาถึงแล้ว เพราะฉะนั้นจงมีสติสัมปชัญญะและรู้จักบังคับตนเพื่อท่านจะสามารถอธิษฐานได้ 8 เหนือสิ่งอื่นใดจงรักกันอย่างลึกซึ้ง เพราะความรักลบความผิดบาปมากมายได้โดยการให้อภัย 9 จงต้อนรับเลี้ยงดูกันโดยไม่บ่นว่า 10 แต่ละคนควรรับใช้ผู้อื่นตามของประทานที่ได้รับมา บริหารของประทานแห่งพระคุณของพระเจ้าในรูปแบบต่างๆ ที่ได้รับมาอย่างสัตย์ซื่อ 11 ถ้าผู้ใดจะพูดก็ควรพูดประหนึ่งเป็นผู้กล่าวพระดำรัสของพระเจ้า ถ้าผู้ใดจะรับใช้ก็ควรทำตามกำลังที่พระเจ้าประทาน เพื่อว่าในทุกสิ่งพระเจ้าจะได้รับการสรรเสริญโดยทางพระเยซูคริสต์ ขอพระเกียรติสิริและเดชานุภาพมีแด่พระองค์สืบๆ ไปเป็นนิตย์ อาเมน
ทนทุกข์เพราะเป็นคริสเตียน
12 เพื่อนที่รัก อย่าแปลกใจกับการทดลองอันเจ็บปวดที่ท่านเผชิญอยู่ราวกับว่าสิ่งแปลกประหลาดได้เกิดขึ้นกับท่าน 13 แต่จงชื่นชมยินดีที่ได้ร่วมในความทุกข์ยากของพระคริสต์ เพื่อท่านจะได้ชื่นชมยินดีเป็นล้นพ้นเมื่อพระเกียรติสิริของพระองค์ปรากฏ 14 ถ้าท่านถูกดูหมิ่นเนื่องด้วยพระนามของพระคริสต์ท่านก็เป็นสุข เพราะพระวิญญาณอันทรงพระเกียรติสิริคือพระวิญญาณของพระเจ้าประทับอยู่กับท่าน 15 ถ้าท่านทนทุกข์ก็อย่าให้ทนทุกข์ในฐานะที่เป็นฆาตกร ขโมย หรืออาชญากรประเภทต่างๆ หรือแม้แต่เป็นคนชอบยุ่งเรื่องของผู้อื่น 16 แต่ถ้าท่านทนทุกข์ในฐานะที่เป็นคริสเตียนก็อย่าละอาย แต่จงสรรเสริญพระเจ้าที่ท่านได้รับการเรียกขานตามพระนามนั้น 17 เพราะถึงเวลาแล้วที่การพิพากษาจะเริ่มขึ้นที่ครอบครัวของพระเจ้า และถ้าการพิพากษาเริ่มต้นที่พวกเราแล้วผลลัพธ์ของบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อฟังข่าวประเสริฐของพระเจ้าจะเป็นอย่างไร? 18 และ
“ถ้าคนชอบธรรมยังยากที่จะได้รับความรอด
แล้วคนอธรรมกับคนบาปจะเป็นอย่างไรเล่า?”[a]
19 ฉะนั้นผู้ที่ทนทุกข์ตามพระประสงค์ของพระเจ้าควรมอบตนเองไว้กับพระผู้สร้างผู้สัตย์ซื่อของพวกเขา และทำความดีต่อไป
แผนการของมนุษย์และแผนงานของพระเจ้า
2 วิบัติแก่บรรดาผู้ที่วางแผนชั่วร้าย
บรรดาผู้ที่คิดอุบายชั่วร้ายขณะนอนอยู่บนเตียง!
ครั้นรุ่งเช้าก็ดำเนินการตามแผนนั้น
เพราะอยู่ในอำนาจที่เขาจะทำได้
2 เขาโลภอยากได้ที่ดินก็ยึดเอา
อยากได้บ้านก็ริบไป
เขาโกงบ้าน
โกงมรดกของเพื่อนมนุษย์
3 ฉะนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า
“เรากำลังวางแผนนำภัยพิบัติมาให้แก่คนพวกนี้
ซึ่งพวกเจ้าไม่มีทางเอาตัวรอดไปได้เลย
พวกเจ้าจะไม่เดินอย่างหยิ่งทะนงอีกต่อไป
เพราะมันจะเป็นวาระแห่งความพินาศ
4 ในวันนั้นผู้คนจะเยาะเย้ยพวกเจ้า
เขาจะถากถางพวกเจ้าด้วยเพลงโศกบทนี้ว่า
‘เราย่อยยับป่นปี้
ข้าวของในกรรมสิทธิ์ของพี่น้องร่วมชาติถูกยึดไปแบ่งกัน
พระองค์ทรงริบไปจากเราแล้ว!
พระองค์ทรงมอบที่ดินของเราให้แก่บรรดาคนทรยศ’ ”
5 ฉะนั้นพวกเจ้าจะไม่มีใครสักคนในชุมชนขององค์พระผู้เป็นเจ้า
มาจับสลากแบ่งดินแดน
ผู้เผยพระวจนะเท็จ
6 บรรดาผู้เผยพระวจนะของเขากล่าวว่า
“อย่าเผยพระวจนะ
อย่าพยากรณ์เรื่องเหล่านี้
ความอัปยศอดสูจะมาไม่ถึงเรา”
7 พงศ์พันธุ์ยาโคบเอ๋ย ควรหรือที่จะพูดกันว่า
“พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้ากริ้วหรือ?
พระองค์ทรงกระทำสิ่งเหล่านี้หรือ?”
“ถ้อยคำของเราไม่ได้เป็นผลดี
แก่บรรดาผู้ประพฤติอย่างชอบธรรมหรือ?
8 เมื่อไม่นานมานี้ประชากรของเราได้ลุกขึ้น
เหมือนเป็นศัตรู
พวกเจ้าริบเอาเสื้อคลุมอย่างดี
จากผู้ที่ผ่านไปโดยไม่ระมัดระวัง
เหมือนคนที่เพิ่งกลับมาจากการรบ
9 พวกเจ้าขับไล่ผู้หญิงในหมู่ประชากรให้ออกไป
จากบ้านอันผาสุกของเขา
พวกเจ้าริบพรของเราไป
จากลูกหลานของเขาตลอดกาล
10 ลุกขึ้น ไปให้พ้น!
เพราะนี่ไม่ใช่ที่พักของพวกเจ้า
เนื่องจากมันเป็นมลทิน
มันพังทลายเกินกว่าจะแก้ไข
11 หากคนโกหกและคนหลอกลวงมาพูดว่า
‘ข้าพเจ้าจะพยากรณ์ว่าท่านจะมีเหล้าองุ่นและเบียร์เหลือเฟือ’
เขาก็จะเป็นผู้พยากรณ์ที่ชนชาตินี้ต้องการ!
ทรงสัญญาจะช่วยกอบกู้
12 “ยาโคบเอ๋ย เราจะรวบรวมเจ้าทั้งหมดอย่างแน่นอน
เราจะรวบรวมชนหยิบมือที่เหลือของอิสราเอลกลับคืนมาอย่างแน่นอน
เราจะพาพวกเขามาเหมือนแกะในคอก
เหมือนฝูงสัตว์ในทุ่งหญ้า
ที่นั่นจะคลาคล่ำด้วยผู้คน
13 ผู้เบิกทางจะขึ้นหน้านำเขาไป
พวกเขาจะผ่านออกไปทางประตู
กษัตริย์ของเขาจะเสด็จขึ้นหน้าพวกเขา
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนำหน้าพวกเขาไป”
คำสอนของพระเยซูเรื่องการอธิษฐาน(A)
11 วันหนึ่งขณะพระเยซูทรงอธิษฐานอยู่ในที่แห่งหนึ่ง เมื่อพระองค์ทรงอธิษฐานจบ สาวกคนหนึ่งมาทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ขอทรงสอนพวกข้าพระองค์อธิษฐานเหมือนที่ยอห์นสอนสาวกของเขา”
2 พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า “เมื่อพวกท่านอธิษฐาน จงทูลว่า
“ ‘ข้าแต่พระบิดา[a]
ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เทิดทูนสักการะ
ขอให้อาณาจักรของพระองค์ได้รับการสถาปนาไว้[b]
3 ขอโปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย
4 ขอทรงอภัยบาปของข้าพระองค์ทั้งหลาย
เพราะข้าพระองค์ทั้งหลายอภัยให้ทุกคนที่ทำผิดบาปต่อข้าพระองค์ทั้งหลาย[c]เช่นกัน
และขออย่าให้ข้าพระองค์ทั้งหลายล้มลงเมื่อถูกทดลอง[d]’ ”
5 แล้วพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “สมมุติว่าคนหนึ่งในพวกท่านมีเพื่อนมาหาตอนเที่ยงคืนและบอกว่า ‘เพื่อนเอ๋ย ขอยืมขนมปังสักสามก้อนเถิด 6 เพราะมีเพื่อนคนหนึ่งเพิ่งเดินทางมาถึง และข้าพเจ้าไม่มีอะไรให้เขากิน’
7 “แล้วคนที่อยู่ในบ้านก็ตอบว่า ‘อย่ามากวนใจเราเลย ประตูก็ปิดลงกลอนแล้ว และลูกๆ ของเราก็นอนอยู่กับเราบนเตียง เราลุกขึ้นไปหยิบอะไรให้ท่านไม่ได้หรอก’ 8 เราบอกท่านว่า แม้เขาไม่ยอมลุกไปหยิบขนมปังให้เพราะเป็นเพื่อนกัน แต่เพราะกลัวขายหน้า[e] เขาก็จะลุกขึ้นไปหยิบทุกสิ่งให้ตามที่คนนั้นต้องการ
9 “ฉะนั้นเราบอกท่านว่า จงขอแล้วท่านจะได้รับ จงหาแล้วท่านจะพบ จงเคาะแล้วประตูจะเปิดให้แก่ท่าน 10 เพราะทุกคนที่ขอก็ได้รับ คนที่แสวงหาก็พบ และคนที่เคาะประตูก็จะเปิดให้แก่เขา
11 “ใครบ้างในพวกท่านที่เป็นบิดา เมื่อบุตรขอ[f]ปลาก็จะเอางูให้แทน? 12 หรือถ้าเขาขอไข่ก็จะเอาแมงป่องให้? 13 ถ้าแม้ท่านเองซึ่งเป็นคนชั่วยังรู้จักให้สิ่งดีๆ แก่บุตรของท่าน ยิ่งกว่านั้นสักเพียงใด พระบิดาของท่านในสวรรค์ย่อมประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่บรรดาผู้ที่ทูลขอพระองค์!”
พระเยซูกับเบเอลเซบุบ(B)
14 พระเยซูทรงกำลังขับผีใบ้ เมื่อผีออกแล้วคนใบ้นั้นจึงพูดได้ ประชาชนก็เลื่อมใส 15 แต่บางคนพูดว่า “คนนี้ขับผีออกโดยอาศัยเบเอลเซบุบ[g]เจ้าแห่งผี” 16 บางคนก็ทดสอบพระองค์โดยขอหมายสำคัญจากฟ้าสวรรค์
17 พระเยซูทรงทราบความคิดของพวกเขาและตรัสกับพวกเขาว่า “อาณาจักรใดๆ แตกแยกกันเองย่อมถูกทำลาย และครอบครัวไหนที่แตกแยกกันเองย่อมพังทลาย 18 หากซาตานแตกแยกกับตัวเอง อาณาจักรของมันจะตั้งอยู่ได้อย่างไร? เราพูดเช่นนี้เพราะท่านว่าเราขับผีออกโดยเบเอลเซบุบ 19 หากเราขับผีออกโดยเบเอลเซบุบ แล้วสาวกของพวกท่านเล่า ขับผีออกโดยอาศัยใคร? ฉะนั้นพวกเขาจะตัดสินท่าน 20 แต่หากเราขับผีออกโดยนิ้วพระหัตถ์ของพระเจ้า อาณาจักรของพระเจ้าก็มาถึงพวกท่านแล้ว
21 “เมื่อคนแข็งแรงถืออาวุธพร้อมและเฝ้าระวังบ้านของตน ทรัพย์สินของเขาก็ปลอดภัย 22 แต่เมื่อคนที่แข็งแรงกว่าเข้ามาโจมตีและเอาชนะเขา ก็เอาอาวุธที่เจ้าของบ้านวางใจไปและแบ่งสิ่งของที่ยึดมาได้
23 “ผู้ใดไม่อยู่ฝ่ายเราก็เป็นปฏิปักษ์กับเรา และผู้ใดไม่รวบรวมไว้กับเราก็ทำให้กระจัดกระจายไป
24 “เมื่อวิญญาณชั่ว[h]ออกจากผู้ใดแล้ว มันก็ไปทั่วถิ่นแล้ง แสวงหาที่พักและไม่พบ มันจึงกล่าวว่า ‘ข้าจะกลับไปยังบ้านที่ข้าจากมา’ 25 พอมาถึงก็พบว่าบ้านนั้นเก็บกวาดสะอาดและจัดเป็นระเบียบเรียบร้อย 26 มันจึงไปพาผีอื่นๆ อีกเจ็ดตนซึ่งร้ายกว่ามันอีกเข้ามาอาศัยที่นั่น และในที่สุดสภาพของคนนั้นก็เลวร้ายยิ่งกว่าตอนแรกเสียอีก”
27 ขณะพระเยซูกำลังตรัสสิ่งเหล่านี้อยู่ หญิงคนหนึ่งในฝูงชนก็ร้องขึ้นว่า “ความสุขมีแก่มารดาผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูท่าน”
28 พระองค์ตรัสตอบว่า “ความสุขมีแก่บรรดาผู้ได้ยินพระวจนะของพระเจ้าและเชื่อฟังต่างหาก”
หมายสำคัญของโยนาห์(C)
29 ขณะที่ฝูงชนหลั่งไหลมามากขึ้น พระเยซูตรัสว่า “คนในยุคนี้ชั่วช้า ขอแต่หมายสำคัญ แต่เขาจะไม่ได้รับหมายสำคัญอื่นยกเว้นหมายสำคัญของโยนาห์ 30 เพราะโยนาห์เป็นหมายสำคัญแก่ชาวนีนะเวห์ฉันใด บุตรมนุษย์ก็เป็นหมายสำคัญแก่คนยุคนี้ฉันนั้น 31 ในวันพิพากษา ราชินีแห่งแดนใต้จะลุกขึ้นพร้อมกับคนยุคนี้และกล่าวโทษพวกเขา เพราะพระนางมาจากสุดโลกเพื่อรับฟังสติปัญญาของโซโลมอน และบัดนี้ผู้[i]ซึ่งยิ่งใหญ่กว่าโซโลมอนก็อยู่ที่นี่ 32 ในวันพิพากษา ชาวนีนะเวห์จะยืนขึ้นพร้อมกับคนยุคนี้และกล่าวโทษพวกเขา เพราะชาวนีนะเวห์ได้กลับใจใหม่โดยคำเทศนาของโยนาห์ และบัดนี้ผู้ซึ่งยิ่งใหญ่กว่าโยนาห์ก็อยู่ที่นี่
ประทีปของกาย(D)
33 “ไม่มีใครจุดตะเกียงแล้ววางไว้ในที่ซ่อนเร้นหรือเอาฝาครอบ แต่ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง เพื่อคนทั้งหลายที่เข้ามาจะเห็นแสงสว่าง 34 ดวงตาของท่านคือประทีปของกาย หากตาของท่านดี กายของท่านทั้งกายก็จะเต็มไปด้วยความสว่าง แต่เมื่อตาของท่านเสีย กายของท่านก็จะเต็มไปด้วยความมืด 35 ดังนั้น จงคอยดูอย่าให้ความสว่างในท่านกลับมืดมิด 36 เพราะฉะนั้นถ้ากายของท่านทั้งกายเต็มไปด้วยความสว่าง และไม่มีส่วนใดมืด ทั้งกายของท่านก็จะสว่างไสวเหมือนเมื่อแสงตะเกียงส่องท่าน”
วิบัติหกประการ
37 เมื่อพระเยซูตรัสจบ ฟาริสีคนหนึ่งเชิญพระองค์รับประทานอาหารกับเขา พระองค์จึงทรงเข้าไปนั่งรับประทานอาหารที่โต๊ะ 38 แต่ฟาริสีคนนั้นสังเกตเห็นว่าพระองค์ไม่ได้ล้างพระหัตถ์ก่อนเสวยก็แปลกใจ
39 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเขาว่า “เจ้าพวกฟาริสี ล้างถ้วยชามแต่ภายนอก แต่ภายในเต็มไปด้วยความโลภและความชั่วช้า 40 เจ้าพวกคนเขลา! ผู้ที่สร้างข้างนอกก็สร้างข้างในด้วยไม่ใช่หรือ? 41 แต่จงให้สิ่งที่มีอยู่ในชาม[j]แก่ผู้ยากไร้ แล้วทุกสิ่งจะสะอาดสำหรับพวกเจ้า
42 “วิบัติแก่เจ้า พวกฟาริสี เจ้าถวายสิบลดของสะระแหน่ ขมิ้น และเครื่องเทศทั้งปวงของเจ้าแด่พระเจ้า แต่เจ้าละเลยความยุติธรรมและความรักของพระเจ้า เจ้าควรปฏิบัติอย่างหลังโดยไม่ละเลยอย่างแรก
43 “วิบัติแก่เจ้า พวกฟาริสี เพราะเจ้าชอบที่นั่งที่สำคัญที่สุดในธรรมศาลา และชอบให้ผู้คนมาคำนับทักทายในย่านตลาด
44 “วิบัติแก่เจ้า เพราะเจ้าเป็นเหมือนหลุมฝังศพที่ไม่ได้ทำเครื่องหมายไว้ ซึ่งผู้คนเดินย่ำโดยไม่รู้ว่าเป็นหลุมฝังศพ”
45 ผู้เชี่ยวชาญทางบทบัญญัติคนหนึ่งทูลว่า “ท่านอาจารย์ ท่านพูดอย่างนี้ก็สบประมาทพวกเราด้วย”
46 พระเยซูตรัสตอบว่า “และเจ้า พวกผู้เชี่ยวชาญทางบทบัญญัติ วิบัติแก่เจ้า เพราะเจ้าวางภาระหนักที่แบกแทบไม่ไหวให้ผู้คน ส่วนตัวเจ้าเองแม้แต่นิ้วๆ เดียวก็ไม่ขยับช่วยพวกเขา
47 “วิบัติแก่เจ้าเพราะเจ้าสร้างอุโมงค์ฝังศพให้เหล่าผู้เผยพระวจนะ และบรรพบุรุษของเจ้าเองนั่นแหละที่ฆ่าพวกเขา 48 ดังนั้นเจ้าพิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้าเห็นชอบกับสิ่งที่บรรพบุรุษของตนทำไว้ พวกเขาเข่นฆ่าผู้เผยพระวจนะ ส่วนพวกเจ้าสร้างหลุมฝังศพให้ 49 เพราะเหตุนี้พระเจ้าจึงตรัสโดยพระปัญญาของพระองค์ว่า ‘เราจะส่งผู้เผยพระวจนะและอัครทูตไปหาพวกเขา ซึ่งบางคนจะถูกพวกเขาฆ่า และบางคนจะถูกพวกเขาข่มเหง’ 50 ฉะนั้นคนยุคนี้จะต้องรับผิดชอบโลหิตของผู้เผยพระวจนะทั้งปวงซึ่งหลั่งรินตั้งแต่แรกสร้างโลก 51 คือจากโลหิตของอาแบลจนถึงโลหิตของเศคาริยาห์ผู้ถูกฆ่าระหว่างแท่นบูชากับสถานนมัสการ เราบอกท่านว่า คนยุคนี้จะต้องรับผิดชอบสิ่งนี้ทั้งหมด
52 “วิบัติแก่เจ้า พวกผู้เชี่ยวชาญทางบทบัญญัติ เพราะเจ้าได้เอากุญแจแห่งความรู้ไป ตัวเจ้าเองไม่เข้าไป แล้วยังขัดขวางคนอื่นที่กำลังเข้าไป”
53 เมื่อพระเยซูเสด็จไปจากที่นั่น พวกฟาริสีกับพวกธรรมาจารย์เริ่มต่อต้านพระองค์อย่างรุนแรง และเริ่มรุมกันตั้งคำถามใส่พระองค์ 54 คอยจับผิดสิ่งที่พระองค์ตรัส
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.